[ทดลองอ่าน] THE WITCHER III ล้างบาปด้วยเปลวไฟ BAPTISM OF FIRE / เเพรวสำนักพิมพ์

THE WITCHER III ล้างบาปด้วยเปลวไฟ BAPTISM OF FIRE

Andrzej Sapkowski เขียน

ธนพร ภู่ทอง แปล

ติดตามการวางจำหน่ายได้ที่เพจ แพรวสำนักพิมพ์

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 


 

กระนั้นแล้ว ผู้ทำนายจึงได้กล่าวกับวิทเชอร์ว่า “ข้าจะขอให้คำแนะนำเจ้าดังต่อไปนี้ จงสวมรองเท้าบู๊ตพื้นตอกตะปูและถือคทาเหล็กไว้ให้มั่น แล้วจงสวมรองเท้าคู่นั้นเดินทางไปจนสุดขอบโลก จงใช้คทาในมือเจ้าเคาะลงไปบนถนนเบื้องหน้า พลางปล่อยให้หยาดน้ำตาหลั่งริน จงข้ามผ่านเปลวไฟและสายน้ำ อย่าได้คิดหยุด อย่าได้เหลียวหลังกลับมา และเมื่อรองเท้าของเจ้าเก่าขาด เมื่อคทาในมือเจ้าชำรุดผุพัง เมื่อดวงตะวันและสายลมทำให้ดวงตาของเจ้าแห้งเหือดจนมิอาจหลั่งน้ำตาได้อีก เมื่อนั้น เจ้าอาจจะได้พบกับสิ่งที่เจ้าตามหา ได้พบสิ่งกับที่เจ้ารัก ณ ปลายสุดขอบโลก”

 และวิทเชอร์ผู้นั้นก็ได้ก้าวข้ามผ่านเปลวไฟและสายน้ำไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก ทว่าเขากลับไม่ได้นำรองเท้าบู๊ตพื้นตอกตะปูหรือคทาติดมือไปด้วย สิ่งที่เขานำติดตัวไปมีเพียงดาบของวิทเชอร์ เขาไม่เชื่อฟังคำทำนายของผู้พยากรณ์ ซึ่งก็ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว เนื่องจากนางเป็นสตรีที่ชั่วร้ายยิ่งนัก

– ตำนานและนิทานปรัมปรา โดย โฟลเรนส์ เดลานนอย

 

 

บทที่หนึ่ง

 

หมู่มวลวิหคส่งเสียงร้องลั่นอยู่ในดงกอไม้เตี้ย

พื้นที่ลาดเอียงบริเวณลำห้วยปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้หนามีหนามและพุ่มต้นบาร์เบอร์รียุ่งเหยิง นับเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การทำรังและการหากินเป็นอย่างยิ่ง มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เนื่องจากบริเวณนี้มีนกอาศัยอยู่คับคั่ง ทั้งนกกรีนฟินช์ที่ร้องระรัวลั่น นกเรดโพลและนกกระจิบที่หวีดร้องเสียงแหลม และนกแชฟฟินช์ที่ร้อง ‘จิ๊บ จิ๊บ’ เป็นครั้งคราว เสียงร้องของนกแชฟฟินช์สื่อถึงฝน มิลวาคิดขณะแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า บนฟ้าไม่มีเมฆ แต่เสียงร้องของนกแชฟฟินช์มักเป็นสัญญาณเตือนถึงสายฝน ถ้าฝนตกสักหน่อยก็คงจะดี

บริเวณฝั่งตรงข้ามปากเหวเช่นนี้นับเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การออกล่าอย่างยิ่ง เพราะโอกาสในการสังหารเหยื่อนั้นมีอยู่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะภายในป่าโบรคิลอนซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่แห่งนี้ เหล่านางไม้ที่เป็นผู้ปกครองผืนป่าอันกว้างใหญ่มักไม่ค่อยออกล่า อีกทั้งมนุษย์ที่หาญกล้าบุกบั่นเข้ามายังมีน้อยยิ่งกว่า เพราะ ณ ที่แห่งนี้ ผู้ล่าที่กระหายอยากในเนื้อหนังมังสาอาจกลายเป็นผู้ถูกล่าเสียเอง เหล่านางไม้แห่งป่าโบรคิลอนไม่เคยปรานีผู้บุกรุกหน้าไหน มิลวาเองก็เคยประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้นมาด้วยตนเองแล้ว

จริงอยู่ที่ป่าโบรคิลอนมีสัตว์ป่าให้ล่าไม่เคยขาด ทว่าแม้จะเฝ้ารออยู่ท่ามกลางพุ่มไม้หนามานับสองชั่วโมงเต็ม มิลวาก็ยังไม่เห็นสัตว์ตัวใดผ่านคลองจักษุของนางไปแม้แต่ตัวเดียว นางไม่อาจล่าเหยื่อขณะเคลื่อนไหวไปด้วยได้ เนื่องจากความแห้งแล้งที่กินเวลานานกว่าหนึ่งเดือนได้เปลี่ยนผืนดินในป่าให้เต็มไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้แห้ง ซึ่งจะส่งเสียงกรอบแกรบและแตกหักในทุกก้าวย่าง ในสถานการณ์แบบนี้ มีเพียงการยืนอยู่เฉยๆ และหลบซ่อนให้พ้นตาเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและรางวัลในตอนท้าย

ผีเสื้อพลเรือเอกตัวหนึ่งบินร่อนลงมาเกาะร่องพาดศรบนธนูของนาง มิลวาไม่ได้ไล่มันไป แต่กลับจ้องมองมันกระพือปีกอ้าๆ หุบๆ นางจ้องมองคันศรของนาง มันเป็นอาวุธชิ้นใหม่ที่นางยังชื่นชมได้ไม่รู้เบื่อ นางเป็นนักธนูมือฉกาจ และชื่นชอบอาวุธดีๆ เป็นอย่างมาก แถมคันศรที่นางกำลังถืออยู่นี้ก็เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าอาวุธอื่นใด

มิลวาเคยครอบครองธนูมาหลายคันแล้วในชีวิตของนาง นางเคยเรียนรู้วิธีการแผลงศรด้วยธนูไม้แอชและไม้สนยิวแบบธรรมดาทั่วไป แต่ไม่นานก็เปลี่ยนใจหันมาใช้ธนูสะท้อนวัสดุผสมที่เหล่าเอลฟ์และนางไม้นิยมใช้กัน ธนูของเหล่าเอลฟ์นั้นจะสั้นกว่า เบากว่า ใช้งานได้ง่ายกว่า และด้วยความที่องค์ประกอบหลายอย่างของธนูชนิดนี้สร้างขึ้นมาจากแผ่นไม้บางๆ และเส้นเอ็นของสัตว์ มันจึง ‘ว่องไว’ กว่าธนูไม้สนยิวมาก นอกจากนี้ลูกศรที่แผลงออกมาจากธนูประเภทนี้ยังเข้าถึงตัวเป้าหมายได้ว่องไวกว่าและมีวิถีที่ค่อนข้างตรง ทำให้โอกาสที่จะถูกสายลมเบี่ยงเบนเส้นทางนั้นมีอยู่ค่อนข้างน้อย ตัวอย่างอาวุธที่ดีที่สุดซึ่งจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้มีชื่อเรียกในภาษาเอลฟ์ว่า เซฟฟาร์ เนื่องจากมันมีรูปร่างโค้งงอลงมาคล้ายกับอักษรรูนที่มีชื่อเดียวกัน มิลวาใช้ธนูประเภทนี้มาหลายปีแล้ว และจนป่านนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีธนูชนิดไหนเลิศเลอไปกว่าธนูประเภทนี้อีก

ทว่าในที่สุด นางก็พบธนูที่ดียิ่งกว่า แน่นอนว่าสถานที่ดังว่าย่อมเป็นตลาดริมทะเลในซิดาริสซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการจำหน่ายสินค้าหายากและแปลกประหลาดที่เหล่ากะลาสีสรรหามาจากทั่วทุกมุมโลก เท่าที่เรือรบหรือเรือใบใหญ่จะไปถึง เมื่อใดที่มีโอกาส มิลวาจะแวะไปเยี่ยมชมตลาดและเฝ้ามองหาธนูแปลกตา นางเคยซื้อธนูมาจากที่แห่งนี้ เป็นธนูที่นางคิดว่าจะใช้ติดมือไปอีกนับหลายปี นางเคยคิดว่าธนูเซฟฟาร์จากเซอร์ริคาเนียที่ได้รับการเสริมให้แกร่งขึ้นด้วยเขาของละมั่งขัดนั้นเป็นธนูที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว แต่ก็คิดได้เพียงปีเดียว เพราะในสิบสองเดือนต่อมา นางกลับได้พบกับความงดงามที่หาได้ยากยิ่ง ณ แผงขายของแห่งเดิมที่ครอบครองโดยพ่อค้าคนเดิม

ธนูคันนั้นมาจากแดนเหนืออันแสนไกล มันมีขนาดราวๆ ห้าฟุตกว่า ทำจากไม้มะฮอกกานี มีคันธนูที่ได้สมดุล และปีกธนูเนื้อลามิเนตแบนราบซึ่งสร้างขึ้นมาจากการนำแผ่นไม้เนื้อดีหลายๆ ชั้น เส้นเอ็นต้ม และกระดูกวาฬมาเชื่อมติดกัน ธนูเล่มนี้มีโครงสร้างและราคาแตกต่างจากธนูวัสดุผสมอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของมิลวาได้เป็นพิเศษ ยิ่งเมื่อได้ลองหยิบมันขึ้นมาและพลิกไปรอบๆ นางก็ยินยอมจ่ายเงินในราคาที่ผู้ขายเรียกร้องเป็นจำนวนสี่ร้อยเหรียญโนวิแกรดโดยไม่ลังเลหรือต่อรอง ตามปกติแล้วหญิงสาวไม่มีเงินติดตัวมากขนาดนั้น นางจึงยอมแลกมันกับธนูเซฟฟาร์จากเซอร์ริคาเนีย หนังตัวเซเบิลอีกจำนวนหนึ่ง เหรียญตราของเผ่าเอลฟ์อันงดงาม รวมถึงจี้หินปะการังที่ห้อยอยู่บนสร้อยไข่มุกน้ำจืดอีกหนึ่งเส้น

แต่นางกลับไม่นึกเสียดาย ไม่เคยนึกเสียดายเลย เนื่องจากธนูคันที่ว่าทั้งเบา เรียบง่าย และยิงได้แม่นยำเหมือนจับวาง แม้มันจะไม่ได้ยาวมาก แต่ปีกธนูที่สร้างจากไม้ลามิเนตและเส้นเอ็นสัตว์กลับมีแรงดีดมหาศาล ยิ่งเมื่อผนวกกับสายธนูที่สร้างขึ้นจากเส้นไหมและปอซึ่งขึงอยู่ระหว่างปีกธนูอันโค้งงอได้รูปแล้ว มันจะมีแรงส่งสูงถึงห้าสิบปอนด์หากขึงสายธนูออกจนได้ระยะยี่สิบสี่นิ้ว จริงอยู่ที่ยังมีธนูที่สร้างแรงส่งได้สูงถึงแปดสิบปอนด์ แต่มิลวากลับมองว่ามันเกินความจำเป็น แค่ลูกศรที่แผลงออกมาจากธนูกระดูกวาฬคันนี้ก็พุ่งไปได้ไกลถึงสองร้อยฟุตภายในสองชั่วอึดใจแล้ว อีกทั้งภายในระยะหนึ่งร้อยก้าว มันยังมีความรุนแรงจนสามารถเสียบปักกวางตัวผู้ได้ และจะทะลุผ่านตัวมนุษย์ที่ไม่ได้สวมเกราะไปได้ในทันที ซึ่งมิลวาเองก็ไม่ค่อยได้ล่าสัตว์ตัวใหญ่กว่ากวางแดงหรือมนุษย์ที่สวมเกราะหนาอยู่แล้ว

ผีเสื้อบินจากไป หมู่นกแชฟฟินช์ยังคงส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวท่ามกลางแมกไม้เตี้ย และหญิงสาวก็ยังคงมองไม่เห็นสัตว์ตัวใดพุ่งผ่านคลองจักษุไป มิลวาเอนตัวพิงลำต้นสนไพน์ และเริ่มคิดย้อนความเป็นการฆ่าเวลา

 

นางได้พบกับวิทเชอร์ผู้นั้นเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม สองสัปดาห์หลังเหตุการณ์บนเกาะธาเนดด์และสงครามที่ปะทุขึ้นที่โดลแองกรา ตอนนั้นเป็นตอนที่มิลวาหวนกลับมายังป่าโบรคิลอนหลังจากหายหน้าไปสองสัปดาห์ นางกำลังช่วยนำทางให้กองกำลังสกอยาเทล[1]ที่หลงเหลือมาจากการถูกกวาดล้างในเทเมเรียขณะพยายามบุกเข้าไปในดินแดนเอเดิร์นอันพลุกพล่านด้วยไฟสงคราม เป้าหมายของกระรอกกลุ่มนี้คือการไปเข้าร่วมศึกจลาจลที่ก่อขึ้นโดยเหล่าเอลฟ์แห่งโดลบลาธานนา แต่พวกเขากลับพลาดท่า และคงจะถูกกวาดล้างจนสิ้นหากไม่ใช่เพราะมิลวา แต่พวกเขาก็ได้พบนาง และได้ร่วมลี้ภัยอยู่ภายในป่าโบรคิลอน

ทันทีที่นางมาถึง นางก็ได้รับแจ้งว่าอาไกลส์ต้องการให้นางไปที่โคลเซอร์ไรโดยด่วน มิลวาถึงกับผงะไปเล็กน้อย เนื่องจากอาไกลส์นั้นเป็นถึงหัวหน้าคณะผู้รักษาแห่งโบรคิลอน อีกทั้งหุบเขาลึกโคลเซอร์ไรซึ่งเต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนและโพรงถ้ำมากมายนั้นใช้เป็นสถานที่สำหรับให้การรักษาอยู่บ่อยครั้ง

แต่นางก็ตอบรับคำขอนั้น เมื่อได้รู้ว่าปัญหานี้มีความเกี่ยวข้องกับเอลฟ์ตนหนึ่งที่ได้รับการรักษาแล้ว และต้องการให้นางช่วยหาทางติดต่อกับหน่วยรบของเขาอีกครั้ง ทว่าเมื่อได้เห็นวิทเชอร์ผู้บาดเจ็บและได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด นางก็นึกฉุนขึ้นมาทันที นางวิ่งหน้าตั้งออกจากถ้ำจนผมเผ้าปลิวสะบัด เพื่อกลับมาระเบิดโทสะใส่อาไกลส์

“เขาเห็นข้าแล้ว! เขาเห็นหน้าข้า! เจ้ารู้ไหมว่านั่นทำให้ข้าเสี่ยงแค่ไหน”

“ไม่ ข้าไม่รู้” ผู้รักษาเอ่ยตอบเสียงเย็น “คนผู้นั้นคือกวินเบลดด์ หรือวิทเชอร์ มิตรสหายแห่งโบรคิลอน เขาอยู่ที่นี่มาสองสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่คืนเดือนมืดและคงจะอีกสักพักกว่าเขาจะลุกขึ้นเดินเหินได้ตามปกติ เขาปรารถนาข่าวคราวจากโลกภายนอก ข่าวคราวเกี่ยวกับผู้คนที่ใกล้ชิดกับเขา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จัดส่งให้เขาได้”

“ข่าวคราวจากโลกภายนอกรึ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง นางไม้เอ๋ย เจ้ารู้ไหมว่าเบื้องหลังชายป่าอันสงบสุขของพวกเจ้า บัดนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง สงครามกำลังปะทุขึ้นในเอเดิร์น! บรูจจ์ เทเมเรีย และเรดาเนียถูกทำลายจนกลายเป็นซาก กลายเป็นนรกและทุ่งสังหาร! ผู้ที่เคยสนับสนุนเหตุกบฏบนเกาะธาเนดด์ถูกตามล่าไปทั่วทุกซอกทุกมุม! มีสายลับและอันจิวาเร – สายข่าว – อยู่ทุกหนแห่ง เพียงแค่เผลอหลุดปากไปคำเดียว หรือเผลอเบ้ปากผิดที่ผิดเวลา เจ้าได้โดนเหล็กร้อนๆ ของเพชฌฆาตในตารางนาบเข้าให้เป็นแน่! แล้วเจ้ายังจะให้ข้าคอยย่องไปสืบข่าว ถามโน่นถามนี่ รวบรวมข้อมูล และเอาชีวิตเข้าเสี่ยงอีกหรือ เพื่อใครกัน เพื่อวิทเชอร์ไร้หัวนอนปลายเท้าที่กำลังจะตายมิตายแหล่รึ เขาเป็นอะไรกับข้า เป็นบุตรข้ารึไง ท่านต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ อาไกลส์”

“ถ้าเจ้าอยากตะโกน” นางไม้เอ่ยขัดเสียงเรียบ “ก็เข้าไปในป่าให้ลึกกว่านี้หน่อยเถิด ชายผู้นั้นต้องการความเงียบสงบ”

มิลวาเหลือบมองปากถ้ำที่นางเพิ่งจะมองเห็นวิทเชอร์บาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นชายที่กำยำไม่เบา นางคิด แม้จะผอม แต่ก็ดูแข็งแรงดี…ผมของเขาเป็นสีขาว แต่หน้าท้องยังแบนราบเหมือนคนหนุ่ม แสดงว่าเขาคงมีชีวิตที่ยากลำบาก ไม่ใช่ชีวิตที่อู้ฟู่สุขสบาย…

“เขาเคยอยู่ที่ธาเนดด์ด้วยนี่” นางกล่าวโดยไม่ใช้ประโยคคำถาม “เขาเป็นพวกกบฏ”

“ข้าไม่ทราบเรื่องนั้นหรอก” อาไกลส์เอ่ยขณะยักไหล่ “เขาบาดเจ็บ และต้องการความช่วยเหลือ ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าไม่สนใจ”

มิลวานึกรำคาญ เป็นที่รู้กันดีว่าผู้รักษานางนี้เป็นคนพูดน้อย แต่ตัวมิลวาเองก็เคยได้ยินข่าวคราวอันน่าตื่นเต้นจากเหล่านางไม้ที่ชายแดนทางทิศตะวันออกของป่าโบรคิลอนแล้ว นางจึงทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนดี ทั้งเรื่องราวของจอมเวทหญิงผมสีเกาลัดที่ปรากฏกายขึ้นในป่าโบรคิลอนพร้อมพลังเวทอันเดือดพล่าน ทั้งเรื่องชายพิการแขนขาหักที่นางลากตัวมาด้วย ชายพิการที่แท้ที่จริงแล้วคือวิทเชอร์ หรือที่เหล่านางไม้รู้จักกันในนามกวินเบลดด์ หมาป่าสีขาว

หากตามคำบอกเล่าของเหล่านางไม้แล้ว ในยามแรกเริ่มนั้น ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรดี เพราะวิทเชอร์พิกลพิการผู้นี้จะเอาแต่กรีดร้องสลับกับหมดสติไป ในขณะที่อาไกลส์คอยตบแต่งผ้าพันแผลชั่วคราวให้เขา ส่วนจอมเวทหญิงก็เอาแต่สาปแช่งและร่ำไห้ไม่หยุด มิลวาไม่เชื่อคำบอกเล่านั้นแม้แต่น้อย อย่างกับว่ามีใครเคยเห็นจอมเวทร่ำไห้อย่างนั้นแหละ และต่อมา พวกนางก็ได้รับคำสั่งมาจากดูเอนคาเนลล์ จากเอธเน เนตรเงิน นายหญิงแห่งโบรคิลอนว่าจงขับไล่จอมเวทหญิงออกไปเสีย ผู้ปกครองผืนป่าแห่งนางไม้กล่าว และจงดูแลรักษาวิทเชอร์ให้ดี

พวกนางจึงทำตามคำสั่งดังว่า มิลวาได้เห็นกับตาตนเอง วิทเชอร์ผู้นั้นกำลังเอนกายอยู่ในถ้ำ ภายในโพรงลึกซึ่งเต็มไปด้วยสายน้ำจากน้ำพุเวทมนตร์แห่งโบรคิลอน แขนขาที่ถูกเข้าเฝือกและดึงค้ำไว้ถูกห่อหุ้มเป็นชั้นหนาๆ ด้วยพืชไม้เลื้อยที่มีคุณสมบัติในการรักษาอย่างโคนินเฮลา[2] และหญ้านิตโบน[3] เส้นผมของเขามีสีขาวราวน้ำนม แต่ที่น่าแปลกใจก็คือเขายังคงมีสติอยู่ ผิดกับผู้คนที่ผ่านการรักษาด้วยการใช้โคนินเฮลาซึ่งมักจะนอนแผ่อยู่เฉยๆ และเพ้อพกพรรณนาราวต้องมนตร์…

“แล้วตกลง” น้ำเสียงไร้อารมณ์ของผู้รักษาดึงสตินางกลับมาอีกครั้ง “เจ้าจะทำอย่างไร จะให้ข้าบอกเขาอย่างไรดี”

“บอกให้เขาไปลงนรกซะ” มิลวาสะบัดเสียงพลางดึงเข็มขัดของตนที่มีกระเป๋าใส่เงินหนักอึ้งและมีดล่าสัตว์ห้อยอยู่ “เจ้าเองก็เช่นกัน อาไกลส์”

“ตามใจ ข้าจะไม่บังคับเจ้า”

“เจ้าพูดถูก เจ้าบังคับข้าไม่ได้อยู่แล้ว”

นางสาวเท้าตรงดิ่งเข้าไปในป่าท่ามกลางต้นสนไพน์ที่กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ และไม่หันหลังกลับมามองอีก นางกำลังโกรธ

เนื่องจากเหล่าสกอยาเทลมักจะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น มิลวาจึงทราบดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบนเกาะธาเนดด์บ้างในคืนเดือนมืดแรกของเดือนกรกฎาคม เกิดเหตุกบฏขึ้นระหว่างการประชุมลับของเหล่าจอมเวทบนเกาะแห่งนั้น เกิดการหลั่งเลือด และหัวมากมายต้องหลุดออกจากบ่า มิหนำซ้ำกองทัพของนิล์ฟการ์ดยังบุกจู่โจมเอเดิร์นและลิเรียจนก่อกำเนิดเป็นสงครามราวกับได้รับสัญญาณ และยังมีการกล่าวโทษกลุ่มกระรอกว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทเมเรีย เรดาเนีย และเคดเวน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน่วยรบของสกอยาเทลนั้นได้ให้ความช่วยเหลือเหล่าจอมเวทกบฏบนเกาะธาเนดด์ตามที่มีการคาดหมายไว้ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการคาดเดาไว้ว่าผู้ที่ลงมือสังหารวิซิเมียร์ ราชาแห่งเรดาเนียนั้น หากไม่ใช่เอลฟ์ก็ต้องเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ ดังนั้นเหล่ามนุษย์ที่กำลังเดือดจัดจึงเที่ยวออกตามล่าเหล่ากระรอกด้วยความอาฆาต ก่อเกิดเป็นการปะทะทั่วทุกหนแห่งจนสายเลือดแห่งเอลฟ์เจิ่งนองไปทั่วนที…

นั่นสินะ มิลวาคิด บางทีเรื่องที่พวกนักบวชพูดอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ จุดจบของโลกและวันแห่งการตัดสินอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทั่วโลกกำลังลุกไหม้ มนุษย์ทั้งหลายไม่เพียงแต่ออกล่าเอลฟ์ แต่ยังล่ามนุษย์กันเองด้วย พี่น้องต่างหันคมมีดเข้าใส่กัน…แม้กระทั่งวิทเชอร์ยังสอดมือเข้ามายุ่งกับการเมือง…และเข้าร่วมการก่อกบฏ ทั้งที่พวกวิทเชอร์ควรจะออกไปท่องโลกเพื่อสังหารเหล่าอสูรที่ปองร้ายมนุษย์แท้ๆ! เท่าที่จำความได้ ไม่เคยมีวิทเชอร์คนใดสอดมือมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือสงครามมาก่อน ถึงขั้นมีนิทานที่เล่าขานถึงราชาผู้โง่เขลาที่ใส่น้ำไว้ในตะแกรง ใช้กระต่ายเป็นสัตว์ส่งสาร และแต่งตั้งวิทเชอร์เป็นขุนนาง แต่ตอนนี้เรากลับได้เจอวิทเชอร์ที่มีส่วนพัวพันกับเหตุกบฏต่อต้านเหล่ากษัตริย์ และถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนีโทษทัณฑ์มายังป่าโบรคิลอน บางทีโลกนี้อาจจะถึงกาลอวสานแล้วจริงๆ ก็ได้!

“สวัสดี มาเรีย”

หญิงสาวสะดุ้ง นางไม้ร่างเตี้ยที่เอนร่างพิงต้นสนไพน์อยู่นั้นมีดวงตาและเส้นผมสีเงิน แสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังสิ้นแสงทำให้ศีรษะของนางดูราวกำลังเปล่งรัศมีตัดกับกำแพงต้นไม้หลากสีเบื้องหลัง มิลวาทรุดเข่าลงข้างหนึ่งแล้วก้มหัวลงต่ำ

“ข้าขอกล่าวคำทักทาย ท่านหญิงเอธเน”

ผู้ปกครองแห่งโบรคิลอนเสียบมีดสีทองรูปจันทร์เสี้ยวเล่มเล็กเข้าไปในสายคาดใยเปลือกไม้

“ลุกขึ้นเถิด” นางว่า “มากับข้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

ทั้งสองเดินผ่านผืนป่าอันมืดสลัวไปด้วยกันเนิ่นนาน ทั้งนางไม้ผมเงินผู้แบบบางและสาวน้อยร่างสูงผมสีอ่อน ครู่ใหญ่ทีเดียวที่ไม่มีใครเอ่ยทำลายความเงียบ

“นานแล้วนะมาเรีย ที่เจ้าไม่ได้มาที่ดูเอนคาเนลล์”

“ข้าไม่มีเวลาเลย ท่านหญิงเอธเน ดูเอนคาเนลล์อยู่ห่างจากแม่น้ำริบบอนมาก และข้า…ท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่”

“ถูกต้อง เจ้าเหนื่อยหรือไม่”

“พวกเอลฟ์ต้องการความช่วยเหลือของข้า และข้าก็ช่วยพวกเขาตามที่ท่านสั่ง”

“ตามที่ข้าขอต่างหาก”

“นั่นแหละ ตามที่ท่านขอ”

“และข้าก็มีคำขอจะไหว้วานเจ้าอีกครั้ง”

“ว่าแล้วเชียว เรื่องวิทเชอร์หรือ”

“จงช่วยเขา”

มิลวาหยุดเดินและหันหลังกลับมา มือหักกิ่งต้นสายน้ำผึ้งที่ยื่นออกมาอย่างว่องไว นางใช้นิ้วพลิกมันไปมา ก่อนจะปามันลงบนพื้น

“กว่าครึ่งปีแล้ว” นางเอ่ยเสียงแผ่วขณะจ้องมองดวงตาสีเงินของนางไม้ “ที่ข้ายอมเสี่ยงชีวิตนำทางเหล่าเอลฟ์จากหน่วยรบอันย่อยยับมายังป่าโบรคิลอน…กระทั่งเมื่อคนเหล่านั้นได้พักฟื้นและหายจากอาการบาดเจ็บ ข้าก็จะพาพวกเขากลับออกไปอีกครั้ง…ทั้งหมดนี่ยังน้อยไปหรือ ยังไม่มากพออีกหรือไร ทุกๆ คืนเดือนมืด ข้าต้องออกเดินทางฝ่าความมืดไปตามทางทุกครั้ง ถึงขั้นที่ข้าเองก็เริ่มจะกลัวดวงตะวันเช่นเดียวกับพวกค้างคาวหรือนกฮูกแล้ว…”

“ไม่มีผู้ใดรู้จักเส้นทางในป่านี้ดีไปกว่าเจ้า”

“แต่ข้าก็สืบข่าวอะไรจากกลางป่าดงพงไพรไม่ได้อยู่ดี ข้าได้ยินมาว่าวิทเชอร์นั่นต้องการให้ข้ารวบรวมข่าวสารโดยการออกไปแฝงตัวกับมนุษย์อื่นๆ แต่เขาเป็นกบฏนะ พวกอันจิวาเรจะหูผึ่งกันทันทีที่ได้ยินชื่อเขา ข้าจำต้องปกปิดตัวตนให้มิดชิดยามอยู่ในเมือง และถ้าเกิดบังเอิญมีใครจำข้าได้เล่า ข้ายังจำเรื่องเหล่านั้นได้ไม่ลืม แถมเลือดพวกนั้นก็ยังไม่ทันแห้งดี…เพราะเลือดเหล่านั้นมีปริมาณมหาศาลยิ่งนัก ท่านหญิงเอธเน”

“มหาศาล” นางไม้ชราเจ้าของดวงตาสีเงินมีท่าทีแปลกไป ดูเย็นชา และยากจะเข้าถึง “มหาศาลมากจริงๆ”

“หากมีใครจำข้าได้ พวกนั้นได้จับข้าเสียบประจานแน่”

“เจ้าเป็นคนระมัดระวัง เจ้ามักรอบคอบและตื่นตัวอยู่เสมอ”

“แต่หากจะรวบรวมข่าวคราวตามที่วิทเชอร์นั่นขอ ข้าก็จำเป็นต้องสลัดความรอบคอบนั่นทิ้งไป ข้าจำเป็นต้องเอ่ยถามผู้คน และการแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาในเวลานี้ก็อันตรายมาก หากพวกนั้นจับตัวข้าได้—”

“เจ้ามีเส้นสายอยู่นี่”

“พวกนั้นจะทรมานข้าจนกว่าข้าจะตาย ไม่ก็เอาข้าไปบดจนป่นเป็นผงที่ดราเคนบอร์ก—”

“แต่เจ้าติดหนี้ข้าอยู่”

มิลวาหันหน้าหนีและขบริมฝีปาก

“ก็จริง” นางเอ่ยอย่างขื่นขม “ข้ายังไม่ลืมหรอก”

หญิงสาวหรี่ตา ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว ซี่ฟันขบกันแน่น ความทรงจำยังเลือนรางอยู่หลังเปลือกตา ภาพของแสงจันทร์อันน่าหวาดผวาในค่ำคืนนั้น จู่ๆ ความเจ็บปวดที่ข้อเท้าของนางก็หวนกลับมา ข้อเท้าที่ถูกมัดไว้ด้วยบ่วงหนังแน่นหนา และยังมีความเจ็บปวดตรงข้อต่อที่ถูกบิดรั้งอย่างรุนแรง นางได้ยินเสียงใบไม้พลิ้วไหวขณะต้นไม้ตั้งตรงดิ่งขึ้นโดยพลัน…นางได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงครวญครางของตนเอง ได้สัมผัสความสิ้นหวัง ความหวาดผวา การดิ้นรนขัดขืนอย่างตื่นกลัว และความกลัวที่แผ่ขยายไปทั่วร่างยามที่ตระหนักได้ว่านางไม่อาจสลัดร่างออกไปได้…เสียงร่ำร้องและความหวาดกลัว เส้นเชือกลั่นเอี๊ยด เงามืดที่กระเพื่อมไหวเป็นระลอก พื้นปฐพีและท้องนภาที่พลิกกลับด้านและเหวี่ยงไปมาอย่างผิดธรรมชาติ ต้นไม้ที่พลิกเอายอดไม้ทิ่มลง ความเจ็บปวด หยาดเลือดที่บีบอัดอยู่ตรงขมับ…

และในยามรุ่งอรุณ เหล่านางไม้ต่างรายล้อมอยู่รอบตัวนางเป็นวงกลม…เสียงสรวลดังกังวานแว่วมาจากสถานที่ที่ไกลแสนไกล…เจ้าตุ๊กตาชักใยนี่! แกว่งซ้าย แกว่งขวา เจ้าหุ่นกระบอกเอ๋ย หัวเล็กๆ ห้อยลงมา…นางได้ยินเสียงร่ำร้องตะกุกตะกักผิดธรรมชาติของตนเอง ตามมาด้วยความมืดมิด

“ใช่แล้ว ข้าติดหนี้ท่าน” นางเอ่ยผ่านซี่ฟันที่ขบเข้าหากัน “นั่นสินะ ก็ข้าเป็นคนหัวห้อยที่ถูกปลดลงมาจากบ่วง ต่อให้ใช้ทั้งชีวิต ข้าก็คงไม่มีวันใช้หนี้ที่ว่าได้หมดอยู่ดี”

“ทุกคนล้วนมีหนี้เป็นของตนเอง” เอธเนตอบ “ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มาเรีย บาร์ริง ชีวิตน่ะเต็มไปด้วยหนี้สิน ภาระหน้าที่ ข้อผูกมัด บุญคุณ ค่าตอบแทน…และการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อผู้อื่น หรือบางทีอาจจะเพื่อตัวเราเองก็ได้ เพราะแท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่เราต้องชดใช้ให้ก็คือตัวเราเอง ไม่ใช่ผู้อื่น ทุกครั้งที่เราติดหนี้ ผู้ที่เราจ่ายค่าตอบแทนให้ก็คือตัวของเรา เราทุกคนล้วนมีทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้อยู่ในตัว เราต่างเกิดมาบนโลกนี้ในฐานะเศษเสี้ยวเล็กๆ ของชีวิตที่เราได้รับมา และนับแต่นั้น เราก็คอยชดใช้หนี้ชีวิตนั้นมาโดยตลอด ต้องชดใช้หนี้ให้ตัวเราเอง เพื่อตัวเราเอง เพื่อที่หนี้ชีวิตสุดท้ายจะได้หมดสิ้นไปเสียที”

“ท่านหญิงเอธเน มนุษย์ผู้นี้สำคัญกับท่านมากเลยหรือ วิทเชอร์…วิทเชอร์คนนั้นน่ะ”

“ใช่แล้ว แม้เขาจะไม่ทราบเรื่องนี้ก็ตามที จงกลับไปที่โคลเซอร์ไรเสีย มาเรีย บาร์ริง จงกลับไปหาเขา และทำตามที่เขาขอ”

 

กลางหุบเขา กิ่งไม้แห้งส่งเสียงแตกหัก เช่นเดียวกับกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่หักครึ่งดังเป๊าะ นกแม็กพายตัวหนึ่งหวีดร้องเสียงดัง ‘วี้ด วี้ด’ สนั่นด้วยความกรุ่นโกรธ ก่อนที่นกแชฟฟินช์ฝูงหนึ่งจะโผบินออกไปพร้อมอวดโฉมขนปีกและขนหางสีขาว มิลวาสูดลมหายใจ ในที่สุด

วี้ด วี้ด เสียงนกแม็กพายร่ำร้อง วี้ด วี้ด วี้ด กิ่งไม้แตกหักอีกหนึ่งกิ่ง

มิลวาจัดเกราะหนังขึ้นเงาทว่าเก่าโทรมบนแขนซ้ายของตน แล้วสอดมือเข้าไปในห่วงที่ยึดติดอยู่กับอุปกรณ์ นางหยิบลูกธนูดอกหนึ่งออกมาจากกระบอกแบนราบตรงต้นขา ก่อนจะเพ่งสายตาตรวจดูหัวและปีกของลูกธนูตามความเคยชิน แม้นางจะซื้อคันศรมาจากตลาดโดยเลือกอันที่มีคุณภาพระดับกลางจากคันศรจำนวนมากที่มีคนเสนอขายให้ แต่นางจะเป็นผู้ติดปีกลูกศรด้วยตนเองเสมอ เพราะลูกศรสำเร็จรูปส่วนใหญ่นั้นจะมีปีกที่สั้นเกินไป ซ้ำยังลู่ตรงเป็นระนาบเดียวกับคันศรอีกต่างหาก ขณะที่มิลวาจะเลือกใช้แค่ลูกศรที่มีปีกแบบบิด และตัวปีกลูกศรจะต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่าห้านิ้ว

นางพาดลูกธนูไว้บนร่องและจ้องมองตรงไปยังปากลำห้วย ณ ตำแหน่งของต้นบาร์เบอร์รีอันอุดมไปด้วยผลสีแดงสดซึ่งขึ้นอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้

ฝูงนกแชฟฟินช์ไม่ได้บินไปไกลนัก และเริ่มส่งเสียงร้องระงมอีกครั้ง ออกมาสิ เจ้าตัวน้อย มิลวาคิดขณะยกธนูขึ้นและง้างสายออก ออกมาสิ ข้าพร้อมแล้ว

ทว่าเจ้ากวางตัวผู้กลับมุ่งหน้าไปตามขอบลำห้วย ตรงไปยังบึงและน้ำพุ อันเป็นแหล่งกำเนิดของธารน้ำสายเล็กที่ไหลรินไปบรรจบกับแม่น้ำริบบอน กวางหนุ่มตัวหนึ่งผลุบออกมาจากลำห้วย เป็นกวางที่มีรูปร่างสมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งนางคาดเดาว่ามันน่าจะมีน้ำหนักเท่ากับหินเกือบสี่ก้อน มันชูคอขึ้น ใบหูทั้งสองตั้งชัน ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังพุ่มไม้เพื่อแทะเล็มใบไม้

เมื่อหันกลังให้นาง มันจึงกลายเป็นเป้านิ่งไปโดยปริยาย หากไม่ใช่เพราะตอไม้ที่บดบังลำตัวบางส่วนของเป้าหมายไว้ มิลวาคงจะแผลงศรออกไปโดยไม่ต้องคิด ต่อให้นางยิงเข้าเป้าตรงช่วงท้อง หัวลูกศรก็คงเจาะทะลุทั้งหัวใจ ตับ และปอดของมัน หรือหากนางยิงเข้าเป้าตรงสะโพก หลอดเลือดแดงก็จะถูกทำลาย และเจ้าสัตว์เคราะห์ร้ายก็จะสิ้นใจในเวลาไม่นาน นางจึงรอคอยต่อไปโดยไม่ปล่อยสายธนู

เจ้ากวางชูคออีกครั้ง มันก้าวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ แล้วจู่ๆ ก็เอี้ยวคอมองมาด้านหลังเล็กน้อย มิลวาสบถเบาๆ ทั้งที่ยังง้างธนูจนสุดสาย การแผลงศรออกไปต่อหน้าต่อตาจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่แน่นอนนัก เพราะแทนที่หัวลูกศรจะเสียบทะลุปอด มันอาจเสียบทะลุเข้าไปในช่องท้องก็ได้ นางจึงรอคอยขณะกลั้นหายใจ พลางสัมผัสได้ถึงรสเค็มๆ ของสายธนูที่แนบติดอยู่กับมุมปาก สิ่งนี้เองที่ถือเป็นข้อดีที่สำคัญที่สุดและประเมินค่าไม่ได้ของธนูคันนี้ เพราะหากนางใช้อาวุธที่หนักกว่าหรือมีคุณภาพด้อยกว่าก็คงไม่อาจง้างสายธนูค้างไว้ได้นานขนาดนี้โดยไม่เหนื่อยหรือสูญเสียความแม่นยำไปเสียก่อน

