ความสุขของเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ
행복배틀
ชูยองฮา เขียน
วิทิยา จันทร์พันธ์ แปล
ติดตามการวางจำหน่ายได้ที่เพจ แพรวสำนักพิมพ์
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
——————————————————————————————————————-
ผู้ถูกคัดเลือกต่างตะโกนดีใจคล้ายๆ กัน มีโฮขอร้องให้รองหัวหน้าแผนกคิมช่วยโทร. ไปหาโอยูจินแทน เธออยาก
ใช้ชีวิตโดยไม่มองย้อนกลับในอดีตเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ไม่อยากเชื่อมความสัมพันธ์ที่อาจต่อกันติดขึ้นอีกครั้ง
ประมาณห้าโมงเย็น รองหัวหน้าแผนกคิมเดินมาหามีโฮ
“ผู้จัดการชังคะ! คุณโอยูจินที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย”
“ลองโทร. หาอีกครั้งสิ”
มีโฮที่กำลังเขียนประกาศอย่างเป็นทางการ ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ลองโทร. หาหลายรอบแล้วนะคะ นี่ก็โทร. ไปตั้งห้ารอบแล้ว ตอนแรกฉันคิดว่าอีกฝ่ายอาจคิดว่าเราเป็นพวก
มิจฉาชีพเลยส่งข้อความไปหาแทน แล้วก็ส่งข้อความทางเอสเอ็นเอสด้วย แต่เธอยังไม่ตอบกลับมาเลย”
“อีเมลล่ะ”
“ส่งไปแล้วเหมือนกันค่ะ แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย”
“ถ้างั้นอาจต้องเลื่อนการประกาศรายชื่อผู้ชนะในเพจออกไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยติดต่อเธอดูอีกรอบ”
รองหัวหน้าแผนกคิมตอบรับ ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
ทว่าในวันถัดมาและหลังจากนั้นก็ยังติดต่อโอยูจินไม่ได้เช่นเดิม คราวนี้มีโฮโทรศัพท์ไปหาอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
โทรศัพท์มือถือของโอยูจินปิดเครื่องอยู่
หรือว่าจะไปต่างประเทศกันนะ
มีโฮไม่อาจเลื่อนการประกาศผลได้อีก เธอส่งรายงานให้แก่ผู้จัดการ แล้วคัดเลือกรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง
ใหม่อีกรอบ
หลังจากทารายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเสร็จ ก็ติดประกาศเอกสารทางการภายในบริษัท แล้วโพสต์รายชื่อเหล่านั้น
ในลงเอสเอ็นเอสทำงานที่เหลืออยู่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
สุดท้ายภาพครอบครัวสุขสันต์ของโอยูจินก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความนึกคิดของมีโฮ
มีโฮไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพดังกล่าวอีกครั้ง ไม่กล้าจินตนาการแม้กระทั่งในความฝันว่าภาพครอบครัวของโอยูจิน
จะปรากฏอยู่ในข่าวเช่นนั้น
ตอนทราบว่ามันคือภาพของอีกฝ่าย ดวงตาของมีโฮเบิกกว้าง
ริมฝีปากเผยอออกจากกัน ปลายคางสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เธอคว้าโทรศัพท์มือถือของเซกยองมาในทันที
รูปถ่ายบนหน้าจอเป็นภาพของครอบครัวโอยูจินไม่ผิดแน่
ด้านหลังในภาพเป็นห้องรับแขกของอพาร์ตเมนต์หรู เด็กผู้หญิงสองคนกำลังวิ่งมาสู่อ้อมกอดของพ่อแม่
ทว่ารูปถ่ายนี้มีหนึ่งจุดที่แตกต่างไป
นั่นคือใบหน้าของบุคคลทั้งหมดในภาพถูกเบลอเอาไว้ เป็นจุดที่ทาให้รูปถ่ายนี้ดูน่าสยดสยอง
“ทาไมเหรอ”