เคราะห์ดีที่เจ้ากวางตัวผู้ก้มหัวของมันลงเพื่อเล็มหญ้าที่งอกออกมาจากหนองน้ำครึ้มตะไคร่ และหันข้างลำตัวให้นาง มิลวาผ่อนลมหายใจนิ่งๆ แล้วเล็งเป้าไปที่อกของมัน จากนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยนิ้วออกจากสายธนู

ทว่านางกลับไม่ได้ยินเสียงธนูป่นกระดูกตามที่มั่นหมายไว้ เพราะจู่ๆ เจ้ากวางตรงหน้าก็กระโจนขึ้นด้านบน เตะขาและเผ่นโผนจากไป โดยมีเสียงกิ่งไม้แห้งแตกและเสียงใบไม้ที่เสียดสีจากการถูกแหวกดังตามหลังไปติดๆ

มิลวายืนนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจ ร่างกายแข็งทื่อราวรูปปั้นหินอ่อนของเทพีแห่งผืนป่า กระทั่งสุ้มเสียงต่างๆ จางหายไปจนหมด นางถึงค่อยเอามือลงจากระดับแก้มและลดธนูลง เมื่อทดเส้นทางที่เหยื่อวิ่งหนีไปไว้ในใจแล้ว นางจึงนั่งลงอย่างใจเย็น เอนหลังพิงกับลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง นางเป็นนักล่าเจนประสบการณ์ และเคยแอบลอบเข้าไปล่าสัตว์ในเขตป่าของเจ้าขุนมูลนายตั้งแต่ยังเด็ก นางล่ากวางตัวผู้ตัวแรกได้ตั้งแต่อายุสิบเอ็ด และล้มกวางขนาดความกว้างช่วงไหล่สิบสี่นิ้วตัวแรกได้ในวันเกิดอายุสิบสี่ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดีงามหาใดเปรียบไม่ได้ นอกจากนี้ประสบการณ์อันโชกโชนยังได้สอนนางว่าไม่ควรรีบตามสัตว์ป่าที่เพิ่งถูกยิงไป เพราะหากนางเล็งได้แม่นยำดี กวางตัวนั้นจะล้มลงสิ้นใจภายในระยะไม่เกินสองร้อยก้าวนับจากปากลำห้วย หรือถ้าเกิดนางยิงพลาด – ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย – การรีบเร่งตามไปมีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง เพราะหากสัตว์ที่ตามหลังไปได้รับบาดเจ็บหนักแต่ไม่ตื่นตัวนัก มันอาจแค่ลดความเร็วลงหลังจากเผ่นหนีด้วยความหวาดผวา แต่หากออกตามหลังสัตว์ที่กำลังตื่นกลัวไป มันจะเผ่นหนีด้วยความเร็วปานสายฟ้า และจะลดความเร็วลงก็ต่อเมื่อข้ามพ้นเนินเขาและอยู่ไกลออกไปเท่านั้น

ดังนั้นหญิงสาวน่าจะมีเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง นางจึงดึงใบหญ้ามาคาบไว้ในปาก และเริ่มตกลงสู่ห้วงภวังค์อีกครั้ง ความทรงจำในอดีตวนซ้ำกลับมา

 

เมื่อนางกลับมายังโบรคิลอนในอีกสิบสองวันให้หลัง วิทเชอร์ผู้นั้นก็แข็งแรงพอจนลุกขึ้นมาเดินเหินได้แล้ว แม้จะยังตัวเอียง ขาข้างหนึ่งยังเป๋อยู่เล็กน้อย แต่เขาก็เดินได้แล้ว มิลวาไม่นึกแปลกใจ นางรู้จักสรรพคุณการเยียวยาอันน่าอัศจรรย์ของสายน้ำในป่าและสมุนไพรโคนินเฮลาดี นอกจากนี้นางยังทราบด้วยว่าอาไกลส์มีฝีมือขนาดไหน และเคยเห็นนางไม้ตนอื่นๆ ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วจนน่าตกใจในหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าข่าวลือเรื่องภูมิต้านทานและความแข็งแกร่งของวิทเชอร์คงจะไม่ใช่แค่ตำนานเล่าขานธรรมดาๆ แน่

นางไม่ได้มุ่งหน้าไปที่โคลเซอร์ไรทันทีที่กลับมาถึง แม้เหล่านางไม้จะคอยบอกใบ้ให้ทราบว่ากวินเบลดด์คนนั้นกำลังคอยนางอยู่อย่างไม่สบอารมณ์ก็ตาม นางจงใจถ่วงเวลาออกไปด้วยความไม่สบอารมณ์กับภารกิจนี้ และทำอารมณ์ของตนให้แจ่มใสขึ้นโดยการนำทางพวกกระรอกกลับไปที่ค่าย และเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนให้พวกนางไม้ฟัง รวมถึงเอ่ยเตือนพวกนางถึงเรื่องที่พวกมนุษย์วางแผนจะปิดกั้นชายแดนตามแนวแม่น้ำริบบอน จนกระทั่งถูกตำหนิเป็นครั้งที่สาม มิลวาจึงยอมไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และไปหาวิทเชอร์ในที่สุด

เขารอคอยนางอยู่ที่ริมทุ่งกว้างใกล้กอต้นซีดาร์ เขากำลังเดินไปเดินมา ออกกำลังด้วยการลุกนั่งเป็นครั้งคราว แล้วดีดตัวขึ้นราวติดสปริง เห็นได้ชัดว่าอาไกลส์คงสั่งให้เขาหมั่นออกกำลังเข้าไว้

“มีข่าวอะไรบ้าง” เขาถามทันทีที่เอ่ยทักนาง ความเย็นชาในน้ำเสียงนั้นไม่อาจตบตานางได้

“ดูเหมือนว่าสงครามกำลังจะสิ้นสุดลง” นางตอบพลางยักไหล่ “ว่ากันว่านิล์ฟการ์ดโค่นลิเรียกับเอเดิร์นได้แล้ว เวอร์เดนยอมรับความพ่ายแพ้ และราชาแห่งเทเมเรียก็ได้ทำสัญญาร่วมกับจักรพรรดิแห่งนิล์ฟการ์ด เหล่าเอลฟ์ในหุบเขาแห่งบุปผาได้จัดตั้งราชอาณาจักรของตนขึ้น แต่พวกสกอยาเทลจากเทเมเรียและเรดาเนียกลับไม่ได้เข้าร่วมด้วย พวกนั้นยังคงต่อสู้อยู่…”

“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“อ้าว” นางเอ่ย แกล้งแสดงท่าทางตกอกตกใจ “อ้อ เรื่องนี้นี่เอง ข้าแวะไปที่ดอเรียนตามที่เจ้าขอแล้ว แม้มันจะอยู่นอกเส้นทางของข้า แถมถนนทางหลวงในตอนนี้ยังเต็มไปด้วยอันตราย…”

นางเว้นช่วงไป พลางบิดขี้เกียจ ครั้งนี้เขาไม่ได้เร่งนางอีก

“คนที่ชื่อโคดริงเกอร์” นางเอ่ยถามในที่สุด “ที่เจ้าขอให้ข้าไปหา เขาเป็นสหายสนิทของเจ้ารึ”

ใบหน้าของวิทเชอร์ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว แต่มิลวากลับเข้าใจเขาได้ในทันที

“ไม่ใช่”

“งั้นก็ดี” นางเอ่ยต่ออย่างราบรื่น “เพราะเขาจากพวกเราไปแล้ว เปลวไฟได้เผาผลาญเขาไปพร้อมๆ กับบ้านของเขา ที่รอดมาได้น่าจะมีแค่ปล่องไฟกับเวิ้งหน้าบ้านครึ่งหนึ่งเท่านั้น ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วดอเรียน บ้างก็ว่าโคดริงเกอร์มัวทำเรื่องไร้สาระอย่างเวทมนตร์ดำกับผสมยาพิษ ว่าเขาทำสัญญากับปีศาจ แต่สุดท้ายก็ถูกเปลวไฟของปีศาจกลืนกินไป บ้างก็ว่าเขาสอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่งเหมือนอย่างที่เขาทำอยู่ทุกวัน แต่คราวนี้กลับมีใครบางคนไม่พอใจเขา พวกนั้นจึงฆ่าเขาทิ้งและจุดไฟเผาทุกอย่างให้วอดเพื่อกลบร่องรอย เจ้าคิดว่าอย่างไร”

หญิงสาวไม่ได้รับคำตอบ รวมถึงไม่อาจจับอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าซีดเผือดของเขาได้ นางจึงพูดต่อด้วยโทนเสียงมุ่งร้ายและหยิ่งผยองเช่นเดิม

“ข้าว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก เหตุไฟไหม้และการตายของโคดริงเกอร์เกิดขึ้นในคืนเดือนมืดแรกของเดือนกรกฎาคม ซึ่งตรงกับช่วงที่เหตุวุ่นวายบนเกาะธาเนดด์ปะทุขึ้นพอดี อย่างกับมีใครบางคนคิดว่าโคดริงเกอร์รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความไม่สงบนั้นดี และมาถามหารายละเอียดจากเขา อย่างกับว่ามีใครบางคนต้องการจะหยุดเขาไว้และปิดปากเขาล่วงหน้า เจ้าจะว่าอย่างไรเล่า อ้อ คงไม่คิดจะพูดอะไรเลยสินะ ปิดปากเงียบเชียว งั้นข้าจะบอกอะไรให้ฟังก็แล้วกัน งานของเจ้าเป็นงานที่อันตรายมาก เช่นเดียวกับการสืบข่าวและการซักถามของเจ้า บางทีใครบางคนที่ว่าอาจอยากปิดปากคนอื่นนอกจากโคดริงเกอร์ด้วยก็ได้ นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าคิด”

“อภัยให้ข้าด้วย” เขาเอ่ยหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “ถูกของเจ้า ข้าทำให้เจ้าเสี่ยง งานนี้อันตรายเกินไปสำหรับ—”

“สำหรับผู้หญิงงั้นสิ” นางกล่าวพลางสะบัดหัวไปด้านหลัง ตวัดเส้นผมที่ยังเปียกชื้นให้พ้นไหล่ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างว่องไว “เจ้ากำลังจะพูดแบบนี้ใช่ไหม จู่ๆ ก็คิดจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมารึ ข้าอาจจะต้องนั่งยองๆ เวลาฉี่ แต่ข้าเองก็ห่มหนังหมาป่าอยู่เหมือนกันนะ ไม่ใช่หนังแกะ! อย่าได้มาเรียกข้าว่าพวกขี้ขลาดเชียว เพราะเจ้ายังไม่ทันรู้จักข้าด้วยซ้ำ!”

“รู้จักสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับต่ออารมณ์โกรธหรือการขึ้นเสียงของนางเลยแม้แต่น้อย “เจ้าคือมิลวา เป็นคนพาพวกกระรอกมาหลบภัยอยู่ที่โบรคิลอนเพื่อหลีกหนีการจับกุม ข้ารู้ดีว่าเจ้ากล้าหาญ แต่ข้าเองก็ไม่อยากทำตัวสะเพร่าและทำให้เจ้าต้องเสี่ยงเพราะความเห็นแก่ตัว—”

“เจ้าโง่เอ๊ย!” นางขัดเสียงแหลม “ห่วงตัวเองเถอะน่า ไม่ต้องมาห่วงข้า ไปห่วงเด็กสาวคนนั้นแทนดีกว่าไหม!”

นางแย้มยิ้มอย่างดูหมิ่น เพราะครั้งนี้สีหน้าของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนไปจริงๆ นางจงใจเงียบ รอคอยคำถามถัดไปจากเขา

“เจ้าไปรู้อะไรมา” เขาเอ่ยถามขึ้นในที่สุด “และรู้จากใคร”

“เจ้ามีโคดริงเกอร์” นางพ่นลมพรืดขณะแหงนหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ “ข้าเองก็มีเส้นสายของข้าเหมือนกัน เป็นประเภทหูตาเฉียบแหลมเสียด้วย”

“ช่วยบอกข้ามาทีเถอะ มิลวา ขอร้องล่ะ”

“หลังจากศึกที่ธาเนดด์” นางเริ่มเอ่ยหลังจากคอยอยู่ชั่วครู่ “ก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นทั่วไปหมด เริ่มมีการตามล่าตัวผู้ทรยศ โดยเฉพาะพวกจอมเวทที่สนับสนุนนิล์ฟการ์ดและพวกหน้าไหว้หลังหลอกคนอื่นๆ บ้างก็ถูกจับ บ้างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่จำเป็นต้องใช้สมองเจ้าก็คงเดาออกว่าพวกนั้นหนีไปที่ไหน หรือไปซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกใคร แต่ผู้ที่ถูกล่าไม่ได้มีเพียงเหล่าจอมเวทกับคนทรยศเท่านั้น เพราะหน่วยรบของพวกกระรอกที่มีฟอโยล์เชียร์นาเป็นผู้นำก็มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเหล่าจอมเวททรยศในเหตุกบฏบนเกาะธาเนดด์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงถูกประกาศตามล่า มิหนำซ้ำยังมีคำสั่งออกมาอีกว่าเอลฟ์ทุกตนที่ถูกจับได้จะต้องถูกทรมาน และถูกสอบสวนถึงเรื่องหน่วยรบของฟอโยล์เชียร์นาผู้นี้”

“ใครคือฟอโยล์เชียร์นา”

“เอลฟ์น่ะ เป็นพวกสกอยาเทล มีไม่กี่คนหรอกที่ทำให้มนุษย์ปวดหัวได้เช่นเขา ชายคนนี้มีค่าหัวก้อนโต แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่ถูกตามล่า อย่างเช่นอัศวินชาวนิล์ฟการ์ดที่อยู่บนเกาะธาเนดด์นั่น ไหนจะยัง…”

“ว่าต่อสิ”

“อันจิวาเรยังเอ่ยถามถึงวิทเชอร์ที่มีชื่อว่าเกรอลท์แห่งริเวีย และเด็กสาวนามซิริลลาด้วย สองคนนี้จะต้องถูกจับเป็น ถือเป็นคำสั่งขั้นเด็ดขาด ดังนั้นหากพวกเจ้าสักคนถูกจับตัวได้ เจ้าจะต้องไม่ได้รับอันตรายแม้แต่ปลายเส้นผม หรือแม้กระทั่งกระดุมสักเม็ดบนชุดของเด็กสาวคนนั้นก็ห้ามไม่ให้หลุดออกมาเป็นอันขาด ให้ตายสิ! พวกนั้นจะต้องรักเจ้ามากแน่ๆ ถึงได้เป็นห่วงสุขภาพของเจ้าขนาดนี้…”

นางนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นสีหน้าของเขา จู่ๆ สีหน้าเยือกเย็นผิดธรรมชาตินั้นก็หายไป หญิงสาวเพิ่งจะตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน นางก็ไม่อาจทำให้เขากลัวได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยกลัวว่าตัวเองจะต้องประสบภัย นางถึงกับรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรความพยายามของคนพวกนั้นก็คงสูญเปล่าอยู่ดี” นางเอ่ยเสียงเบา รอยยิ้มหยันจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก “เจ้าปลอดภัยอยู่ในโบรคิลอนแล้ว และคนพวกนั้นก็คงจับตัวเด็กสาวทั้งเป็นไม่ได้เช่นกัน ตอนที่พวกเขาไปตรวจค้นซากปรักหักพังบนเกาะธาเนดด์ เศษซากของหอคอยเวทมนตร์ที่ถล่มลงมานั่น — นี่ เป็นบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย”

วิทเชอร์ซวนเซไปมา เอนร่างพิงต้นซีดาร์ไว้ แล้วหย่อนตัวนั่งลงใกล้ลำต้นของของมัน มิลวากระโจนกลับมาด้วยความหวาดกลัวสีหน้าซีดเผือดของเขาที่จู่ๆ ก็ยิ่งซีดขาวลงกว่าเดิม

“อาไกลส์! เซิร์สซา! โฟฟว์! มานี่เร็ว! บ้าเอ๊ย หมอนี่ใกล้จะหน้าทิ่มพื้นอยู่แล้ว! นี่ เจ้าน่ะ!”

“ไม่ต้องเรียกพวกนางมาหรอก…ข้าไม่เป็นไร พูดมาเถอะ ข้าอยากรู้…”

มิลวาเข้าใจได้ในทันที

“พวกนั้นไม่เจออะไรในซากปรักหักพังนั่นเลย!” นางร้อง พลางรู้สึกได้ว่าสีหน้าตัวเองก็ซีดเผือดลงเช่นกัน “ไม่เจอเลย! แม้พวกนั้นจะพลิกหินหาจนครบทุกก้อนและร่ายเวทมนตร์ช่วยแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่เจอ…”

นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก แล้วทำท่าบอกใบ้ให้เหล่านางไม้ที่กำลังวิ่งตรงมาหยุดอยู่กับที่ หญิงสาวคว้าไหล่ของวิทเชอร์ไว้ ก่อนโน้มตัวลงไปเหนือร่างของเขาจนเรือนผมยาวสยายอยู่เหนือใบหน้าอันซีดเผือดนั้น

“เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว” นางละล่ำละลักออกมาโดยเร็ว การจะหาคำพูดที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่กำลังจะพังเละไม่เป็นท่าเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก “ข้าหมายถึง— เจ้าเข้าใจเรื่องที่ข้าพูดผิดไป เพราะว่าข้า…ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนนั้น…ไม่…ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่อยากจะบอกว่าเด็กสาวคนนั้น…แค่อยากจะบอกว่าพวกนั้นหาตัวนางไม่พบ เพราะนางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนกับจอมเวทพวกนั้นไม่มีผิด อภัยให้ข้าด้วย”

เขาไม่ตอบ เพียงหันหน้าไปอีกทาง มิลวาขบริมฝีปากพลางกำหมัดแน่น

“ข้าจะไปจากโบรคิลอนอีกครั้งภายในสามวัน” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลหลังจากนิ่งเงียบไปนานแสนนาน “ข้าต้องรอให้คืนข้างแรมใกล้เข้ามา และรอให้ยามค่ำคืนมืดขึ้นอีกเล็กน้อย ข้าจะกลับมาภายในสิบวันหรืออาจจะเร็วกว่านั้น อาจจะหลังวันลามมาสซึ่งเป็นวันแรกของเดือนสิงหาคมไม่นาน อย่าห่วงไปเลย ถึงจะต้องพลิกแผ่นดินหา ข้าก็จะหาข่าวมาให้เจ้าให้ได้ หากมีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้น เจ้าก็จะได้รู้เช่นเดียวกัน”

“ขอบใจนะ มิลวา”

“ไว้เจอกันในอีกสิบวันนะ…กวินเบลดด์”

“เรียกข้าว่าเกรอลท์เถอะ” เขาเอ่ยขณะยื่นมือออกมา นางฉวยมือเขาไว้โดยไม่ต้องคิด แล้วบีบมันอย่างแรง

“ส่วนข้า มาเรีย บาร์ริง”

เขาผงกศีรษะพร้อมยิ้มให้แวบหนึ่งแทนคำขอบคุณสำหรับความจริงใจของนาง หญิงสาวรู้ว่าเขากำลังรู้สึกยินดีอยู่

“ได้โปรดระวังตัวด้วย เวลาต้องถามคำถาม จงเลือกผู้ที่จะถามให้ดี”

“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก”

“สายข่าวของเจ้า…เจ้าเชื่อใจพวกเขาใช่ไหม”

“ข้าไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น”

 

“วิทเชอร์ผู้นั้นอยู่ในป่าโบรคิลอนกับพวกนางไม้”

“ว่าแล้วเชียว” ดิจ์กสตราเอ่ยพลางยกแขนขึ้นกอดอก “แต่ก็ดีเหมือนกันที่เรื่องนี้ได้รับการยืนยัน”

เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ เลนเน็บเลียริมฝีปาก จากนั้นจึงเฝ้าคอย

“ดีจริงๆ ที่เรื่องนี้ได้รับการยืนยัน” หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับแห่งราชอาณาจักรเรดาเนียกล่าวซ้ำด้วยน้ำเสียงรำพึงรำพันราวกำลังพูดกับตัวเอง “การทำอะไรด้วยความมั่นใจย่อมเป็นเรื่องดี นี่ถ้าเยนเนเฟอร์อยู่กับเขาด้วย…ไม่มีแม่มดตนใดอยู่กับเขาด้วยใช่ไหม เลนเน็บ”

“ท่านว่าอย่างไรนะ” สายลับสะดุ้ง “ไม่มีขอรับท่าน ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ว่าแต่ท่านจะสั่งให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ หากท่านต้องการตัวเขาเป็นๆ ข้าจะล่อเขาออกมาจากป่าโบรคิลอน แต่หากท่านต้องการให้เขาตาย…”

“เลนเน็บ” ดิจ์กสตรากล่าวพลางเลื่อนสายตาสีฟ้าจางเย็นเยียบขึ้นจ้องสายลับ “อย่าเพิ่งรีบร้อนให้มันมากนัก ในสายงานของเรา ความกระเหี้ยนกระหือรือไม่เคยก่อให้เกิดประโยชน์อะไร และมักจะทำให้ดูน่าสงสัยเสมอ”

“แต่นายท่าน” เลนเน็บกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซีดเผือด “ข้าเพียงแค่—”

“ข้ารู้ เจ้าแค่ถามถึงคำสั่งของข้าเท่านั้น เอาละ นี่คือคำสั่งของข้า จงปล่อยวิทเชอร์นั่นไปเสีย”

“รับบัญชา แล้วมิลวาเล่าขอรับ”

“ปล่อยไปเหมือนกัน อย่างน้อยก็ในตอนนี้”

“รับบัญชาขอรับ ข้าไปได้เลยไหม”

“ไปได้”

สายลับถอยจากไปด้วยท่าทางระมัดระวัง และปิดประตูไม้โอ๊กตามหลังอย่างเงียบเชียบ ดิจ์กสตรานิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน สายตาจับจ้องอยู่ที่แผนที่ จดหมาย คำกล่าวหา รายงานการสอบสวน และคำสั่งประหารที่กองสุมกันเป็นภูเขาตรงหน้า

“โอริ”

เลขานุการเงยศีรษะขึ้นและกระแอมไอ โดยไม่พูดอะไรออกมา

“วิทเชอร์นั่นอยู่ที่โบรคิลอน”

โอริ รูเว็น กระแอมอีกครั้งแล้วชำเลืองมองไปยังใต้โต๊ะ จ้องมองขาของผู้เป็นนายโดยไม่ได้ตั้งใจ ดิจ์กสตราสังเกตเห็นสายตาของเขาเข้าพอดี

“ใช่แล้ว ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ หรอก” เขาคำราม “เพราะเจ้าหมอนั่น ข้าถึงเดินไม่ได้ไปตั้งสองอาทิตย์ ต้องเสียหน้ากับฟิลิปปา ต้องครางหงิงๆ เหมือนหมาเพื่ออ้อนวอนให้นางช่วยใช้เวทมนตร์รักษาให้ ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ข้าคงยังเดินกะเผลกอยู่เลยกระมัง และข้าก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวข้าเอง ข้าประเมินเขาต่ำเกินไป แต่ที่แย่ที่สุดก็คือข้ากลับไม่อาจถลกหนังเขาได้ด้วยมือตัวเอง! ข้าไม่มีเวลาพอ แถมข้ายังไม่อาจใช้คนของข้าเพื่อกิจส่วนตัวได้อีกด้วย! ข้าพูดถูกหรือไม่ โอริ”

“แฮ่ม…”

“ข้ารู้น่า ไม่ต้องมากระแอมใส่ข้าหรอก แต่ให้ตายสิ อำนาจนี่มันช่างหอมหวานดีเสียจริง! ทั้งหอมหวานและยั่วยวนให้ข้าใช้ประโยชน์จากมัน! การที่มีอำนาจอยู่ในมือมักทำให้ผู้คนหลงลืมตัวกันได้ง่ายๆ แต่ถ้าหากเผลอลืมตัวไปครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าก็จะใช้มันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น…ว่าแต่ฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท ยังอยู่ในมอนเตคาลโวหรือไม่”

“อยู่ขอรับ”

“หยิบปากกาขนนกและขวดหมึกขึ้นมา ข้าว่าจะร่างจดหมายถึงนางสักหน่อย จะเริ่มละนะ…บ้าฉิบ ไม่มีสมาธิเลย ไอ้เสียงอึกทึกนั่นมันอะไรกัน โอริ เกิดอะไรขึ้นในจัตุรัส”

“พวกนักศึกษากำลังปาหินใส่ที่พักอาศัยของทูตชาวนิล์ฟการ์ดน่ะขอรับ และถ้าข้าจำไม่ผิด แฮ่มๆ เรานี่แหละที่เป็นคนจ้างพวกเขา”

“อ้อ งั้นก็ดี ปิดหน้าต่างเสีย แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้พวกนั้นไปปาหินใส่ธนาคารของเจ้าคนแคระเจียนคาร์ดิแทน เพราะเจ้านั่นไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดของบางบัญชีให้ข้า”

“แต่เจียนคาร์ดิ แฮ่มๆ เคยบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้กองทุนทหารนะขอรับ”

“งั้นรึ งั้นก็ให้เจ้าพวกนั้นไปโยนหินใส่ธนาคารที่ไม่เคยบริจาคแทนแล้วกัน”

“พวกเขาทำไปแล้ว”

“โอ๊ย เจ้ากำลังทำให้ข้าเบื่อนะ โอริ บอกให้เริ่มเขียนได้แล้วไง ถึงฟิลที่รัก แม่ยอดตะวัน…บ้าเอ๊ย ข้าชอบลืมอยู่เรื่อยเลย เปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่เสีย พร้อมนะ”

“พร้อมขอรับ แฮ่มๆ”

“ถึงฟิลิปปาที่รัก ท่านหญิงทริซ เมริโกลด์ ย่อมต้องเป็นห่วงวิทเชอร์ที่นางย้ายเขาจากธาเนดด์มาไว้ที่โบรคิลอน แม้นางจะเก็บเรื่องที่ว่านี้ไว้อย่างมิดชิดจนแม้แต่ตัวข้ายังไม่รู้อะไรเลยก็ตาม ซึ่งมันทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ได้โปรดปลอบนางทีว่าวิทเชอร์นั่นยังปลอดภัยดี แถมยังเริ่มส่งสายลับหญิงจากโบรคิลอนออกไปสืบหาร่องรอยขององค์หญิงซิริลลา เด็กสาวที่เจ้าสนใจนักหนาคนนั้นแล้วด้วย เห็นได้ชัดว่าเกรอลท์สหายรักของเราไม่รู้ว่าซิริลลาอยู่ในนิล์ฟการ์ด และกำลังเตรียมตัวจะแต่งงานกับจักรพรรดิเอเมียร์ แต่ให้เจ้าวิทเชอร์นั่นเก็บตัวอยู่ที่โบรคิลอนต่อไปเถอะ เรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก เพราะงั้นข้าถึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ข่าวนี้ไปถึงหูเขา เจ้าเขียนทันใช่ไหม โอริ”

“แฮ่มๆ…เพื่อให้ข่าวนี้ไปถึงหูเขา”

“ขึ้นย่อหน้าใหม่! ข้าสงสัยเสียจริงว่า…โอริ ปาดปากกานั่นเสียบ้างสิ! เรากำลังเขียนจดหมายถึงฟิลิปปานะ ไม่ใช่สภาเสียหน่อย จดหมายฉบับนี้ถึงจะต้องเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว! ขึ้นย่อหน้าใหม่ ข้าสงสัยเสียจริงว่าเหตุใดวิทเชอร์นั่นจึงไม่ลองติดต่อไปหาเยนเนเฟอร์ดูบ้าง ข้าไม่เชื่อว่าจู่ๆ ความหลงใหลที่ใกล้จะแปรเปลี่ยนเป็นความลุ่มหลงของเขาจะมอดดับไปง่ายๆ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่ายอดรักของเขามีจุดประสงค์ทางการเมืองเป็นเช่นไร ในทางกลับกัน ถ้าเกิดเยนเนเฟอร์เป็นคนส่งซิริลลาให้กับเอเมียร์จริง ถ้าเกิดมีหลักฐานใดพิสูจน์เรื่องนั้นได้ ข้าก็ยินดีจะส่งให้วิทเชอร์นั่นด้วยความเต็มใจ หากทำแบบนั้น ข้ามั่นใจว่าปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายลงทันที และสตรีผมดำผู้งดงามทว่าไร้ซึ่งสัจจะผู้นั้นก็คงจบเห่เพียงเท่านี้ วิทเชอร์นั่นไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องเด็กสาวของเขา ดังที่อาร์โตด์ เทอร์ราโนวา เคยได้ประจักษ์แก่สายตาตนเองบนเกาะธาเนดด์ ข้าอยากคิดเช่นนี้เหลือเกิน ฟิล ว่าจริงๆ แล้วเจ้าไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าเยนเนเฟอร์เป็นคนทรยศ รวมถึงไม่รู้ด้วยว่านางซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เพราะข้าคงจะเจ็บปวดใจไม่ใช่น้อยหากได้รู้ในภายหลังว่าเจ้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ข้าไม่เคยมีความลับใดกับเจ้า…แล้วนั่นเจ้าหัวเราะอะไรของเจ้าน่ะ โอริ”

“โอ๊ะ ไม่มีอะไรขอรับ แฮ่มๆ”

“เขียนต่อไป! ข้าไม่เคยมีความลับใดกับเจ้า ฟิล และข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำแบบเดียวกัน ด้วยความเคารพอย่างสูง และอื่นๆ และอื่นๆ ส่งมานี่มา ข้าจะได้เซ็นลงท้าย”

โอริ รูเว็น โปรยเม็ดทรายลงบนจดหมาย ดิจ์กสตราขยับเปลี่ยนท่าทางให้สะดวกสบายขึ้น ประสานนิ้วไว้บนท้อง แล้วกระดิกนิ้วโป้งไปมา

“สายลับของวิทเชอร์ที่ชื่อมิลวานั่น” เขาเอ่ยถาม “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับนางบ้าง”

“ณ ขณะนี้ นางคือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ แฮ่มๆ” – เลขานุการของเขากระแอมไอ – “กับการพาพวกสกอยาเทลที่หลงเหลือจากการถูกกองทัพชาวเทเมเรียตีจนแตกพ่ายมาที่โบรคิลอนขอรับ นางคือผู้ที่คอยช่วยเหล่าเอลฟ์จากการถูกล่าและกับดักต่างๆ รวมถึงให้ที่พักพิง และพาพวกนั้นกลับไปรวมกลุ่มในหน่วยรบกรำศึกอีก…”

“ไม่ต้องบอกเรื่องทั่วไปแบบนั้นให้ข้ารู้หรอกน่า” ดิจ์กสตราเอ่ยขัด “ข้าคุ้นเคยกับวีรกรรมของมิลวาดี และจะนำเรื่องพวกนั้นมาใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า ไม่อย่างนั้นข้าคงเผยความลับเรื่องนางให้กับพวกเทเมเรียนานแล้ว ที่ข้าอยากรู้คือเรื่องส่วนตัวของนางต่างหาก เรื่องของตัวนางเอง”

“ถ้าข้าจำไม่ผิด นางน่าจะมาจากหมู่บ้านป่าเมืองเถื่อนทางตอนบนของซอดเดน ชื่อจริงของนางคือมาเรีย บาร์ริง ส่วนมิลวาเป็นชื่อเล่นที่พวกนางไม้ตั้งให้นาง เป็นภาษาโบราณที่หมายถึง—”

“เหยี่ยวแดง” ดิจ์กสตราขัดจังหวะ “ข้ารู้”

“ครอบครัวของนางเป็นนักล่ามาหลายชั่วอายุคน พวกเขาอาศัยอยู่ในป่า และชื่นชอบการได้อยู่ในป่าดงพงไพรอันเขียวชอุ่มเป็นที่สุด แต่พอบุตรชายของบาร์ริงถูกกวางเอลก์กระทืบตาย ตาเฒ่านั่นจึงเปลี่ยนมาสอนวิชาเดินป่าให้บุตรสาวของเขาแทน จนกระทั่งเขาจากไปอีกคน มารดาของนางจึงแต่งงานใหม่ แฮ่มๆ…มิลวาเข้ากับพ่อบุญธรรมของนางได้ไม่ดีนัก นางจึงหนีออกจากบ้าน ถ้าข้าจำไม่ผิด ตอนนั้นนางอายุได้สิบหกปี นางมุ่งหน้าขึ้นเหนือ คอยล่าสัตว์ประทังชีวิต แต่คนเฝ้าสัตว์ป่าของเจ้าขุนมูลนายแถวนั้นกลับทำให้ชีวิตของนางลำบากขึ้นด้วยการคอยตามล่าและก่อกวนนางไม่หยุดราวกับนางเป็นเหยื่อชั้นดี ดังนั้นนางจึงเริ่มล่วงล้ำเข้าไปในโบรคิลอน และก็เป็นตอนนี้เอง แฮ่มๆ ที่พวกนางไม้จับตัวนางได้”

“แต่แทนที่จะจัดการนาง พวกนั้นกลับรับนางเป็นพวก” ดิจ์กสตราพึมพำ “พวกนั้นรับเลี้ยงนางไว้…และนางก็ตอบแทนความกรุณาของพวกนั้นด้วยการทำสัญญากับนางแม่มดแก่แห่งป่าโบรคิลอน ยายแก่เอธเนเนตรเงินนั่น มาเรีย บาร์ริงได้ตายไปแล้ว เหลือเพียงมิลวาที่จะอยู่ยงคงกระพันต่อไป…จะว่าไป มีคณะสำรวจที่เป็นพวกมนุษย์กี่กลุ่มแล้วที่โดนนางหลอกใช้ก่อนที่กองกำลังในเวอร์เดนและเคอแร็คจะไหวตัวทัน สามรึ”

“แฮ่มๆ…สี่ขอรับ ถ้าข้าจำไม่ผิด…” โอริ รูเว็น มักจะหวังให้ตนเองจำไม่ผิดเสมอ ทั้งที่จริงความทรงจำของเขาก็เด่นชัดแม่นยำมากอยู่แล้ว “รวมทั้งหมดแล้วน่าจะมีมนุษย์ประมาณหนึ่งร้อยคนได้ และทั้งหมดก็เป็นพวกที่เที่ยวตามล่านางไม้อย่างป่าเถื่อน กว่าที่คนพวกนั้นจะรู้ตัวก็กินเวลาไปนานโข เพราะบางครั้งบางคราว มิลวาจะช่วยคนให้รอดพ้นจากการถูกประหาร และใครก็ตามที่นางช่วยออกมาก็จะเอาแต่เชิดชูความกล้าของนาง จนกระทั่งเกิดเหตุครั้งที่สี่ รู้สึกจะในเวอร์เดนกระมังถ้าข้าจำไม่ผิด ใครบางคนจึงเริ่มจับไต๋นางได้ ‘เพราะเหตุใด’ จู่ๆ ก็มีคนตะโกนถาม แฮ่มๆ ‘เหตุใดผู้นำทางที่คอยรวมกลุ่มมนุษย์ไปสู้กับพวกนางไม้จึงรอดมาได้แบบครบสามสิบสองทุกครั้ง’ และในที่สุด ความลับทั้งหมดก็ถูกเปิดเผย ผู้นำทางที่ว่าอาจช่วยนำทางผู้คนจริง แต่เป็นการนำทางไปสู่กับดัก เป็นการนำทางไปสู่สนามยิงเป้าของเหล่านางไม้ที่เฝ้ารอคอยอยู่ก่อนแล้ว…”

ดิจ์กสตราเลื่อนรายงานการสอบสวนไปที่ริมขอบโต๊ะ เนื่องจากแผ่นกระดาษหนังนั้นยังคงมีกลิ่นของห้องทรมานโชยออกมา

“แล้วหลังจากนั้น” เขาสรุป “มิลวาก็หายตัวไปในป่าโบรคิลอนราวหมอกยามเช้า และจนบัดนี้ การจะหาตัวอาสาสมัครมาร่วมคณะต่อต้านนางไม้ในเวอร์เดนก็ยากยิ่งนัก แผนการล้างบางของยายแก่เอธเนกับแม่หนูเหยี่ยวแดงคนนี้ได้ผลดีทีเดียว แล้วพวกนั้นยังมีหน้ามาบอกว่ามนุษย์อย่างเราชอบใช้แต่วิธีสกปรกกันอีก แต่ในทางกลับกัน…”

“แฮ่มๆ” โอริ รูเว็น กระแอมไอ ดูจะตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ นายเหนือหัวของเขาก็เงียบลงอย่างฉับพลัน และยังคงเงียบอยู่เช่นนั้น–-

“แต่ในทางกลับกัน บางทีพวกนั้นอาจจะเริ่มเรียนรู้บางอย่างไปจากเราบ้างแล้วก็ได้” หัวหน้าสายลับเอ่ยเสียงเย็น สายตาเลื่อนลงไปจับจ้องคำกล่าวหา รายงานการสอบสวน และคำสั่งประหารทั้งหลายแหล่

 

มิลวารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเมื่อมองไม่เห็นรอยเลือดใกล้ๆ กับบริเวณที่เจ้ากวางตัวผู้หนีหายไป นางพลันตระหนักได้ว่ากวางตัวนั้นคงจะกระโดดขึ้นตอนที่นางแผลงศร หรือต่อให้ไม่ก็โดน ก็คงตั้งท่าจะกระโดดพอดี ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วเจ้ากวางก็เคลื่อนไหว ลูกธนูจึงอาจปักเสียบเข้าที่ช่องท้องแทน มิลวาสบถ การแผลงศรเข้าที่ช่องท้องของเป้าหมายถือเป็นความอัปยศในฐานะนักล่า! ให้ตายสิ แค่คิดก็ขายหน้าจะแย่แล้ว!

นางรีบวิ่งตรงไปที่พื้นลาดชันบริเวณลำห้วย ก่อนจะสอดส่ายสายตาไปตามพุ่มไม้มีหนาม หญ้าตะไคร่ และต้นเฟิร์นอย่างรอบคอบ นางกำลังมองหาลูกธนูของนาง ธนูดอกนี้มีใบมีดทั้งหมดสี่ใบซึ่งคมจนใช้โกนขนแขนได้ หากยิงในระยะห้าสิบก้าว ธนูดอกนั้นจะต้องพุ่งทะลุตัวสัตว์ไปอย่างแน่นอน

นางมองหาไปเรื่อยๆ และเมื่อหาพบ นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วถ่มน้ำลายออกมาอีกสามครั้งด้วยความดีใจกับโชคของตนเอง นางไม่ต้องนึกกังวลอีกต่อไป เพราะผลลัพธ์ออกมาดีกว่าที่นางคาดไว้ ทั่วทั้งลูกธนูไม่ได้มีเครื่องในเหนียวหนืดกลิ่นเหม็น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเลือดขึ้นฟองสีแดงสดที่ไหลออกมาจากปอด เลือดที่อาบอยู่ทั่วคันศรในขณะนี้มีสีแดงเข้มข้นคลั่ก ลูกธนูคงจะพุ่งทะลุหัวใจ มิลวาไม่จำเป็นต้องหมอบคลานหรือแอบย่องตามไปอีก แถมยังไม่ต้องเสียเวลาเดินตามรอยกวางไปไกลด้วย เจ้ากวางคงจะนอนแน่นิ่งอยู่ในพุ่มไม้ไม่ไกลเกินหนึ่งร้อยก้าวนับจากพื้นที่โล่ง ในจุดที่มีรอยเลือดคอยนำทางไป และเมื่อถูกศรยิงทะลุหัวใจ เลือดของมันก็จะเริ่มไหลไม่หยุดภายในไม่กี่ก้าว ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าจะต้องหารอยเลือดพบได้โดยง่ายแน่

นางหารอยเลือดพบและตามมันไปหลังจากเดินไปได้สิบก้าว ความคิดเริ่มล่องลอยไปในห้วงภวังค์อีกครั้ง

 

นางรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับวิทเชอร์ และหวนกลับมายังป่าโบรคิลอนหลังจากพ้นเทศกาลเก็บเกี่ยวไปเพียงห้าวัน – หรือก็คือห้าวันหากเริ่มนับจากคืนเดือนมืดแรก – ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเดือนสิงหาคมสำหรับผู้คน และถือเป็นคืนลามมาส ซาเวด[4]ลำดับที่เจ็ดหรือลำดับรองสุดท้ายของปีสำหรับเหล่าเอลฟ์

มิลวาข้ามผ่านแม่น้ำริบบอนมาในยามรุ่งเช้าพร้อมกับเอลฟ์อีกห้าตน แรกเริ่มเดิมทีหน่วยรบที่นางนำทางอยู่นี้มีจำนวนด้วยกันทั้งหมดเก้าตน ทว่าทหารจากบรูจจ์กลับไล่ตามพวกนางมาตลอดทาง แม้จะห่างจากแม่น้ำอีกเพียงหกร้อยหกสิบหลา ทหารกลุ่มนั้นก็ยังคงไล่ตามพวกนางมาติดๆ คอยประชิดเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งยอมรามือไปเมื่อถึงแม่น้ำริบบอนซึ่งอีกฟากฝั่งหนึ่งคือผืนป่าโบรคิลอนที่ตั้งอยู่เลือนลางท่ามกลางสายหมอกยามอรุณรุ่ง ทหารพวกนั้นหวาดกลัวป่าโบรคิลอน และความจริงที่ว่านี้ก็ช่วยหน่วยรบเหล่านี้ไว้ แม้จะทั้งเหนื่อยล้าและบาดเจ็บ แต่พวกนางก็ข้ามผ่านมาได้ แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม

นางมีข่าวมาฝากวิทเชอร์ แต่กลับคิดว่ากวินเบลดด์ผู้นั้นยังพักอาศัยอยู่ที่โคลเซอร์ไร นางจึงตั้งใจจะไปหาเขาในยามเที่ยงวันหลังจากนอนหลับจนเต็มอิ่มแล้ว ดังนั้นนางจึงตะลึงงันไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายปรากฏกายขึ้นจากสายหมอกอย่างกะทันหันราวภูตผี เขานั่งลงข้างกายนางโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองนางกางผ้าปูไว้เหนือกิ่งไม้กองใหญ่เพื่อทำเป็นเตียงชั่วคราว

“รีบเหลือเกินนะ วิทเชอร์” นางเย้ย “ตาข้าจะปิดอยู่แล้ว ข้าต้องนั่งอยู่บนอานม้าทั้งวันทั้งคืนจนบั้นท้ายชาไปหมด กางเกงของข้าก็เปียกขึ้นมาถึงเข็มขัด เพราะต้องคลานผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำในยามรุ่งอรุณราวกับเป็นฝูงหมาป่า…”

“ได้โปรดเถอะ เจ้าได้ข่าวอะไรมาบ้างไหม”

“ได้สิ” นางพ่นลมพรืดพลางแก้มัดเชือกและดึงรองเท้าอันเปียกชุ่มจนติดแนบกับเท้าออกมา “แถมยังไม่ต้องลำบากอะไรมากด้วย เพราะทุกคนพูดกันแต่เรื่องนี้ เจ้าไม่เห็นเคยบอกข้าเลยว่าเด็กสาวที่ว่านั้นเป็นบุคคลสำคัญ! ไอ้เราก็นึกว่านางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของเจ้า เป็นเด็กจรจัดหรือเด็กกำพร้าเร่ร่อนผู้เคราะห์ร้ายเสียอีก แล้วดูสิว่านางเป็นใคร นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งซินทราเชียวนะ! ให้ตายสิ! อย่าบอกนะว่าเจ้าเองก็เป็นองค์ชายปลอมตัวมาเหมือนกัน”

“ได้โปรดบอกข้ามาทีเถอะ”

“ถึงอย่างไร ตอนนี้เหล่าราชาก็ไม่มีทางแตะต้องนางได้อีกแล้ว เพราะกลายเป็นว่าซิริลลาของเจ้าได้หลบหนีจากธาเนดด์ตรงไปที่นิล์ฟการ์ด อาจจะหนีไปพร้อมกับพวกจอมเวททรยศก็ได้ และจักรพรรดิเอเมียร์ก็ได้จัดงานต้อนรับนางอย่างยิ่งใหญ่ แล้วรู้อะไรไหม ว่ากันว่าเขาคิดจะแต่งงานกับนางด้วยซ้ำ ทีนี้ก็ปล่อยให้ข้าได้พักเสียที ถ้าเจ้ายังอยากคุยอยู่ ไว้เราค่อยคุยกันอีกทีตอนที่ข้าได้หลับสักตื่นแล้วกัน”

วิทเชอร์ไม่พูดอะไร มิลวาจึงแขวนรองเท้าเปียกชุ่มของนางไว้บนกิ่งไม้มีง่าม โดยจัดวางตำแหน่งให้แสงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยขึ้นมาตกกระทบลงบนรองเท้าพอดี จากนั้นจึงเลื่อนมือไปกระตุกหัวเข็มขัดของตน

“ข้าจะแก้ผ้าแล้ว” นางคำราม “เหตุใดเจ้าจึงยังลอยหน้าลอยตาอยู่แถวนี้อีก คงไม่ได้กำลังคาดหวังข่าวที่น่ายินดีกว่านี้อยู่หรอกใช่ไหม เจ้าไม่ใช่คนที่ต้องเสี่ยงอันตรายนี่ ไม่มีใครถามหาตัวเจ้า พวกสายลับก็เลิกสนใจในตัวเจ้าแล้ว แถมนางเด็กตัวดีของเจ้าก็หนีเงื้อมมือของเหล่าราชันพ้น และจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีในอนาคตอีกต่างหาก…”

“ข้อมูลนี้เชื่อถือได้หรือไม่”

“ทุกวันนี้ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้นแหละ” นางหาวขณะนั่งลงบนเตียง “นอกจากความจริงที่ว่าดวงตะวันยังคงเคลื่อนผ่านสรวงสวรรค์จากฝั่งตะวันออกไปฝั่งตะวันตก แต่ดูเหมือนข่าวลือเรื่องจักรพรรดิแห่งนิล์ฟการ์ดและองค์หญิงแห่งซินทราจะเป็นเรื่องจริง เพราะมันเป็นเรื่องที่ทุกคนพูดถึงกัน”

“แล้วทำไมจู่ๆ ผู้คนถึงสนใจเรื่องนี้กันนักเล่า”

“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ ว่ากันว่าเด็กสาวผู้นั้นจะนำดินแดนจำนวนนับหลายเอเคอร์มามอบให้กับเอเมียร์เป็นสินสมรสน่ะสิ!  และมันก็ไม่ใช่แค่ซินทรา แต่ยังรวมไปถึงดินแดนตรงชายฝั่งของแม่น้ำยารูกาด้วย! ฮ่า แปลว่านางจะได้เป็นนายหญิงของข้าด้วยสินะ เพราะข้าเองก็มาจากซอดเดนทางตอนบน แล้วซอดเดนทั้งหมดก็เป็นดินแดนในการปกครองของนางเสียด้วย! ฉะนั้นแล้ว หากข้าออกไปล่ากวางสักตัวในป่าของนางและบังเอิญมีใครจับตัวข้าได้ ข้าคงโดนแขวนคอตามคำสั่งของนางแน่…โอ๊ย ช่างเป็นโลกที่ฟอนเฟะอะไรแบบนี้! ห่าลงเถอะ ข้าแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว…”

“ขออีกคำถามหนึ่ง พวกนั้นจับตัวจอมเวทหญิงได้บ้างไหม — ข้าหมายถึง พวกนั้นจับตัวจอมเวททรยศคนใดได้บ้างรึเปล่า”

“ไม่เลย แต่ว่ากันว่ามีจอมเวทหญิงคนหนึ่งฆ่าตัวตายหลังจากที่เวนเกอร์เบิร์กล่มสลายและกองทัพเคดเวนเข้ายึดเอเดิร์นได้ไม่นาน จะต้องเป็นเพราะความเครียดหรือกลัวถูกพาตัวไปทรมานเป็นแน่—”

“ในหน่วยรบที่เจ้าพากลับมามีม้าหลายตัวที่ไร้ผู้ขี่ พวกเอลฟ์นั่นจะยอมยกมันให้ข้าสักตัวไหม”

“โอ๊ะ คงกำลังรีบอยู่สิท่า” นางพึมพำขณะห่อผ้าห่มไว้รอบกาย “ข้าว่าข้าพอเดาออกนะว่าเจ้าวางแผนจะไปที่…”

หญิงสาวเงียบไปด้วยความตื่นตะลึงกับสีหน้าของเขา ก่อนจะตระหนักได้ว่าข่าวคราวที่นางนำมาฝากเขานั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยสักนิด นางเพิ่งจะตระหนักได้ว่านางไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น หญิงสาวพลันนึกอยากจะลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ เขาอย่างปุบปับและไม่ทันได้คิดมาก่อน อยากจะรัวคำถามใส่เขา รับฟังเขา เรียนรู้เขา และอาจจะให้คำปรึกษาเขาด้วย…นางรีบกดข้อนิ้วลงบนขอบตาของตน ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว นางคิด ข้าถูกความตายหายใจรดต้นคอตลอดทั้งคืน ข้าจำเป็นต้องพักผ่อน และอีกอย่า ทำไมข้าถึงต้องสนใจความเศร้าหรือความเป็นห่วงเป็นใยของเขาด้วย เขาสำคัญอะไรกับข้า ไหนจะนางเด็กตัวดีนั่นอีก ช่างหัวเขากับนางสิ! ห่าลงเถอะ เรื่องพวกนี้ทำให้ข้าตาสว่างเสียแล้ว…

            วิทเชอร์ลุกขึ้นยืน

“ตกลงพวกเอลฟ์จะยอมยกม้าให้ข้าสักตัวไหม” เขาถามย้ำ

“อยากได้ตัวไหนก็เอาไปเลย” นางว่าหลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง “แต่อย่าให้พวกเอลฟ์เห็นเข้าล่ะ พวกนั้นเล่นงานเราเสียอ่วมที่บริเวณน้ำตื้น เกิดการนองเลือดขึ้น…แล้วก็อย่าแตะต้องตัวสีดำเชียว เจ้านั่นเป็นม้าของข้า…มัวรออะไรอยู่อีกเล่า”

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

นางไม่ตอบ

“ข้าติดหนี้เจ้า จะให้ข้าตอบแทนเจ้าอย่างไรดี”

“อย่างไรน่ะหรือ งั้นก็ช่วยออกไปให้พ้นๆ สายตาข้าเสียที!” นางร้องพลางใช้ศอกยันตัวขึ้นและกระชากผ้าห่มอย่างแรง “ข้า…ข้าต้องเข้านอนแล้ว! จะเอาม้า…ไปที่…ที่นิล์ฟการ์ด ไปลงนรก หรือไปที่ไหนก็เชิญ ข้าไม่สนใจหรอก! รีบๆ ไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว!”

“ข้าจะตอบแทนเจ้าแน่ๆ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย หากวันใดวันหนึ่งเจ้าต้องการความช่วยเหลือขึ้นมา ต้องการแรงสนับสนุน หรือต้องการไหล่ไว้พึ่งพิง เมื่อนั้นจงเอ่ยขานถึงข้า จงเรียกหาข้าในยามค่ำคืน และข้าจะมาหาเจ้า”

 

เจ้ากวางตัวผู้นอนนิ่งอยู่บนขอบของพื้นที่ลาดชันซึ่งมีลักษณะเป็นรูพรุนจากการถูกน้ำกัดเซาะ และมีต้นเฟิร์นขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด คอของมันบิดเบี้ยว ดวงตาเคลือบฝ้าเหลือกจ้องขึ้นฟ้า มิลวามองเห็นเหลือบไรตัวใหญ่จำนวนหนึ่งชอนไชเข้าไปในท้องสีน้ำตาลอ่อนของมัน

“เห็นทีพวกเจ้าคงต้องไปหาเลือดจากสัตว์ตัวอื่นแทนแล้ว เจ้าพวกหนอนพยาธิ” นางพึมพำขณะม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วดึงมีดออกมา “เพราะตัวเจ้านี่กำลังเย็นลงเรื่อยๆ”

หญิงสาวลงมือเฉือนหนังตั้งแต่ส่วนกระดูกสันอกลงมาจนถึงส่วนทวารหนักด้วยการเคลื่อนไหวที่ทั้งรวดเร็วและเชี่ยวชาญ แล้วลากมีดอ้อมอวัยวะสืบพันธุ์ของมันไปอย่างคล่องแคล่ว นางค่อยๆ แยกชั้นไขมันออกจากกันอย่างระมัดระวัง แต่หยาดเลือดก็ยังเปื้อนขึ้นมาถึงข้อศอก ต่อจากนั้นนางก็ผ่าคอหอยของมันและดึงอวัยวะภายในออกมา ตามด้วยการผ่าท้องและถุงน้ำดีเพื่อหานิ่วกวาง นางไม่เคยเชื่อว่ามันมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์ แต่คนโง่เขลาที่เชื่อเช่นนั้นและยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อมันไป กลับมีอยู่ไม่เคยขาด

นางยกตัวกวางขึ้นและอุ้มมันไปวางไว้บนขอนไม้ใกล้ๆ โดยหันช่วงท้องที่ถูกผ่าชี้ลงด้านล่าง ปล่อยให้หยาดเลือดหลั่งไหลออกมา แล้วจึงหันไปเช็ดมือทั้งสองข้างกับพุ่มต้นเฟิร์น

นางหย่อนกายนั่งลงข้างเหยื่อ

“เจ้าวิทเชอร์ผีเข้าสติไม่สมประกอบนั่น” นางเอ่ยเสียงเบาขณะจ้องมองยอดต้นสนในป่าโบรคิลอนที่ตั้งตระหง่านเลือนลางสูงขึ้นไปหนึ่งร้อยฟุต “ทั้งที่เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปที่นิล์ฟการ์ดเพื่อชิงนางตัวแสบของเจ้ากลับคืนมา ทั้งที่เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดจบของโลกที่กำลังลุกไหม้ แต่เจ้ากลับไม่คิดจะนำเสบียงติดตัวไปแม้แต่ชิ้นเดียว ข้ารู้ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น แต่เจ้าไม่มีเหตุผลอื่นให้มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้วหรือ”

แน่นอนว่าเหล่าต้นสนไพน์ย่อมไม่ออกความเห็นหรือขัดบทสนทนาเพียงฝ่ายเดียวของนาง

“ข้าไม่คิดหรอกนะ” มิลวาเอ่ยพลางใช้มีดขูดคราบเลือดออกจากใต้เล็บมือ “ว่าเจ้าจะชิงตัวเด็กสาวของเจ้ากลับคืนมาได้ เจ้าคงไปไม่ถึงยารูกา ไม่ต้องพูดถึงนิล์ฟการ์ดเลย ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไปถึงซอดเดนได้ด้วยซ้ำ ข้าคิดว่าชะตากำหนดมาให้เจ้าต้องตาย มันฉายชัดอยู่บนใบหน้าที่โหดเหี้ยมของเจ้า และฉายผ่านมาในดวงตาน่าเกลียดน่ากลัวคู่นั้น ความตายจะตามล่าเจ้าจนทัน วิทเชอร์ผู้บ้าคลั่งเอ๋ย มันจะตามเจ้าจนทันในไม่ช้า แต่หากมีกวางตัวนี้ อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องตายเพราะความอดอยาก แม้จะไม่มากมายนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าคิด”

 

ดิจ์กสตราทอดถอนใจเมื่อเห็นทูตชาวนิล์ฟการ์ดก้าวเข้ามาในห้องเข้าเฝ้า ชิลาร์ด ฟิตซ์-ออสเทอร์เล็น ทูตประจำตัวของจักรพรรดิเอเมียร์ วาร์ เอ็มไรส์ ดูจะคุ้นเคยกับการพูดคุยโดยใช้ภาษาทางการทูตดีไม่น้อย และยังชื่นชอบการเสริมแต่งประโยคของตนด้วยหลักภาษาศาสตร์แปลกประหลาดที่ฟังดูใหญ่โตโอ้อวด ซึ่งคงจะมีเพียงนักการทูตและนักวิชาการเท่านั้นที่เข้าใจ ดิจ์กสตราเคยร่ำเรียนที่สถาบันออกซ์เซนเฟิร์ตมาก่อน และแม้เขาจะไม่ได้จบจากคณะอักษรศาสตร์ แต่เขาก็พอจะรู้หลักการพื้นฐานของภาษาเฉพาะกลุ่มที่เหล่านักวิชาการมักใช้คุยโวกันดี อย่างไรก็ตาม เขากลับลังเลที่จะใช้มัน เนื่องจากเขาเกลียดชังการวางมาดและการเสแสร้งทำตัวเป็นทางการทุกรูปแบบ

“ขอกล่าวทักทายท่านทูต”

“ท่านลอร์ด” ชิลาร์ด ฟิตซ์-ออสเทอร์เล็น กล่าวพร้อมกับค้อมตัวให้อย่างมีพิธีรีตอง “อา ต้องขออภัยด้วย ข้าควรจะต้องพูดว่าท่านผู้สูงส่งหรือท่านดยุคใช่หรือไม่ หรือจะเป็นคำว่าท่านผู้สำเร็จราชการหรือท่านเลขาธิการแห่งรัฐดี ขอกล่าวตามตรงนะท่าน ท่านมีตำแหน่งเยอะจนจะกองพะเนินเป็นภูเขาอยู่แล้ว ข้าจึงไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะใช้คำไหนเรียกแทนตัวท่านเพื่อไม่ให้เป็นการฝ่าฝืนขั้นตอนการปฏิบัติดี”

“คำว่า ‘ฝ่าบาท’ น่าจะเป็นการดีที่สุด” ดิจ์กสตราเอ่ยตอบอย่างถ่อมตน “ท่านก็น่าจะรู้ดีนี่ ท่านทูต ว่าผู้คนจะตัดสินกษัตริย์จากราชสำนักของพระองค์ แล้วท่านก็น่าจะรู้เช่นกันว่าหากข้าตะโกนสั่งว่า ‘กระโดด!’ ราชสำนักในเทรโทกอร์จะถามกลับว่า ‘สูงแค่ไหน’ ”

ราชทูตย่อมรู้ดีว่าดิจ์กสตรากำลังกล่าวเกินจริง แต่ไม่ได้เกินพอดี องค์ชายราโดวิดยังเป็นผู้เยาว์ อีกทั้งราชินีเฮดวิกยังคงเศร้าเสียใจกับการสวรรคตอันน่าสลดใจของสามีนาง ส่วนเหล่าชนชั้นสูงที่ถูกข่มขวัญจนหวาดกลัวและตกอยู่ในภาวะสับสน ต่างก็แตกคอกันและแบ่งแยกกันเป็นฝักฝ่าย ในทางพฤตินัยแล้ว ดิจ์กสตราถือเป็นข้าหลวงของเรดาเนียในขณะนี้ และยังสามารถขึ้นรับตำแหน่งใดๆ ก็ตามที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย ทว่าดิจ์กสตรากลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น

“ที่ท่านลอร์ดกรุณาเรียนเชิญข้ามาที่นี่” ราชทูตเอ่ยขึ้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง “โดยที่ไม่ผ่านรัฐมนตรีต่างดินแดน ขอข้าเรียนถามได้รึไม่ว่าเหตุใดข้าจึงได้รับเกียรตินี้”

“ท่านรัฐมนตรี” ดิจ์กสตรากล่าวขณะแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน “จำต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยปัญหาทางสุขภาพ”

ราชทูตผงกศีรษะอย่างเศร้าสร้อย เขาย่อมรู้ดีว่าขณะนี้รัฐมนตรีต่างดินแดนคงจะนอนเน่าอยู่ในคุกใต้ดินเป็นแน่ และด้วยความที่เขาเป็นคนขลาดเขลา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพียงแค่ได้เห็นการสาธิตใช้เครื่องมือทรมานก่อนการสอบสวนจริง เขาจะต้องยอมสารภาพให้ดิจ์กสตราฟังว่าเขาเคยสมรู้ร่วมคิดกับหน่วยปฏิบัติการลับชาวนิล์ฟการ์ดอย่างแน่นอน เขาย่อมรู้ดีว่าเครือข่ายที่ก่อตั้งขึ้นโดยวัทเทียร์ เดอ ริโดซ์ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการลับแห่งจักรวรรดินั้นได้ถูกโค่นล้มไปเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้อำนาจในการชักใยทั้งหมดก็ตกอยู่ในมือของดิจ์กสตรา นอกจากนี้เขายังรู้ดีด้วยว่าสายชักเหล่านั้นล้วนเชื่อมโยงมาสู่ตัวเขา ทว่าเขาเองก็มีอำนาจศาลเป็นเครื่องคุ้มกัน และยังมีระเบียบข้อบังคับซึ่งบีบให้พวกเขาต้องร่วมลงสนามไปจนตัวตาย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับคำสั่งเข้ารหัสน่าสงสัยซึ่งวัทเทียร์และเจ้าหน้าที่อารักษ์สเตฟาน สเกลเลน เจ้าหน้าที่ราชการพิเศษแห่งจักรวรรดิ เพิ่งส่งมาให้เขาเมื่อเร็วๆ นี้

“ในเมื่อยังไม่มีใครมารับช่วงต่อตำแหน่งนี้” ดิจ์กสตราเอ่ยต่อ “จึงเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องเรียนท่านว่าตอนนี้ท่านทูตได้กลายเป็น เพอร์โซนา นอน กราตา (บุคคลไม่พึงปรารถนา) ในราชอาณาจักรเรดาเนียไปเสียแล้ว”

ราชทูตโค้งคำนับ

“ข้าเสียใจ” เขากล่าว “ที่ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจอันเป็นผลให้ทูตหลายคนถูกปลดออกนั้น เป็นผลพวงมาจากเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรเรดาเนียหรือจักรวรรดินิล์ฟการ์ดทั้งสิ้น และทางจักรวรรดิเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อเรดาเนียเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

“นอกจากการปิดล้อมเรือและสินค้าของเราไว้ที่ปากแม่น้ำยารูกาและบนหมู่เกาะสเกลลิเกอ และนอกจากการช่วยจัดหาอาวุธและคอยให้การสนับสนุนเหล่าสกอยาเทลน่ะรึ”

“นั่นเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลเหตุเอาเสียเลย”

“แล้วเรื่องกองทัพหลวงที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่นอยู่ในเวอร์เดนและซินทราเล่า ไหนจะกลุ่มคนติดอาวุธที่บุกเข้าโจมตีซอดเดนกับบรูจจ์อีก ซอดเดนและบรูจจ์อยู่ในการคุ้มครองของเทเมเรีย และเราก็เป็นพันธมิตรกับเทเมเรียอยู่นะ ท่านทูต ซึ่งทำให้การบุกโจมตีเทเมเรียไม่ต่างอะไรกับการบุกโจมตีพวกเราด้วยเลย นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกหลายข้อที่มีความเกี่ยวข้องกับเรดาเนียโดยตรง ทั้งเหตุกบฏบนหมู่เกาะธาเนดด์และการลอบปลงพระชนม์องค์ราชาวิซิเมียร์ ไหนจะข้อสงสัยที่ว่าทางจักรวรรดิมีบทบาทอย่างไรในเหตุการณ์พวกนี้อีก”

ควอด แอตทิเน็ต (หากเป็น) เรื่องเหตุการณ์บนหมู่เกาะธาเนดด์” ราชทูตกล่าวพลางกางแขนทั้งสองออก “เกรงว่าข้าคงไม่มีอำนาจมากพอจะออกความเห็นใดๆ ได้ และองค์จักรพรรดิเอเมียร์ วาร์ เอ็มไรส์ ผู้สูงศักดิ์เองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหล่าจอมเวทของพวกท่านมีเรื่องบาดหมางอะไรกันอยู่ ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่การทักท้วงของเราประสบความสำเร็จเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับโฆษณาชวนเชื่อที่หมายจะทำให้คนเข้าใจเป็นอื่น โฆษณาชวนเชื่อที่ข้ากล้าพูดว่าคงไม่อาจแพร่สะพัดออกไปได้แน่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุดในราชอาณาจักรเรดาเนีย”

“ซึ่งคำทักท้วงของท่านก็ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจและแปลกใจเสียยิ่งกระไร” ดิจ์กสตราเอ่ยพลางยิ้มบางๆ “ในเมื่อจักรพรรดิของท่านยังไม่เคยคิดปิดบังเรื่องที่องค์หญิงแห่งซินทราไปปรากฏกายอยู่ในราชสำนักของเขา หลังจากที่นางถูกลักพาตัวไปจากหมู่เกาะธาเนดด์ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุเลย”

“ซิริลลา ราชินีแห่งซินทรา” ชิลาร์ด ฟิตซ์-ออสเทอร์เล็น แก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายพร้อมย้ำ “ไม่เคยถูกลักพาตัว นางแค่มาลี้ภัยอยู่ในจักรวรรดิเท่านั้น และมันก็ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะธาเนดด์เลย”

“จริงรึ”

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหมู่เกาะธาเนดด์” ราชทูตเอ่ยต่อด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “ทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกหวาดผวายิ่งนัก และการที่ราชาวิซิเมียร์ถูกบุรุษผู้บ้าคลั่งลอบปลงพระชนม์ยังทำให้ท่านรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างสุดหัวใจ อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเลวทรามที่แพร่สะพัดออกไปในหมู่สามัญชนนั้นกลับเป็นข่าวที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านั้นเสียอีก บางคนถึงกับกล้าบุกมาหาตัวผู้บงการเหตุร้ายครั้งนี้ในจักรวรรดินิล์ฟการ์ดเชียวนะ”

“ซึ่งเราเองก็หวังว่าหากผู้บงการตัวจริงถูกจับกุมตัว” ดิจ์กสตราเอ่ยช้าๆ “ข่าวลือทั้งหมดจะหายไปในที่สุด ส่วนเรื่องที่ว่าจะจับกุมตัวคนเหล่านั้น และมอบความยุติธรรมให้พวกเขาได้เมื่อไหร่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับเวลาทั้งสิ้น”

จัสทิเทีย ฟันดาเมนทัม เร็กโนรัม (ความยุติธรรมคือรากฐานแห่งการปกครอง)” ชิลาร์ด ฟิตซ์-ออสเทอร์เล็น ยอมรับอย่างเศร้าสร้อย “และ คริเม็น ฮอร์ริบิลิส นอน โพเทสต์ นอน เอสเซ พูนิบิเล (เราจะปล่อยให้ผู้ที่ก่อคดีร้ายแรงหลุดรอดไปโดยไม่ลงโทษไม่ได้) ข้าขอยืนยันว่าองค์จักรพรรดิเองก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน”

“และจักรพรรดิของท่านก็เติมเต็มความหวังที่ว่าได้” ดิจ์กสตราโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ ขณะยกแขนขึ้นกอดอก “หนึ่งในผู้นำกลุ่มกบฏ อีนิด อัน เกลียนนา หรือเมื่อไม่นานมานี้เป็นที่รู้จักกันในนามจอมเวทหญิงฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ ได้รับมอบอำนาจจากทางจักรวรรดิให้ขึ้นเป็นราชินีของรัฐหุ่นเชิดเอลฟ์ในโดลบลาธานนานี่”

“องค์จักรพรรดิผู้สูงส่ง” ราชทูตเอ่ยขณะค้อมหัวให้ด้วยท่าทางแข็งทื่อ “ไม่อาจยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นในโดลบลาธานนา ซึ่งถือเป็นดินแดนเอกราชในสายตาของผู้มีอำนาจในดินแดนข้างเคียงได้”

“แต่ไม่ใช่ในสายตาของเรดาเนีย สำหรับเรดาเนียแล้ว โดลบลาธานนายังถือเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเอเดิร์นอยู่ แม้ว่าพวกท่านจะร่วมมือกับพวกเอลฟ์และเคดเวนรื้อถอนที่นั่นไปจนหมดแล้วก็ตาม หรือต่อให้ลิเรียจะไม่เหลือแม้หินสักก้อน พวกท่านลบดินแดนพวกนี้ออกจากแผนที่โลกเร็วเกินไป เร็วเกินไปมาก ท่านทูต แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้คงยังไม่ใช่เวลาและสถานการณ์อันควรสำหรับการถกเถียงถึงเรื่องนี้ เชิญฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ ครองบัลลังก์จอมปลอมนั่นไปเถอะ เพราะในไม่ช้า นางจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่เหมาะสม แล้วเรื่องกบฏคนอื่นๆ กับมือสังหารที่ลอบปลงพระชนม์องค์ราชาวิซิเมียร์เล่า ยังมีเรื่องวิลเกอฟอท์ซแห่งโรกเกวีนกับเยนเนเฟอร์แห่งเวนเกอร์เบิร์กอีก มีมูลเหตุชวนเชื่อบางอย่างที่บ่งชี้ว่าสองคนนี้ได้หลบหนีไปที่นิล์ฟการ์ดหลังจากก่อกบฏไม่สำเร็จ”

“ข้าขอรับรองว่าไม่เป็นความจริง” ราชทูตกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้น “แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่มีทางหลบหนีโทษทัณฑ์พ้นอย่างแน่นอน”

“สองคนนั้นไม่ได้ทำอะไรให้พวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจึงไม่อาจลงโทษทั้งสองได้ หากจักรพรรดิเอเมียร์ต้องการพิสูจน์ว่าเขามีความยุติธรรมจริง ซึ่งถือเป็น ฟันดาเมนทัม เร็กโนรัม (หลักการพื้นฐานในการปกครอง) ก็จงส่งอาชญากรสองคนนั้นมาให้เราเสีย”

“ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธคำร้องขออันมีเหตุผลของท่าน” ชิลาร์ด ฟิตซ์-ออสเทอร์เล็น ยอมรับขณะแสร้งยิ้มอย่างอึดอัด “แต่ พริโม (ประการแรก) บุคคลทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่ในจักรวรรดิ ส่วน เซคันโด (ประการที่สอง) หากคนทั้งสองไปถึงจักรวรรดิได้จริง ก็ยังมีอุปสรรคอยู่ การจะส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นจำต้องอิงตามหลักยุติธรรมแห่งกฎหมาย ซึ่งแต่ละคดีจะได้รับการตัดสินแบ่งแยกกันไปโดยสภานิติบัญญัติแห่งจักรวรรดิ กรุณาอย่าลืมเชียวนะท่านว่าหากทางเรดาเนียเลือกที่จะตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับพวกเรา การกระทำเช่นนั้นจะถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ และคงจะเป็นการยากที่จะหวังให้สภานิติบัญญัติออกเสียงยินยอมให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่หวังเพียงเข้ามาลี้ภัย กลับไปยังฝ่ายเรียกร้องซึ่งถือเป็นดินแดนปรปักษ์ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…เว้นแต่…”

“เว้นแต่อะไร”

“เว้นแต่เราจะสร้างบรรทัดฐานขึ้นมาใหม่”

“ข้าไม่เข้าใจ”

“หากราชอาณาจักรเรดาเนียยอมส่งตัวคนในบังคับ หรืออาชญากรธรรมดาผู้หนึ่งที่ถูกจับตัวได้ที่นี่ให้กับองค์จักรพรรดิ พระองค์และสภาของพระองค์จะต้องตอบแทนความปรารถนาดีในครั้งนี้อย่างแน่นอน”

ดิจ์กสตรานิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ซึ่งหากดูจากสีหน้าของเขาแล้ว หากไม่กำลังสัปหงกก็คงกำลังครุ่นคิดอยู่

“ใครคือคนที่เจ้าต้องการ”

“ชื่อของอาชญากรผู้นั้น…” ราชทูตกล่าวขณะแสร้งทำเป็นนึก กระทั่งในที่สุด เขาก็ยื่นมือไปค้นเอกสารในกระเป๋าเอกสารหนังพิมพ์ลายของเขา “ขออภัยด้วย เมโมเรีย ฟราจิลิส เอสต์ (ความทรงจำเป็นสิ่งที่เปราะบางนัก) อยู่นี่เอง เขามีชื่อว่าคาเฮียร์ มอวร์ ดิฟฟริน เอบ เคลลาค ชายคนนี้มีคดีร้ายแรงติดตัวมากมาย มีทั้งคดีฆาตกรรม หนีทหาร แรพทัส พูเอลเล (ข่มขืนผู้เยาว์) ข่มขืนทั่วไป ลักขโมย และปลอมแปลงเอกสาร เขาจึงหนีโทสะขององค์จักรพรรดิไปต่างแดน”

“มาที่เรดาเนียนี่น่ะรึ มาไกลเสียจริงนะ”

“ท่านลอร์ด” ชิลาร์ด ฟิตซ์-ออสเทอร์เล็น กล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “อย่าเพิ่งรีบจำกัดขอบข่ายไว้แค่ที่เรดาเนียสิท่าน ข้าไม่สงสัยเลยว่าหากอาชญากรผู้นั้นถูกจับตัวได้ในราชอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกับท่าน ท่านลอร์ดจะต้องเคยได้ยินเรื่องนี้จากการรายงานของ…สหายที่มีอยู่มากมายของท่านแน่”

“เมื่อกี้ท่านบอกว่าเจ้าคนร้ายนั่นมีชื่อว่ากระไรนะ”

“คาเฮียร์ มอวร์ ดิฟฟริน เอบ เคลลาค”

ดิจ์กสตรานิ่งเงียบไปอีกครั้ง แสร้งทำเป็นนึกย้อนไปในความทรงจำของตน

“ไม่เลย” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “ไม่เคยมีคนชื่อนั้นถูกจับกุมมาก่อน”

“จริงหรือ”

“น่าเสียดายนะ แต่ เมโมเรีย (ความทรงจำ) ของข้าในเรื่องนี้ไม่ได้ ฟราจิลิส (เปราะบาง) เหมือนกับท่าน ท่านทูต”

“ข้าเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน” ชิลาร์ด ฟิตซ์-ออสเทอร์เล็น เอ่ยตอบเสียงเย็น “โดยเฉพาะเมื่อการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนคงไม่อาจเป็นไปได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าคงไม่รบกวนท่านลอร์ดต่อแล้ว ขออำนวยพรให้ท่านจงมีพลานามัยดีและมีโชคลาภ”

“ท่านก็เช่นกัน ลาก่อน ท่านทูต”

ราชทูตแห่งนิล์ฟการ์ดก้าวจากไปหลังคำนับให้อย่างเป็นทางการและอ่อนช้อยสองสามที

“จะไปจูบ เซมพิเทอร์นัม มีม (ตูดตัวเอง) ที่ไหนก็ไป ไอ้ปีศาจเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์เอ๊ย” ดิจ์กสตราพึมพำพลางยกแขนขึ้นกอดอก “โอริ!”

เลขานุการของเขาที่ใบหน้าแดงก่ำจากการกลั้นเสียงไอปรากฏกายขึ้นจากหลังผืนผ้าม่าน

“ฟิลิปปายังอยู่ในมอนเตคาลโวใช่หรือไม่”

“ใช่ขอรับ แฮ่มๆ ท่านหญิงโลค์-อันทิลล์ เมริโกลด์ และเมทซ์ก็อยู่กับนางด้วย”

“สงครามอาจปะทุขึ้นได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน ชายแดนริมฝั่งแม่น้ำยารูกาก็ใกล้จะลุกเป็นไฟอยู่รอมร่อ แต่คนพวกนี้ก็ยังเอาแต่หดหัวอยู่ในปราสาทอยู่อีก! หยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนเสีย ถึงฟิลที่รัก…โอ๊ย ให้ตายสิวะ!”

“ข้าเขียนไปว่า ‘ถึงฟิลิปปา’ นะขอรับ”

“ดีมาก เขียนต่อไป เจ้าคงจะสนใจไม่น้อยหากได้รู้ว่าเจ้าทหารสวมหมวกเกราะปีกนกที่หายตัวไปจากธาเนดด์อย่างลึกลับพอๆ กับตอนที่เขาปรากฏกายขึ้นมานั้นมีชื่อว่าคาเฮียร์ มอวร์ ดิฟฟริน และเขาเป็นบุตรชายของเจ้าหน้าที่ราชสำนักเคลลาค คนที่กำลังตามล่าเจ้าคนประหลาดผู้นี้อยู่ไม่ได้มีเพียงเราเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าหน่วยปฏิบัติการลับของวัทเทียร์ เดอ ริโดซ์ และคนของไอ้สวะ….”