เซกยองถามขึ้นด้วยความงุนงง
เธอพยายามดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองคืนจากมีละล่ำละลัก ทว่าเพื่อนกามันแน่นไม่ปล่อย
ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เนื่องจากวันนี้เป็นวันลาพักร้อนของมีโฮพอดี ต่างฝ่ายต่างว่างเลย
ชวนกันออกมาขับรถเล่น
ทั้งคู่นั่งจิบกาแฟ สูดรับอากาศสดชื่นในคาเฟ่ซึ่งมองลงไปเห็นแม่น้ำมาพักใหญ่ๆ แล้ว
มีโฮได้รับวันลาพักร้อนมาโดยกะทันหัน ตอนแรกเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้มันไปกับอะไรดี มันเป็นวันหยุดพักร้อน
แบบฟ้าผ่า เนื่องจากมีการโยกย้ายตาแหน่งภายในองค์กร ทางบริษัทจึงต้องการสลายขั้วอำนาจเดิมในแต่ละแผนกลงก่อน
‘หัวหน้าแผนกคิม คือ…ในเมื่อคุณได้รับคำสั่งให้โยกย้ายแล้ว ก่อนไปแผนกโน้น ก็ควรใช้วันลาพักร้อนให้หมดไป
เลยดีกว่านะ’
ผู้จัดการหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อให้เธอเต็มใจยอมรับวันหยุดพักร้อนฟ้าผ่านี้
ทว่าในช่วงแรกการโย้กย้ายไม่ไดำเนินไปอย่างราบรื่น โทรศัพท์มือถือของมีโฮดังขึ้นตลอดเวลา และเนื่องจาก
อาจมีเหตุด่วนเกิดขึ้นที่บริษัทได้ มีโฮจึงเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างประเทศไม่ได้
เซกยองไม่ใช่พวกบ้างานเลยไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อน
‘ได้วันหยุดพักร้อนมากะทันหันเกินไป ไม่รู้จะใช้ทาอะไรดี’
ตอนมีโฮพูดแบบนั้นขึ้นมา ดวงตาของเซกยองเป็นประกาย เพราะภาวะตั้งครรภ์ยากทาให้เซกยองตัดสินใจ
ลาออกจากงาน ตอนนี้เธอทำงานเป็นนักข่าวพลเมืองเอสเอ็นเอสของ ‘พลเมืองชาแนล’ อยู่ ครู่ก่อนเซกยองได้ยื่น
โทรศัพท์มือถือให้มีโฮดูรูปถ่ายครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเป็นคดีล่าสุดที่ตัวเองสนใจ
“ไหนพูดใหม่อีกทีซิ”
มีโฮไม่อาจละสายตาไปจากภาพนั้นได้ ถามขึ้นซ้ำอย่างร้อนใจ
“เป็นอะไรไป ก็บอกแล้วไงว่าภาพครอบครัวผู้เสียหาย ‘ในเหตุการณ์ฆาตกรรม แขวงพันโพ’ ”
ภาพครอบครัวของโอยูจินกลายเป็นภาพผู้เสียหายที่ถูกเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย แม้ใบหน้าของทุกคน
จะถูกเบลอไว้ แต่รูปถ่ายนี้เป็นภาพที่ถูกคัดเลือกให้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองในอิเวนต์โฮมสวีตโฮมอย่างแน่นอน
มีโฮรู้สึกเหมือนถูกค้อนตีใส่กลางศีรษะอย่างรุนแรง
“เมื่อไหร่”
เธอละล่ำละลักถาม
“หมายถึงเหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อไหร่ใช่ไหม อืม ขอคิดก่อน…น่าจะสามวันก่อนละมั้ง สื่อโหมรายงาน
เรื่องนี้กันจะตาย เธอไม่รู้เลยเหรอ”
สามวันที่แล้ว มีโฮกำลังวุ่นวายโทร. ติดต่อผู้ที่ได้รับรางวัลจากอิเวนต์โฮมสวีตโฮมอยู่
เธออดหลับอดนอนเพื่อจะสรุปผลอิเวนต์ ไม่มีเวลาเล่นโทรศัพท์มือถือเลยสักนาที เลยไม่ได้เสพข่าวใดๆ
มีโฮได้ยินผ่านหูมาบ้างว่า มีคู่สามีภรรยาถูกฆ่าในอพาร์ตเมนต์แขวงพันโพ แต่ไม่มีจุดไหนให้นึกเชื่อมโยงไปถึงโอ
ยูจินได้
“ทาไมล่ะ หรือว่าเป็นคนที่รู้จัก”
เซกยองเค้นถาม เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนดูแย่มาก