“ท่านก็รู้นี่ว่าท่านหญิงฟิลิปปา แฮ่มๆ ไม่ชอบวาจาเช่นนั้น ข้าเขียนไปว่า ‘เจ้าคนเลว’ นะขอรับ”

“ตามใจ งั้นก็เป็นเจ้าคนเลวสเตฟาน สเกลเลน นั่น เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีเหมือนข้านี่ ฟิลที่รัก ว่าหน่วยปฏิบัติการลับแห่งจักรวรรดิจะออกเร่งรีบตามล่าเพียงเจ้าหน้าที่และทูตที่เคยขัดแข้งขัดขาเอเมียร์เท่านั้น พวกคนที่เลือกจะขัดคำสั่งและทรยศเขา แทนที่จะทำตามคำสั่งที่ว่าหรือยอมตายไปเปล่าๆ กรณีนี้จึงนับว่าน่าสงสัยทีเดียว เพราะพวกเราต่างมั่นใจมาตลอดว่าเจ้าคนที่ชื่อคาเฮียร์นี่จะต้องได้รับคำสั่งให้จับกุมตัวองค์หญิงซิริลลาให้ได้ และส่งตัวนางต่อไปยังนิล์ฟการ์ด”

“ทีนี้ขึ้นวรรคใหม่ ข้ามีความประสงค์จะปรึกษาเจ้าเป็นการส่วนตัวถึงความกังขาแปลกประหลาดทว่ามีเหตุผลที่ข้ามีต่อประเด็นนี้ รวมถึงพูดคุยกับเจ้าเรื่องทฤษฎีอันน่าพิศวงทว่าสมเหตุสมผลที่ข้าคิดขึ้นมาได้ด้วย ขอแสดงความนับถือจากใจจริง และอื่นๆ และอื่นๆ”

 

มิลวาขี่ม้าลงใต้ราวอีกาที่กำลังโบยบิน ทีแรกนางยังควบม้าไปตามริมฝั่งแม่น้ำริบบอน ข้ามผ่านตอไม้มอดไหม้ แล้วจึงข้ามแม่น้ำผ่านไปทางช่องเขาคับแคบเฉอะแฉะที่มีตะไคร่น้ำขึ้นครึ้มเป็นพรมสีเขียวสดอ่อนนุ่ม นางเดาว่าวิทเชอร์ที่ไม่คุ้นกับภูมิประเทศดีเหมือนนางจะต้องไม่กล้าเสี่ยงข้ามไปยังฝั่งแม่น้ำที่อยู่ในความควบคุมของพวกมนุษย์แน่ นางจึงลัดผ่านหัวโค้งขนาดใหญ่บริเวณแม่น้ำซึ่งโค้งงอเข้าหาโบรคิลอนอีกที บางทีนางอาจตามเขาทันแถวน้ำตกเคียนน์เทรส หรือถ้านางควบม้าต่อเนื่องไปโดยไม่หยุดพัก นางอาจแซงหน้าเขาไปเลยก็ได้

เสียงร้องแหลมของหมู่นกแชฟฟินช์ไม่เคยผิดพลาด เมฆครึ้มจำนวนมากได้เข้าปกคลุมทั่วฟากฟ้ายาวไปจนถึงทางตอนใต้ อากาศรอบด้านยิ่งทวีความอึดอัดและหนักอึ้งขึ้น และฝูงยุงกับตัวเหลือบก็มีมากเสียจนน่ารำคาญเป็นที่สุด

ตอนที่หญิงสาวขี่ม้าเข้ามาในพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งเต็มไปด้วยต้นเฮเซลไร้ใบประดับด้วยเมล็ดถั่วสีเขียวสดและต้นบัคธอร์นสีหม่น นางก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของใครบางคน แม้ไม่ได้ยินเสียง แต่นางก็รู้สึกได้ และก็รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นเอลฟ์

นางรั้งสายบังเหียนม้าเพื่อให้มือธนูที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้มองเห็นนางได้ถนัดตา มิลวากลั้นลมหายใจ หวังแค่เพียงให้ตนไม่บังเอิญพบกับเอลฟ์อารมณ์ร้อนเข้า

แมลงวันตัวหนึ่งบินหึ่งอยู่เหนือร่างของเจ้ากวางตัวผู้ ซึ่งห้อยพาดอยู่บนสะโพกส่วนหลังของม้า

แว่วเสียงดังกรอบแกรบและเสียงผิวปากแผ่วเบา นางผิวปากกลับไป เหล่าสกอยาเทลปรากฏกายออกมาจากพุ่มไม้อย่างเงียบเชียบ ตอนนี้เองที่มิลวาหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง นางรู้จักคนเหล่านี้ พวกเขาคือหน่วยรบในสังกัดของคอย์นนาค ดา รีโอ

เฮล (สวัสดี)” นางเอ่ยขณะลงจากม้า “เกสส์ วา (จะไปไหนรึ)”

เนสส์ (ไม่ได้ไป)” เอลฟ์ตนหนึ่งที่นางจำชื่อไม่ได้เอ่ยตอบเสียงเย็น “เคมม์ (ตามมา)”

เอลฟ์ตนอื่นๆ ตั้งค่ายอยู่ในบริเวณพื้นที่โล่งใกล้กัน มีเอลฟ์ด้วยกันทั้งหมดอย่างน้อยสามสิบตน ซึ่งนับว่ามากกว่าจำนวนที่ควรมีในหน่วยของคอย์นนาค เรื่องนี้ทำให้มิลวาตกใจไม่น้อย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา จำนวนคนในหน่วยของพวกกระรอกมีแต่จะลดลงเรื่อยๆ แทนที่จะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งในช่วงหลังมานี้ สมาชิกในหน่วยรบส่วนมากมักเป็นแค่เด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมที่ทั้งอวดดีและกระหายเลือด ซึ่งยังยืนหรือยืดตัวให้ตรงบนอานม้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าหน่วยรบนี้กลับต่างออกไป

เคด (สวัสดี) คอย์นนาค” นางเอ่ยทักหัวหน้าหน่วยที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้

เคดมิล ซอร์ซา (สวัสดี น้องสาวตัวน้อย)”

ซอร์ซา หรือน้องสาวตัวน้อย คือคำที่ผู้ที่สนิทสนมกับนางใช้เรียกนางเมื่อพวกเขาต้องการแสดงให้เห็นถึงความเคารพรัก และผู้ที่เรียกนางด้วยชื่อนั้นก็มีอยู่ไม่น้อยเลย หลายคนอายุมากกว่านางหลายปี ในทีแรกนางยังเป็นเพียงดวห์น – หรือมนุษย์ – สำหรับเอลฟ์เหล่านี้ ทว่าต่อมาหลังจากที่เริ่มช่วยเหลือพวกเขาบ่อยครั้งขึ้น พวกเขาจึงเรียกนางว่า แอน เวดเบียนนา หรือ ‘สตรีแห่งผืนป่า’ และภายหลังจากนั้นเมื่อได้รู้จักนางดียิ่งขึ้น พวกเขาจึงเรียกนางตามที่พวกนางไม้เรียกกันว่ามิลวา หรือเหยี่ยวแดง ส่วนชื่อที่แท้จริงซึ่งนางจะยอมเผยให้คนที่นางสนิทสนมด้วยที่สุดเป็นการตอบรับน้ำใจในลักษณะเดียวกันนั้น กลับไม่ใช่ภาษาที่เหมาะกับพวกเอลฟ์ เพราะพวกเขาจะออกเสียงว่า เมียรียา พร้อมตีหน้าบูดบึ้งราวกับชื่อนี้มีความหมายเชิงลบในภาษาของพวกเขา พวกเขาจึงสลับมาเรียกนางว่า ‘ซอร์ซา’ แทนในทันที

“พวกเจ้ากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนหรือ” มิลวาถามขณะมองไปรอบๆ อย่างตั้งใจ แต่กลับมองไม่เห็นเอลฟ์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเลยแม้แต่ตนเดียว “ไปที่แปด-ไมล์รึ หรือว่าโบรคิลอน”

“ไม่ใช่”

ด้วยเหตุที่รู้จักพวกเขาดี นางจึงยั้งปากไม่ให้เอ่ยถามต่อไป เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าเครียดเขม็งไร้ความเคลื่อนไหวและความเงียบงันชวนอึดอัดที่โรยตัวอยู่รอบกลุ่มคนซึ่งกำลังตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อมสรรพก็เพียงพอแล้ว แค่เพียงได้เห็นแววตาอันลึกล้ำยากจะหยั่งถึงเหล่านั้นใกล้ๆ นางก็รู้ได้ในทันทีว่าพวกเขากำลังจะไปรบ

ฟากฟ้าทางทิศใต้ยิ่งทวีความดำทะมึนและมืดครึ้มขึ้นทุกที

“แล้วเจ้าเล่า ซอร์ซา กำลังมุ่งหน้าไปที่ใด” คอย์นนาคเอ่ยถาม สายตาตวัดไปจ้องมองซากกวางที่พาดอยู่บนม้าของนางแล้วยิ้มบางๆ

“ทางใต้น่ะ” นางกล่าวแก้ความเข้าใจของเขาอย่างเย็นชา “ไปที่ไดรส์ชอต”

ฝ่ายเอลฟ์หุบยิ้ม

“เลียบชายฝั่งของพวกมนุษย์ไปหรือ”

“ก็จนกว่าจะถึงน้ำตกเคียนน์เทรสนั่นแหละ” นางกล่าวพลางยักไหล่ “พอข้าไปถึงน้ำตกนั่นเมื่อไหร่ ข้าจะกลับไปฝั่งของโบรคิลอนทันที เพราะว่า…”

นางหันหลังไปเมื่อได้ยินเสียงพ่นลมหายใจของฝูงม้า พวกสกอยาเทลหน้าใหม่กำลังมาเข้าร่วมกับหน่วยรบที่มีขนาดใหญ่ผิดวิสัยมากอยู่แล้ว และมิลวาก็รู้จักผู้มาใหม่พวกนี้ดีกว่าใคร

“เคียแรน!” นางตะโกนเบาๆ โดยไม่คิดปิดบังความอัศจรรย์ใจ “โทรูเวล! มาทำอะไรที่นี่เนี่ย ข้าเพิ่งนำทางพวกเจ้าไปโบรคิลอนเมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วนี่พวกเจ้า—”

เอส ครีเอซา (มันจำเป็นน่ะ) ซอร์ซา” เคียแรน เอบ เดียร์บ เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย ผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบศีรษะของเขายังมีเลือดซึมออกมา

“พวกเราไม่มีทางเลือก” โทรูเวลย้ำ นางใช้แขนเพียงข้างเดียวเหวี่ยงร่างลงจากม้าอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้กระเทือนไปถึงแขนอีกข้างซึ่งยังเข้าเฝือกอยู่ “พวกเราได้รับข่าว จึงไม่อาจรออยู่เฉยๆ ในโบรคิลอนได้ในสถานการณ์ที่ต้องการกำลังพลเช่นนี้”

“ถ้าข้ารู้” มิลวาเอ่ยขณะทำปากยื่น “ข้าคงไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ยื่นคอเข้าไปเสี่ยงที่ลุ่มน้ำตื้นหรอก”

“ข่าวพวกนั้นเพิ่งมาถึงเมื่อคืนนี้” โทรูเวลอธิบายเสียงค่อย “เราไม่อาจ…เราไม่อาจทอดทิ้งสหายร่วมรบของเราในเวลาเช่นนี้ได้ เราทำไม่ได้จริงๆ ช่วยเข้าใจเราด้วย ซอร์ซา”

ท้องนภายิ่งทวีความดำมืดขึ้นไปอีก คราวนี้มิลวาได้ยินเสียงฟ้าผ่าลั่นมาแต่ไกล

“อย่าได้ขี่ม้าไปทางใต้เชียวนะ ซอร์ซา” คอย์นนาค ดา รีโอ อ้อนวอน “พายุกำลังมา”

“อย่างกับว่าพายุจะทำอะไร…” หญิงสาวเงียบเสียงลงกะทันหันขณะจ้องมองเขาเขม็ง “อ้อ! แสดงว่าพวกเจ้าเองก็ได้ข่าวนั่นมาเหมือนกันสินะ เป็นพวกนิล์ฟการ์ดใช่ไหม พวกนั้นกำลังข้ามแม่น้ำยารูกาในซอดเดนกันอยู่รึไง พวกนั้นกำลังจะโจมตีบรูจจ์ใช่ไหม พวกเจ้าถึงได้กำลังจะเคลื่อนพลไปรบกัน”

อีกฝ่ายไม่ตอบ

“นั่นสินะ เหมือนที่โดลแองกราไม่มีผิด” นางกล่าวพลางจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาสีเข้มของเขา “อีกครั้งแล้วสิที่จักรพรรดิชาวนิล์ฟการ์ดสั่งให้พวกเจ้าใช้ไฟและดาบเป็นเครื่องมือในการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความโกลาหลลงที่แนวหลังของพวกมนุษย์ จากนั้นเขาก็จะยุติสงครามกับเหล่าราชันและหันมาเป็นฝ่ายสังหารพวกเจ้าเสียเอง เจ้าจะต้องมอดไหม้อยู่ในเปลวไฟที่พวกเจ้าเป็นคนก่อขึ้น”

“เปลวไฟจะชำระล้างทุกสิ่งและทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ เอนเยลล์ เฮล เอลเลยา ซอร์ซา หรือที่หมายความว่าการล้างบาปด้วยเปลวไฟในภาษาของเจ้า”

“ข้าขอเป็นไฟแบบอื่นดีกว่า” มิลวากล่าวขณะปลดมัดกวางและเหวี่ยงมันลงบนพื้นแทบเท้าพวกเอลฟ์ “แบบที่จะแตกปะทุเมื่อถ่มน้ำลายลงไป เอานี่ไปเสีย พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องทนหิวกันระหว่างเคลื่อนพล มันไม่จำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว”

“ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังเดินทางลงใต้อยู่หรือ”

“ก็ใช่”

ข้ากำลังเดินทางลงใต้ นางคิด และต้องรีบไปด้วย ข้าต้องไปเตือนเจ้าวิทเชอร์โง่นั่น ต้องไปเตือนเขาว่าเขากำลังจะเจอเหตุการณ์วุ่นวายแบบใด ข้าต้องโน้มน้าวใจให้เขาหันหลังกลับให้ได้

“อย่าไปเลย ซอร์ซา”

“ช่างข้าเถอะน่า คอย์นนาค”

“พายุกำลังมาจากทางใต้” เอลฟ์ย้ำ “พายุและเปลวไฟขนานใหญ่กำลังคืบคลานเข้ามา จงไปหลบซ่อนอยู่ที่โบรคิลอน น้องสาวตัวน้อย อย่าไปทางทิศใต้เลย เจ้าทำเพื่อเรามามากพอแล้ว และคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ แต่เราจำเป็น เอสส์ เท็ดด์ เอสเซ ครีเอซา! (ถึงเวลาอันสมควรแล้ว!) ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว ลาก่อน”

บรรยากาศรอบด้านช่างหนักอึ้งและชวนอึดอัด

 

เวทฉายภาพทางไกลนั้นเป็นเวทมนตร์ที่ซับซ้อนมาก ผู้ร่ายจำเป็นจะต้องร่ายเวทร่วมกันขณะจับมือกันไว้และเชื่อมโยงความคิดเข้าหากัน แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นเวทที่ต้องใช้ความพยายามเต็มที่อยู่ดี เนื่องจากระยะทางในคราวนี้นับว่าค่อนข้างไกลทีเดียว

เปลือกตาที่ปิดสนิทของฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท ขยับไหว ทริซ เมริโกลด์ หายใจหอบ ขณะที่บนหน้าผากสูงเถิกของเคียรา เมทซ์ มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา มีเพียงใบหน้าของมาร์การิตา โลค์-อันทิลล์ เท่านั้นที่ไร้ร่องรอยความเหนื่อยล้า

ทันใดนั้นภายในโถงอันขมุกขมัวก็สว่างไสวขึ้น แสงสว่างระยิบระยับเริงระบำวาดลวดลายไปตามแผ่นกระดานไม้สีเข้ม วัตถุรูปโลกเรืองแสงสีน้ำนมลูกหนึ่งลอยอยู่เหนือโต๊ะทรงกลม ฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท ร่ายเวทมนตร์จนจบ วัตถุทรงกลมลูกนั้นจึงเคลื่อนจากตัวนางไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในสิบสองตัวที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบโต๊ะ รูปทรงอันเลืองลางปรากฏขึ้นในวัตถุทรงกลมนั้น ภาพดังกล่าวเปล่งประกายวูบวาบ บ่งบอกว่าการฉายภาพยังไม่มั่นคงดี ทว่ามันกลับกระจ่างชัดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

“นรกเถอะ” เคียราบ่นอุบพลางยกมือขึ้นปาดหน้าผาก “ที่นิล์ฟการ์ดไม่มีเวทเปลี่ยนรูปหรือเวทเสริมสวยบ้างหรือไง”

“ต้องไม่มีอยู่แล้ว” ทริซพูดเสียงลอดมุมปากออกมา “ดูเหมือนพวกนั้นจะไม่รู้จักคำว่าสมัยนิยมด้วยซ้ำ”

“หรือแม้กระทั่งคำว่าเครื่องสำอาง” ฟิลิปปาเอ่ยเสียงเบา “แต่เงียบกันได้แล้ว แล้วก็อย่าจ้องนางแบบนั้นด้วย เราต้องทำให้ภาพฉายเสถียรกว่านี้และให้การต้อนรับแขกของเรา ช่วยเสริมพลังให้ข้าหน่อยสิ ริตา”

มาร์การิตา โลค์-อันทิลล์ ทวนสูตรเวทมนตร์และท่าทางการเคลื่อนไหวของฟิลิปปา ภาพฉายนั้นส่ายไหวไปมาอีกสองสามครั้ง และแล้วความคลุมเครือมืดสลัวและประกายแสงผิดธรรมชาตินั้นก็หายลับไป เส้นขอบและสีสันของภาพเริ่มเด่นชัดขึ้น ตอนนี้เหล่าจอมเวทหญิงมองเห็นรูปทรงที่อยู่อีกฟากของโต๊ะได้ชัดเจนขึ้น ทริซกัดริมฝีปากและขยิบตาให้เคียราอย่างมีเลศนัย

สตรีที่ปรากฏกายในภาพฉายนั้นมีใบหน้าซีดเผือดและผิวหยาบกร้าน นัยน์ตาแข็งทื่อไร้อารมณ์ ริมฝีปากบางสีคล้ำ และมีจมูกที่ค่อนข้างงองุ้ม นางสวมหมวกทรงกรวยรูปร่างประหลาดยับย่นเล็กน้อย เส้นผมสีเข้มที่สภาพไม่ค่อยจะดูดีนักไหลตกลงมาใต้ปีกหมวกอ่อนนุ่ม ทว่าความไม่มีเสน่ห์และสภาพกายโกโรโกโสนั้นกลับได้รับการเสริมแต่งให้ดูดีขึ้นด้วยชุดคลุมพองๆ สีดำไร้รูปทรง ตรงส่วนไหล่ประดับด้วยลายปักที่ถักขึ้นจากด้ายสีเงินหลุดลุ่ย ลวดลายปักนั้นเป็นภาพดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวพร้อมหมู่ดาวรายล้อม เป็นภาพประดับเพียงหนึ่งเดียวที่จอมเวทหญิงชาวนิล์ฟการ์ดใช้ประดับ

ฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท ลุกขึ้นยืน พยายามไม่แสดงท่าทีโอ้อวดเครื่องประดับอัญมณี ดิ้นเงินดิ้นทอง หรือร่องอกของตนจนเกินไป

“ท่านหญิงแอสไซร์” นางว่า “ยินดีต้อนรับสู่มอนเตคาลโว พวกเรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ท่านตอบรับคำเชิญของเรา”

“ข้าเพียงแค่นึกสงสัยเท่านั้น” จอมเวทหญิงจากนิล์ฟการ์ดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและไพเราะเกินคาดขณะยกมือขึ้นจัดหมวกของตนโดยไม่ได้ตั้งใจ มือของนางเป็นมือที่ทั้งบางและมีจุดสีเหลืองแต้มอยู่จำนวนมาก ซ้ำเล็บมือของนางยังแตกหัก ไม่เท่ากัน และเห็นได้ชัดว่าผ่านการขบกัดมา

“ข้าเพียงแค่นึกสงสัย” นางกล่าวทวน “ว่าผลกระทบของการตอบรับในครั้งนี้อาจนำหายนะมาสู่ตัวข้าได้ ข้าต้องการคำอธิบาย”

“ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังอย่างแน่นอน” ฟิลิปปาพยักหน้าพลางส่งสัญญาณให้จอมเวทหญิงคนอื่นๆ “แต่ก่อนอื่น ขอข้าเรียกภาพฉายของผู้เข้าร่วมท่านอื่น และกล่าวแนะนำตัวให้เรียบร้อยก่อนเถิด กรุณารอสักครู่”

จอมเวทหญิงทั้งหลายประสานมือเข้าหากันและเริ่มร่ายเวทอีกครั้ง อากาศรอบๆ ห้องโถงส่งเสียงฮึ่มฮั่มราวกับสายลวดที่กำลังตึงเขม็ง ขณะที่สายหมอกเรืองแสงหลั่งไหลออกมาจากหลังไม้กระดานบนเพดาน แผ่ขยายไปทั่วห้องจนก่อเกิดเป็นเงาวูบไหวมากมาย ก้อนแสงทรงกลมซึ่งกำลังกระเพื่อมไหวลอยอยู่เหนือเก้าอี้สามตัวที่ยังไม่มีคนนั่ง ก่อนที่เส้นขอบของรูปทรงบางอย่างจะค่อยๆ เด่นชัดขึ้น  รูปทรงแรกปรากฏเป็นร่างของซาบรีนา เกลวิสสิก ซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงตัวยาวสีน้ำเงินอมเขียวพร้อมคอเสื้อแหวกลึกชวนเร้าใจ ทั้งยังมีปกเสื้อทรงตั้งประดับดิ้นขนาดใหญ่ซึ่งล้อมกรอบอยู่รอบเส้นผมที่จัดแต่งเป็นทรงสวย ร้อยยึดไว้ด้วยรัดเกล้าเพชร ส่วนข้างกายนางนั้น เงาร่างของเชย์ลา เดอ ทานคาร์วิลล์ ปรากฏขึ้นกลางภาพฉายแสงพร่า นางแต่งกายด้วยชุดกำมะหยี่สีดำปักมุกพร้อมพันผ้าขนจิ้งจอกเงินไว้รอบคอ จอมเวทจากนิล์ฟการ์ดแลบเลียริมฝีปากบางๆ ของนางอย่างเป็นกังวล

รอให้เจ้าได้เห็นฟรานเชสกาเสียก่อนเถอะ ทริซคิด หากเจ้าได้เห็นฟรานเชสกาละก็ เจ้าหนูโสโครกเอ๋ย ตาของเจ้าได้ถลนออกมานอกเบ้าแน่

และฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย ไม่ว่าจะเป็นชุดกระโปรงยาวสีเลือดกระทิงแสนหรูหราฟุ้งเฟ้อ ทรงผมอันงดงามตระการตา สร้อยทับทิม และดวงตากลมโตดั่งตากวางที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอันงดงามของพวกเอลฟ์

“ท่านหญิงทั้งหลาย ขอต้อนรับพวกท่าน” ฟิลิปปาเอ่ย “สู่ปราสาทมอนเตคาลโวแห่งนี้ ข้าเชิญพวกท่านมาเพื่อปรึกษาหารือถึงประเด็นปัญหาบางประการที่ค่อนข้างมีความสำคัญ ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราต้องพบกันในรูปแบบของภาพฉาย เนื่องด้วยเวลา สถานการณ์ และระยะทางที่ไกลแสนไกล เราจึงไม่อาจมาพบหน้ากันตรงๆ ได้ ข้าคือฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท นายหญิงของปราสาทแห่งนี้ และในฐานะผู้จัดการชุมนุมและเจ้าภาพ ข้าจะขอกล่าวแนะนำตัวผู้ร่วมชุมนุม ณ บัดนี้ ทางขวามือของข้าคือมาร์การิตา โลค์-อันทิลล์ อธิการหญิงแห่งสถาบันอาเรทูซา ส่วนทางซ้ายมือของข้าคือทริซ เมริโกลด์ แห่งมาริบอร์ และเคียรา เมทซ์ แห่งคาร์เรราส ถัดจากนั้นคือซาบรีนา เกลวิสสิก แห่งอาร์ดคาร์เรก์ เชย์ลา เดอ ทานคาร์วิลล์ แห่งเครย์เด็นในโคเวียร์ ฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ หรือที่รู้จักกันในนามอีนิด อัน เกลียนนา ราชินีองค์ปัจจุบันของหุบเขาแห่งบุปผา และท่านสุดท้ายคือแอสไซร์ วาร์ อะนาฮิด แห่งวิโควาโรจากจักรวรรดินิล์ฟการ์ด และ ณ บัดนี้— ”

“และณ บัดนี้ข้าคงต้องขอกล่าวลา!” ซาบรีนา เกลวิสสิก ตะโกนออกมาขณะชี้นิ้วซึ่งประดับแหวนไว้หลายวงไปที่ฟรานเชสกา “เจ้าทำเกินไปแล้วนะ ฟิลิปปา! ข้าจะไม่ขอนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าเอลฟ์อัปรีย์นี่เด็ดขาด ถึงมันจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ตาม! เลือดที่ย้อมอยู่บนพื้นและผนังที่การ์สแตงยังไม่ทันจางหายไปด้วยซ้ำ! และนางก็คือผู้ที่ทำให้เลือดนั้นต้องหลั่งไหล! นางกับวิลเกอฟอท์ซ!”

“ช่วยรอดูอย่างสุภาพจะได้ไหม” ฟิลิปปากล่าว พลางใช้มือทั้งสองจับขอบโต๊ะแน่น “และใจเย็นหน่อย ฟังสิ่งที่ข้าจะพูดก่อน ข้าไม่ขออะไรไปมากกว่านี้แล้ว และหากข้าพูดจบ ใครจะอยู่หรือจะไปจากที่นี่ก็ตามใจ การฉายภาพนี้ดำเนินไปด้วยความสมัครใจ มันอาจถูกขัดจังหวะได้ทุกเมื่อ ข้าเพียงขอให้ผู้ที่ตัดสินใจจะจากไปเก็บเรื่องการประชุมนี้ไว้เป็นความลับก็พอ”

“ว่าแล้วเชียว!” ซาบรีนากระโจนขึ้นอย่างกะทันหันจนหลุดกรอบภาพฉายไปชั่วขณะ “เป็นการประชุมลับจริงๆ เสียด้วย! เป็นการประชุมอันลี้ลับ! หรือถ้าจะให้เรียกตรงๆ ก็คือการสบคบคิด! เห็นๆ กันอยู่ว่าการสมคบคิดในครั้งนี้มุ่งประเด็นไปที่ใคร เจ้ากำลังล้อเลียนพวกเราอยู่หรือไร ฟิลิปปา คิดจะสั่งให้เราปิดบังองค์ราชาและเพื่อนร่วมงานที่เจ้าไม่ได้เชิญมาที่นี่หรือ แถมคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นยังเป็นอีนิด ฟินดาแบร์ ที่เอเมียร์ วาร์ เอ็มไรส์ มอบบัลลังก์แห่งโดลบลาธานนาให้ ราชินีแห่งเอลฟ์ที่คอยส่งกองกำลังติดอาวุธไปสนับสนุนนิล์ฟการ์ดเป็นประจำ ยังไม่พอ ข้ายังนึกประหลาดใจอยู่เลยที่เรามีจอมเวทชาวนิล์ฟการ์ดมาร่วมด้วย ไม่ยักรู้นะเนี่ยว่าเหล่าจอมเวทแห่งนิล์ฟการ์ดเลิกถวายสัตย์และก้มหัวรับใช้พวกจักรวรรดิเยี่ยงทาสตั้งแต่เมื่อไหร่ ความลับหรือ ข้าขอถามว่ามันจะเป็นความลับได้อย่างไร! หากนางอยู่ที่นี่ด้วย นั่นย่อมหมายความว่านางได้รับคำอนุญาตจากเอเมียร์แล้ว! นางมาที่นี่ตามคำสั่งของเขา! ในฐานะหูตาของเขา!”

“ข้าขอปฏิเสธ” แอสไซล์ วาร์ อะนาฮิด เอ่ยอย่างสงบ “ไม่มีใครรู้ว่าข้ามาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และเมื่อมีผู้ร้องขอให้ข้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ข้าก็จะทำเช่นดังว่าและจะทำต่อไป เพื่อประโยชน์สุขของตัวข้าเอง และก็เพื่อประโยชน์สุขของเจ้า เพราะหากเรื่องในครานี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา ข้าคงไม่มีวันรอดชีวิตออกมาได้แน่ นั่นแหละคือชีวิตของทาสแห่งจักรวรรดิ มีแต่ต้องยอมก้มหัวรับใช้ไม่ก็เข้าตะแลงแกง แต่ข้าก็ยอมเสี่ยง ข้าไม่ได้มาที่นี่ในฐานะสายลับ และก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่พิสูจน์ความจริงใจของข้าได้ ขอแค่มีใครล่วงรู้ความลับดังที่เจ้าภาพของเรากล่าวไว้ ขอแค่ข่าวเรื่องการประชุมในครั้งนี้หลุดออกไปนอกกำแพง เพียงแค่นั้น ชีวิตข้าก็คงจะหาไม่”

“การที่ความลับหลุดลอดออกไปย่อมส่งผลในทางที่ไม่ดีต่อตัวข้าเองเช่นเดียวกัน” ฟรานเชสกาว่าพลางแย้มยิ้มทรงเสน่ห์ “เจ้ามีโอกาสแก้แค้นแล้วนะ ซาบรีนา”

“ข้าขอแก้แค้นด้วยวิธีอื่นดีกว่า เอลฟ์” ซาบรีนาเอ่ย นัยน์ตาสีดำของนางเปล่งประกายวาบอย่างมาดร้าย “หากความลับในครั้งนี้ถูกเปิดโปง มันจะต้องไม่ใช่เพราะฝีมือหรือเพราะความสะเพร่าของข้า ไม่มีทางเป็นฝีมือข้าอย่างเด็ดขาด!”

“คำพูดนั่นแฝงนัยอะไรหรือเปล่า”

“แน่นอนอยู่แล้ว” ฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท เอ่ยขัด “แน่นอนว่ามันต้องมีนัยอะไรบางอย่าง ซาบรีนาเพียงแค่กำลังเตือนท่านว่าข้าเองก็ร่วมมืออยู่กับซีกิสมุนด์ ดิจ์กสตรา เช่นกัน อย่างกับว่าตัวนางเองไม่เคยติดต่อกับสายลับของราชาเฮนเซลท์อย่างนั้นแหละ!”

“มันไม่เหมือนกัน” ซาบรีนาคำราม “ข้าไม่ได้เป็นคนรักของเฮนเซลท์มาตลอดสามปีเสียหน่อย! แล้วก็ไม่ใช่คนรักของสายลับเขาด้วย!”

“พอได้แล้ว! เงียบเสียที!”

“ข้าเห็นด้วย” จู่ๆ เชย์ลา เดอ ทานคาร์วิลล์ ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เงียบได้แล้ว ซาบรีนา เลิกพูดถึงเรื่องบนเกาะธาเนดด์ เรื่องสายสืบ และเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเสียที ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อร่วมทะเลาะหรือมาฟังพวกเจ้าด่าทอปั้นปึ่งใส่กันหรอกนะ แล้วข้าก็ไม่คิดจะเป็นคนไกล่เกลี่ยให้ใครด้วย หรือถ้าข้าได้รับเชิญมาเพื่อจุดประสงค์นั้นจริง ข้าก็ขอแจ้งไว้ตรงนี้เลยว่าความพยายามทั้งหมดล้วนสูญเปล่าทั้งสิ้น ที่จริงข้าเองก็นึกสงสัยอยู่บ้างเหมือนกันว่าข้าจะต้องมาเข้าร่วมการประชุมนี้โดยสูญเปล่าและไร้ซึ่งจุดประสงค์ใดๆ เป็นแค่การเสียเวลาที่ข้าเจียดมาจากเวลาทำงานวิจัยอย่างยากลำบากเปล่าๆ ปลี้ๆ อย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่ขอสันนิษฐานสิ่งใดล่วงหน้า แต่ข้าจะขอเสนอให้เรายกเวทีให้ฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท มารอฟังกันดีกว่าว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร และพวกเราจะมีบทบาทอะไรบ้าง จากนั้นพวกเราค่อยตัดสินใจโดยไม่มีอารมณ์อื่นใดที่ไม่จำเป็นมาเกี่ยวข้องว่า เราควรจะจัดการแสดงจำอวดนี้ต่อไปหรือจะปิดม่านลงดี เราทุกคนต้องระมัดระวังตัวกันทั้งสิ้น แต่ถ้ามีใครเผลอปากโป้งขึ้นมา ตัวข้า เชย์ลา เดอ ทานคาร์วิลล์ จะหาวิธีจัดการกับคนผู้นั้นด้วยตัวเอง”

ไม่มีจอมเวทคนใดขยับเคลื่อนไหวหรือพูดสิ่งใดออกมา ทริซไม่เคยนึกสงสัยในคำเตือนของเชย์ลาเลย เนื่องจากชาวโคเวียร์ผู้สันโดษไม่ใช่คนที่จะกล่าวคำขู่ออกมาพล่อยๆ

“เชิญท่านขึ้นเวทีได้ ฟิลิปปา และขอให้ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านโปรดจงอยู่ในความสงบจนกว่านางจะแสดงท่าทีว่านางพูดจบแล้ว”

ฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท ลุกขึ้นยืน ชุดกระโปรงของนางเสียดสีกันไปมา

“เหล่าพี่น้องผู้ทรงเกียรติของข้า” นางกล่าว “สถานการณ์ของเราในตอนนี้นับว่าสาหัสนัก เวทมนตร์กำลังถูกคุกคาม อีกทั้งเหตุโศกนาฎกรรมบนเกาะธาเนดด์ที่นำความเศร้าสลดและความไม่ยินยอมพร้อมใจมาให้ข้าอย่างใหญ่หลวงนั้น ยังพิสูจน์ให้พวกเราเห็นด้วยว่าความร่วมมือที่ดำเนินมาอย่างสงบสุขตลอดหนึ่งร้อยกว่าปีนี้ อาจกลายเป็นเรื่องสูญเปล่าได้ในทันทีเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวและความมักใหญ่ใฝ่สูงอันฟุ้งเฟ้อของคนบางกลุ่ม ตอนนี้เรามีแต่ความขัดแย้ง ความอลหม่าน ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและเป็นปรปักษ์ต่อกัน เหตุการณ์ทั้งหลายเริ่มจะทวีความวุ่นวายเกินควบคุม และเพื่อที่จะควบคุมเหตุการณ์เหล่านั้นให้ได้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เหตุหายนะใดเกิดขึ้นซ้ำอีก หางเสือของเรืออันโคลงเคลงท่ามกลางพายุลำนี้จะต้องมีผู้ที่แข็งแกร่งแน่วแน่เป็นผู้ควบคุมเท่านั้น ข้าเคยได้ปรึกษาหารือร่วมกับท่านหญิงโลค์-อันทิลล์ ท่านหญิงเมริโกลด์ และท่านหญิงเมทซ์มาก่อนแล้ว และเราทั้งหมดก็เห็นพ้องต้องกันว่าการจัดตั้งสมาพันธ์และสภาจอมเวทที่ถูกทำลายไปตั้งแต่บนเกาะธาเนดด์ขึ้นมาอีกครั้งคงไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ เพราะไม่ว่าจะในกรณีใด ผู้ที่ริเริ่มจัดตั้งสถาบันทั้งสองขึ้นมาใหม่ได้ก็ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังไม่มีสิ่งใดยืนยันได้อีกว่าสถาบันที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่นั้นจะไม่มีปัญหาแบบเดียวกันกับที่เคยติดเชื้อร้ายบ่อนทำลายสถาบันรุ่นก่อน เราควรจะจัดตั้งภาคีลับขึ้นมาใหม่โดยสมบูรณ์ โดยเป็นภาคีที่จะทำงานรับใช้เวทมนตร์โดยเฉพาะ และจะคอยทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุหายนะเกิดขึ้นซ้ำอีก เพราะหากเวทมนตร์สูญสลายหายไป โลกใบนี้จะต้องสูญสลายตามไปด้วยเป็นแน่ เช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน โลกที่ไร้เวทมนตร์และความเจริญที่เวทมนตร์นำมาให้จะเข้าสู่กลียุคและยุคมืดซึ่งเต็มไปด้วยหยาดเลือดและความป่าเถื่อน ฉะนั้นแล้ว เราจึงขอเชิญชวนเหล่าสุภาพสตรีที่ปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาเข้าร่วมในปฏิบัติการเชิงรุกครั้งนี้ด้วย ขอเรียนเชิญท่านทั้งหลายมาร่วมดำเนินการตามที่ได้แจ้งไว้ในที่ประชุมลับในครั้งนี้ และที่เราตัดสินใจเชิญพวกท่านมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะร่วมรับฟังความคิดเห็นของท่าน เรื่องที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้”

“ขอบคุณมาก” เชย์ลา เดอ ทานคาร์วิลล์ เอ่ยพลางพยักหน้า “หากท่านทั้งหลายอนุญาต ข้าจะขอเริ่มพูด ณ บัดนี้ ฟิลิปปาที่รัก คำถามแรกที่ข้าจะถามก็คือ ทำไมถึงต้องเป็นข้า เหตุใดข้าจึงถูกเรียกตัวมาที่นี่ ข้าเคยปฏิเสธคำเชิญที่สมาพันธ์ส่งมาให้หลายต่อหลายครั้ง และข้าก็ลาออกจากสภาจอมเวทมาแล้วด้วย เนื่องจากประการแรก งานของข้าหนักมาก ส่วนประการที่สอง ข้าเชื่อและยังเชื่อมาโดยตลอดว่าในโคเวียร์ โพวิส และเฮงฟอส์ยังมีผู้ที่สมควรจะได้รับเกียรตินี้มากกว่าข้า ดังนั้นข้าจึงขอถามว่าเหตุใดจึงต้องเชิญข้ามาที่นี่ แทนที่จะเป็นคาร์ดูอิน แทนที่จะเป็นอิสเทรดด์แห่งเอดด์กินวาเอล แทนที่จะเป็นทักดูอัลหรือซังเกนิส”

“เพราะคนเหล่านั้นเป็นบุรุษ” ฟิลิปปาเอ่ยตอบ “ภาคีนี้จะต้องประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น แล้วท่านเล่า ท่านหญิงแอสไซร์”

“ข้าขอถอนคำถามของข้า” จอมเวทชาวนิล์ฟการ์ดยิ้ม “เพราะคำถามของข้าคือคำถามเดียวกับที่ท่านหญิง เดอ ทานคาร์วิลล์ เพิ่งถามไป และข้าก็ได้รับคำตอบที่ข้าต้องการแล้ว”

“ได้กลิ่นมาตาธิปไตยลอยมาเชียวนะ” ซาบรีนา เกลวิสสิก พูดพลางยิ้มเยาะ “โดยเฉพาะเมื่อตัวเจ้าที่เพิ่งเปลี่ยน…รสนิยมทางเพศไปเป็นคนพูดมันออกมา ฟิลิปปา ข้าไม่ได้ติดใจอะไรพวกผู้ชายหรอก ออกจะชื่นชอบพวกเขาด้วยซ้ำ และข้าก็ไม่อาจจินตนาการถึงชีวิตที่ไร้ซึ่งพวกเขาได้ แต่ว่า…พอได้ลองคิดดูสักครู่…ข้อเสนอของเจ้าก็พอฟังขึ้นดีอยู่นะ พวกผู้ชายน่ะมีจิตใจไม่มั่นคง หวั่นไหวต่ออารมณ์ได้ง่าย และไม่อาจพึ่งพาได้ในสถานการณ์คับขัน”

“ถูกต้องแล้ว” มาร์การิตา โลค์-อันทิลล์ ยอมรับอย่างสงบ “ข้ามักนำผลการฝึกของเหล่าศิษย์ฝึกหัดจากอาเรทูซามาเปรียบเทียบกับผลการฝึกของศิษย์จากโรงเรียนในบานอาร์ดอยู่บ่อยๆ และผลการเปรียบเทียบก็มักจะบ่งบอกว่าสาวๆ ของเรามีฝีมือดีกว่า ผู้ร่ายเวทมนตร์จะเป็นต้องมีจิตใจสงบ ละเอียดอ่อน มีสติปัญญา ความรอบคอบ และความมานะอุตสาหะ ทั้งยังต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และความอดทนอดกลั้นต่อความพ่ายแพ้และความล้มเหลวอีกด้วย แต่พวกผู้ชายกลับมีแต่ความทะเยอะทะยาน พวกนั้นมักฝันใฝ่ในสิ่งที่ตนรู้ว่าไม่อาจครอบครองและเป็นไปไม่ได้ แต่กลับเมินเฉยต่อสิ่งที่ไขว่คว้าได้เสียนี่”