“เธอรู้รึเปล่าว่าผู้เสียหายคือใคร”
มีโฮตั้งคำถามแทนการตอบ บนใบหน้าที่ดูสะเทือนใจและตื่นกลัวเต็มไปด้วยอารมณ์สับสน
“ชื่อผู้เสียหาย ไม่นะ ไม่รู้เลย เดี๋ยวก็คงจะรู้เร็วๆ นี้ละ”
“เธอตั้งใจจะตามไขคดีนี้ใช่ไหม”
“เห็นว่าใกล้บ้าน เนื้อหารุนแรงมาก นี่ล่ะวัตถุดิบชั้นเลิศในการดึงดูดความสนใจของผู้คน อีกอย่างฉันสงสัยว่า
สามีภรรยาที่ถูกฆ่าในอพาร์ตเมนต์ไฮเพรสทิจ แขวงพันโพ เป็นใคร แล้วอะไรคือเหตุจูงใจในการฆ่า”
เซกยองที่ยังไม่รู้ตัวผู้เสียหายตอบขึ้น พลางปริคุกกี้ใส่ในปาก
“ว่าแต่เธอเถอะ ยังไม่ตอบเลย ทำไมเอาแต่ถามอะไรแปลกๆ”
เซกยองขึ้นเสียงสูง เบนสายตาไปทางมีโฮที่ยังคงจ้องมองโทรศัพท์มือถือไม่วางตา
มีโฮรับรู้ได้ว่าเพื่อนกำลังไม่พอใจ ทว่าตอนนี้เธอกลับพูดอะไรไม่ออก ตลอดระยะเวลาสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา โอยูจิน
เป็นชื่อต้องห้ามระหว่างทั้งคู่
“มันเป็นรูปถ่ายของยูจิน”
สุดท้ายมีโฮก็ยอมเปิดปากขึ้น เซกยองไม่เข้าใจคำพูดนั้น เอียงศีรษะแล้วถามขึ้นอีกกรอบ
“ใครนะ”
“โอยูจิน”
ประโยคนั้นทาเอาเซกยองที่กำลังนั่งเท้าคางตัวเองบนโต๊ะ ถึงกับนั่งตัวตรงทันควัน
“โอยูจินงั้นเหรอ”
“ใช่ โอยูจิน โอยูจินเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนยังไงละ”
ทันทีที่เซกยองได้ยินคาตอบนั้นจากปากมีโฮ ใบหน้าของเธอก็แข็งทื่อขึ้นอย่างน่ากลัว
“เธอกาลังพูดอะไรอยู่เนี่ย”
“มันคือรูปถ่ายของยูจิน!”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“จริงๆ”
ขณะที่มีโฮเล่าเรื่องงานของตัวเองก่อนหน้านั้นให้เพื่อนฟัง เซกยองถอนใจซ้ำๆ ใบหน้าแดงก่ำขึ้นอย่างชัดเจน สี
หน้าของเธอกำลังบ่งบอกว่า ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่ฟังอยู่
เซกยองสั่นศีรษะไปมาราวกับปฏิเสธทุกเรื่องที่มีโฮเล่า อาจกำลังโน้มน้าวใจตัวเองให้เชื่อว่า ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่อง
จริง มีโฮไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะรู้สึกแบบนั้น
เพราะตัวเธอเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
หลังทอดสายตามองไปยังนอกหน้าต่าง เซกยองก็ยกน้ำขึ้นจิบต่อเนื่อง พอสงบใจลงได้ ท่าทางของเธอก็ดูยอมรับ
และเห็นด้วยกับบางอย่างเพียงลำพัง
ความเงียบห้อมล้อมคนทั้งสองที่เพิ่งผ่านการโต้เถียงกันวุ่นวาย
“…ฆ่าตัวตายล่ะมั้ง”
ประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของเซกยอง
“ไหนบอกว่าเป็นคดีฆาตกรรมไง”
ทันทีที่มีโฮตอบออกไปก็ได้ยินเซกยองพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า ‘นั่นสินะ’ นัยน์ตาของอีกฝ่ายเหม่อมองไปในอากาศ
คล้ายกำลังหวนคืนสู่อดีต
“ที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตยังไงกันนะ”
“…”
“จะสบายดีรึเปล่า”
“ดูมีความสุขทีเดียวล่ะ”
คาตอบเรียบๆ ของมีโฮ ทาเอาเซกยองตวัดสายตากลับมาจ้องเขม็งมองเพื่อน
“มีความสุขงั้นเหรอ”
สีหน้าของเซกยองดูไร้ความรู้สึก
“…ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
เซกยองถอนใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เบนสายตาตัวเองไปทางนอกหน้าต่างอีกครั้ง
มีโฮคว้าแก้วกาแฟเย็นชืดมาหมุนเป็นวงกลม
ยอมยุติบทสนทนาลงเพื่อรักษาความสัมพันธ์ดีๆ ระหว่างทั้งคู่ไว้ ตอนนี้มีแค่ความเงียบที่ทั้งคู่คิดเห็นตรงกัน
***
ตอนตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นน่าจะอารมณ์ประมาณนี้
เป็นความรู้สึกตอนที่มีโฮในวัยสิบเจ็ดปีเห็นเพื่อนผู้หญิงข้างๆ
หน้าตาของเธอสวยหมดจด งดงาม ดวงตาเป็นประกายเหมือนก้อนหินสีดาขลับ ผิวใสผุดผ่อง
เป็นคนที่สวยจัดจนแสบตา ขณะที่เพื่อนคนอื่นหน้าบวมเพราะอดหลับอดนอน
“โทษนะ ฉันไม่รู้ว่าตรงนี้มีคนนั่งแล้ว”
นั่นคือคาพูดแรกจากปากของยูจิน
มีโฮจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา ทั้งที่บอกไปแล้วแท้ๆ ว่า ตรงนี้มีคนนั่งแล้ว แต่ยูจินกลับยิ้มหวานไม่มีท่าทีจะลุกขึ้น
“อ้อ…ต้องเปลี่ยนที่รึเปล่า”
เธอเอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยสีหน้าพะว้าพะวัง
“นั่งเถอะ”
มีโฮยกกระเป๋าของตัวเองไปวางที่โต๊ะเรียนด้านหลังแทน ตอนแรกเธอตั้งใจจองที่ข้างๆ ให้เซกยอง เนื่องด้วยวัน
แรกของภาคเรียนยังไม่ได้กำหนดที่นั่งแน่ชัด
“ขอบใจนะ ไม่รู้จักใครในห้องนี้เลย มาจากโรงเรียนมัธยมต้นมุนกยอง…ชังมีโฮใช่ไหม ฉันโอยูจินนะ”
ถ้าไม่ได้ประทับใจต่อกันมาก คนทั่วไปก็มักจดจำครั้งแรกที่พบกันไม่ค่อยได้ ทว่ามีโฮจำความรู้สึกแสนพิเศษที่ยูจินมอบให้เธอได้ขึ้นใจ
‘อ้าว รู้จักกันด้วยแฮะ’
มีโฮรู้สึกประทับใจเล็กๆ
ยูจินเป็นคนดังมาก
สมัยมัธยมปลาย คนดังในโรงเรียนชายล้วนมักเป็นคนที่เล่นกีฬาเก่ง ตลก หรือเรียนเก่ง ส่วนในโรงเรียนหญิงล้วน
ก็มักเป็นคนที่สวย ตลก หรือเรียนเก่ง ยูจินมีหน้าตาที่สะสวยจึงเป็นที่รู้จักของทุกคน เธอค่อนข้างพูดน้อย แต่เป็นคนที่
เพื่อนๆ ในห้องทุกคนให้ความสาคัญ รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่
เธอ ยูจิน และเซกยอง ทั้งสามคนกลายเป็นเพื่อนซี้กันโดยไม่รู้ตัว
ทั้งที่มีรูปร่างหน้าตา อุปนิสัยใจคอแตกต่างกันมาก
มีโฮตัวสูงใหญ่ ร่างกายดูแข็งแรง ตัดผมบ๊อบสั้น เป็นคนเย็นชา ไม่ใส่ใจอะไร ตรงข้ามกับยูจินที่มีใบหน้างดงาม
นิสัยอ่อนโยน สุขุมและเยือกเย็นเสมอ ส่วนเซกยองมีภาพลักษณ์แบบลูกคุณหนู วู่วาม และไม่ยอมคน
เวลาที่ทั้งสามได้คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์เต็มเหมือนกัน มีโฮจะขยำกระดาษข้อสอบใส่กระเป๋า ดูอวดเก่ง ยูจิกำลังจะตรวจทานข้อสอบอีกครั้งอย่างตั้งใจ ส่วนเซกยองจะคุยโวโอ้อวดกับผู้คนรอบข้างไปทั่ว
เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนในโรงเรียนเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน
ทว่าจุดเปลี่ยนระหว่างทั้งสามเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนตอนปีหนึ่ง
ในตอนนั้นมีโฮเริ่มมีแฟน อีกฝ่ายเป็นนักเรียนชายในโรงเรียนละแวกใกล้เคียงกัน ทั้งสองเจอกันที่ห้องอ่านหนังสือคึลแซม ห้องอ่านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในศูนย์กลางอพาร์ตเมนต์เมืองใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่นัดพบกันระหว่างนักเรียนชั้น
มัธยมปลายบ้านใกล้กันในเวลานั้น
มีโฮรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มักจับจ้องยามเธอเดินเข้าประตูมา หรือตอนอยู่ที่ห้องพักและห้องอ่านหนังสือ
ใครคนนั้นมีชื่อว่า พักฮเยซอง เป็นเด็กหนุ่มผิวขาว รูปร่างผอมบาง ท่าทางอ้อนแอ้น ไม่ใช่คนสูงใหญ่ ดังนั้น เวลา
ยืนกับมีโฮซึ่งค่อนข้างตัวสูง เมื่อเทียบกับนักเรียนหญิงทั่วไป สายตาของเขาจะต้องเหลือบขึ้นด้านบนเล็กน้อย
ในช่วงที่มีโฮเริ่มกังวลใจต่อสายตาคู่นั้น วันหนึ่งจู่ๆ ก็มีกาแฟกระป๋องตั้งอยู่บนโต๊ะของเธอในห้องอ่านหนังสือ
และหลังจากนั้นก็จะมีกาแฟกระป๋องเย็นๆ รอคอยมีโฮอยู่บนโต๊ะทุกวัน
เธอได้รับกระดาษโน้ตใต้กาแฟกระป๋องหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์
คืนนั้นหลังมีโฮกลับถึงบ้าน เธอหยิบกระดาษโน้ตออกมาดูอีกรอบอย่างลังเลใจ กดหมายเลขโทรศัพท์ที่เขียนอยู่
บนกระดาษลงในโทรศัพท์มือถืออยู่หลายครั้ง ก่อนจะลบทิ้งซ้ำๆ สุดท้ายมีโฮก็ส่งข้อความไปขอบคุณอีกฝ่ายจนได้ มี
ข้อความตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว นับจากนั้นบทสนทนาของทั้งคู่ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
สาหรับมีโฮทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใครสักคนว่าแฟน การออกเดตในร้านอาหารแฟมิลี
การไปดูภาพยนตร์รอบเช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ และการจูบกันในซอยเปลี่ยว
มีโฮชอบฮเยซอง แต่ลึกลงไปที่เธอชอบจริงๆ คือทุกสิ่งที่ได้ร่วมทากับเขา เพราะทั้งหมดนั้นเธอตั้งชื่อให้มันว่า
‘แอบแม่ทา’ ก็เลยชอบเป็นพิเศษ
ทว่าในวันหนึ่งหลังจากที่มีโฮไปดูภาพยนตร์กับฮเยซอง ก็มาเดินเตร็ดเตร่ที่ท้ายซอยในย่านการค้าคึกคัก เธอแอบ
หนีมาออกเดตโดยอ้างกับแม่ว่ามารวมกลุ่มติววิชาคณิตศาสตร์กับเพื่อนๆ ระหว่างเดินเข้าซอยผ่านด้านหลังของร้านเหล้า
แห่งหนึ่ง ฉับพลันมีโฮเผลอสบตาเด็กสาวที่กำลังยืนคุยขวางทางแคบๆ อยู่
เธอรู้จักใบหน้าของเด็กสาวทั้งสองดี
พวกเธอคือยูจินกับเซกยอง ยูจินใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่คงแอบมาทางานพิเศษในร้านเหล้าแห่งนี้ ส่วนเซกยองกำลัง
สูบบุหรี่อยู่ มันคือช่วงเวลาน่าอึดอัดที่แท้จริง
พลาดแล้ว ตัวเธอโกหกทั้งคู่ว่า ต้องไปร่วมกิจกรรมกับนักเรียนมัธยมปลายแถวบ้านหลังสอบเสร็จ
ถ้ามีโฮเดาสถานการณ์ไม่ผิด เซกยองคงมาที่ร้านเหล้าแล้วบังเอิญเจอยูจินเข้า
อารมณ์ของทั้งสามตึงเครียดถึงขีดสุด
เป็นการเห็นใบหน้าเปลือยเปล่าระหว่างกันโดยไร้หน้ากากนักเรียนดีเด่น
บรรยากาศในซอยหลังร้านเหล้าอึมครึมอยู่พักหนึ่ง ก่อนเสียงหัวเราะคิกคักของเซกยองจะทำลายความกระอัก
กระอ่วนนั้นลง
มีโฮดันหลังฮเยซองไปจากที่นั่น บอกให้เขากลับไปก่อน เดี๋ยวเธอจะโทรศัพท์หาเอง
ยูจินที่ยังดูตกใจอยู่ ตั้งท่าจะเดินหลบเข้าไปในร้านเหล้า แต่ถูกเซกยองคว้าข้อมือไว้ได้ทัน
“ถ้าเธอหนีไปตอนนี้ ฉันจะฟ้องโรงเรียนแน่”
ใบหน้าของยูจินแน่นิ่ง