“พอๆ พอเสียที” เชย์ลาเอ่ยขัดนางโดยไม่พยายามปกปิดรอยยิ้ม “ไม่มีสิ่งใดย่ำแย่ไปกว่านักวิชาการที่สนับสนุนแนวคิดมาตาธิปไตยอีกแล้ว หัดอับอายเสียบ้าง ริตา แต่ถึงกระนั้น…ใช่ ข้าเองก็คิดว่าข้อเสนอในการสร้าง…ภาคี หรือสถาบันที่ประกอบขึ้นด้วยสมาชิกเพียงเพศเดียวนั้น ฟังดูสมเหตุสมผลดีทีเดียว เพราะจากที่เราได้ยินมา เรื่องในคราวนี้มีความเกี่ยวข้องกับอนาคตของเวทมนตร์ด้วย และเวทมนตร์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเกินกว่าจะฝากฝังไว้ในมือของพวกผู้ชาย”

“ขออภัย” น้ำเสียงอันไพเราะของฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ แว่วขึ้นมา “ข้าขออนุญาตเบี่ยงประเด็นออกจากเรื่องหลักหญิงเป็นใหญ่ที่เป็นไปตามธรรมชาติและไม่อาจปฏิเสธได้นี้สักครู่ เปลี่ยนมาพูดเรื่องปฏิบัติการเชิงรุกที่พวกท่านเสนอมา ซึ่งข้ายังไม่ค่อยเข้าใจในจุดประสงค์ดีนัก เพราะท่านคงไม่ได้เลือกช่วงเวลานี้โดยบังเอิญ และยังมีเรื่องให้ต้องขบคิดอีกมาก ไฟสงครามกำลังลุกโหมอยู่ และนิล์ฟการ์ดก็ได้โค่นล้มและต้อนราชอาณาจักรทางตอนเหนือจนจนมุมหมดแล้ว คงไม่ใช่ว่าเบื้องหลังคำขวัญกว้างๆ ที่ข้าได้ยินมานี้ พวกท่านกลับซุกซ่อนแผนพลิกสถานการณ์เอาไว้หรอกนะ พลิกมาเป็นฝ่ายโค่นล้มและต้อนนิล์ฟการ์ดให้จนมุม จากนั้นค่อยหาทางดัดหลังพวกเอลฟ์จอมโอหังอีกที หากสิ่งที่ท่านหวังเป็นเช่นนั้นจริง ฟิลิปปาที่รัก เกรงว่าเราคงจะตกลงกันไม่ได้ง่ายๆ เสียแล้วสิ”

“นั่นคือเหตุผลที่ข้าได้รับเชิญมาที่นี่หรือ” แอสไซร์ วาร์ อะนาฮิด ถามขึ้น “ข้าอาจไม่ได้สนใจการเมืองนัก แต่ข้าก็รู้เรื่องที่กองทัพของจักรวรรดิกำลังฉกฉวยหาผลประโยชน์จากกองทัพของท่านในสงครามครั้งนี้อยู่ นอกจากท่านหญิงฟรานเชสกาและท่านหญิงเดอ ทานคาร์วิลล์ซึ่งเป็นตัวแทนของราชอาณาจักรที่วางตัวเป็นกลางแล้ว พวกท่านทั้งหลายต่างเป็นตัวแทนของราชอาณาจักรที่เป็นปรปักษ์ต่อจักรวรรดินิล์ฟการ์ดทั้งสิ้น แล้วจะให้ข้าเข้าใจคำว่าน้ำหนึ่งใจเดียวกันอันสุดแสนอัศจรรย์นี้ได้อย่างไร ว่าเป็นการปลุกปั่นให้เกิดการทรยศหรือ ต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่อาจรับบทนั้นได้จริงๆ”

ทันทีที่พูดจบ แอสไซร์ก็โน้มตัวไปด้านหน้าราวกับจะสัมผัสอะไรบางอย่างที่อยู่นอกกรอบภาพฉาย ทริซคล้ายจะได้ยินเสียงร้องเหมียว

“นางมีแมวด้วย” เคียรา เมทซ์ กระซิบ “ข้ากล้าพนันเลยว่ามันต้องเป็นสีดำแน่…”

“เงียบน่า” ฟิลิปปาแหว “ฟรานเชสกาที่รัก และท่านหญิงแอสไซร์ที่เคารพ ปฏิบัติการเชิงรุกของเราจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการเมืองทั้งสิ้น นั่นแหละคือหลักการขั้นพื้นฐานของมัน เราจะไม่ยอมให้ประเด็นด้านเผ่าพันธุ์ ราชอาณาจักร ราชาหรือจักรพรรดิมาชี้นำเราเป็นอันขาด มีเพียงประเด็นด้านเวทมนตร์และอนาคตของมันเท่านั้น”

“ในเมื่อเราเลือกจะยึดถือเวทมนตร์ไว้เป็นลำดับแรก” ซาบรีนา เกลวิสสิก กล่าว ก่อนจะแย้มยิ้มเย้ยหยัน “หวังว่าพวกท่านคงจะไม่ลืมประเด็นเรื่องส่วนได้ส่วนเสียของเหล่าจอมเวทหญิงนะ เป็นที่รู้กันดีว่าจอมเวทในนิล์ฟการ์ดได้รับการต้อนรับอย่างไร เราจะนั่งคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองที่นี่ต่อก็ได้ แต่หากนิล์ฟการ์ดได้รับชัยชนะขึ้นมาและพวกเราต้องอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิ เราคงมีสภาพเหมือน…”

ทริซขยับเปลี่ยนท่าด้วยความกังวล ฟิลิปปาถอนหายใจเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน เคียราก้มหัวต่ำ เชย์ลาแสร้งทำเป็นจัดแต่งขนเฟอร์พันคอของตนให้ตรง ฟรานเชสกากัดริมฝีปาก ส่วนใบหน้าของแอสไซร์ วาร์ อะนาฮิด ไม่ขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับปรากฏรอยสีแดงระเรื่อขึ้นมา

“ข้าแค่ตั้งใจจะบอกว่าพวกเราคงจะซวยกันหมดแน่” ซาบรีนารีบจบประโยคอย่างว่องไว “ข้า ฟิลิปปา และทริซ พวกเราทั้งสามล้วนเคยอยู่ที่เนินซอดเดนมาก่อน เอเมียร์จะต้องหาทางแก้แค้นให้กับความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นแน่ ทั้งยังเรื่องบนเกาะธาเนดด์และเรื่องที่พวกเราเคยกระทำลงไปอีก แต่นั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในความกังวลที่ข้ามีต่อการจัดตั้งภาคีที่เป็นกลางด้านการเมืองในครั้งนี้ การจะเข้าร่วมภาคีที่ว่านี้ หมายความว่าเราจะต้องละมือจากภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองจริงๆ ซึ่งเรามีต่อองค์ราชาของเราด้วยหรือไม่ หรือเราจะต้องแบกรับหน้าที่นั้นต่อไป และต้องคอยรับใช้นายเหนือหัวถึงสองคนในคราวเดียว นั่นก็คือเหล่ากษัตริย์และเวทมนตร์”

“หากผู้ใดบอกข้าว่าเขาเป็นกลางทางการเมือง” ฟรานเชสกายิ้ม “ข้าจะถามเขากลับเสมอว่าเขาหมายถึงการเมืองแบบใดกันแน่”

“ข้าเดาออกเลยว่าจะต้องไม่ใช่การเมืองที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน” แอสไซร์ วาร์ อะนาฮิด กล่าวเสริมพลางจ้องมองฟิลิปปา

“แต่ข้าวางตัวเป็นกลางทางการเมืองนะ” มาร์การิตา โลค์-อันทิลล์ เอ่ยแทรกขณะเงยศีรษะขึ้น “เช่นเดียวกับโรงเรียนของข้า และข้าก็หมายถึงการเมืองทุกประเภท ทุกรูปแบบ และทุกหมวดหมู่ที่มีอยู่จริงด้วย!”

“สุภาพสตรีทั้งหลาย” เชย์ลาเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไปนาน “อย่าลืมสิว่าเราคือเพศที่เป็นใหญ่ ฉะนั้นก็อย่าทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ ที่ทะเลาะแย่งถาดขนมกันดีกว่า ข้อเสนอของฟิลิปปานั้นชัดเจนดีอยู่แล้ว อย่างน้อยก็สำหรับข้า และข้าก็ไม่มีเหตุผลพอให้คิดว่าพวกท่านฉลาดน้อยกว่าข้าด้วย ภายนอกห้องประชุมแห่งนี้ ท่านจะเป็นใครก็ได้ จะรับใช้ผู้ใดก็ได้ จะซื่อสัตย์แค่ไหนก็ตามแต่ใจท่าน หากแต่เมื่อมาร่วมชุมนุมกัน เราควรจะมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเวทมนตร์และอนาคตของมันเท่านั้น”

“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าจินตนาการไว้” ฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท เห็นพ้อง “ข้าทราบดีว่าปัญหามีอยู่มากมาย เช่นเดียวกับข้อสงสัยและเรื่องไม่แน่ใจ แต่ไว้เราค่อยพูดคุยกันในการพบปะครั้งต่อไป ซึ่งจะเป็นการพบปะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ใช่ในรูปแบบของภาพฉายหรือภาพลวงตาอีกต่อไป หากแต่เป็นการพบปะกันซึ่งหน้าจริงๆ การปรากฏตัวของท่านจะไม่ถือเป็นการเข้าร่วมภาคีอย่างเป็นทางการ ทว่าเป็นเพียงการแสดงสันถวไมตรีต่อกันเท่านั้น เราจะมาร่วมตัดสินกันในภายภาคหน้าว่าควรจะจัดตั้งภาคีเช่นนี้ขึ้นมาดีหรือไม่ โดยจะเป็นการตัดสินใจร่วมกันทุกคน และแต่ละคนก็จะมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน”

“ทุกคนเลยหรือ” เชย์ลาย้ำ “ที่นั่งบางที่ยังว่างอยู่เลย และข้าขอเดาว่าท่านคงไม่ได้เอาเก้าอี้มาวางไว้เฉยๆ แน่”

“ภาคีที่ว่าควรจะมีสมาชิกเป็นจอมเวทหญิงทั้งหมดสิบสองคน ข้าขอให้ท่านหญิงแอสไซร์เป็นคนเสนอชื่อผู้ที่จะมานั่งในตำแหน่งที่เหลือนั้นในการประชุมครั้งหน้า เราควรจะหาจอมเวทหญิงที่คู่ควรจากจักรวรรดินิล์ฟการ์ดมาร่วมชุมนุมด้วยอย่างน้อยอีกหนึ่งคน ส่วนตำแหน่งที่สองนั้น ข้าขอยกหน้าที่ให้กับท่าน ฟรานเชสกา ท่านจะได้ไม่รู้สึกว่าท่านเป็นเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียว ส่วนตำแหน่งที่สาม…”

อีนิด อัน เกลียนนา เงยศีรษะขึ้น

“ข้าขอสองที่ ข้ามีผู้สมัครทั้งหมดสองคน”

“มีพวกท่านคนใดต้องการจะคัดค้านหรือไม่ หากไม่มี ข้าจะขออนุมัติคำร้องขอที่ว่า วันนี้เป็นวันที่ห้าของเดือนสิงหาคม หรือก็คือวันที่ห้านับจากคืนเดือนมืด พี่น้องที่รักยิ่งทั้งหลาย เราจะมาร่วมชุมนุมกันอีกครั้งในวันที่สองนับจากคืนจันทร์เต็มดวง หรือก็คืออีกสิบสี่วันนับจากนี้”

“ประเดี๋ยวสิ” เชย์ลา เดอ ทานคาร์วิลล์ เอ่ยขัดจังหวะ “ยังเหลือที่ว่างอีกที่หนึ่ง ใครคือจอมเวทหญิงคนที่สิบสอง”

“นั่นแหละคือปัญหาแรกที่ภาคีของเราจะต้องตัดสินแก้ไข” ฟิลิปปาเอ่ยพลางแย้มยิ้มลึกลับ “ไว้ข้าจะบอกท่านในอีกสองสัปดาห์ว่าใครคือผู้ที่จะมานั่งในตำแหน่งที่สิบสองนั้น แล้วเราค่อยมาพิจารณากันอีกทีว่าจะหาทางกล่อมบุคคลที่ว่าอย่างไรให้ยอมรับตำแหน่ง การตัดสินใจของข้าจะต้องทำให้ท่านประหลาดใจอย่างแน่นอน เพราะบุคคลผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา พี่น้องที่รักยิ่ง เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวพันกับความเป็นความตาย การทำลายล้างหรือการกำเนิดใหม่ ความวุ่นวายหรือความสงบสุข ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะมองจากมุมไหนเท่านั้น”

 

ผู้คนทั้งหมู่บ้านต่างพากันกรูออกมาจากบ้านเพื่อเฝ้าดูกลุ่มโจรพวกนี้เดินผ่านไป ทูซิกเองก็มาร่วมเฝ้าดูด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่เขามีงานต้องทำ แต่เขากลับไม่อาจห้ามตัวเองได้ เพราะในช่วงไม่กี่วันมานี้ ผู้คนต่างเอาแต่พูดกันถึงเรื่องของกลุ่มหนู[5] ถึงกับมีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วว่ากลุ่มคนเหล่านี้ถูกจับแขวนคอกันหมดแล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าข่าวลือนั้นเป็นข่าวลวง หลักฐานพิสูจน์ก็คือกลุ่มคนที่กำลังเดินขบวนผ่านสายตาคนทั้งหมู่บ้านอย่างสง่าผ่าเผยและไม่รีบเร่งในเวลานี้

“ไอ้พวกอันธพาลจอมอวดดีเอ๊ย” ใครบางคนด้านหลังทูซิกกระซิบ เป็นเสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “ถึงกับกล้ามาเดินอาดๆ กลางทางหลวงเชียวรึนี่…”

“แถมยังแต่งตัวหรูหราอย่างกับแขกในงานแต่งอีก…”

“ดูม้าพวกนั้นสิ! ขนาดพวกนิล์ฟการ์ดยังไม่มีม้าดีๆ แบบนั้นเลย”

“ฮ่า ต้องเป็นม้าที่ขโมยมาแหงๆ ไม่มีม้าตัวไหนปลอดภัยจากมือของคนพวกนี้หรอก ทุกวันนี้เจ้าอาจเอาม้าไปขายได้ทุกที่ แต่เจ้าพวกนี้จะเก็บม้าที่ดีที่สุดไว้ให้ตัวเองเสมอ…”

“คนที่อยู่ข้างหน้าสุดนั่น ดูสิ นั่นคือจิเซลเฮอร์…หัวหน้าของพวกมัน”

“ส่วนคนที่ขี่ม้าสีเกาลัดอยู่ข้างๆ มัน คนที่เป็นเอลฟ์หญิงนั่น…พวกมันเรียกนางว่าอิสครา…”

สุนัขพันทางตัวหนึ่งวิ่งพรวดพราดออกมาจากด้านหลังรั้ว มันส่งเสียงเห่าอย่างเกรี้ยวกราดขณะวิ่งพล่านอยู่ใกล้ๆ กีบเท้าหน้าม้าของอิสครา เอลฟ์สาวสะบัดเรือนผมดกสีเข้ม หักม้ากลับมา โน้มตัวลงมาที่พื้น แล้วฟาดมันด้วยแส้ เจ้าสุนัขหวีดร้องโหยหวนแล้วหมุนตัวอยู่ที่เดิมสามครั้งตอนที่อิสคราถ่มน้ำลายใส่มัน ทูซิกสบถพึมพำลอดซี่ฟันที่ขบเข้าหากัน

บรรดาผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยังคงส่งเสียงกระซิบกระซาบและลอบชี้นิ้วไปยังเหล่าหนูแต่ละคนซึ่งกำลังเคลื่อนขบวนผ่านหมู่บ้านไป ทูซิกจำต้องเงี่ยหูฟังด้วยความจำเป็น เขาเองก็รู้เรื่องข่าวซุบซิบและเรื่องเล่าต่างๆ ดีไม่แพ้คนอื่น และจดจำได้อย่างง่ายดายว่าเจ้าของเส้นผมยาวสีฟางยุ่งเหยิงที่กำลังกัดกินแอ๊ปเปิ้ลอยู่นั้นมีชื่อว่าเคย์ลีก์ ส่วนคนที่มีลาดไหล่กว้างมีชื่อว่าแอส และผู้ที่สวมเสื้อหนังแกะแขนกุดปักลายมีชื่อว่ารีฟ

เด็กสาวสองคนขี่ม้าจับมือเคียงข้างกันอยู่ท้ายขบวน คนสูงกว่าที่นั่งอยู่บนม้าสีน้ำตาลแดงมีเส้นผมเล็มสั้นราวกับเพิ่งหายจากโรคไข้รากสาดใหญ่ เสื้อชั้นนอกไม่ได้กลัดกระดุมไว้ ส่วนข้างใต้เป็นเสื้อครึ่งตัวลายลูกไม้ที่ส่องแสงเป็นประกายสีขาว เช่นเดียวกับสร้อยคอ กำไล และต่างหูของนางซึ่งสะท้อนแสงวูบวาบเจิดจ้า

“เด็กสาวที่โกนผมสั้นคือมิสเซิล…” ใครสักคนข้างๆ ทูซิกเอ่ยขึ้น “ใส่เครื่องประดับเยอะเหมือนต้นยูล[6]ไม่มีผิด”

“ว่ากันว่านางเคยฆ่าคนมามากกว่าจำนวนครั้งที่นางได้เห็นฤดูใบไม้ผลิเสียอีก…”

“แล้วอีกคนเล่า คนที่อยู่บนม้าสีสวาดนั่น คนที่มีดาบพาดอยู่บนหลังน่ะ”

“พวกนั้นเรียกนางว่าฟอลกา นางอยู่กับพวกหนูมาตั้งแต่ฤดูร้อนแล้ว ว่ากันว่าเป็นเด็กที่ฝีมือร้ายกาจน่าดู…”

ทูซิกเดาว่าเด็กที่ฝีมือร้ายกาจนั่นน่าจะมีอายุไม่มากไปกว่ามิเลนา บุตรสาวของเขาเท่าไร เส้นผมสีเหลืองอ่อนของหัวขโมยวัยเยาว์ไหลลงมาจากใต้หมวกทรงกลมเนื้อกำมะหยี่ ประดับด้วยพวงขนไก่ฟ้าซึ่งขยับไหวไปมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใคร รอบคอของนางมีผ้าไหมสีแดงดุจดอกป๊อบปี้ผูกไว้เป็นโบสีฉูดฉาด

ทันใดนั้นเอง ความอลหม่านก็ปะทุขึ้นในหมู่ชาวบ้านที่ออกันอยู่หน้ากระท่อม เนื่องจากจิเซลเฮอร์ที่ขี่ม้าอยู่หน้าสุดของกลุ่มได้รั้งม้าไว้ ก่อนจะโยนถุงเงินที่ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งด้วยท่าทีไม่แยแสลงแทบเท้าแม่เฒ่าไมกิตาซึ่งยืนค้ำไม้เท้าอยู่

“ขอปวงเทพจงคุ้มครองเจ้า เหล่าหนุ่มสาวผู้มีน้ำใจ!” แม่เฒ่าไมกิตาร่ำร้อง “ขอให้เจ้ามีสุขภาพแข็งแรง ท่านผู้มีพระคุณของเรา ขอให้พวกเจ้า—”

เสียงหัวเราะลั่นของอิสคราดังกลบเสียงพึมพำของแม่เฒ่าเสียสนิท เอลฟ์สาวเหวี่ยงท่อนขาที่กระฉับกระเฉงข้ามปุ่มอานม้า ล้วงมือเข้าไปในถุง แล้วคว้าเหรียญหนึ่งกำมือขึ้นมาโปรยใส่กลุ่มคนอย่างคล่องแคล่ว รีฟและแอสเองก็ทำตามนาง ส่งผลให้เหรียญเงินจำนวนมากโปรยปรายลงบนท้องถนนเปื้อนฝุ่น เคย์ลีก์ส่งเสียงหัวเราะคิก แล้วจึงโยนแกนแอ๊ปเปิ้ลเข้าไปในฝูงชนที่กำลังยื้อแย่งกอบโกยเงินกันอุตลุด

“เหล่าผู้มีพระคุณของเรา!”

“เหยี่ยวน้อยผู้กล้าหาญของเรา!”

“ขอโชคชะตาโปรดปรานีพวกเจ้า!”

ทูซิกไม่ได้วิ่งตามคนอื่นไป ไม่ได้คุกเข่าลงเพื่อกอบโกยเงินจากทรายหรือกองขี้ไก่ เพียงยืนนิ่งอยู่ริมรั้ว จ้องมองเด็กสาวทั้งสองเคลื่อนผ่านไปช้าๆ

ทว่าเด็กสาวคนที่อายุน้อยกว่า หรือก็คือเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีอ่อนกลับสังเกตเห็นสีหน้าและสายตาของเขาเข้า นางปล่อยมือออกจากมือของเด็กสาวผมสั้นกุด แล้วกระตุ้นม้าตรงรี่มาหาเขา ดันร่างเขาจนหลังแนบติดกับรั้ว และเกือบจะผลักโกลนของตนมาชน นัยน์ตาสีเขียวของนางเปล่งประกายวาบจนเขาตัวสั่น ด้วยมองเห็นแววมุ่งร้ายและความเกลียดชังเย็นชืดอย่างมากล้นที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“ปล่อยเขาไปเถอะ ฟอลกา” เด็กสาวอีกคนส่งเสียงโดยไม่มีความจำเป็น

หัวขโมยนัยน์ตาเขียวตัดสินใจผลักร่างทูซิกจนแผ่นหลังแนบชิดกับรั้วอีกครั้ง แล้วจึงชักม้าตามหลังพวกหนูไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

“เหล่าผู้มีพระคุณของเรา!”

“เหยี่ยวน้อย!”

ทูซิกถ่มน้ำลาย

ในช่วงเย็นของวันนั้น กลุ่มบุรุษในชุดเครื่องแบบสีดำก็ได้มาเยือนหมู่บ้าน พวกเขาคือทหารม้าหน้าตาไม่เป็นมิตรจากป้อมประจำการใกล้ๆ เฟน แอสปรา เสียงกีบเท้าม้าของพวกเขากระทบพื้นดังตุ้บ ม้าของพวกเขาส่งเสียงร้องฮี้ อาวุธของพวกเขากระทบกันดังแกร๊ง เมื่อถูกถาม ผู้นำหมู่บ้านและเหล่าชาวบ้านต่างก็พร้อมใจกันโกหกพกลมเพื่อส่งเหล่าผู้ล่าไปทิศทางอื่นแทน เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเอ่ยถามทูซิก

พอกลับมาจากทุ่งเลี้ยงสัตว์และเดินตรงเข้าไปในสวน เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างเข้า เขาจำได้ว่านั่นคือเสียงร้องแหลมของบุตรสาวฝาแฝดของคนขับเกวียนนามสการ์บา น้ำเสียงแตกเนื้อหนุ่มของบรรดาบุตรชายของเพื่อนบ้าน รวมถึงเสียงร้องของมิเลนา พวกนั้นคงกำลังเล่นกันอยู่ เขาคิด และเมื่อเลี้ยวอ้อมหัวโค้งตรงโรงเก็บฟืนไป เขาก็ชะงักนิ่งอยู่กับที่

“มิเลนา!”

มิเลนา บุตรสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา ลูกสาวที่เขารักยิ่ง บัดนี้นางห้อยท่อนไม้ผูกเชือกไว้บนหลังราวกับมันเป็นดาบ นางปล่อยผม เอาขนไก่กระทงมาติดเข้ากับหมวกขนแกะ และยังนำผ้าพันคอของผู้เป็นแม่มาผูกไว้รอบคอเป็นโบสีสันฉูดฉาดรูปร่างแปลกตา

ดวงตาของนางเป็นสีเขียว

ทูซิกไม่เคยตีลูกสาวของเขามาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะเงื้อมือ

ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาตีนาง

 

แสงฟ้าแลบฉายวาบพาดผ่านเส้นขอบฟ้า ตามมาด้วยเสียงอสนีบาตกัมปนาท ลมพายุพัดโชยผ่านผิวของแม่น้ำริบบอน

อีกเดี๋ยวพายุคงเข้าแน่ มิลวาคิด และหลังจากพายุผ่านพ้นไป สายฝนก็จะเทลงมา เหล่านกแชฟฟินช์ไม่เคยคาดการณ์พลาดเลย

หญิงสาวกระตุ้นม้าไปข้างหน้า นางต้องเร่งมือแล้วหากอยากตามวิทเชอร์ให้ทันก่อนพายุฝนจะเทกระหน่ำ

 

บทที่สอง

ผิวน้ำที่ใสดั่งผลึกของแม่น้ำริบบอนกระเพื่อมขึ้นมาเหนือชั้นหินเป็นคลื่นโค้งอันราบเรียบนุ่มนวล ก่อนจะม้วนตัวตกลงมาเป็นสายน้ำตกขึ้นฟองเสียงดังสนั่นท่ามกลางก้อนหินใหญ่ที่มีสีดำราวหินโอนิกซ์ สายน้ำแตกกระจายออกเป็นสายๆ บนหินเหล่านั้นและจางหายไปเป็นฟองสีขาว จากนั้นจึงแตกสาขาออกมาเป็นหนองน้ำกว้างใหญ่ที่มีผิวน้ำใสกระจ่างเสียจนมองเห็นก้อนกรวดและสาหร่ายสีเขียวทุกเส้น ซึ่งส่ายไหวไปมาตามกระแสน้ำใต้ร่องน้ำที่สะท้อนแสงเป็นลวดลายหลากสี

ทั่วริมตลิ่งทั้งสองฝั่งปกคลุมไปด้วยผืนหญ้าปม ฝูงนกมุดน้ำพลุกพล่านอยู่ทั่วทุกที่ คอยอวดโฉมพุ่มขนสีขาวบนคออย่างภาคภูมิใจ พุ่มไม้หนามากมายขึ้นอยู่เหนือผืนหญ้าปม สะท้อนแสงสีเขียว น้ำตาล และเหลืองแกมน้ำตาลทาบลงบนแนวต้นสนที่ดูราวกับถูกโปรยปรายด้วยเกล็ดสีเงินละลานตา

“จริงด้วยแฮะ” แดนดิไลออนถอนหายใจ “ที่นี่งดงามดีจริงๆ”

ปลาบูลเทราต์สีเข้มขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพยายามดีดตัวขึ้นไปเหนือขอบน้ำตก มันลอยตัวอยู่กลางอากาศชั่วครู่พร้อมหางและครีบที่สะบัดพลิ้ว ก่อนจะร่วงกลับลงมาสู่สายน้ำขึ้นฟองฟอด

ท้องฟ้าอันมืดมิดทางตอนใต้ถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยเส้นแสงอสนีบาตรูปง่าม เสียงกังวานทึบทื่อของสายฟ้าอันห่างไกลลั่นครืนอยู่เหนือแนวไม้ เจ้าม้าสีน้ำตาลแดงของวิทเชอร์ร่ายรำไปมา สะบัดหัวของมันและแย้มปากอวดฟัน มันพยายามคายเหล็กขวางปากออก เกรอลท์กระตุกสายบังเหียนอย่างแรง ส่งผลให้ร่างของอาชาเพศเมียถอยร่นไปด้านหลัง กีบเท้าที่กำลังเต้นรำกระทบพื้นหินอย่างต่อเนื่อง

“โว้ว! โว้ววว! เห็นเจ้านี่ไหม แดนดิไลออน อย่างกับสาวนักบัลเล่ต์ไม่มีผิด! ไว้ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ข้าจะขายเจ้านี่ทิ้งทันที! เชิญหวดข้าได้เลยถ้าข้าไม่เอามันไปแลกเป็นลา!”

“เจ้าคิดรึว่าโอกาสแบบนั้นจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้” นักกวีกล่าวขณะเการอยคันจากการถูกยุงกัดบนต้นคอ “ภูมิประเทศอันดิบเถื่อนของหุบเขาแห่งนี้ก็ดูมีสุนทรียะด้านความงดงามดีอยู่หรอก แต่ถ้าจะให้ดี ข้าคงมีความสุขมากหากได้เจอที่พักคนเดินทางที่มีความงดงามน้อยกว่านี้ ตั้งเกือบอาทิตย์แล้วนะที่ข้าได้แต่ชื่นชมธรรมชาติ ทัศนียภาพ และเส้นขอบฟ้าอันห่างไกลที่สวยงามจนแทบลืมหายใจ แต่ข้าชักจะคิดถึงพื้นที่ในร่มขึ้นมาเสียแล้วสิ โดยเฉพาะพื้นที่ที่จัดหาอาหารอุ่นๆ และเบียร์เย็นๆ ให้เราได้”

“เห็นทีเจ้าคงจะต้องคิดถึงมันต่อไปอีกสักพักเสียแล้วละ” วิทเชอร์เอ่ยพร้อมหันหน้ามาหาทั้งที่ยังอยู่บนอาน “แต่ การได้รู้ว่าข้าเองก็คิดถึงแดนอารยะไม่แพ้กันอาจจะช่วยให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้ เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าต้องติดอยู่ในป่าโบรคิลอนตั้งสามสิบหกวัน…กับอีกสามสิบหกคืน ธรรมชาติอันแสนงดงามของที่นั่นทำเอาก้นข้าเย็นจนแข็งไปหมด แถมความเย็นยังไต่คลานขึ้นมาจนถึงไขสันหลังและกลายสภาพเป็นน้ำค้างหยดลงมาบนจมูกข้าอีก เฮ้ยยย! ให้ตายห่าสิวะ! เมื่อไหร่จะเลิกอารมณ์บูดเสียที เจ้าม้าแก่นี่”

“คงเพราะกำลังถูกเหลือบไรกัดอยู่แน่ๆ พวกแมลงยิ่งทวีความดุร้ายและกระหายเลือดมากขึ้น เพราะพายุกำลังใกล้เข้ามา ท้องฟ้าทางทิศใต้มีฟ้าแลบและฟ้าผ่าถี่ขึ้นทุกที”

“ข้าเห็นแล้ว” วิทเชอร์กล่าวพลางจ้องมองท้องฟ้า มือคอยดึงสายบังเหียนของเจ้าม้าแสนพยศไปด้วย “แถมสายลมยังพัดมาจากทั่วทุกสารทิศ มันมีกลิ่นของทะเล เห็นได้ชัดว่าสภาพอากาศกำลังเปลี่ยนไป รีบไปกันต่อเถอะ เร่งฝีเท้าเจ้าม้าอ้วนของเจ้าเสียสิ แดนดิไลออน”

“ม้าของข้าชื่อเพกาซัสต่างหาก”

“แหงละ มันจะเป็นชื่ออื่นไปได้ยังไง เอางี้ไหม มาลองตั้งชื่อให้เจ้าม้าพันธุ์เอลฟ์แก่นี่กันดีกว่า อืมม…”

“ทำไมไม่ใช้ชื่อโรชเล่า” นักกวีล้อ

“โรชรึ” วิทเชอร์เห็นพ้อง “ฟังดูดีนี่”

“เกรอลท์”

“อะไรรึ”

“เจ้าเคยมีม้าตัวไหนที่ไม่ได้ชื่อโรชบ้างไหม”

“ไม่” วิทเชอร์ตอบหลังจากครุ่นคิดไปชั่วครู่หนึ่ง “ไม่มีเลย รีบกระตุ้นเจ้าเพกาซัสถูกตอนนั่นมาได้แล้ว แดนดิไลออน เรายังต้องเดินทางกันอีกไกล”

“นั่นสินะ” นักกวีคำรามในคอ “นิล์ฟการ์ด…เจ้าพอจะรู้ไหมว่าอีกไกลแค่ไหน”

“ค่อนข้างไกลทีเดียว”

“เราจะไปถึงก่อนฤดูหนาวรึเปล่า”

“เราจะไปที่เวอร์เดนก่อน เราต้อง…ไปคุยธุระที่นั่น”

“ธุระอะไรกัน อย่าได้คิดจะพูดให้ข้าท้อหรือสลัดข้าทิ้งเชียว ถึงอย่างไรข้าก็จะไปด้วย! ข้าขอยื่นคำขาด”

“เดี๋ยวก็รู้ อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ เราจะไปที่เวอร์เดนกัน”

“อีกไกลไหม เจ้ารู้จักพื้นที่แถบนี้ด้วยหรือ”

“รู้จัก ที่นี่คือน้ำตกเคียนน์เทรส และข้างหน้าเราก็มีสถานที่ที่ชื่อว่าเจ็ดไมล์ ส่วนเนินเขาที่ตั้งอยู่โพ้นแม่น้ำโน่นคือเนินเขานกฮูก”

“แล้วเราก็กำลังมุ่งหน้าเลียบแม่น้ำลงใต้กันอยู่สินะ แม่น้ำริบบอนจะไปบรรจบกับแม่น้ำยารูกาใกล้ๆ กับป้อมปราการที่โบดร็อก…”

“เรากำลังมุ่งหน้าลงใต้ แต่จะเลียบไปตามตลิ่งอีกฝั่งแทน แม่น้ำริบบอนจะเลี้ยวโค้งไปทางทิศตะวันตก และเราจะเดินทางผ่านป่ากัน ข้าอยากไปยังที่ที่มีชื่อว่าไดรส์ชอต หรือสามเหลี่ยม ซึ่งเขตแดนแห่งเวอร์เดน บรูจจ์ และโบรคิลอนมาบรรจบกัน”

“แล้วจากนั้นเล่า”

“เราจะเลียบไปตามแม่น้ำยารูกา ตรงไปที่ปากน้ำ และไปที่ซินทรา”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

“จากนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้เจ้าช่วยเร่งฝีเท้าไอ้เพกาซัสนั่นให้เร็วขึ้นกว่านี้อีกนิดเถอะ”

 

ฝนห่าใหญ่เทลงมาระหว่างที่ทั้งสองกำลังข้ามแม่น้ำอยู่ตรงจุดกึ่งกลางพอดี แรกเริ่มมีแค่สายลมแรงที่พัดพามา แต่กลับรุนแรงดั่งพายุหมุนจนผมเผ้าและเสื้อคลุมของทั้งสองคนปลิวว่อนไปทั่ว กิ่งไม้และใบไม้ที่ฉีกกระชากมาจากแนวต้นไม้ริมตลิ่งฟาดเข้าใส่ใบหน้าของทั้งสอง พวกเขาเปล่งเสียงตะโกนเร่งม้าขณะเตะมันด้วยส้นเท้า ส่งผลให้สายน้ำหมุนวนเป็นสายระหว่างที่ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังริมตลิ่ง ทันใดนั้นสายลมก็หายลับไปกะทันหัน จากนั้นทั้งคู่ก็มองเห็นผืนห่าฝนสีเทาค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาพวกเขา ผิวน้ำของแม่น้ำริบบอนแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวพลุ่งพล่าน ราวกับมีใครบางคนนำก้อนกรวดจำนวนมากมาโปรยลงบนผืนน้ำนั้น

เมื่อมาถึงริมตลิ่งอีกฝั่งในสภาพชุ่มโชกไปทั้งตัว ทั้งสองจึงรีบมุ่งตรงเข้าไปหลบซ่อนในป่า กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ได้กลายมาเป็นหลังคาสีเขียวหนาแน่นเหนือศีรษะของทั้งสอง ทว่าหลังคาเช่นนี้กลับไม่อาจป้องกันทั้งคู่จากฝนห่าใหญ่ได้ สายฝนเทกระหน่ำอย่างรุนแรงและไหลทะลักลงมาตามใบไม้ ไม่นานก็สาดซัดลงบนตัวคนทั้งสองอย่างรุนแรงไม่ต่างอะไรกับตอนที่ยังอยู่กลางแจ้งเลย

พวกเขาห่อตัวด้วยเสื้อคลุม ดึงฮู้ดขึ้นสวม แล้วเดินหน้าต่อไป ในป่ารกเริ่มจะมืดครึ้มขึ้นทุกที มีเพียงแสงสว่างที่แผ่วาบออกมาจากสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงยาวชวนหูดับ โรชยิ่งตื่นตูมหนัก มันกระทืบเท้าลงบนพื้นและเคลื่อนไหวอย่างเร็วไปรอบๆ ในขณะที่เพกาซัสยังคงใจเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“เกรอลท์!” แดนดิไลออนตะโกน พยายามกลบเสียงสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงลงมากลางป่าราวกับเกวียนเล่มยักษ์ “เราต้องหยุดกันแล้วนะ! หาที่หลบกันดีกว่า!”

“ที่ไหนเล่า” เขาตะโกนกลับมา “ไปต่อ!”

ทั้งสองจึงควบม้าไปต่อ

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ พายุฝนก็แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด สายลมรุนแรงหวนกลับมาพัดโชยกิ่งไม้จนเกิดเป็นเสียงดังซู่ซ่าอีกครั้ง และเสียงกัมปนาทของสายฟ้าก็หยุดผ่าเข้าไปในแก้วหูของทั้งสอง พวกเขาควบม้าไปตามเส้นทางท่ามกลางพุ่มต้นเอลเดอร์หนาทึบ จากนั้นจึงตรงเข้าสู่พื้นที่โล่งกว้างซึ่งมีต้นบีชต้นสูงตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลาง ที่ใต้กิ่งก้านเหล่านั้น เกวียนเทียมล่อเล่มหนึ่งจอดนิ่งอยู่บนพื้นดินที่ปกคลุมด้วยพรมใบไม้สีน้ำตาลผืนหนาและผลของต้นบีช คนขับเกวียนซึ่งกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับเล็งหน้าไม้ตรงมาทางพวกเขา เกรอลท์สบถ ทว่าเสียงสบถของเขากลับถูกกลืนหายไปกับเสียงกัมปนาทของสายฟ้า

“วางหน้าไม้ลงเถิด โคลดา” ชายร่างเตี้ยสวมหมวกฟางเอ่ยขณะหันหน้ามาจากลำต้นบีชโดยกระโดดอยู่บนขาข้างเดียว มือผูกเชือกกางเกงเข้าด้วยกัน “พวกเขาไม่ใช่คนที่เรากำลังรออยู่หรอก แต่เป็นลูกค้าต่างหาก อย่าเพิ่งทำให้ลูกค้าตื่นกลัวสิ เราอาจมีเวลาไม่มาก แต่เวลาค้าขายน่ะมีอยู่เสมอ!”

“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย” แว่วเสียงพึมพำของแดนดิไลออนจากด้านหลังเกรอลท์

“ทางนี้ ท่านเอลฟ์ทั้งสอง!” ชายสวมหมวกเรียกหา “อย่าได้กังวลใจไป ไม่มีใครคิดทำอันตรายท่านทั้งนั้น เนสส์ อะ เทียร์ธ! วา เซดห์ เคดมิล! (อย่าได้กลัวไปเลย ท่านเอลฟ์ สวัสดี!) เราเป็นสหายกันไม่ใช่หรือ อยากค้าขายกันสักหน่อยไหม มาเถอะ มาทางนี้ มาหลบฝนใต้ต้นไม้นี่เร็ว!”