มีโฮถอนหายใจยาว เดินไปดึงตัวเซกยองออกมาจากยูจิน
“เธอดีนักรึไง ถึงจะไปฟ้องเรื่องยูจินน่ะ”
“ชังมีโฮ เธอมีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์ฉัน”
“ฉันไม่เคยวิจารณ์เธอ จี้ใจดำสินะ”
มีโฮกับเซกยองต่างฝ่ายต่างขึ้นเสียงสูง จ้องตากันอย่างไม่ยอมแพ้ ในตอนนั้นเองมีเสียงเรียกจากด้านในร้าน
เหล้า ยูจินจึงเดินหายเข้าไปในทางประตูหลังร้าน
เป็นวันที่ความลับของทุกคนถูกเปิดเผย
วันนั้นทั้งสามแยกย้ายกันไปราวกับจะไม่เจอหน้ากันอีก ทว่าวันถัดมาก็ต้องมาพบกันที่โรงเรียนอยู่ดี
เซกยองเป็นคนแรกที่ทนต่อความเงียบน่าอึดอัดใจนั้นไม่ได้ หลังเลิกเรียน เธอออกปากชวนมีโฮกับยูจินที่กำลัง
เก็บกระเป๋าอยู่ให้มาตกลงกันดีๆ
วันนั้นทั้งสามได้เปิดใจต่อกันอย่างหมดเปลือกที่สนามเด็กเล่น
มีโฮบอกว่า สำหรับเธอการได้ออกนอกลู่นอกทางกับฮเยซองเป็นเรื่องสนุก แถมยังพูดปิดท้ายว่า ต่อไปอาจทา
มากกว่าการจูบ
ยูจินบอกว่า เธอต้องการย้ายออกมาอยู่คนเดียวหลังเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยแล้ว เลยจำเป็นต้องมีเงิน
เซกยองเล่าว่า เธอเรียนรู้การสูบบุหรี่จากรุ่นพี่ในกลุ่มคารัม ยังสูบบุหรี่แบบอัดลงปอดไม่เป็น ทาได้แค่อมควันไว้
ในปากเฉยๆ แต่นั่นนับเป็นวิธีคลายเครียดที่สนุกมากแล้ว พร้อมกับหัวเราะร่า
ทว่ายิ่งคุย ประเด็นของแต่ละคนก็ยิ่งตึงเครียดขึ้น
มีโฮสารภาพว่า แม่บีบคั้นเธอเรื่องการเรียนด้วยความต้องการของแม่เลยรู้สึกอึดอัดใจมาก ส่วนยูจินยอมรับว่า
เธออยู่ในครอบครัวที่แม่แต่งงานใหม่ เซกยองเปิดเผยว่า ตอนนี้สภาพครอบครัวของตัวเองเข้าขั้นแตกหักแล้ว ทั้งสามผลัด
กันเล่าเรื่องของตัวเอง ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง จนกระทั่งดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟากฟ้า
วันนั้นทั้งมีโฮ ยูจิน และเซกยอง ต่างข้ามธรณีประตูความสนิทสนมระหว่างกันไปอีกก้าว
ความสัมพันธ์ของทั้งสามต่อเนื่องไปจนถึงช่วงมัธยมปลาย ปีสอง ในระดับชั้นแบ่งออกเป็นสายวิทยาศาสตร์สาม
ห้องจากทั้งหมดสิบสองห้อง ทั้งสามเลือกสายวิทยาศาสตร์เหมือนกันซึ่งโชคดีได้อยู่ห้องเดียวกันตามเดิม
ทุกครั้งช่วงพักเที่ยงพวกเธอมักวิ่งตรงไปที่ร้านค้า โดดเรียนเพื่อไปกินผัดซุนแด ในช่วงทบทวนบทเรียนรอบดึกก็
มักชวนกันไปเดินคุยรอบสนามกีฬา อ้างว่ารวมตัวกันเพื่อปรึกษาเรื่องความกังวลใจ บางครั้งก็แกล้งนัดกันเรื่องเรียนเพื่อมา
ดูภาพยนตร์ต่างประเทศที่ดาวน์โหลดไว้ด้วยกัน
วันคืนแบบนั้นค่อยๆ ดำเนินผ่านไป
ตรงข้ามกับความสัมพันธ์ระหว่างมีโฮกับฮเยซอง ทั้งคู่เริ่มมีปากเสียงใส่กันบ่อยๆ สาเหตุของการทะเลาะมาจาก
แตะเนื้อต้องตัวกัน เพราะยิ่งคบกันนาน ฮเยซองก็ยิ่งรุกหนักขึ้น
พ่อกับแม่ของฮเยซองต่างทำงานนอกบ้านทั้งคู่เลยมักไม่มีใครบ้านอยู่เสมอ หลังจากฮเยซองชวนมีโฮไปเที่ยวเล่น
ที่บ้านระยะหนึ่ง ก็ไม่เคยออกปากชวนเธอไปเดตที่สวนสาธารณะหรือดูภาพยนตร์อีกเลย เวลาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ฮเยซอง
มักล้วงมือเข้าไปในเสื้อของมีโฮเป็นประจำ
ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งหนักข้อขึ้นจนข้ามไปสู่ในระดับที่อันตรายมากขึ้นอีก
8 ไส้กรอกชนิดหนึ่งของเกาหลี ส่วนผสมในไส้ทำจากเนื้อสัตว์บด ข้าวเหนียว วุ้นเส้น ผัก เลือด เป็นต้น
ครั้งแรกมีโฮปฏิเสธเสียงแข็ง ทว่าด้วยคำมั่นสัญญาของฮเยซองที่ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่เปลี่ยนใจจากเธอไป
ตลอด ทาให้มีโฮเริ่มใจอ่อน
ท้ายที่สุดในวันหนึ่งที่พ่อแม่ของฮเยซองไม่อยู่บ้าน ทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน
ความสัมพันธ์ที่เผลอไผลนั้นเกิดขึ้นโดยปราศจากการเตรียมตัว ทุกอย่างเป็นไปอย่างทุลักทุเล หลังจากนั้นฮเย
ซองหลับเป็นตาย ส่วนมีโฮร้องไห้เบาๆ อาบน้ำและทำความสะอาดฟูกที่เปื้อนเอง ความรู้สึกที่เหลืออยู่มีแค่ความเจ็บปวด
หลายวันหลังจากนั้น สภาพจิตใจของมีโฮว้าวุ่นอย่างหนัก
ในหัวมีสองความคิดตีกันไม่หยุด ใจหนึ่งบอกว่า ‘ก็แค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร สติแตกไปได้’ อีกใจบอกว่า
‘ทาไปเพื่ออะไร’ ในขณะที่มีโฮกำลังพะว้าพะวังใจ เซกยองก็มักพูดเป็นนัยๆ เสมอ
“นี่พวกเธอรู้ไหม เมื่อวานฉันไปเห็นอะไรมา”
หลังเลิกเรียน ระหว่างเดินกลับบ้าน จู่ๆ เซกยองก็เอ่ยถามทั้งสองขึ้น
“เห็นอะไรล่ะ”
ยูจินตอบขึ้นเอง เพราะมีโฮมัวแต่นึกเรื่องอื่นอยู่
“ฉันดันไปเห็นผู้ชายกับผู้หญิงกำลังมีอะไรกันอยู่ในรถที่ลานจอดของอพาร์ตเมนต์น่ะสิ”
เซกยองหัวเราะคิกคักคนเดียว ก่อนพูดขึ้นต่อ
“ทาแบบนี้เหมือนไม่ใช่มนุษย์เลย แต่เป็นสัตว์ที่กำลังติดสัดอยู่มากกว่า ร่วมเพศกันโดยไม่เกี่ยงสถานที่และเวลา
สกปรกโสมมที่สุด ตาของฉันที่เห็นเข้าพลอยจะเสียไปด้วย บ้ามากเลยใช่ไหมล่ะ กลางวันแสกๆ แถมยังในรถอีก”
ความรู้สึกหวาดเสียวแล่นผ่านต้นคอของมีโฮ
ทุกถ้อยคาของเซกยองราวกับหนามแหลมทิ่มแทงผิวหนังของมีโฮ หัวใจของเธอเต้นระรัวอย่างรุนแรง
“เมื่อกี้เธอแอบดูมือถือฉันใช่ไหม”
มีโฮถามอีกฝ่าย เธอพยายามเก็บอารมณ์ ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ตอนพักเที่ยง
เนื่องจากเซกยองใช้โควตาส่งข้อความฟรีในโทรศัพท์มือถือตัวเองหมดแล้ว เลยขอยืมของมีโฮไปใช้แทน ซึ่งในนั้น
มีข้อความของฮเยซองอยู่ด้วย มีโฮไม่ได้ตั้งค่าล็อกไว้
“คืออะไร ไปเกี่ยวอะไรกับมือถือของเธอ ฉันบอกว่าเห็นคนมีอะไรกัน”
“นั่นล่ะ ถึงถามว่าแอบดูมือถือฉันใช่ไหม”
“เปล่านี่ จะเห็นใครร่วมเพศกันรึไง”
จังหวะการเต้นของหัวใจมีโฮเร่งระรัว บางสิ่งบางอย่างที่กดเอาไว้ลึกสุดใจคล้ายจะพุ่งทะลักขึ้นมาถึงต้นคอ เธอ
หอบหายใจถี่ ปากสั่น ก่อนที่เซกยองจะเอ่ยขึ้นต่อ
“สกปรก โสมม…”
ความรู้สึกเย็นยะเยือกลามไปถึงไขสันหลัง
มีโฮอ่านสีหน้าของเซกยองไม่ออก ใบหน้านั้นแน่นิ่งราวกับปูนปลาสเตอร์สีขาว มุมปากทั้งสองเหยียดขึ้นน้อยๆ
ทว่าดวงตาไม่ยิ้มตาม เจือไปด้วยความเย็นชาและไร้ความรู้สึก
ในขณะที่มีโฮกำลังอึกอัก สับสนไปหมด ยูจินเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทน
“แล้วเธอไปแอบดูพวกเขาทำไม”
น ้าเสียงของยูจินบ่งบอกว่ากำลังตาหนิเซกยองอยู่