เกรอลท์ไม่แปลกใจกับความผิดพลาดของคนขับเกวียน เพราะทั้งเขาและแดนดิไลออนสวมเสื้อคลุมสีเทาแบบพวกเอลฟ์ อีกทั้งตัวเขายังสวมเสื้อรัดรูปแขนกุดประดับลายใบไม้อย่างที่พวกเอลฟ์ชื่นชอบ ซึ่งเหล่านางไม้เป็นผู้มอบให้เขา แถมยังนั่งอยู่บนม้าที่ตบแต่งด้วยเครื่องประดับม้าและบังเหียนแบบเอลฟ์ทั่วไป ใบหน้าส่วนหนึ่งของเขาซุกซ่อนอยู่ใต้ฮู้ด ส่วนทางด้านแดนดิไลออนจอมโอ่นั้น ก็มักถูกเข้าใจผิดเป็นเอลฟ์หรือลูกครึ่งเอลฟ์เป็นประจำ โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เขาเริ่มไว้ผมยาวประบ่าและเริ่มใช้ที่หนีบผมดัดเกลียวจนติดเป็นนิสัย

“ระวังด้วย” เกรอลท์พึมพำขณะก้าวลงจากม้า “ตอนนี้เจ้าคือเอลฟ์ เพราะงั้นก็อย่าเปิดเผยตัวเองเป็นอันขาดหากไม่จำเป็น”

“ทำไมเล่า”

“เพราะพวกนั้นเป็นพ่อค้าเร่”

แดนดิไลออนคำรามเสียงแผ่ว เขารู้ดีว่าวาจานั้นหมายความว่าอย่างไร

เงินตราคือสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกทั้งใบ และอุปทานย่อมถูกขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ เหล่าสกอยาเทลที่ตระเวนท่องไปทั่วป่ามักจะเก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ที่ไร้ประโยชน์กับพวกเขา แต่สามารถนำมาขายได้ ทว่าในขณะเดียวกัน กลุ่มคนเหล่านั้นกลับขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์เสียเอง ด้วยเหตุนี้การค้าขายภายในป่าจึงเริ่มต้นขึ้น มีมนุษย์จำนวนมากที่ได้ดิบได้ดีจากการค้าขายประเภทนี้ และเกวียนของพ่อค้าหน้าเลือดที่ค้าขายกับพวกกระรอกก็เริ่มปรากฏขึ้นอย่างลึกลับตามแนวชายป่า เส้นทาง แอ่งราบ และพื้นที่โล่งหลายแห่ง เหล่าเอลฟ์เรียกคนกลุ่มนี้ว่า เฮฟคาเรน ซึ่งถึงแม้จะเป็นคำที่ถอดความไม่ได้ แต่ดูเหมือนความหมายของมันจะมีความเกี่ยวข้องกับคำว่าละโมบโลภมาก ในขณะเดียวกัน คำว่า ‘พ่อค้าเร่’ ก็เริ่มกลายเป็นคำที่แพร่หลายในหมู่มนุษย์ และความหมายโดยนัยของมันก็ยิ่งทวีความน่าเกลียดขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากพฤติกรรมอันย่ำแย่ของเหล่าพ่อค้า โดยพวกเหล่านี้มักจะทำตัวโหดเหี้ยมอำมหิต และจะไม่ยอมหยุดเป็นอันขาดแม้จะต้องลงมือฆ่าใครก็ตาม นอกจากนี้ด้วยความที่พ่อค้าเร่ที่ถูกทางกองทัพจับตัวได้จะไม่ได้รับความปรานีเป็นอันขาด พวกเขาจึงไม่คิดจะปรานีใครเช่นกัน หากพบใครที่มีแนวโน้มว่าจะจับตัวพวกเขาส่งให้ทางการ พ่อค้าเร่พวกนี้จะเอื้อมมือไปฉวยหน้าไม้หรือมีดทันทีโดยไม่ลังเล

และในครั้งนี้ โชคก็ไม่ได้เข้าข้างพวกเขาเอาเสียเลย เคราะห์ยังดีที่พ่อค้าเร่เหล่านี้เข้าใจไปว่าทั้งสองเป็นเอลฟ์ เกรอลท์ดึงฮู้ดของเขาลงบดบังดวงตาเอาไว้ และเริ่มจินตนาการไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเฮฟคาเรนสองคนนี้มองการตบตาของพวกเขาออก

“อากาศแย่อะไรอย่างนี้” พ่อค้าเร่กล่าวขณะถูมือเข้าด้วยกัน “ฝนตกอย่างกับฟ้ารั่วแน่ะ! ช่างเป็น เทดด์ (ช่วงเวลา) ที่แย่เสียจริง เอลเลยา (ว่าไหม) แต่จะทำอย่างไรได้ ถึงอย่างไรในการทำธุรกิจก็ไม่เคยมีคำว่าอากาศแย่ มีแต่สินค้าและการเงินเท่านั้นแหละที่จะย่ำแย่ลง! ท่านเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม”

เกรอลท์พยักหน้า ส่วนแดนดิไลออนคำรามบางอย่างออกมาจากใต้ฮู้ด โชคยังดีที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเหล่าเอลฟ์นั้นเกลียดชังการสนทนากับมนุษย์ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร ทว่าคนขับเกวียนก็ยังไม่ยอมลดหน้าไม้ลง ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“พวกท่านขึ้นตรงกับใครหรือ อยู่หน่วยของใคร” พ่อค้าเร่เอ่ยถามโดยไม่แยแสต่อความเงียบงันของลูกค้า เช่นเดียวกับพ่อค้าเร่ที่ทำอาชีพอย่างจริงจังคนอื่นๆ “คอย์นนาค ดา รีโอ รึ หรือว่าแองกัส บริ-คริ หรือจะเป็นริออร์เดน ข้าได้ยินมาว่าริออร์เดนเพิ่งจะใช้ดาบสังหารเจ้าพนักงานในราชสำนักคนหนึ่งไป พวกนั้นกำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากที่เพิ่งเสร็จงานจัดเก็บอากร ซึ่งเป็นอากรที่อยู่ในรูปของเงินเหรียญ ไม่ใช่เมล็ดข้าว ข้าเองก็ไม่รับน้ำมันดินที่ได้จากการกลั่นไม้เป็นของแลกเปลี่ยนเหมือนกัน เช่นเดียวกับเมล็ดข้าวหรือเสื้อผ้าเปื้อนเลือด แต่ถ้าเป็นขนสัตว์ ข้าจะรับแต่ขนมิงค์ ขนเซเบิล หรือเพียงพอนเท่านั้น แต่ของแลกเปลี่ยนที่ข้าชอบที่สุดย่อมต้องเป็นเงินเหรียญ อัญมณี หรือเครื่องประดับมีค่า! หากท่านมีของเหล่านี้ติดตัวอยู่ละก็ เราก็พอจะค้าขายกันได้! สินค้าของข้ามีแต่ของชั้นหนึ่งทั้งนั้น! เอเวอเลย์น วารา เอ็น อาร์ด สเก็ดเดอ เอลเลยา (ข้ามีทุกอย่าง เป็นสินค้าชั้นหนึ่งทั้งสิ้น) ท่านเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม ข้ามีทุกอย่างเลย ลองเข้ามาดูก่อนสิ”

พ่อค้าเร่ก้าวตรงไปที่เกวียนแล้วดึงขอบผ้าใบอันเปียกชุ่มออก ทั้งสองจึงได้เห็นดาบ ธนู ลูกศรจำนวนมาก และอานม้าอีกหลายชิ้น พ่อค้าลงมือค้นข้าวของและดึงลูกธนูออกมาหนึ่งดอก หัวลูกศรของธนูดอกนั้นมีลักษณะคล้ายขอบใบเลื่อย

“ท่านหาของแบบนี้จากพ่อค้าคนอื่นไม่ได้หรอกนะ” เขาเอ่ยอย่างโอ้อวด “แค่ได้จับมัน พวกนั้นก็คงอุจจาระราดแล้วกระมัง เพราะถ้าหากถูกทางการจับได้ว่าขายลูกธนูแบบนี้ พวกข้าคงได้ถูกจับฉีกร่างด้วยม้าแน่ แต่ข้ารู้ดีว่ากระรอกอย่างพวกท่านชอบอะไร ลูกค้าย่อมต้องมาก่อนเสมอ และการค้าขายก็ย่อมมีความเสี่ยง แต่ข้าจะยอมเสี่ยงตราบใดที่ยังทำกำไรได้! ข้าขอขายลูกธนูหัวตะขอนี้ที่…เก้าโอเร็นต่อหนึ่งโหล นาฟดิ แอน ทเวดีนน์ เอลเลยา เข้าใจไหม เซดห์ (ท่านเอลฟ์) ข้าสาบานว่าข้าไม่ได้กำลังรีดไถท่าน ข้าเองก็แทบทำกำไรไม่ได้เหมือนกัน ขอสาบานด้วยหัวของลูกๆ ข้าเลย หรือหากท่านยอมซื้อมันสักสามโหล ข้าจะลดราคาให้อีกนิดก็ได้ ถือเป็นการต่อรองไง สาบานเลยว่านี่เป็นแค่การต่อรองเท่านั้น — นี่ เซดห์ เอามือออกจากเกวียนของข้าเดี๋ยวนี้!”

แดนดิไลออนรีบชักมือของเขาออกจากผ้าใบอย่างประหม่า ก่อนดึงฮู้ดลงมาบดบังใบหน้ามากกว่าเดิม เป็นอีกครั้งที่เกรอลท์นึกสาปแช่งเจ้านักกวีที่ไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ได้

เมียร์มี วารา (ข้าแค่อยากจะดูสินค้า)” แดนดิไลออนพึมพำขณะยกมือขึ้นทำท่าขอโทษขอโพย “สคูเอสส์มี (ขออภัยด้วย)”

“ไม่เป็นไร” พ่อค้าเร่กล่าวพร้อมยิ้มยิงฟัน “แต่อย่าได้แอบมองเข้าไปเชียว เพราะข้างในนั้นยังมีสินค้าอื่นที่ไม่ใช่ของขายหรือไม่ใช่ของสำหรับเซดห์อยู่ เป็นของสั่งทำพิเศษน่ะ ฮ่าๆ แต่พล่ามกันมามากพอแล้ว…รีบแสดงหน่วยเงินของท่านให้เราดูเสียที”

เป็นไงเป็นกัน เกรอลท์คิดขณะจ้องมองร่องพาดสายธนูบนหน้าไม้ของคนขับเกวียน เขามีเหตุผลให้เชื่อว่าหัวลูกศรของคนขับเกวียนนั้นก็คงเป็นหัวตะขอเช่นเดียวกัน เหมือนกับหัวลูกศรที่พ่อค้าเร่เพิ่งแสดงให้เขาดูอย่างภาคภูมิใจเมื่อครู่ และหากมันเสียบเข้าช่องท้อง มันคงจะทะลุแผ่นหลังเขาออกมาสักสามหรือสี่แห่ง และเปลี่ยนเครื่องในให้กลายเป็นสตูเนื้อเละเทะไม่เหลือชิ้นดี

เนสส์ เทดด์ (ไม่มีเวลาแล้ว)” เขาเอ่ย พยายามเอื้อนเอ่ยให้เป็นท่วงทำนอง “เทียร์เด มิรีนน์ วารา วาเอน วอร์ท เราจะค้าขายกันหลังกลับมาจากหน่วยรบอีกที เอลเลยา เข้าใจใช่ไหม ดวห์น”

“เข้าใจแล้ว” พ่อค้าเร่ว่าพลางถ่มน้ำลาย “เข้าใจว่าพวกท่านกระเป๋าแห้งน่ะสิ พวกท่านชอบสินค้าของข้า แต่ก็แค่ไม่มีเงินพร้อมจ่าย งั้นก็จงไปเสีย! และอย่าได้กลับมาอีก เพราะข้ากำลังเฝ้ารอคู่ค้าคนสำคัญอยู่ พวกท่านจะปลอดภัยกว่าหากอยู่ให้ห่างจากสายตาของพวกนั้นไว้ จงไปที่—”

เสียงของเขาจางหายไปกลางคันเมื่อได้ยินเสียงพ่นลมหายใจของม้า

“เวรเอ๊ย!” เขาคำราม “สายไปแล้ว! พวกนั้นมาถึงแล้ว! ดึงฮู้ดลงเร็ว เอลฟ์! อย่าขยับแล้วก็ปิดปากให้สนิท! โคลดา ให้ตายสิวะ รีบๆ เอาหน้าไม้นั่นลงเร็วเข้า!”

ฝนห่าใหญ่ สายฟ้า และพรมใบไม้ผืนใหญ่กลบเสียงฝีเท้าของฝูงม้าเสียมิด ซึ่งย่อมหมายความว่าเหล่าผู้ขี่จะควบม้าเข้ามาใกล้ได้โดยที่ไม่มีใครพบเห็น รวมถึงโอบล้อมต้นบีชเอาไว้ได้ในทันที คนเหล่านี้ไม่ใช่สกอยาเทล เนื่องจากพวกกระรอกไม่สวมเกราะ หมวกเหล็ก เกราะไหล่ และชุดเกราะยาวถึงเข่า ดังเช่นชุดเกราะที่กำลังเปล่งประกายท่ามกลางสายฝนบนตัวทหารม้าจำนวนแปดนายซึ่งกำลังโอบล้อมอยู่รอบต้นบีช

ทหารม้านายหนึ่งเคลื่อนม้าเข้ามาใกล้เป็นจังหวะก้าวเดิน และยืนค้ำอยู่เหนือหัวของพ่อค้าเร่ราวภูผา เขามีร่างกายสูงชะลูด ซ้ำยังนั่งอยู่บนม้าศึกที่ดูทรงพลัง หนังหมาป่าผืนหนึ่งห่มคลุมอยู่บนลาดไหล่หุ้มเกราะ และทั้งหน้าของเขาก็มีหมวกเหล็กที่มีส่วนป้องกันจมูกยืดยาวลงมาจนถึงริมฝีปากล่างบดบังเอาไว้ นอกจากนี้ชายแปลกหน้าผู้นั้นยังถือค้อนศึกหน้าตาน่ากลัวไว้ในมือด้วย

“ริโดซ์!” เขาขานชื่อเสียงแหบต่ำ

“ฟอโยล์เชียร์นา!” พ่อค้าเร่ตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย

ทหารม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นและโน้มร่างมาข้างหน้า สายน้ำหลั่งไหลจากเกราะเหล็กกันจมูกลงมาสู่เกราะแขนและปลายแหลมของค้อนที่ส่องประกายอย่างมาดร้าย

“ฟอโยล์เชียร์นา!” พ่อค้าเร่เอ่ยย้ำขณะโค้งตัวลงต่ำ เขาถอดหมวกของตนออก และสายฝนก็ทำให้เส้นผมอันเบาบางแนบติดศีรษะในทันที “ฟอโยล์เชียร์นา! ข้าเป็นคนของท่านขอรับ ข้ารู้รหัสผ่านและสัญญาณลับดี…ข้าเคยอยู่กับฟอโยล์เชียร์นามาก่อนก็จริง นายท่าน…แต่ตอนนี้ข้าก็อยู่ที่นี่อย่างเตรียมพร้อม…”

“แล้วเจ้าพวกนั้นเล่า พวกมันเป็นใคร”

“คนคุ้มกันของข้าขอรับ” พ่อค้าเร่กล่าวพลางโค้งตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิม “ท่านก็รู้นี่ พวกเอลฟ์น่ะ…”

“แล้วนักโทษเล่า”

“อยู่ในโลงบนเกวียนขอรับ”

“ในโลงรึ” เสียงอสนีบาตดังกลบเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของทหารม้าจนหายไปบางส่วน “ครั้งนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่! ท่านไวเคานต์ เดอ ริโดซ์อุตส่าห์ออกคำสั่งมาอย่างชัดเจนแล้วแท้ๆ ว่าให้จับเป็น!”

“เขายังอยู่ดีขอรับ ยังอยู่ดี” พ่อค้ารีบละล่ำละลักไม่ได้ศัพท์ “ตามที่ท่านริโดซ์สั่งทุกประการ…ถึงจะถูกจับยัดโลง แต่เขายังมีชีวิตอยู่…ข้าไม่ใช่คนคิดเรื่องโลงศพนะขอรับ เป็นฟอโยล์เชียร์นาต่างหาก…”

ทหารม้าเคาะค้อนลงบนโกลนของเขาถี่ๆ ราวกับเป็นสัญญาณ ทหารม้าอีกสามนายจึงลงจากหลังม้าแล้วกระชากผ้าใบออกจากเกวียน เมื่อพวกเขาโยนอานม้า ผ้าห่ม และเครื่องเทียมม้ากองโตลงไปกองบนพื้นเรียบร้อยแล้ว เกรอลท์จึงมองเห็นโลงศพเนื้อไม้สนไพน์สดที่สว่างวาบขึ้นด้วยแสงสายฟ้าฟาด ทว่าเขาก็ไม่ได้ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชาวาบที่ปลายนิ้ว และรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

“นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ นายท่าน” พ่อค้าเร่กล่าวขณะจับจ้องสินค้าที่วางกระจายอยู่บนพื้นใบไม้เปียก “ท่านกำลังโยนของของข้าออกจากเกวียนอยู่นะ”

“เดี๋ยวข้าจะเหมาหมดนี่เอง รวมถึงม้าและเกวียนของเจ้าด้วย”

“อ้อออ” รอยยิ้มน่ารังเกียจค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของพ่อค้า “แบบนี้ค่อยฟังเข้าท่าหน่อย ทั้งหมดเท่ากับ…ขอข้าคิดก่อน…ห้าร้อยเหรียญขอรับ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ท่านผู้สูงส่ง แต่เรากำลังพูดถึงหน่วยเงินของเทเมเรียอยู่ แต่หากคิดเป็นฟลอริน[1] ทั้งหมดรวมเป็นสี่สิบห้าเหรียญขอรับ”

“ถูกไม่เบานี่” ทหารม้าพ่นลมพรืด รอยยิ้มชื่นมื่นปรากฏขึ้นหลังเกราะกันจมูกนั้น “เข้ามาใกล้ๆ ข้าหน่อย”

“ระวังตัวด้วย แดนดิไลออน” วิทเชอร์คำรามขณะค่อยๆ คลายหัวเข็มขัดบนชุดคลุมของตน สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาอีกครั้ง

พ่อค้าเร่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ทหารม้าทั้งที่ยังนึกบวกลบจำนวนเงินในการค้าขายครั้งสำคัญอย่างไร้เดียงสา และมันก็เป็นการค้าขายครั้งสำคัญสำหรับเขาจริงๆ แม้อาจไม่ใช่การค้าขายครั้งที่ดีที่สุด แต่มันจะเป็นการค้าขายครั้งสุดท้ายของเขาอย่างแน่นอน ทหารม้าหยัดร่างขึ้นในโกลนและเหวี่ยงส่วนปลายของค้อนลงบนศีรษะล้านโล่งของพ่อค้าเร่อย่างรุนแรง ร่างของพ่อค้าเร่เอนล้มลงอย่างไร้สุ้มเสียง สั่นสะท้าน แขนขาสะบัดไปมา ส้นเท้าถูลู่ถูกังกับพรมใบไม้ชื้นแฉะ หนึ่งในทหารม้าที่รื้อค้นข้าวของอยู่บนเกวียนเหวี่ยงสายหนังไปรอบลำคอของคนขับเกวียนแล้วดึงรั้งเสียแน่น ในขณะที่อีกคนกระโจนเข้าไปใช้กริชเสียบร่างเขา

ทหารม้าอีกนายหนึ่งรีบยกหน้าไม้ของตนขึ้นพาดไหล่และเล็งมาที่แดนดิไลออน ทว่าเกรอลท์กลับฉวยดาบเล่มหนึ่งซึ่งถูกโยนลงจากเกวียนมาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว เขากุมใบดาบตรงส่วนกลางเอาไว้ แล้วเหวี่ยงมันใส่ผู้ใช้หน้าไม้คนนั้นราวกับหลาว ส่งผลให้เขาร่วงหล่นลงจากหลังม้าพร้อมสีหน้าประหลาดใจถึงขีดสุด

“แดนดิไลออน วิ่ง!”

แดนดิไลออนวิ่งรี่ไปที่เพกาซัสแล้วกระโจนขึ้นไปบนอานอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าการกระโดดนั้นกลับรุนแรงเกินไปเล็กน้อย และตัวนักกวีเองก็ค่อนข้างจะไร้ประสบการณ์ เขาจึงไม่อาจตะครุบปุ่มอานม้าเอาไว้ได้และตีลังกาข้ามตัวม้าไปบนพื้นอีกฟาก แต่ความพลาดพลั้งในครั้งนี้กลับช่วยชีวิตเขาไว้ เพราะคมดาบของทหารม้าที่พุ่งจู่โจมเข้าใส่ได้กวาดผ่านอากาศเหนือใบหูของเพกาซัสไปพร้อมเสียงหวีดหวิว เจ้าม้าตัวผู้มีท่าทีตื่นตกใจ มันยกขาหน้าขึ้น แล้วประสานงาเข้ากับม้าของผู้จู่โจม

“พวกมันไม่ใช่เอลฟ์!” ทหารม้าสวมหมวกเหล็กประดับเกราะกันจมูกตวาดพลางดึงดาบของเขาออกมา “จับเป็นเท่านั้น! จับเป็น!”

หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่กระโดดลงมาจากเกวียนดูจะลังเลไปเมื่อได้ยินคำสั่ง ทว่าเกรอลท์ที่ชักดาบของตนออกมาแล้วกลับไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว อารมณ์อันเดือดพล่านของชายอีกสองคนพลันสงบลงเมื่อได้อาบน้ำพุเลือดที่พุ่งทะลักใส่ตัวเอง เกรอลท์จึงฉวยโอกาสนี้จัดการคนหนึ่ง ทว่าทหารม้าที่เหลือกลับพากันพุ่งเข้าใส่เขา เขาจึงก้มตัวหลบคมดาบของศัตรู ปัดป้องการโจมตี หลบลี้ไปด้านข้าง และจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอันชอนไชทะลุทะลวงบริเวณเข่าขวา เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังซวนเซเจียนล้ม แม้จะไม่ได้รับบาดแผลใด แต่จู่ๆ ขาข้างที่บาดเจ็บซึ่งเพิ่งได้รับการรักษามาจากโบรคิลอนกลับงอพับลงไปดื้อๆ โดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือน

ทันใดนั้นเอง ทหารม้าที่กำลังเงื้อปลายขวานศึกเข้าใส่เขาก็ส่งเสียงครางและเซถลามาข้างหน้าราวกับถูกใครบางคนผลักหลังเข้าให้อย่างแรง และก่อนที่เขาจะล้มตึงลง วิทเชอร์ก็มองเห็นลูกธนูที่มีปีกธนูยาวเหยียดปักอยู่ที่สีข้างของผู้ปองร้ายลึกเข้าไปกว่าครึ่งก้าน แดนดิไลออนร้องตะโกน ทว่าเสียงครืนครันของฟ้าผ่ากลับกลบเสียงร้องของเขาเสียมิด

เกรอลท์ซึ่งกำลังค้ำร่างอยู่กับล้อเกวียนข้างหนึ่งมองเห็นหญิงสาวผมสีสว่างผู้หนึ่งพุ่งตัวออกมาจากพุ่มต้นเอลเดอร์พร้อมคันธนูที่ง้างเตรียมพร้อม ทหารม้าเองก็มองเห็นนางเช่นกัน นางย่อมไม่อาจหลุดรอดสายตาพวกเขาไปได้ เนื่องจากในจังหวะเดียวกันนั้น ร่างของทหารม้านายหนึ่งก็หงายหลังร่วงลงไปจากสะโพกม้า ช่วงคอของเขาถูกลูกธนูเสียบจนกลายสภาพเป็นก้อนเนื้อเละๆ สีแดงสด ทหารม้าที่เหลืออีกสามนาย รวมถึงหัวหน้าหน่วยที่สวมหมวกเหล็กพร้อมเกราะกันจมูกต่างสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายโดยพลัน จึงพากันควบม้าตรงไปหามือธนูพลางซ่อนตัวอยู่หลังแผงคอม้า ด้วยนึกว่าคอของเหล่าอาชาจะสามารถป้องกันตนจากลูกธนูได้ ทว่าพวกเขากลับคิดผิด

มาเรีย บาร์ริง หรือที่รู้จักกันในนามมิลวา ง้างสายธนูของนางออก นางเล็งเป้าอย่างใจเย็น สายธนูแนบติดข้างแก้ม

ผู้จู่โจมคนแรกหวีดร้องลั่นก่อนลื่นไถลลงจากหลังม้า เท้าข้างหนึ่งยังติดคาอยู่ในโกลนขณะที่ลำตัวถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เกือกเท้าเหล็กของม้า ลูกธนูอีกดอกหนึ่งเหวี่ยงร่างคนที่สองจนร่วงจากอาน ส่วนคนที่สามซึ่งเป็นผู้นำนั้นอยู่ใกล้มือธนูมากกว่าใคร เขาหยัดร่างขึ้นในอานและเงื้อดาบเตรียมฟาดฟัน มิลวาไม่แม้แต่จะสะทกสะท้าน นางเพียงจ้องมองศัตรูของนางอย่างไม่หวาดหวั่น นางง้างธนูออกอีกครั้ง และแผลงศรเข้าใส่ใบหน้าของชายผู้นั้นจากระยะห่างเพียงห้าก้าว จู่โจมเข้าใส่บริเวณด้านข้างของเกราะกันจมูกพร้อมกระโดดไปด้านข้างระหว่างที่ยิง ลูกธนูพุ่งผ่านกะโหลกของเขาไป สลัดหมวกเหล็กจนกระเด็น ม้าของเขาไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลย ผู้เป็นนายของมันที่บัดนี้ไร้เกราะสวมหัวและกะโหลกแหว่งไปบางส่วนจึงยังนั่งอยู่บนอานได้อีกสองสามวินาที แล้วจึงเอนคว่ำลงมาฟาดใส่แอ่งโคลน อาชาตัวนั้นร้องฮี้และเผ่นหนีจากไป

เกรอลท์ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ก่อนก้มลงไปนวดขาที่แม้จะยังเจ็บปวดอยู่ แต่ก็ทำหน้าที่ได้ปกติอย่างน่าประหลาด เขายังยืนหยัดและเดินเหินได้อย่างง่ายดาย ส่วนข้างกายของเขานั้น แดนดิไลออนดึงร่างของตนขึ้นขณะใช้มือผลักร่างของชายคอฉีกออกจากตัว สีหน้าของนักกวีซีดเผือดราวปูนขาว

มิลวาสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น พลางดึงลูกธนูออกจากศพของร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่ง

“ขอบใจ” วิทเชอร์กล่าว “แดนดิไลออน เจ้าก็ขอบคุณนางด้วยสิ นี่คือมาเรีย บาร์ริง หรือมิลวา เป็นเพราะนาง เราจึงยังมีชีวิตอยู่”

มิลวากระชากลูกธนูออกจากร่างไร้วิญญาณอีกหนึ่งราย ก่อนจะยกหัวธนูเปื้อนเลือดขึ้นตรวจสอบ แดนดิไลออนพึมพำบางอย่างด้วยน้ำเสียงขาดห้วง โค้งให้อย่างนอบน้อมแม้จะสั่นระริกอยู่บ้าง แล้วจึงทิ้งตัวลงคุกเข่า และอาเจียน

“เขาเป็นใครกัน” มือธนูถามขณะปาดหัวธนูลงบนใบไม้เปียก แล้วเสียบมันกลับเข้าไปในกระบอก “สหายของเจ้ารึ วิทเชอร์”

“ใช่ เขามีนามว่าแดนดิไลออน เป็นนักกวี”

“นักกวีรึ” มิลวาเลื่อนสายตาไปจ้องมองนักกวีซึ่งกำลังอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “เรื่องนั้นข้าก็พอเข้าใจได้อยู่ แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือทำไมเขาจึงมาอ้วกอยู่ตรงนี้ แทนที่จะไปหาที่เงียบๆ ที่อื่นนั่งแต่งลำนำแทนน่ะสิ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้าอยู่ดี”

“ตามหลักก็เป็นไปแล้ว เจ้าช่วยเขาเอาไว้ รวมถึงตัวข้าด้วย”

มิลวาปาดใบหน้าเปื้อนน้ำฝนซึ่งยังคงมองเห็นรอยพาดสายธนู แม้นางจะแผลงศรออกไปหลายดอก รอยดังกล่าวกลับมีอยู่เพียงรอยเดียว บ่งบอกว่าสายธนูจะพาดทับลงบนตำแหน่งเดิมเสมอ

“ข้าซุ่มรออยู่ในพุ่มเอลเดอร์ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเริ่มคุยกับพ่อค้าเร่แล้ว” นางว่า “แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าคนโกงนั่นมองเห็นข้า เพราะมันไม่จำเป็น จากนั้นคนอื่นๆ ก็มาถึง และการสังหารหมู่ก็เริ่มต้นขึ้น เจ้าเองก็สั่งสอนพวกนั้นได้ไม่เลวนี่ ข้ายอมรับก็ได้ว่าเจ้าใช้ดาบเป็นแม้จะยังพิการอยู่ก็ตาม เจ้าน่าจะอยู่ในโบรคิลอนต่อจนกว่าจะหายดี แทนที่จะทำให้มันแย่ลงแบบนี้ เจ้าอาจจะขาเป๋ไปตลอดทั้งชีวิตได้นะ รู้ตัวใช่ไหม”

“ข้าเอาตัวรอดได้”

“ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ที่ข้าตามเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อเตือนเจ้า และโน้มน้าวให้เจ้าหันหลังกลับไป เจ้าไม่มีทางได้อะไรจากภารกิจของเจ้าแน่ ทางตอนใต้กำลังเกิดสงคราม กองทัพชาวนิล์ฟการ์ดกำลังเคลื่อนขบวนจากไดรส์ชอตไปที่บรูจจ์”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“ลองมองดูพวกเขาสิ” หญิงสาวเอ่ยขณะวาดมือออกไป ก่อนจะชี้นิ้วตรงไปที่ศพและม้ามากมาย “ข้าหมายถึง พวกนั้นเป็นชาวนิล์ฟการ์ดนะ! เจ้าไม่เห็นตรารูปดวงอาทิตย์บนหมวกเกราะของพวกเขาหรือ ไหนจะลายปักบนผ้าประดับอานอีก รีบเก็บของแล้วไปจากที่นี่เสีย คนอื่นๆ อาจจะมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ก็ได้ คนพวกนี้เป็นทหารม้าในหน่วยสอดแนม”

“ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นหน่วยสอดแนมธรรมดา” เขาเอ่ยพลางสั่นศีรษะ “พวกนั้นกำลังตามหาบางอย่างอยู่”

“ของที่ว่าคืออะไรกัน ข้าแค่อยากรู้น่ะ”

“เจ้านั่นไง” เขากล่าวพลางชี้นิ้วไปยังโลงไม้สนไพน์ที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่บนเกวียน โลงไม้ที่บัดนี้ดำคล้ำขึ้นจากสายฝน ตอนนี้ฝนไม่ได้ตกหนักเหมือนตอนที่เกิดการต่อสู้ระยะสั้นๆ แล้ว และสายฟ้าก็หยุดผ่าลงมาแล้วเช่นกัน พายุฝนกำลังเคลื่อนที่ไปทางเหนือ วิทเชอร์หยิบดาบของตนขึ้นจากกองใบไม้แล้วกระโดดขึ้นไปบนเกวียน ก่อนจะสบถเบาๆ ออกมาด้วยความที่ยังเจ็บเข่าอยู่

“มาช่วยข้าเปิดไอ้นี่หน่อย”

“เจ้าจะเอาไอ้ศพแข็งทื่อนั่นไปทำ…” มิลวาเสียงหายไปกลางคันเมื่อมองผ่านรูบนฝาโลงเข้าไป “นรกเถอะ! นี่เจ้าพ่อค้าเร่นั่นซุกคนเป็นๆ ไว้ในนั้นตลอดเลยหรือ”

“รู้สึกว่าเขาจะเป็นนักโทษน่ะ” เกรอลท์เอ่ยพลางดันฝาโลงออก “พ่อค้าคนนั้นกำลังรอพวกนิล์ฟการ์ดอยู่ รอส่งเจ้าหมอนี่ให้กับพวกที่ว่า พวกมันแลกรหัสผ่านและสัญญาณลับกันด้วย…”

ฝาโลงค่อยๆ เปิดอ้าออกพร้อมเสียงไม้แตก เผยให้เห็นชายคนหนึ่งซึ่งถูกอุดปากไว้ ทั้งแขนและขาของเขาถูกสายหนังผูกติดไว้กับด้านข้างโลง วิทเชอร์โน้มตัวลงไปจ้องมองเขาอย่างถ้วนถี่ ก่อนจะทำซ้ำอีกครั้งอย่างพิถีพิถันขึ้น จากนั้นจึงสบถออกมา

“ไม่อยากเชื่อ” เขาลากเสียง “ช่างน่าตกใจจริงๆ ใครจะไปคิด”

“เจ้ารู้จักเขารึ วิทเชอร์”

“แค่มองก็รู้แล้ว” เขาแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ “เก็บมีดไปเถอะ มิลวา ไม่ต้องตัดเงื่อนให้เขา ดูเหมือนว่านี่เป็นปัญหาภายในของพวกนิล์ฟการ์ด เราอย่าเข้าไปยุ่งเลยดีกว่า ปล่อยเขาไว้แบบนี้แหละ”

“ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม” แดนดิไลออนเอ่ยพลางเดินเข้ามาจากเบื้องหลัง สีหน้าของเขายังซีดเผือดอยู่ ทว่าความสงสัยกลับมีชัยเหนืออารมณ์อื่นทั้งปวง “เจ้าคิดจะปล่อยให้เขาถูกล่ามไว้กลางป่าแบบนี้หรือ ขอเดาว่าชายคนนี้คงเป็นคนที่เจ้าเคยมีเรื่องด้วยมาก่อนสิท่า แต่เขาเป็นนักโทษนะ พระเจ้าช่วย! เขาคือนักโทษของกลุ่มคนที่เพิ่งกระโจนเข้าใส่เราและเกือบจะฆ่าเราได้ ศัตรูของศัตรูย่อม…”

เขาหยุดพูดไปเมื่อมองเห็นวิทเชอร์ดึงมีดออกมาจากส่วนบนของรองเท้าบู๊ต มิลวากระแอมไอเสียงค่อย ส่วนนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของนักโทษที่เมื่อครู่ยังยิบหยีบังสายฝนอยู่กลับเบิกโพลงขึ้น เกรอลท์โน้มตัวลงไปหาและใช้มีดตัดสายหนังที่พันอยู่รอบแขนข้างซ้ายของนักโทษ

“ดูซะ แดนดิไลออน” เขาว่าขณะฉวยข้อมือของนักโทษไว้และชูแขนข้างที่เป็นอิสระของอีกฝ่ายขึ้น “เห็นแผลเป็นบนมือนี่ไหม นี่เป็นแผลที่ซิริเคยฝากไว้ให้เขาบนเกาะธาเนดด์เมื่อเดือนที่แล้ว เขาเป็นชาวนิล์ฟการ์ด และเขาก็ไปที่ธาเนดด์เพื่อลักพาตัวซิริโดยเฉพาะ ทว่านางกลับสร้างบาดแผลให้เขาตอนที่ป้องกันตัวจากการถูกจับ”

“แต่สุดท้ายมันก็ไร้ผล” มิลวาบ่นอุบ “ข้ายังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เข้าทีอยู่ หากเขาคือผู้ที่ลักพาตัวซิริของเจ้าไปยังนิล์ฟการ์ด เหตุใดเขาจึงมาลงเอยอยู่ในโลงศพใบนี้เล่า แล้วทำไมพ่อค้าเร่นั่นถึงต้องนำตัวเขามาส่งให้พวกนิล์ฟการ์ด เอาที่ปิดปากนั่นออกให้เขาเถอะ วิทเชอร์ บางทีเขาอาจบอกอะไรเราได้บ้าง”

“ข้าไม่อยากได้ยินอะไรจากเขาทั้งนั้น” เขากล่าวเสียงเรียบ “แค่เห็นเขานอนจ้องข้าอยู่อย่างนี้ ข้าก็คันมืออยากแทงทะลุหัวใจเขาจะแย่แล้ว แค่ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ก็เต็มทน ขืนเขาเปิดปากพูด ข้าคงห้ามตัวเองไม่ไหวแน่ ข้ายังเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังไม่หมด”

“งั้นก็อย่ายั้งมือเลย” มิลวายักไหล่ “ถ้าเขาร้ายกาจถึงปานนั้น เจ้าก็แทงเขาเสียเลยสิ แต่ช่วยรีบหน่อยเถอะ เพราะเวลาเหลือน้อยลงทุกที อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ อีกเดี๋ยวพวกนิล์ฟการ์ดจะมาที่นี่ ข้าจะไปเอาม้าของข้าละนะ”

เกรอลท์ยืดตัวขึ้นก่อนปล่อยมือของนักโทษ ชายคนดังกล่าวรีบคลายที่ปิดปากและถ่มมันออกจากปากในทันที ทว่าเขากลับไม่พูดอะไร วิทเชอร์โยนมีดของเขาลงบนอกชายผู้นั้น

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปทำบาปอะไรไว้ พวกนั้นถึงได้จับเจ้ามาขังไว้ในโลงแบบนี้ ชาวนิล์ฟการ์ด” เขากล่าว “แต่ข้าไม่คิดสนใจ ข้าจะทิ้งมีดเล่มนี้ไว้ให้เจ้า จงปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ และรอคอยคนของเจ้าอยู่ที่นี่ หรือจะหนีเข้าไปในป่าก็ตามใจ”

นักโทษยังคงไม่พูดอะไร ในสภาพที่ถูกมัดตรึงและนอนนิ่งอยู่ในโลงไม้เช่นนี้ เขายิ่งดูน่าสมเพชและไร้ที่พึ่งยิ่งกว่าตอนที่อยู่บนเกาะธาเนดด์เสียอีก เกรอลท์เคยเห็นเขานั่งคุกเข่าจมกองเลือดตอนอยู่ที่นั่น เคยเห็นเขาในสภาพบาดเจ็บหนักและตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว และในยามนี้เขาก็ยิ่งดูอ่อนวัยลงกว่าเดิม วิทเชอร์ไม่คิดว่าชายคนนี้จะมีอายุมากกว่ายี่สิบห้า

“ข้าเคยไว้ชีวิตเจ้าบนเกาะนั่น” เขาว่า “และข้าจะทำแบบนั้นอีกครั้ง แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งต่อไปที่เราได้พบกัน ข้าจะปลิดชีพเจ้าเหมือนสุนัข จงจำไว้ให้ดี หรือหากเจ้าคิดจะโน้มน้าวให้สหายของเจ้าตามล่าเราอีกที ก็จงพกโลงศพนี้ติดตัวเจ้าไปด้วย เพราะมันจะเป็นประโยชน์กับเจ้าแน่ ไปกันเถอะ แดนดิไลออน”

“เร็วเข้า!” มิลวาตะโกนขณะหันม้ากลับมาจากเส้นทางทิศตะวันตก “แต่อย่าไปทางนั้น! ตรงเข้าป่าไป ให้ตายสิ ตรงเข้าไปในป่าเร็ว!”

“เกิดอะไรขึ้น”

“ทหารม้ากลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าจากแม่น้ำริบบอนมุ่งหน้ามาหาเรา! เป็นพวกนิล์ฟการ์ดไม่ผิดแน่! มัวมองอะไรอยู่เล่า รีบไปขึ้นม้าก่อนที่พวกนั้นจะมาถึงเร็ว!”

 

การต่อสู้ในหมู่บ้านดำเนินมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว และยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงในเร็วๆ นี้ เหล่าทหารราบที่ตั้งรับอยู่เบื้องหลังกำแพงหิน รั้วกั้น และเกวียนที่พลิกคว่ำ ได้ขับไล่เหล่าผู้จู่โจมที่ควบม้าพุ่งตรงมาจากถนนใหญ่ไปแล้วสามนาย แม้ความกว้างของถนนใหญ่จะไม่เอื้อให้เหล่าทหารม้าบุกจู่โจมเข้ามาอย่างเต็มกำลัง แต่กลับเอื้อให้เหล่าทหารราบตั้งรับได้อย่างเต็มที่ ผลก็คือกองกำลังทหารม้าจึงมักพลาดท่าอยู่ที่บริเวณแนวกั้นพวกแล้วพวกเล่า และถูกเหล่าทหารผู้สิ้นหวังทว่าดุดันซึ่งหลบซ่อนอยู่หลังแผงกั้นแผลงห่าลูกศรเข้าใส่ แม้เหล่าทหารม้าจะพยายามโต้กลับ ทว่าก็ถูกฝ่ายต้านทานบุกโต้กลับอย่างฉับไว พวกเขาต่างต่อสู้อย่างเกรี้ยวกราดด้วยขวานศึก หอกกิส์ซาร์ม และไม้ห้อยลูกตุ้ม กระทั่งเหล่าทหารม้าพากันล่าถอยไปที่หนองน้ำ เหลือไว้แค่เพียงซากมนุษย์และม้า ขณะที่เหล่าทหารราบซึ่งยังคงซ่อนตัวอยู่หลังแนวกั้นพากันใช้คำพูดดูหมิ่นถากถางจู่โจมใส่คู่ต่อสู้ จนเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าทหารม้าจึงเริ่มตั้งแถวบุกจู่โจมเข้าใส่อีกครั้ง

และอีกครั้ง

“เจ้าคิดว่าใครกำลังสู้อยู่กับใคร” แดนดิไลออนเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง ทว่าด้วยความที่เขากำลังพยายามเคี้ยวขนมปังแข็งที่เขาขอมาจากมิลวา คำพูดนั้นจึงฟังไม่ได้ศัพท์นัก

ทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่ริมผา และเนื่องจากซ่อนตัวอยู่ท่ามพลางพุ่มต้นจูนิเปอร์ พวกเขาจึงเฝ้ามองการต่อสู้ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครสังเกตเห็น อันที่จริงพวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากเฝ้ามองดูอยู่เฉยๆ  พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไป เพราะไฟสงครามกำลังลุกโชนอยู่เบื้องหน้า ส่วนที่ผืนป่าเบื้องหลังก็มีไฟป่ากำลังลุกโหม

“มองออกง่ายจะตายไป” เกรอลท์ไม่เต็มใจตอบคำถามของแดนดิไลออน “พวกนั้นเป็นทหารม้าชาวนิล์ฟการ์ด”

“แล้วฝั่งทหารราบเล่า”

“พวกนั้นไม่ใช่ชาวนิล์ฟการ์ด”

“ฝั่งทหารม้าเป็นทหารม้าธรรมดาจากเวอร์เดน” มิลวาเอ่ยตอบทั้งที่ดูหม่นหมองและเงียบขรึมมาตลอดจนน่าแปลกใจ “บนเสื้อคลุมของพวกนั้นมีตราสัญลักษณ์ลายตารางหมากรุกแบบชาวเวอร์เดนปักไว้ ส่วนพวกที่อยู่ในหมู่บ้านเป็นทหารราบชาวบรูจจ์ทั่วไป เจ้าสามารถบอกได้จากธงของพวกเขา”

เป็นจริงดังที่นางว่า เมื่อได้รับขวัญกำลังใจจากชัยชนะเล็กๆ อีกครั้ง เหล่าพลทหารราบจึงพากันชักธงพื้นเขียว  ประดับรูปกางเขนสีขาวขึ้นเหนือฐานที่มั่น แม้จะเฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างตั้งใจมาโดยตลอด แต่เกรอลท์กลับไม่เคยสังเกตเห็นธงนั่นมาก่อน มันคงจะหายไปตอนที่เกิดการต่อสู้ขึ้นเป็นแน่

“เราจะอยู่ที่นี่กันอีกนานไหม” แดนดิไลออนถาม

“ปัดโธ่” มิลวาพึมพำ “เอาอีกแล้วรึ ลองมองดูรอบๆ ตัวเจ้าสิ! ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ซวยกับซวยทั้งนั้น”

แดนดิไลออนไม่จำเป็นต้องมองหรือหันหน้าไปมา ทั่วทั้งเส้นขอบฟ้ามีควันไฟลอยขึ้นมาเป็นทิวแถว จุดที่มีควันไฟหนาที่สุดคือทางทิศเหนือและทิศตะวันตก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กองทัพเริ่มจุดไฟเผา ส่วนบนฟากฟ้าทางทิศใต้ก็มีกลุ่มควันลอยสูงขึ้นมาอีกหลายจุด ซึ่งทิศทางนั้นเป็นทางที่ทั้งสามตั้งใจจะมุ่งหน้าไปในทีแรก แต่กลับถูกการต่อสู้ขวางทางไว้ และในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ทั้งสามนั่งกันอยู่บนเนินเขาแห่งนี้ กลุ่มควันไฟก็เริ่มจะโชยมาจากทิศตะวันออกแล้วเช่นกัน

“แต่ถึงอย่างนั้น” มือธนูเริ่มพูดขึ้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง สายตาจ้องมองเกรอลท์ “ข้าก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าเจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ วิทเชอร์ ข้างหลังเราคือพวกนิล์ฟการ์ดและป่าที่กำลังลุกไหม้ และเจ้าก็น่าจะเห็นด้วยตัวเองแล้วว่ามีอะไรรอคอยเราอยู่เบื้องหน้า ฉะนั้นแล้ว แผนของเจ้าคืออะไร”

“แผนของข้ายังไม่เปลี่ยน ข้าจะรอให้การต่อสู้สิ้นสุดลงและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ตรงไปยังยารูกา”

“เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” มิลวาตีหน้าบึ้ง “ไม่เห็นหรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นกันอยู่กับตาว่านั่นไม่ใช่การต่อสู้ของทหารรับจ้างไร้ผู้นำทั่วไป แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าสงคราม พวกนิล์ฟการ์ดกับเวอร์เดนกำลังเคลื่อนทัพกัน พวกนั้นจะต้องข้ามยารูกามาทางทิศใต้อย่างแน่นอน ไม่แน่นะ ทั่วทั้งบรูจจ์และซอดเดนอาจจะกำลังลุกเป็นไฟ—”

“ข้าจำเป็นต้องไปที่ยารูกา”

“เยี่ยม แล้วหลังจากนั้นเล่า”

“ข้าจะหาเรือสักลำแล้วล่องไปตามน้ำ พยายามไปให้ถึงดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำให้ได้ จากนั้นค่อยเปลี่ยนไปขึ้นเรือใหญ่ — ข้าหมายถึง ที่นั่นน่าจะต้องมีเรือรับส่งไปที่—”

“ไปที่นิล์ฟการ์ดรึ” นางพ่นลมพรืด “สรุปว่าจะไม่เปลี่ยนแผนจริงๆ ใช่ไหม”

“เจ้าไม่ต้องไปกับข้าก็ได้”

“ใช่ ข้าไม่ต้อง ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณปวงเทพ เพราะข้ายังไม่อยากตาย ข้าไม่ได้กลัวตายหรอก แต่เจ้าก็น่าจะรู้นี่ว่าการฆ่าตัวตายเป็นความตายที่ไร้ศักดิ์ศรี”

“ข้ารู้” เขาตอบอย่างสงบ “ข้าพอจะมีประสบการณ์อยู่ ข้าก็คงจะไม่มุ่งหน้าไปทางนั้นแน่หากไม่จำเป็น แต่ครั้งนี้ข้าจำเป็น ดังนั้นข้าจึงจะไป และจะไม่มีสิ่งใดห้ามข้าได้ทั้งสิ้น”

“อ๋อเหรอ” นางกล่าวขณะมองเขาขึ้นๆ ลงๆ “ฟังเจ้าวีรบุรุษนี่พูดเข้าสิ เสียงเหมือนคนที่กำลังใช้ดาบขูดกับโล่ไม่มีผิด ขืนจักรพรรดิเอเมียร์ได้ยินเข้า ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องกลัวจนขี้หดตดหายอย่างแน่นอน ‘รีบมาหาข้า ทหาร รีบมาเร็วเข้า เหล่าทหารหาญแห่งจักรวรรดิของข้า ข้ากลัวเหลือเกิน วิทเชอร์ผู้นั้นกำลังพายเรือมุ่งหน้ามาที่นิล์ฟการ์ด อีกเดี๋ยวเขาจะต้องมาชิงมงกุฎและชีวิตไปจากข้าแน่! ข้าชะตาขาดแล้ว!’”

“พอเถอะน่า มิลวา”

“ข้าไม่พอ! ถึงเวลาที่จะต้องมีใครสักคนพูดความจริงกับเจ้าแล้ว ข้าจะร่วมเพศกับกระต่ายขี้เรื้อนให้ดูหากข้าพบคนที่โง่กว่าเจ้า! คิดจะชิงตัวเด็กสาวของเจ้ามาจากเอเมียร์รึ เด็กสาวที่เอเมียร์ตั้งใจจะแต่งตั้งขึ้นเป็นจักรพรรดินี เด็กสาวที่เขาชิงตัวมาจากธาเนดด์เนี่ยนะ เอเมียร์มีอำนาจมหาศาล และมือของเขาก็ไม่เคยปล่อยสิ่งที่เขาฉวยไว้ให้หลุดมือไปได้ ขนาดพวกราชายังตอบโต้เขาแทบไม่ได้ แต่เจ้ากลับคิดว่าเจ้ามีโอกาสรึ”

เขาไม่ตอบ

“เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปที่นิล์ฟการ์ด” มิลวาเอ่ยย้ำพลางส่ายหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจแกมล้อเลียน “เพื่อต่อกรกับองค์จักรพรรดิและชิงตัวคู่หมั้นของเขามา แต่เจ้าเคยลองคิดดูบ้างไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งตอนที่เจ้าไปถึงที่นั่น ตอนที่เจ้าได้พบซิริในห้องชุดใหญ่โตของนาง ได้พบกับนางที่แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมประดับทอง เจ้าจะพูดกับนางว่าอย่างไร ตามข้ามาเถอะที่รัก เจ้าจะอยากได้บัลลังก์จักรวรรดิไปเพื่ออะไร เราจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในกระท่อมและแทะเปลือกไม้ประทังชีวิตในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หัดมองตัวเองเสียบ้างเถอะ เจ้าคนพิการสุดโสโครก ขนาดเสื้อและรองเท้าของเจ้ายังเป็นของที่ได้มาจากเหล่านางไม้ หรือฉกฉวยมาจากเอลฟ์บางตนที่ตายจากไปในโบรคิลอนเลย อีกอย่างหนึ่ง เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากแม่สาวนั่นเห็นเจ้าเข้า นางจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเจ้าและดูหมิ่นเจ้า นางจะสั่งให้ทหารจับเจ้าโยนออกมาแล้วปล่อยหมามาไล่กัดตูดเจ้าอีกที!”

น้ำเสียงของมิลวายิ่งทวีความดังขึ้นทุกที จนกระทั่งแทบจะเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนในตอนท้าย ไม่ใช่แค่เพราะความโกรธ แต่ยังเป็นเพราะต้องการจะกลบเสียงการต่อสู้อันรุนแรงที่ยังคงดำเนินอยู่ ที่เบื้องล่างนั้น ผู้คนนับสิบ หรือนับร้อยคนยังคงส่งเสียงโห่คำราม ทหารราบชาวบรูจจ์ถูกบุกโจมตีอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเกิดขึ้นพร้อมกันจากทั้งสองด้าน ชาวเวอร์เดนในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินแกมเทาประดับลายตารางหมากรุกควบม้าห้อตะบึงมาตามถนนใหญ่ ขณะที่ทัพทหารม้าอันทรงพลังในชุดคลุมสีดำพุ่งออกมาจากหลังหนองน้ำ เข้าจู่โจมฝ่ายตั้งรับบริเวณสีข้าง

“พวกนิล์ฟการ์ด” มิลวาเอ่ยสั้นๆ

คราวนี้ทหารราบชาวบรูจจ์ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย ทัพทหารม้าพากันบุกฝ่าแนวกั้นมาและใช้ดาบฉีกกระชากฝ่ายตั้งรับเป็นเสี่ยงๆ ธงประดับลายกางเขนร่วงหล่นลงมา ทหารราบบางส่วนวางอาวุธของตนลงเป็นการยอมแพ้ แต่บางส่วนก็พยายามเผ่นหนีไปยังชายป่า แต่ขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้น หน่วยรบหน่วยที่สามก็ปรากฏกายออกมาจากแนวต้นไม้และจู่โจมเข้าใส่ โดยคราวนี้เป็นหน่วยรบที่มีทหารม้าเกราะเบาผสมปนเปกันไป

“พวกสกอยาเทล” มิลวาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน “ทีนี้พอจะเข้าใจหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น วิทเชอร์ พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหม นิล์ฟการ์ด เวอร์เดน และพวกกระรอกร่วมมือกันเพื่อทำสงคราม เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเอเดิร์นเมื่อเดือนที่แล้ว”

“เป็นการบุกปล้นต่างหาก” เกรอลท์กล่าวพร้อมส่ายศีรษะ “เป็นการบุกปล้มสะดม ทหารพวกนั้นล้วนเป็นทหารม้า ไม่มีทหารราบแม้แต่คนเดียว…”

“เพราะพวกทหารราบคงกำลังพยายามยึดป้อมปราการและฐานที่มั่นของพวกเขาอยู่น่ะสิ เจ้าคิดว่าควันไฟพวกนั้นลอยมาจากที่ไหนกันล่ะ ห้องรมควันรึไง”

เสียงกรีดร้องน่าสะพรึงกลัวและสยดสยองของผู้คนที่กำลังหลบหนี เพียงเพื่อที่จะถูกพวกกระรอกจับตัวและสังหารทิ้งยังคงดังแว่วมาจากหมู่บ้าน กลุ่มควันและเปลวไฟไหลทะลักออกมาจากหลังคากระท่อม และยิ่งถูกสายลมแรงพัดโหมให้ลามเลียจากหลังคามุงจากแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง

“ดูหมู่บ้านที่กำลังลุกเป็นไฟนั่นสิ” มิลวาบ่นอุบ “พวกเขาเพิ่งจะซ่อมแซมมันเสร็จหลังจบสงครามครั้งล่าสุด อุตส่าห์ลงทุนลงแรงก่อร่างสร้างฐานมาตั้งสองปี แต่กลับถูกเผาวอดภายในไม่กี่วินาที นับเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่เชียวละ!”

“บทเรียนอะไรกัน” เกรอลท์เอ่ยถามห้วนๆ

หญิงสาวไม่ตอบรับ ควันไฟจากหมู่บ้านที่กำลังลุกไหม้ลอยสูงขึ้นมาถึงยอดผา ทิ่มแทงดวงตาของทั้งสามจนฉ่ำน้ำไปหมด พวกเขาได้ยินเสียงหวีดร้องจากขุมนรกนั้น ใบหน้าของแดนดิไลออนพลันซีดเผือดลงจนแทบจะเป็นสีขาวราวกระดาษ

เหล่าเชลยศึกต่างถูกต้อนมาออรวมกัน มีทหารกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้ และเมื่อได้รับคำสั่งจากอัศวินสวมหมวกเกราะติดขนนกสีดำ เหล่าทหารม้าจึงเริ่มฟาดฟันและทิ่มแทงชาวบ้านที่ไร้อาวุธ ร่างของพวกเขาถูกเหยียบย่ำด้วยเกือกม้าขณะล้มลงไป วงล้อมของพวกทหารยิ่งบีบแคบลง เสียงหวีดร้องที่ดังแว่วขึ้นมาบนยอดผาฟังดูไม่เหมือนเสียงกรีดร้องของมนุษย์อีกต่อไป

“เจ้ายังคิดจะเดินทางลงใต้อยู่อีกหรือ” นักกวีถามขณะจับจ้องวิทเชอร์อย่างมีนัย “คิดจะฝ่าเปลวไฟไปยังที่ที่จอมพิฆาตพวกนั้นจากมาหรือ”

“ดูเหมือนว่า” เกรอลท์ตอบอย่างลังเล “พวกเราจะไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนะ”

“มีสิ” มิลวากล่าว “ข้านำทางเจ้าผ่านป่ากลับไปเนินเขานกฮูก น้ำตกเคียนน์เทรส และโบรคิลอนได้”

“ผ่านป่าที่กำลังลุกไหม้นั้นไปน่ะหรือ เท่ากับว่าต้องเจอการต่อสู้แบบนี้อีกแล้วสิ”

“อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าถนนทางใต้แล้วกัน น้ำตกเคียนน์เทรสอยู่ห่างออกไปไม่เกินสิบสี่ไมล์ และข้าก็รู้ดีว่าต้องใช้เส้นทางไหน”

วิทเชอร์มองลงไปยังหมู่บ้านที่กำลังย่อยยับไปในเปลวเพลิง พวกนิล์ฟการ์ดได้จัดการเชลยศึกทั้งหมดแล้ว และเหล่าทหารม้าก็กำลังจัดเรียงแถวเพื่อเตรียมเดินทัพ ส่วนเหล่าสกอยาเทลในชุดเครื่องแต่งกายหลากสีมุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดนำสู่ทิศตะวันออก

“ข้าจะไม่กลับไป” เขากล่าวตอบ “แต่เจ้าพาแดนดิไลออนกลับไปที่ส่งที่โบรคิลอนได้เลย”

“ไม่เอา!” นักกวีทักท้วง แม้สีหน้าของเขาจะยังไม่กลับมามีเลือดฝาดก็ตาม “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

มิลวายักไหล่ ก่อนก้มลงหยิบกระบอกเก็บลูกศรและคันธนู นางก้าวตรงไปที่ม้าหนึ่งก้าว แล้วจู่ๆ ก็หันหน้ากลับมา

“ให้ตายสิ!” นางสะบัดเสียง “สงสัยข้าจะช่วยเหล่าเอลฟ์ให้รอดพ้นจากความตายมานานเกินไป ข้าจึงไม่อาจปล่อยให้ใครไปตายได้! ข้าจะนำทางพวกเจ้าไปที่ยารูกาให้แล้วกัน เจ้าพวกโง่ แต่จะต้องไปทางทิศตะวันออก ไม่ใช่ทางทิศใต้”

“ทางนั้นก็มีไฟป่าเหมือนกันนี่”

“ข้าจะนำทางเจ้าฝ่าไฟไปเอง ข้าชินกับมันเสียแล้ว”

“เจ้าไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย มิลวา”

“ก็ไม่จำเป็นจริงๆ นั่นแหละ แต่รีบย้ายก้นไปขึ้นม้า แล้วไปจากที่นี่กันได้แล้ว!”

 

ทั้งสามไปได้ไม่ไกลนัก เพราะการควบม้าข้ามผ่านดงไม้เตี้ยและเส้นทางที่มีพุ่มไม้ขึ้นครึ้มนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก อีกทั้งพวกเขายังไม่หาญกล้าพอจะใช้ทางหลวง ด้วยความที่เสียงกีบเท้าม้าและเสียงอาวุธกระทบกันยังคงดังมาให้ได้ยินจากทั่วทุกสารทิศ บ่งบอกถึงตัวตนของกองทัพติดอาวุธขนาดใหญ่ ยามสนธยามาเยือนพวกเขาอย่างไม่บอกไม่กล่าวระหว่างที่ทั้งสามกำลังเดินทางอยู่ในลำห้วยที่ปกคลุมด้วยไม้พุ่ม พวกเขาจึงหยุดพักค้างแรมกัน คืนนี้ฝนไม่ตก ท้องฟ้าจึงดูสว่างไสวด้วยประกายแสงจากเปลวไฟ

พวกเขาเจอพื้นที่ที่ค่อนข้างแห้ง จึงใช้เสื้อคลุมและผ้าห่มห่อหุ้มตัวไว้และหย่อนกายนั่งลง มิลวาออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ และทันทีที่หญิงสาวจากไป แดนดิไลออนก็ระบายความสงสัยในใจที่เขามีต่อมือธนูจากโบรคิลอนผู้นี้ออกมาทันที

“ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามเสียจริง” เขาพึมพำ “เจ้านี่มีโชคเรื่องผู้หญิงจริงๆ นะ เกรอลท์ นางทั้งตัวสูง มีส่วนโค้งส่วนเว้า และก้าวเดินเหมือนกำลังเต้นรำอยู่ไม่มีผิด ถึงช่วงสะโพกจะบางและไหล่จะตั้งไปบ้างสำหรับข้า แต่นางก็ยังมีคุณสมบัติความเป็นหญิงอยู่อย่างครบถ้วน…ไหนจะเจ้าลูกแอ๊ปเปิ้ลสองลูกบนหน้าอกนั่นอีก โฮะโฮ่…แค่นี้ก็แทบจะระเบิดออกมาจากใต้เสื้อครึ่งตัวนั่นอยู่แล้ว—”

“หุบปากน่า แดนดิไลออน”

“ข้าบังเอิญเดินชนกับนางเข้าตอนที่อยู่บนถนน” นักกวียังคงฝันเฟื่อง “ขอบอกเลยว่าต้นขาของนางช่างเหมือนหินอ่อนเสียนี่กระไร มิน่าเล่า เจ้าถึงไม่นึกเบื่อเลยตอนช่วงเดือนที่เจ้าอยู่ในโบรคิลอน—”

มิลวาที่เพิ่งกลับมาจากการลาดตระเวนได้ยินเสียงกระซิบพรรณนานั้น รวมถึงสังเกตเห็นสีหน้าของพวกเขาเข้าพอดี

“กำลังพูดถึงข้าอยู่รึ เจ้านักกวี อยากรู้จริงว่าเจ้ามองอะไรอยู่ตอนที่ข้าหันหลัง หรือมีนกขี้รดข้ารึ”

“เรากำลังชื่นชมทักษะการยิงธนูของเจ้าอยู่ต่างหาก” แดนดิไลออนฉีกยิ้ม “เจ้าคงหาคู่แข่งแทบไม่ได้เลยกระมังหากเจ้าไปร่วมแข่งขันยิงธนู”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว ข้าเคยได้ยินเรื่องพวกนั้นมาก่อน รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เหลือด้วย”

“ข้าเคยอ่านเจอมาว่า” แดนดิไลออนกล่าวพลางขยิบตาให้เกรอลท์อย่างมีเลศนัย “นักธนูที่ฝีมือดีที่สุดคือนักธนูจากชนเผ่าที่อาศัยอยู่ ณ ทุ่งโล่งกว้างเซอร์ริคาเนีย ได้ยินมาว่ามือธนูบางคนถึงกับผ่าหน้าอกข้างซ้ายออกเลยนี่ มันจะได้ไม่ขวางเวลาง้างธนู ว่ากันว่าหน้าอกข้างซ้ายชอบมาขวางสายธนูอยู่เรื่อย”

“จะต้องมีนักกวีสักคนคิดเรื่องนั้นขึ้นมาอย่างแน่นอน” มิลวาพ่นลมพรืด “เขาคงจะนั่งลงและคิดเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นขึ้นมาขณะจุ่มปากกาขนนกลงในกระโถนฉี่ มีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อเรื่องพรรค์นั้น คิดว่าข้าใช้หน้าอกในการยิงธนูหรือไร เจ้าต้องดึงสายธนูมาแนบที่ปากตอนที่ยืนหันข้างแบบนี้ต่างหาก เห็นไหมว่าไม่มีอะไรมาขวางสายธนูเลย ดังนั้นเรื่องตัดหน้าอกออกนั่นจึงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยคนหื่นกามที่ในสมองมีแต่เรื่องร่างกายผู้หญิง”

“ขอบคุณสำหรับคำยกย่องที่เจ้ามีต่อนักกวีและงานกวีนะ ไหนจะบทเรียนเรื่องการยิงธนูอีก ช่างเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ธนูนั่นน่ะ รู้อะไรไหม ข้าว่าสงครามครั้งต่อๆ ไปจะต้องดำเนินไปในลักษณะนั้นอย่างแน่นอน ผู้คนจะหันมาใช้อาวุธระยะไกลต่อสู้กันในสงครามแห่งอนาคต พวกเขาจะประดิษฐ์คิดค้นอาวุธที่แผลงฤทธิ์ได้จากระยะไกล ไกลจนสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งที่อยู่นอกรัศมีสายตา”

“ไร้สาระทั้งเพ” มิลวาเอ่ยอย่างโผงผาง “จริงอยู่ที่ธนูเป็นอาวุธที่ดี แต่สงครามคือศึกระหว่างคนกับคน เป็นการต่อสู้ของคนที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ปลายดาบ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะขยี้หัวของผู้ที่อ่อนแอกว่า นั่นแหละคือสิ่งที่มันเป็นมาโดยตลอด และจะยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป กระทั่งเมื่อการปะทะเสร็จสิ้นลง สงครามทั้งหมดจึงจะจบสิ้น แต่ในตอนนี้ เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกนั้นทำสงครามกันด้วยวิธีใด ถึงอย่างไร เจ้าก็ได้เห็นมันในหมู่บ้านตรงถนนใหญ่นั่นแล้ว แต่เลิกคุยเล่นกันเสียที ข้าจะไปลาดตระเวนอีกรอบ พวกม้าเอาแต่ส่งเสียงพ่นลมอย่างกับว่ามีหมาป่ามาด้อมๆ มองๆ อยู่รอบด้านอย่างไรอย่างนั้น…”

“ช่างเป็นหญิงสาวที่น่ารักน่ามองเสียจริง” แดนดิไลออนใช้สายตาจ้องตามหลังนางไป “อืมม…พอมานึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตรงถนนใหญ่ และเรื่องที่นางบอกเจ้าตอนที่เรานั่งกันอยู่บนขอบผาแล้ว เจ้าไม่คิดรึว่าที่นางพูดก็มีส่วนถูก”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องของ…ซิริไง” นักกวีอึกอักเล็กน้อย “ดูเหมือนมือธนูตัวน้อยผู้งดงามของเราจะไม่เข้าใจว่าเจ้ากับซิริมีความสัมพันธ์กันอย่างไร นางก็เลยคิดว่าเจ้าตั้งใจจะช่วงชิงซิริมาจากจักรพรรดินิล์ฟการ์ด คิดว่านั่นคือเป้าประสงค์ที่แท้จริงในการเดินทางไปยังนิล์ฟการ์ดของเจ้า”

“งั้นก็ต้องแปลว่านางพูดผิดทั้งหมดสิ ส่วนใดกันที่นางพูดถูก”

“ใจเย็นสิ อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ลองคิดตามความเป็นจริงให้ดีสิ เจ้าอาจเคยรับซิริมาดูแลและคิดว่าตัวเองเป็นผู้ปกครองของนาง แต่นางไม่ใช่เด็กสาวธรรมดา นางเป็นองค์หญิงนะ เกรอลท์ พูดตรงๆ ก็คือนางมีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ ทั้งสิทธิ์ในการครองปราสาทและสิทธิ์ในการครองมงกุฎ และมงกุฎนั่นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นมงกุฎของนิล์ฟการ์ดเสมอไป ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเอเมียร์จะเป็นสามีที่ดีที่สุดให้กับนางได้หรือ—”

“ถูกต้องแล้ว เจ้าไม่รู้”

“แล้วเจ้าเล่า”

วิทเชอร์กระชับผ้าห่มคลุมรอบกาย

“เจ้าด่วนสรุปเกินไป ซึ่งก็ถือเป็นธรรมชาติของเจ้า” เขากล่าว “แต่ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ‘ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยซิริจากชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่นางเกิด เพราะซิริที่ย่อมไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ คงพร้อมจะสั่งให้ทหารแห่งจักรวรรดิโยนเรากลับลงมาที่ตีนบันไดได้ทุกเมื่อ ลืมเรื่องนางไปเสียเถอะ’ แบบนี้ใช่ไหม”

แดนดิไลออนอ้าปาก ทว่าเกรอลท์ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด

“ ‘ถึงอย่างไร’ ” เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม “ ‘เด็กสาวคนนั้นก็ไม่ได้ถูกมังกรหรือพ่อมดร้ายลักพาตัวไป แล้วก็ไม่ได้ถูกโจรสลัดจับตัวไปเพื่อเรียกค่าไถ่ด้วย นางไม่ได้ถูกขังไว้ในหอคอย ในกรง หรือในคุกใต้ดิน ไม่ได้ถูกทรมานหรืองดน้ำงดอาหาร ตรงกันข้าม นางกลับได้นอนบนเตียงผ้าทอลวดลายสวยงาม ดื่มกินจากเครื่องเงิน ได้สวมใส่ชุดผ้าไหมและชุดลูกไม้ ได้ประดับกายด้วยเพชรพลอยราคาแพง และก็กำลังรอขึ้นครองบัลลังก์ พูดง่ายๆ ก็คือนางยังอยู่ดีมีสุข ทว่าวิทเชอร์บางคนที่บังเอิญมีชะตาผูกติดอยู่กับนางกลับคิดจะขัดขวาง แย่งชิง บ่อนทำลาย และบดขยี้ความสุขนั้นด้วยรองเท้าบู๊ตเก่าๆ ที่เขาฉกฉวยมาจากเอลฟ์ที่ตายไปแล้ว’ ถูกไหม”

“ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นอยู่เสียหน่อย” แดนดิไลออนบ่นพึมพำ

“เขาไม่ได้กำลังพูดกับเจ้า” มิลวากล่าวขณะปรากฏกายขึ้นจากความมืดโดยพลัน และหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็นั่งลงข้างกายวิทเชอร์ “เขาหมายถึงข้าต่างหาก เป็นคำพูดของข้าเองที่ทำให้เขาผิดหวัง ข้าบันดาลโทสะ จึงพูดออกไปแบบนั้น…อภัยให้ข้าด้วย เกรอลท์ ข้ารู้ดีว่าการถูกซ้ำเติมน่ะเป็นอย่างไร เอาเถอะ อย่าหัวเสียไปเลย ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว เจ้าจะให้อภัยข้าได้ไหม หรือจะให้ข้าจุมพิตเจ้าเป็นการขอโทษดี”

หญิงสาวคว้าลำคอของวิทเชอร์ไว้เต็มแรงและจุมพิตลงบนแก้มของเขาโดยไม่รอช้าและไม่รอคำอนุญาต เกรอลท์บีบไหล่ของนางอย่างแรง

“ขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อยสิ” เขาไอ “เจ้าก็ด้วย แดนดิไลออน อยู่ใกล้ๆ กันจะอุ่นกว่า”

ไม่มีใครปริปากพูดอะไรเป็นเวลานาน ก้อนเมฆลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้าซึ่งสว่างไสวด้วยแสงจากเปลวไฟ บดบังแสงประกายจากหมู่ดาว

“ข้าจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง” ในที่สุดเกรอลท์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “แต่สัญญานะว่าจะไม่หัวเราะ”

“ว่ามาเลย”

“ข้าเคยฝันแปลกๆ ตอนที่อยู่ในโบรคิลอน ทีแรกข้าคิดว่าข้าคงแค่เพ้อไป คิดว่าสมองของข้าคงจะเพี้ยนไปแล้ว เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าถูกทำร้ายจนสาหัสบนเกาะธาเนดด์ แต่ข้าก็มักจะฝันแบบเดิมอยู่เสมอ เป็นฝันแบบเดิมทุกครั้งไป”

แดนดิไลออนกับมิลวาไม่พูดอะไร

“ซิริ” เขาเริ่มเอ่ยหลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง “ไม่ได้นอนหลับอยู่ใต้ผ้าทอในปราสาท แต่กำลังขี่ม้าผ่านหมู่บ้านครึ้มฝุ่น…พวกชาวบ้านต่างชี้นิ้วมาที่นาง พวกเขาเรียกขานนางด้วยชื่อที่ข้าไม่รู้จัก พวกสุนัขส่งเสียงเห่า แต่นางไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนอื่นอยู่กับนางด้วย เด็กสาวผมตัดสั้นผู้หนึ่งกำลังกุมมือของซิริไว้…และซิริเองก็ส่งยิ้มให้นาง แต่ข้ากลับไม่ชอบรอยยิ้มนั้นเลย รวมถึงไม่ชอบที่นางแต่งหน้าจัด…ที่ข้าชอบน้อยที่สุดก็คือการที่นางทิ้งกลิ่นอายแห่งความตายไว้เบื้องหลัง”

“แล้วเด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน” มิลวารำพึงพลางอิงแอบเข้าหาเขาราวกับแมว “ไม่ใช่ในนิล์ฟการ์ดหรือ”

“ข้าไม่รู้” เขาเอ่ยอย่างยากลำบาก “แต่ข้าฝันแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ปัญหาก็คือข้าไม่เชื่อในฝันแบบนั้น”

“ก็เจ้าเป็นเจ้าทึ่มนี่นะ แต่ข้าเชื่อ”

“ถึงข้าจะไม่รู้” เขาย้ำ “แต่ข้าก็สัมผัสได้ มีเปลวไฟลุกโชนอยู่เบื้องหน้านาง ส่วนเบื้องหลังนางก็คือความตาย ข้าต้องเร่งมือแล้ว”

 

สายฝนเริ่มเทลงมาในยามเช้าตรู่ แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนวันก่อน ตรงที่ลมพายุพัดพาฝนห่าใหญ่ซึ่งเทลงมาเป็นช่วงสั้นๆ ทว่ารุนแรง ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา และค่อยๆ มีสีด่างคล้ำราวตะกั่ว จากนั้นสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา เป็นสายฝนพรำอันเงียบสงบ ชวนให้รู้สึกเย็นสบาย

ทั้งสามควบม้าไปยังทิศตะวันออกโดยมีมิลวาเป็นผู้นำทาง ตอนที่เกรอลท์ทักนางว่ายารูกาอยู่ทางทิศใต้ มือธนูก็ส่งเสียงคำรามและเอ่ยเตือนเขาว่านางต่างหากคือผู้นำทาง และนางก็รู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาจึงไม่พูดอะไรต่ออีกหลังจากนั้น เพราะถึงอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการไปให้ถึงที่หมาย ทิศทางจึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญนัก

ทั้งสามขี่ม้าต่อไปอย่างเงียบงัน เปียกปอน หนาวเย็นไปถึงกระดูก และห่อร่างคุดคู้อยู่เหนืออาน พวกเขามุ่งหน้าไปตามทางเท้า ลอบเร้นเข้าป่า ตัดผ่านถนนใหญ่ และหายลับไปท่ามกลางแมกไม้เมื่อได้ยินเสียงกีบเท้าของทัพทหารม้าที่กระทบกับพื้นถนน พวกเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้อันวุ่นวาย และเดินทางผ่านหมู่บ้านที่กำลังมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิง ผ่านเศษซากคุโชนควันขโมง ผ่านถิ่นฐานและหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกทำลายย่อยยับจนเหลือเพียงพื้นดินสี่เหลี่ยมที่ดำไหม้เป็นตอตะโกและเถ้าถ่านชื้นฝนโชยกลิ่นฉุน พวกเขาทำให้ฝูงอีกาที่กำลังจิกกินซากศพตื่นตกใจ พวกเขาเคลื่อนผ่านกลุ่มและผ่านแถวชาวบ้านซึ่งงอก่องอขิงอยู่ใต้กองผ้าหลังหลบหนีมาจากสงครามและมหาเพลิง เหล่าชาวบ้านที่กำลังงุนงงไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างหวาดกลัว ขลาดเขลา และไร้สุ้มเสียง แววตาว่างเปล่าด้วยความทุกข์ยากและความหวาดกลัว

ทั้งสามขี่ม้าไปทางทิศตะวันออก ข้ามผ่านเปลวเพลิงและเขม่าควัน ข้ามผ่านสายฝนพรำและหมอกหนา ข้ามผ่านผืนผ้าม่านแห่งสงครามที่คลี่แผ่อยู่เบื้องหน้า มากมายละลานตาไปหมด

เงาโครงร่างสีดำมะเมื่อมของปั้นจั่นขนาดใหญ่ชูเด่นอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของหมู่บ้านอันมอดไหม้พร้อมซากศพเปล่าเปลือยที่ถูกจับมัดห้อยหัวลงมา หยาดเลือดที่ผุดซึมออกมาจากส่วนกึ่งกลางกายและหน้าท้องอันป่นปี้ไหลหยดลงมาบนแผ่นอกและใบหน้าของซากศพนั้น แล้วห้อยย้อยลงมาจากปลายเส้นผมราวกับแท่งน้ำแข็ง อักขระรูนแห่งอาร์ดปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของศพที่ว่า มันถูกแกะสลักขึ้นด้วยมีด

อันจิวาเร” มิลวาเอ่ยขณะสะบัดเส้นผมเปียกชื้นให้พ้นคอ “พวกกระรอกเคยมาที่นี่”

อันจิวาเร หมายความว่าอย่างไรรึ”

“สายข่าวน่ะ”

ม้าสีเทาสวมเครื่องประดับสีดำตัวหนึ่งกำลังก้าวขาเดินไปตามขอบสนามรบอย่างเก้ๆ กังๆ มันเดินเซซังไปมาระหว่างซากศพและด้ามหอกหักๆ ที่ปักอยู่กับพื้นขณะร้องครวญครางแผ่วเบาอย่างน่าเวทนา และลากเอาอวัยวะภายในที่ไหลทะลักออกมาจากช่วงท้องป่นปี้ตามหลังไปด้วย พวกเขาไม่อาจทำใจปลิดชีพมันได้ลง เพราะนอกจากเจ้าม้าตัวนั้นแล้ว ในสนามรบยังมีโจรปล้นสะดมอีกหลายรายคอยปล้นชิงสินทรัพย์จากบรรดาซากศพอยู่

ซากร่างเปล่าเปลือยโชกเลือดของเด็กสาวผู้หนึ่งนอนแผ่หราอยู่ใกล้ๆ ลานนาที่วอดวายไม่เหลือซาก นัยน์ตาขุ่นขาวจ้องมองขึ้นไปบนฟ้า

“ว่ากันว่าสงครามเป็นเรื่องของบุรุษ” มิลวาคำราม “แต่เจ้าพวกนั้นกลับไม่เคยปรานีผู้หญิง และมักจะหาความสนุกใส่ตัวอยู่เสมอ ไอ้พวกวีรบุรุษจอมปลอมเอ๊ย ไปตายซะให้หมดก็ดี”

“เจ้าพูดถูก แต่เจ้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก”

“ข้าเปลี่ยนแล้วต่างหาก ข้าหนีออกมาจากบ้าน ด้วยไม่อยากทนปัดกวาดเช็ดถูพื้นกระท่อมอีกต่อไป ข้าไม่คิดจะอยู่รอให้เจ้าพวกนั้นมาถึงและเผากระท่อมของข้า จับข้ากางแผ่ไว้บนพื้น และ…” นางหยุดพูดไป แล้วกระตุ้นม้าไปข้างหน้า

และต่อมา ทั้งสามก็ได้พบโรงเก็บน้ำมันดินอีกแห่งหนึ่ง แดนดิไลออนอาเจียนเอาสิ่งที่เขากินไปทั้งวันออกมาที่นี่ ซึ่งมีทั้งขนมปังแข็งและปลาตากแห้งครึ่งตัว

ชาวนิล์ฟการ์ดหรือไม่ก็พวกสกอยาเทลได้ใช้โรงเก็บน้ำมันดินแห่งนี้เป็นสถานที่ในการจัดการเชลยศึกกลุ่มหนึ่งอยู่ พวกเขาไม่อาจคาดเดาจำนวนที่แน่นอนของคนกลุ่มนี้ได้เลย เนื่องจากในระหว่างการสังหารหมู่อันโหดเหี้ยมนั้น คนเหล่านี้ไม่ได้ใช้เพียงแค่ธนู ดาบ และหอก แต่ยังใช้เครื่องมือของช่างไม้ที่พวกเขาพบในที่แห่งนั้น อันประกอบไปด้วยขวาน มีดถากผิวไม้ และเลื่อยลันดา[2]ด้วย

จริงอยู่ที่ยังมีภาพฉากสงครามแห่งอื่นๆ อีกมากมาย ทว่าทั้งเกรอลท์ แดนดิไลออน และมิลวากลับจำภาพเหล่านั้นไม่ได้เลย เพราะพวกเขาได้ลบมันทิ้งไปจากความทรงจำเรียบร้อยแล้ว

พวกเขากลายเป็นคนที่ไม่แยแสสิ่งใดอีกต่อไป

 

แม้จะผ่านไปอีกสองวัน ทั้งสามก็ยังเดินทางได้ไม่ถึงยี่สิบไมล์ สายฝนยังคงโปรยปรายลงมา และผืนดินที่ขาดน้ำมาตลอดฤดูร้อนอันแห้งแล้งก็ดูดซับน้ำเอาไว้ราวกับฟองน้ำ ทำให้เส้นทางภายในป่าแปรเปลี่ยนเป็นพื้นโคลนลื่นๆ สายฝนและเมฆหมอกทำให้ทั้งสามไม่อาจมองเห็นควันดำที่โชยกรุ่นขึ้นมาจากเปลวไฟ แต่พวกเขากลับรู้ได้จากกลิ่นเหม็นไหม้ของอาคารบ้านเรือนต่างๆ ว่ากองทัพยังคงอยู่ใกล้ๆ กันนั้น และยังคอยจุดไฟเผาสิ่งใดก็ตามที่ติดไฟได้

ทั้งสามไม่พบผู้ลี้ภัยกลุ่มใดอีก พวกเขาอยู่กันตามลำพังในป่า หรืออย่างน้อยพวกเขาก็คิดเช่นนั้น

เกรอลท์เป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจของม้าที่ตามรอยพวกเขามา เขาจึงชักโรชให้หันกลับไปด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง แดนดิไลออนอ้าปาก ทว่ามิลวากลับส่งสัญญาณให้เขาหุบปากเงียบไว้ แล้วฉวยคันธนูมาจากที่ห้อยข้างอาน

คนขี่ม้าที่ตามหลังพวกเขามาปรากฏกายออกมาจากพุ่มไม้ และเมื่อเห็นว่าทั้งสามกำลังคอยตนอยู่ เขาจึงรั้งม้าหนุ่มสีเกาลัดของเขาไว้ คนทั้งสี่ต่างยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบ มีเพียงเสียงพรำของสายฝนเท่านั้นที่ดังแทรกขัด

“ข้าห้ามไม่ให้เจ้าขี่ม้าตามเรามาแล้วนี่” วิทเชอร์เอ่ยขึ้นในที่สุด

ชาวนิล์ฟการ์ดที่แดนดิไลออนเคยเห็นในโลงศพก้มลงมองม้าหนุ่มที่เปียกโชกของตน นักกวีแทบจะจำเขาไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมรัดเอวและชุดคลุมหนัง สวมทับด้วยชุดเกราะยาวถึงเข่า ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นชุดที่ฉกชิงมาจากหนึ่งในทหารม้าที่ถูกสังหารบริเวณเกวียนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เขากลับจำใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นได้ เนื่องจากตอหนวดที่ประดับอยู่บนใบหน้านั้นไม่ได้ยาวขึ้นกว่าตอนที่เกิดการต่อสู้ใต้ต้นบีชเลย

“ข้าห้ามเจ้าแล้ว” วิทเชอร์กล่าวย้ำ

“ก็จริง” หนุ่มน้อยผู้นั้นยอมรับในท้ายที่สุด วาจาของเขาไม่มีสำเนียงแบบชาวนิล์ฟการ์ด “แต่ข้าจำเป็น”

เกรอลท์ก้าวลงจากม้า ส่งสายบังเหียนให้นักกวี แล้วชักดาบ

“ลงมา” เขาเอ่ยอย่างสงบ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะสวมเครื่องป้องกันมาเหมือนกันนี่ ดีเลย เพราะถ้าเจ้าไม่มีอาวุธติดตัวมา ข้าคงลงมือฆ่าเจ้าไม่ได้แน่ แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ลงมาจากม้าเดี๋ยวนี้”

“ข้าจะไม่สู้กับเจ้า ข้าไม่อยากสู้”

“ว่าแล้วเชียว เจ้าคงจะชอบการต่อสู้ด้วยวิธีอื่นเฉกเช่นเพื่อนร่วมชาติของเจ้าสินะ อย่างเช่นการต่อสู้ในโรงเก็บน้ำมันดินนั่น ซึ่งเจ้าต้องขี่ม้าผ่านมาแน่ๆ หากเจ้าตามรอยเรามา บอกให้ลงมาจากม้าไง”

“ข้าคือคาเฮียร์ มอวร์ ดิฟฟริน เอบ เคลลาค”

“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าแนะนำตัว ข้าบอกให้เจ้าลงจากม้ามาต่างหาก”

“ข้าไม่ลง ข้าไม่ได้อยากสู้กับเจ้า”

“มิลวา” วิทเชอร์พยักหน้าให้มือธนู “ช่วยยิงม้าของเขาให้ทีสิ”

“อย่านะ!” ชาวนิล์ฟการ์ดรีบชูแขนข้างหนึ่งขึ้นก่อนที่มิลวาจะได้ทันพาดลูกธนูลงบนร่อง “ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้”

“ดีมาก ทีนี้ก็ชักดาบออกมาซะ ไอ้หนู”

ชายหนุ่มยกแขนทั้งสองขึ้นกอดไว้เหนืออก

“ฆ่าข้าสิ ถ้าเจ้าอยากทำนัก หรือจะสั่งให้เอลฟ์หญิงนั่นยิงใส่ข้าก็ได้ แต่ข้าจะไม่สู้กับเจ้า ข้าคือคาเฮียร์ มอวร์ ดิฟฟริน…บุตรแห่งเคลลาค ข้าอยาก…อยากเข้าร่วมกลุ่มกับเจ้าด้วย”

“ข้าต้องหูฝาดไปแน่ๆ ไหนลองพูดอีกทีซิ”

“ข้าอยากเข้าร่วมกลุ่มกับเจ้า เจ้าคงกำลังออกเดินทางเพื่อตามหาตัวเด็กสาวนั่นอยู่ ข้าอยากช่วยเจ้า ข้าต้องช่วยพวกเจ้าด้วยอีกแรง”

“เขาบ้าไปแล้ว” เกรอลท์หันไปหามิลวาและแดนดิไลออน “เขาต้องสติหลุดไปแล้วแหงๆ สงสัยเรากำลังคุยกับคนบ้าอยู่”

“เขาเหมาะจะไปกับเรานะ” มิลวาพึมพำ “เหมาะเหม็งสุดๆ”

“ลองไตร่ตรองข้อเสนอของเขาดูอีกทีเถอะ เกรอลท์” แดนดิไลออนเยาะหยัน “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นชนชั้นสูงชาวนิล์ฟการ์ด บางทีถ้ามีเขาคอยช่วย เราอาจไปถึง—”

“ระวังปากของเจ้าด้วย” วิทเชอร์เอ่ยขัดนักกวีอย่างเด็ดขาด “ดึงดาบออกมาอย่างที่ข้าบอกเสีย ชาวนิล์ฟการ์ด”

“ข้าจะไม่ต่อสู้ และข้าก็ไม่ใช่ชาวนิล์ฟการ์ด ข้ามาจากวิโควาโรต่างหาก และข้ามีชื่อว่า—”

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะชื่ออะไร ชักอาวุธออกมาเสีย”

“ไม่”

“วิทเชอร์” มิลวาโน้มตัวลงจากอานและถ่มน้ำลายลงบนพื้น “เวลากำลังเคลื่อนผ่านไป และฝนก็ยังตกอยู่ ชาวนิล์ฟการ์ดนี่ไม่อยากสู้กับเจ้า และถึงแม้เจ้าจะเอาแต่ทำหน้าบูด แต่เจ้าเองก็ทำใจหั่นเขาเป็นชิ้นๆ อย่างเลือดเย็นไม่ลงเหมือนกัน ใจคอจะให้เรายืนตากฝนอยู่ตรงนี้ไปทั้งวันเลยหรือ ข้าจะได้ยิงธนูใส่ท้องของเจ้าม้าสีเกาลัดนั่น เราจะได้ไปต่อกันเสียที เจ้านี่ไม่มีทางเดินเท้าตามเราทันแน่”

คาเฮียร์ บุตรแห่งเคลลาค กระโดดพรวดเดียวไปยืนอยู่ข้างม้าหนุ่มสีเกาลัดของเขา เขารีบกระโจนขึ้นไปบนอาน และควบม้ากลับไปยังทิศทางที่เขาจากมาพร้อมส่งเสียงร้องตะโกนให้มันเร่งความเร็วขึ้น วิทเชอร์จ้องมองเขาขี่ม้าจากไปอยู่อีกครู่ ก่อนจะขึ้นขี่โรชอย่างเงียบเชียบ ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

“ข้าคงแก่แล้ว” เขาพึมพำหลังจากที่โรชเร่งฝีเท้าตามเจ้าม้าสีดำของมิลวามาได้พักหนึ่ง “อะไรๆ มันถึงได้หย่อนยานไปหมด”

“ไม่แปลกหรอก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับคนแก่ทุกคนนั่นแหละ” มือธนูกล่าวพลางจ้องมองเขาอย่างเห็นใจ “ยาสกัดจากต้นลังเวิร์ตอาจช่วยเจ้าได้ แต่ตอนนี้ก็หาเบาะมารองอานไปก่อนแล้วกัน”

“เขาหมายถึงจิตใจต่างหาก” แดนดิไลออนอธิบายอย่างเศร้าสร้อย “ไม่ได้หมายถึงริดสีดวงสักหน่อย มิลวา เจ้าสับสนไปใหญ่แล้ว”

“ใครมันจะไปเข้าใจบทสนทนาของคนฉลาดแบบพวกเจ้าเล่า เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอยู่ได้ อย่างกับพวกเจ้ารู้อยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ! ไปเถอะ ออกเดินทางต่อได้แล้ว!”

“มิลวา” วิทเชอร์เอ่ยถามหลังจากผ่านไปอีกครู่ ขณะยกมือขึ้นบังหน้าจากสายฝนที่สาดเข้าใส่ระหว่างการควบม้า “เจ้าคิดจะฆ่าม้าของเจ้านั่นจริงๆ รึ”

“ไม่” นางสารภาพอย่างไม่เต็มใจนัก “ม้านั่นไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เจ้านิล์ฟการ์ดนั่น — ทำไมเขาถึงลอบตามเรามาล่ะ ทำไมเขาถึงบอกว่าเขาจำเป็น”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

สายฝนยังโปรยปรายลงมาขณะที่แนวผืนป่าสิ้นสุดลงกะทันหัน ทั้งสามควบม้ามาจนถึงถนนใหญ่ที่คดเคี้ยวไปมาระหว่างเนินเขามากมายที่ลากยาวจากทางใต้มาทางเหนือ หรืออาจจะเป็นในทางกลับกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองของท่าน ภาพที่พวกเขามองเห็นบนถนนใหญ่นั้นไม่ได้ทำให้ตกใจสักเท่าไร พวกเขาเคยเห็นภาพคล้ายๆ กันนี้มาก่อนแล้ว ทั้งภาพเกวียนบรรทุกของที่พลิกคว่ำและถูกค้นจนเละเทะ ภาพซากม้าตาย ภาพข้าวของ ตะกร้า และกระเป๋าอานม้าที่กระจัดกระจายไปทั่ว และเศษซากกะรุ่งกะริ่งมากมายซึ่งเคยเป็นมนุษย์เมื่อไม่นานมานี้ ทว่าบัดนี้กลับแข็งค้างอยู่ในท่าทางแปลกประหลาด

ทั้งสามควบม้าเข้าไปใกล้โดยไม่เกรงกลัว เพราะเห็นได้ชัดว่าการฆาตกรรมหมู่คงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นภายในวันนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาได้เรียนรู้มา หรือบางทีอาจสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าล้วนๆ ที่เพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นและได้รับการขัดเกลาอยู่ข้างในตัว นอกจากนี้ทั้งสามยังรู้จักเรียนรู้วิธีการค้นหาของกลางสนามรบ เนื่องจากในบางโอกาส พวกเขาอาจหาอาหารเล็กๆ น้อยๆ ทั้งของคนและของสัตว์จากข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ได้ แม้จะหาพบได้ไม่บ่อยนักก็ตาม

พวกเขาหยุดอยู่ที่เกวียนเล่มสุดท้ายในแถวขบวนที่พังยับเยิน เกวียนเล่มนี้ถูกผลักลงไปในร่องน้ำ และบัดนี้ก็จอดนิ่งอยู่บนดุมล้อที่แตกเป็นเสี่ยง ข้างใต้เกวียนนั้นมีหญิงสาวร่างท้วมผู้หนึ่งซึ่งมีช่วงคอบิดงอผิดธรรมชาตินอนนิ่งอยู่ คอเสื้อบนชุดคลุมของนางเปรอะเปื้อนคราบเลือดซึ่งถูกสายฝนชะล้างเป็นริ้วลาย เป็นคราบเลือดเหนียวหนืดซึ่งไหลมาจากหูที่ฉีกขาดตรงตำแหน่งที่ต่างหูถูกฉีกกระชากออกไป ป้ายสัญลักษณ์บนผ้าใบกันน้ำที่ห่มคลุมอยู่เหนือเกวียนอ่านได้ว่า ‘วีรา โลเวนเฮาปต์ และบุตรทั้งหลาย’ แต่กลับไม่เห็นร่องรอยใดที่บ่งบอกถึงเหล่าบุตรชายของนาง

“คนพวกนี้ไม่ใช่ชาวบ้าน” มิลวาเอ่ยผ่านริมฝีปากที่เม้มแน่น “แต่เป็นพวกพ่อค้าแม่ขาย พวกเขามาจากทางตอนใต้ กำลังมุ่งหน้าจากดิลลินเจนไปยังบรูจจ์ และก็ถูกจับตัวได้ที่นี่ ดูท่าไม่ดีแล้ว วิทเชอร์ ข้านึกว่าเราอาจยังหักเลี้ยวไปทางใต้ตรงจุดนี้ได้ แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรดี ทั้งดิลลินเจนและบรูจจ์จะต้องตกอยู่ในกำมือของพวกนิล์ฟการ์ดแล้วเป็นแน่ ฉะนั้นเราคงไปไม่ถึงยารูกาหากยังใช้เส้นทางนี้ เราต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ข้ามไปทางเทอร์โลห์ แถวนั้นมีป่าและพื้นที่รกร้างอยู่ พวกกองทัพย่อมไม่ผ่านไปทางนั้นแน่”

“ข้าจะไม่ไปทางทิศตะวันออกไกลกว่านี้อีกแล้ว” เกรอลท์เอ่ยท้วง “ข้าต้องไปที่ยารูกา”

“เจ้าได้ไปแน่” นางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบอย่างคาดไม่ถึง “แต่ต้องใช้เส้นทางที่ปลอดภัยกว่านี้ หากเรามุ่งหน้าลงใต้ต่อไปทางนี้ เจ้าได้ตกหลุมพรางของพวกนิล์ฟการ์ดแน่ และเจ้าจะไม่ได้อะไรติดตัวมาทั้งสิ้น”

“ข้าจะได้เวลาเพิ่มมากขึ้นอย่างไรเล่า” เขากล่าวเสียงห้วน “ขืนยังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกต่อ ข้ามีแต่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าไม่อาจเสี่ยง—”

“เงียบหน่อย” จู่ๆ แดนดิไลออนก็เอ่ยขึ้นขณะชักม้าของตนไปรอบๆ “ช่วยเงียบกันสักประเดี๋ยวสิ”

“มีอะไรรึ”

“ข้าได้ยิน…เสียงร้องเพลง”

วิทเชอร์ส่ายหน้า ส่วนมิลวาพ่นลมหายใจ

“หูแว่วแล้วกระมัง เจ้านักกวี”

“เงียบน่า! หุบปาก! ข้าได้ยินเสียงคนร้องเพลงจริงๆ นะ! พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ”

เกรอลท์ลดฮู้ดของตนลง ขณะที่มิลวาลองเงี่ยหูฟังบ้าง กระทั่งผ่านไปชั่วครู่ นางจึงชำเลืองมองไปทางวิทเชอร์แล้วพยักหน้าให้เขาเงียบๆ

ประสาทหูที่ไวต่อเสียงดนตรีของนักกวีไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้กลับกลายเป็นจริงขึ้นมา แม้ในขณะที่คนทั้งสามกำลังยืนอยู่กลางป่าใหญ่ กลางสายฝนที่ยังคงตกปรอยๆ บนท้องถนนมีซากศพกองเกลื่อน พวกเขากลับได้ยินเสียงร้องเพลง ใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาจากทางใต้ขณะส่งเสียงขับร้องอย่างรื่นเริงเบิกบาน

มิลวากระตุกสายบังเหียนของเจ้าม้าสีดำ พร้อมจะเผ่นหนีได้ทุกเมื่อ ทว่าวิทเชอร์กลับส่งสัญญาณให้นางหยุดรอ เขากำลังนึกสงสัย เพราะเสียงขับร้องที่พวกเขาได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงขับร้องอันคุกคามซึ่งดังกระหึ่มเป็นจังหวะดั่งเสียงขับร้องของทัพทหารราบที่กำลังเคลื่อนพล แล้วก็ไม่ใช่บทเพลงข่มขวัญของทัพทหารม้า เสียงขับร้องนั้นทวีความดังขึ้นทุกที แต่กลับไม่ชวนให้รู้สึกหวั่นวิตก

ออกจะตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

เม็ดฝนตกลงกระทบใบไม้ ทั้งสามเริ่มจับใจความเนื้อร้องในบทเพลงได้ มันเป็นเพลงแห่งการเฉลิมฉลอง ซึ่งนับว่าแปลกมาก และไม่เข้ากับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความตายและศึกสงครามเช่นนี้เอาเสียเลย

 

จงดูเจ้าหมาป่าร่ายรำในพงไพร

มันแยกเขี้ยว หางสะบัดไหว กระโดดไกลดั่งอาชา

โอ้ เหตุใดหนอ มันจึงดูรื่นเริงราวต้องมนตร์

            เจ้าอสูรร้ายคงไม่เคยถูกคนจับล่าม!

            อุม-ปา อุม-ปา อุม-ปา-ปา!

 

แดนดิไลออนหัวเราะออกมาโดยพลัน เขาเอื้อมมือไปหยิบลูทจากใต้เสื้อคลุมอันเปียกปอน ก่อนจะเริ่มดีดเครื่องสายและร่วมขับร้องจนสุดเสียง โดยไม่สนใจเสียงคำรามขู่ของวิทเชอร์และมิลวาเลยแม้แต่น้อย

 

จงดูเจ้าหมาป่าลากอุ้งแขน

            หัวก้มต่ำ หางตกลู่ กรามเม้มแน่น

            โอ้ เหตุใดหนอ มันจึงดูเศร้าหมองห่อเหี่ยวใจ

            มันคงกำลังจะหมั้นหมาย หรือแต่งงานกับคู่ครองเป็นแน่!

 

“อู้-ฮู่-ฮ่า!” แว่วเสียงกู่ร้องตอบรับมาจากคนกลุ่มใหญ่ใกล้บริเวณนั้น

เสียงหัวเราะดังสนั่นพลันระเบิดขึ้น จากนั้นใครบางคนก็ส่งเสียงผิวปากผ่านนิ้วดังแสบหู ครั้นแล้ว กลุ่มคนท่าทางประหลาดทว่าดูครื้นเครงก็เลี้ยวโค้งมาจากถนนใหญ่ เคลื่อนขบวนมาเป็นแถวเรียงเดี่ยว รองเท้าบู๊ตหนาย่ำพื้นโคลนเป็นจังหวะจนโคลนเลนกระจายไปทั่ว

“พวกคนแคระ” มิลวาเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่ไม่ใช่พวกสกอยาเทล คนพวกนี้ไม่ได้ถักเปียไว้ที่เครา”

พวกเขามีด้วยกันทั้งหมดหกคน ต่างคนต่างสวมใส่กางเกงขาสั้นและชุดคลุมมีฮู้ดซึ่งเปล่งประกายวาววับเป็นเฉดสีเทาสลับน้ำตาลหลายเฉดจนนับไม่ถ้วน ถือเป็นชุดคลุมที่เหล่าคนแคระนิยมใส่ในสภาพอากาศอันย่ำแย่ เท่าที่เกรอลท์รู้ ชุดคลุมเช่นนี้กันน้ำได้ มันเป็นผลสำเร็จจากการนำน้ำมันยางไม้มาทาเคลือบติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี  บนชุดของพวกเขายังมีฝุ่นผงจากถนนและเศษอาหารมันๆ ติดอยู่ด้วย เครื่องแต่งกายที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้เป็นพ่อมักจะมอบให้ลูกชายคนโต ด้วยเหตุนี้เอง คนแคระที่จะได้สวมใส่อาภรณ์เช่นนี้จึงมีแต่คนแคระที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และการที่คนแคระผู้หนึ่งจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ หนวดเคราของเขาจะต้องยาวจรดเอวเสียก่อน ซึ่งมักจะประจวบเหมาะกับช่วงอายุยี่สิบห้าปีพอดี

ทว่าคนแคระพวกนี้กลับดูไม่เหมือนคนหนุ่ม แต่ก็ดูไม่แก่ชราด้วยเช่นกัน

“พวกเขาพามนุษย์มาด้วย” มิลวาสบถพึมพำขณะขยับศีรษะบุ้ยใบ้ให้เกรอลท์เห็นกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่ปรากฏกายออกมาจากในป่าเบื้องหลังพวกคนแคระ “ต้องเป็นพวกผู้ลี้ภัยไม่ผิดแน่ เพราะพวกเขาแบกข้าวของและทรัพย์สมบัติมาเต็มไปหมด”

“พวกคนแคระเองก็แบกของมาน้อยเสียที่ไหน” แดนดิไลออนเสริม

เป็นดังที่นักกวีว่า คนแคระแต่ละคนต่างแบกของมามากเสียจนหากให้คนหรือม้าแบก พวกเขาคงจะโดนทับแบนอย่างแน่นอน นอกจากกระสอบของทั่วไปและกระเป๋าอานม้าแล้ว เกรอลท์ยังสังเกตเห็นหีบเสริมเหล็กหลายหีบ หม้อน้ำทองแดงขนาดใหญ่ใบหนึ่ง รวมถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนตู้ลิ้นชักขนาดเล็ก คนแคระคนหนึ่งถึงกับแบกล้อเกวียนไว้บนหลัง

ทว่าบุคคลที่ก้าวเดินอยู่ด้านหน้ากลับไม่ได้แบกของใดๆ เอาไว้ เขามีเพียงขวานศึกเล่มเล็กเสียบอยู่ที่เข็มขัด และสะพายดาบยาวอีกเล่มซึ่งห่อหุ้มด้วยปลอกหนังแมวลายไว้บนหลัง ส่วนบนไหล่ของเขานั้น มีนกแก้วสีเขียวขนฟูเปียกโชกเกาะอยู่ คนแคระผู้นั้นเอ่ยทักพวกเขา

“สวัสดี!” เขาคำรามหลังจากหยุดยืนอยู่กลางท้องถนนและเท้ามือของตนไว้บนเอว “ทุกวันนี้การได้เจอหมาป่าในป่าใหญ่ถือเป็นเรื่องดีกว่าการได้พบมนุษย์เสียอีก และหากเจ้าบังเอิญโชคไม่ดีเข้าจริงๆ เจ้าคงโดนธนูเสียบอกแทนที่จะได้กล่าวคำทักทายกันดีๆ ไปแล้ว! แต่ผู้ที่ทักทายผู้อื่นด้วยเสียงขับร้องย่อมต้องเป็นสุภาพบุรุษ! ไม่ก็เป็นสุภาพสตรี ขออภัยท่านหญิงตรงนั้นด้วย! สวัสดี ข้าชื่อโซลทัน ชิเวย์”

“ข้าชื่อเกรอลท์” วิทเชอร์แนะนำตัวเองหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง “เจ้านักร้องนี่ชื่อแดนดิไลออน ส่วนนี่คือมิลวา”

“เวรเอ๊ยย!” เจ้านกแก้วร้องเสียงดัง

“หุบจงอยปากนั่นเดี๋ยวนี้” โซลทัน ชิเวย์ คำรามใส่นกแก้ว “ขออภัยด้วย เจ้านกต่างถิ่นนี่ฉลาดก็จริง แต่น่ารำคาญเป็นบ้า ข้าอุตส่าห์จ่ายเงินตั้งสิบธาเลอร์[3]เพื่อซื้อเจ้านี่มา มันมีชื่อว่าจอมพลช่างจ้อ และในเมื่อเรากำลังแนะนำตัวกันอยู่ เจ้าพวกนี้คือสมาชิกที่เหลือในก๊วนของข้า มันโร บรุยส์, เยซอน วาร์ดา, เคเล็บ สแตรททัน, ฟิกกิส เมอร์ลุสโซ และเพอร์ซิวัล ชุตเท็นบาค”

เพอร์ซิวัล ชุตเท็นบาค ไม่ใช่คนแคระ เพราะแทนที่ข้างใต้ฮู้ดอันเปียกชุ่มนั้นจะมีหนวดเคราเส้นหนาที่ขมวดเป็นก้อน กลับมีจมูกแหลมยาวยื่นออกมา บ่งบอกว่าเขาเป็นพวกโนม หนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่และสูงศักดิ์เผ่าพันธุ์หนึ่ง

“ส่วนคนพวกนั้น” โซลทัน ชิเวย์ กล่าวขณะชี้ไปยังมนุษย์กลุ่มเล็กที่หยุดยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ “เป็นผู้ลี้ภัยจากเคอร์นาว อย่างที่เจ้าเห็น พวกเขาเป็นแค่เด็กและสตรี ที่จริงเคยมีมากกว่านี้ แต่กลับถูกพวกนิล์ฟการ์ดจับตัวไปพร้อมกับคนอื่นๆ เมื่อสามวันก่อน บ้างก็ถูกสังหาร บ้างก็ถูกจับไปปล่อย แต่เราบังเอิญพบพวกเขาเข้าในป่า ตอนนี้ก็เลยร่วมเดินทางไปด้วยกันซะเลย”

“พวกเจ้ากล้ามาก” วิทเชอร์กล่าวหยั่งเชิง “ที่เคลื่อนขบวนไปบนถนนใหญ่พร้อมกับร้องเพลงไปด้วยแบบนี้”

“ข้าไม่คิดว่า” คนแคระเอ่ยพลางกระดิกหนวด “การเดินทางพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญไปด้วยจะดีไปกว่ากันสักเท่าไร พวกเราลอบเคลื่อนขบวนผ่านป่าอย่างเงียบเชียบมาตั้งแต่ที่ดิลลินเจนแล้ว ดังนั้นพอกองทัพเคลื่อนผ่านไป เราจึงหันมาใช้ถนนใหญ่เพื่อทำเวลา” เขาหยุดพูด และหันมองไปรอบๆ สมรภูมิ

“เราเห็นภาพแบบนี้จนชินตาแล้ว” เขาว่าขณะชี้นิ้วไปยังซากศพ “พอพ้นดิลลินเจนและยารูกามา บนท้องถนนก็มีแต่ศพเกลื่อนไปหมด…เจ้าเป็นพวกเดียวกับคนเหล่านี้รึ”

“เปล่า เป็นพวกนิล์ฟการ์ดที่สังหารแม่ค้าเหล่านี้”

“ไม่ใช่นิล์ฟการ์ดหรอก” คนแคระเอ่ยพลางส่ายหัว แล้วมองซากศพด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย “แต่เป็นพวกสกอยาเทล พวกกองทัพไม่มาเสียเวลาดึงลูกธนูออกจากศพหรอก แล้วลูกธนูดีๆ ยังมีราคาตั้งครึ่งเหรียญ”

“รู้ดีไม่เบานี่” มิลวาพึมพำ

“พวกเจ้ากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน”

“ไปทางใต้” เกรอลท์เอ่ยตอบทันควัน

“ข้าขอแนะนำว่าอย่าไปทางนั้นเลยดีกว่า” โซลทัน ชิเวย์ เอ่ย ก่อนจะส่ายหัวไปมาอีกครั้ง “ที่นั่นน่ะมันนรกชัดๆ มีแต่เปลวไฟและการฆ่าฟัน ดิลลินเจนต้องถูกยึดไปแล้วแหงๆ และพวกนิล์ฟการ์ดก็พากันข้ามแม่น้ำยารูกามามากขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นาน แนวหุบเขาตรงชายฝั่งทางด้านขวาคงมีแต่พวกมันเต็มไปหมด อย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ กระทั่งข้างหน้าเรายาวไปจนถึงทางเหนือก็มีพวกมันอยู่ และในเมื่อพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่บรูจจ์ ดังนั้นทิศทางเดียวที่ควรจะหลบหนีไปจึงเป็นทิศตะวันออก”

มิลวาชำเลืองมองวิทเชอร์อย่างรู้ทัน ซึ่งฝ่ายหลังก็ไม่ได้ออกความเห็นใดๆ

“และนั่นก็คือทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ทิศตะวันออกน่ะ” โซลทัน ชิเวย์ กล่าวต่อ “โอกาสเดียวที่เราจะรอดไปได้ก็คือการซ่อนตัวอยู่หลังทัพหน้า รอจนกว่ากองทัพเทเมเรียจะโผล่ออกมาจากแม่น้ำอินาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก หลังจากนั้น พวกเราวางแผนเอาไว้ว่าจะเดินทางไปตามชายป่าจนกระทั่งถึงหุบเขาเทอร์โลห์ แล้วมุ่งหน้าไปที่ถนนสายเก่าที่ทอดยาวไปยังแม่น้ำคอตลาในซอดเดน ซึ่งจะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำอินาอีกที เราร่วมเดินทางไปด้วยกันได้นะหากเจ้าต้องการ ถ้าเจ้าไม่เกี่ยงเรื่องที่เราอาจเดินทางกันช้าหน่อย พวกเจ้ามีม้า และข้าคิดว่าผู้ลี้ภัยของเราอาจทำให้เจ้าช้าลงได้”

“แต่คงไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเจ้าสินะ” มิลวากล่าวพลางจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง “เพราะถึงแม้จะบรรทุกของหนัก แต่คนแคระคนหนึ่งก็ยังเดินทางได้ไกลถึงสามสิบไมล์ต่อวัน เกือบจะเทียบเท่าฝีเท้าของคนขี่ม้าเลยทีเดียว ข้ารู้จักถนนสายเก่าดี ถ้าไม่มีผู้ลี้ภัยพวกนั้น เจ้าคงไปถึงคอตลาได้ภายในสามวัน”

“พวกเขาเป็นเด็กกับผู้หญิง” โซลทัน ชิเวย์ เอ่ยพร้อมทำเคราชี้และหน้าท้องยื่นออกมาข้างหน้า “เราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องตายอย่างเด็ดขาด หรือเจ้าจะให้เราทำอย่างอื่นแทน”

“ไม่” วิทเชอร์ว่า “ไม่ใช่แบบนั้น”

“ข้าดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น แปลว่าข้าไม่ได้มองพวกเจ้าผิดไปจริงๆ งั้นเอาอย่างไรดี จะร่วมทางไปด้วยกันไหม”

เกรอลท์จ้องมองไปทางมิลวา มือธนูจึงพยักหน้าให้เขา

“ตกลงตามนั้น” โซลทัน ชิเวย์ กล่าวเมื่อสังเกตเห็นการผงกศีรษะนั้น “งั้นก็ไปกันต่อดีกว่า ก่อนที่กองโจรสักกองจะเจอพวกเราบนถนนใหญ่เข้า แต่ก่อนอื่น — เยซอน มันโร ไปตรวจดูเกวียนพวกนั้นซิ ถ้าเจออะไรที่พอจะใช้ประโยชน์ได้ก็หยิบติดมือมาด้วย เร่งมือเข้า ส่วนฟิกกิส ลองดูซิว่าจะใส่ล้อของเราเข้าไปใต้เกวียนเล่มเล็กนั่นได้ไหม ถ้าได้เกวียนสักเล่มก็คงจะดี”

“ใส่ได้!” แว่วเสียงตะโกนของคนแคระที่แบกล้อเกวียนไว้บนหลัง “พอดีเป๊ะเลย!”

“เห็นไหม เจ้าโง่ แล้วยังมีหน้ามาทำหน้าตื่นตกใจใส่ข้าอีกตอนที่ข้าบอกให้เจ้าเอาล้อนั่นมาด้วย! ใส่มันเข้าไปสิ! ไปช่วยเขาที เคเล็บ!”

ชั่วประเดี๋ยวเดียว เกวียนของวีรา โลเวนเฮาปต์ ผู้ล่วงลับก็ได้รับการเสริมล้อซี่ใหม่เข้าไปเป็นที่เรียบร้อย ผ้าใบกันน้ำและส่วนประกอบที่ไม่จำเป็นอื่นๆ ถูกดึงออกจนหมด อีกทั้งตัวเกวียนยังถูกดึงจากร่องน้ำกลับมาอยู่บนถนนอีกครั้ง ข้าวของทั้งหมดถูกยกไปกองไว้บนเกวียนในทันที และหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง โซลทัน ชิเวย์ จึงสั่งให้พวกเด็กๆ ขึ้นไปนั่งอยู่บนเกวียนด้วย คำสั่งนั้นได้รับการตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก เกรอลท์สังเกตเห็นว่ามารดาของพวกเด็กๆ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดบึ้งตึงใส่เหล่าคนแคระ และพยายามตีตัวออกห่างจากพวกเขา

แดนดิไลออนเฝ้ามองคนแคระสองคนผลัดกันลองสวมใส่เสื้อผ้าที่ฉกชิงมาจากศพจากระยะไกล คนแคระที่เหลือยังคงขึ้นไปค้นข้าวของในเกวียน แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ควรจะนำติดตัวไปด้วย โซลทัน ชิเวย์ ยกนิ้วขึ้นผิวปาก ส่งสัญญาณเตือนว่าเวลาแห่งการฉกชิงหมดลงแล้ว จากนั้นเขาจึงตวัดสายตาอันแหลมคมมาจ้องมองโรช เพกาซัส และเจ้าม้าสีดำของมิลวา

“ม้าสำหรับขี่” เขาเอ่ยขณะย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจ “หรือที่เรียกอีกอย่างว่าตัวไร้ประโยชน์ ฟิกกิส เคเล็บ ไปที่แอกเสียสิ เราจะผลัดกันลากทีละคน เคลื่อนขบวนได้!”

 

เกรอลท์มั่นใจว่าพวกคนแคระจะต้องทิ้งเกวียนไปทันทีที่มันติดคาอยู่ในหล่มโคลน แต่เขากลับคิดผิด คนแคระกลุ่มนี้แข็งแกร่งราวกับวัว และกลับกลายเป็นว่าเส้นทางภายในป่าซึ่งทอดยาวไปยังทิศตะวันออกนั้นเขียวชอุ่มและมีหนองน้ำไม่มาก แม้สายฝนจะยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อนก็ตาม มิลวามีสีหน้าหม่นหมองและอารมณ์เสีย นางเพียงปริปากเมื่อต้องการประท้วงว่ากีบเท้าที่อ่อนยวบลงของพวกม้าอาจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ โซลทัน ชิเวย์ เลียริมฝีปากเป็นการตอบรับ และเมื่อสำรวจกีบเท้าที่ว่าเสร็จ เขาก็ประกาศตนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการย่างเนื้อม้า ซึ่งทำให้มิลวาโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง

พวกเขารักษารูปขบวนเดิมเอาไว้ โดยเหล่าคนแคระจะคอยผลัดกันฉุดลากเกวียนที่ถือเป็นศูนย์กลาง โซลทันก้าวเดินอยู่เบื้องหน้าเกวียน โดยมีแดนดิไลออนขี่เพกาซัสอยู่ข้างๆ พลางฉอเลาะกับเจ้านกแก้ว ส่วนเกรอลท์กับมิลวาควบม้าอยู่เบื้องหลังทั้งคู่อีกที และผู้ที่เดินลากขาตามมาอย่างเมื่อยล้าที่ด้านท้ายก็คือเหล่าหญิงสาวทั้งหกคนจากเคอร์นาว

ส่วนใหญ่ตำแหน่งผู้นำขบวนจะตกเป็นของเพอร์ซิวัล ชุตเท็นบาค โนมจมูกยาว แม้พละกำลังและส่วนสูงของเขาจะสู้เหล่าคนแคระไม่ได้ ทว่าโนมตนนี้กลับมีกำลังกายพอๆ กับคนแคระ และค่อนข้างจะคล่องแคล่วว่องไวกว่าด้วยซ้ำ ในระหว่างที่กำลังเคลื่อนขบวนอยู่นั้น เขาจะคอยตระเวนไปรอบๆ ไม่หยุดหย่อน เที่ยวรื้อค้นตามพุ่มไม้ แล้วล่วงหน้าหายลับไป ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมสีหน้าท่าทางกระสับกระส่ายคล้ายลิง คอยส่งสัญญาณบอกจากระยะไกลว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี และพวกเขายังเคลื่อนขบวนต่อไปได้ บางครั้งบางคราวเขาจะย้อนกลับมาเพื่อบอกกล่าวถึงอุปสรรคที