ตามปกติแล้วยูจินเป็นคนอ่อนโยนและใจเย็นมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ท่าทาง
ของยูจินที่เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้ ทาเอามีโฮกับเซกยองแปลกใจไปตามๆ กัน
“ก็มันเห็น เลยมองเข้าไป”
คาตอบห้วนๆ ของเซกยองฟังดูก้าวร้าวขึ้น
“คนที่แอบมองเข้าไปในรถต่างหากที่แปลก เธอเป็นพวกชอบบถ ้ามองรึไง”
“โอยูจิน เธอกำลังโกรธอะไรเนี่ย”
“ขอร้องล่ะ อย่าสนใจเรื่องคนอื่นนักเลย เอาตัวเองให้รอดก่อน”
“นี่! เธอหมายความว่าไงยะ กำลังหาเรื่องฉันอยู่ใช่ไหม”
แล้วยูจินกับเซกยองก็เถียงกันเสียงดังพักใหญ่
มีโฮพยายามห้ามปราม แยกเพื่อนทั้งสองออกจากกัน ทว่าท้ายที่สุดทั้งคู่ต่างแผดเสียงร้องไห้ขึ้น มีโฮทาอะไรไม่
ถูก ที่จู่ๆ เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้
เธอพาทั้งสองที่ยืนกรานว่าจะกลับบ้านไปที่ร้านแมคโดนัลด์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้คืนดีกัน ยอมจ่ายเงินซื้อเบอร์เกอร์
มาสามชุด แม้ยูจินกับเซกยองจะยังไม่หายโกรธกัน แต่ก็กินเบอร์เกอร์ทั้งสองชิ้นจนเกลี้ยง
ตอนนั้นเองมีข้อความส่งมาจากฮเยซองถามว่าอยู่ที่ไหน มีโฮตอบว่าแมคโดนัลด์
ฮเยซองบอกว่าเขาอยู่แถวนั้นจะแวะมาหา เธอรีบปฏิเสธทันควัน ทว่าพักหนึ่งก็มีเสียงเรียกชื่อมีโฮดังขึ้น พอหัน
กลับไปดู มีโฮก็เห็นฮเยซองกำลังยิ้มกว้างเดินตรงมาหา
ร่างกายของเธอแข็งทื่อ ไม่อยากให้ยูจินกับเซกยองเห็นตอนที่ตัวเองอยู่กับฮเยซองเลย
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คงเป็นตอนที่ยังเด็กมาก มีโฮเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า หน้าตามันจะฟ้องถ้ามีอะไรกันแล้ว พวก
เขาถึงมองออกในทันทีว่า ใครมีอะไรกันแล้วหรือว่ายังไม่มี แน่นอนว่ามันก็แค่คำพูดที่แต่งขึ้นเพื่อฝังหัวให้เด็กๆ หวาดกลัว
เรื่องเพศสัมพันธ์
ทว่าตอนนี้มีโฮกลับกลัวขึ้นมาจริงๆ ราวกับบนหน้าผากมีป้ายสลักอยู่ สีหน้าของยูจินกับเซกยองยามมองมาที่เธอ
กับฮเยซองคล้ายเก็บงำความคิดบางอย่างไว้
ฮเยซองยิ้มสดใสนั่งลงข้างเธอ เขาเอ่ยทักทายทั้งสองทั่วไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มานั่งรวมอยู่ในกลุ่ม
ด้วยความที่ฮเยซองเป็นคนร่าเริงและชวนคุยเก่ง ยูจินกับเซกยองจึงจาใจต้องฝืนคืนดีกันไปโดยปริยาย
เช่นเดียวกับมีโฮที่ต้องข่มใจฝืนยิ้มขึ้นตาม มือของฮเยซองใต้โต๊ะเขยิบเข้ามาใกล้ต้นขาเธอบ่อยๆ มีโฮพยายาม
ปัดมือนั้นออก ทว่าสุดท้ายมือของฮเยซองก็สอดเข้ามาในกระโปรงลูบไล้ขาอ่อนเธอจนได้ มีโฮรีบดึงมือของเขาออกจากต้น
ขาตัวเอง ทันใดนั้นสายตาของยูจินหลุบมองลงใต้โต๊ะพอดี
มีโฮกับยูจินกระอักกระอ่วนยิ้มให้กัน
ถ้าไม่ใช่เพราะอารมณ์ที่ขึ้นลงไปมาเหมือนยามเล่นไม้กระดานหก มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง
ไม่หรอก เธอคิดว่าวันเป็นแค่วันธรรมดาจริงๆ
โดยไม่รู้เลยว่า
วันนั้นจะเป็นบ่อเกิดแห่งโศกนาฏกรรมทั้งหมด
เป็นวันที่ทั้งสามขึ้นขบวนรถไฟไปสู่หายนะ
ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับสมบูรณ์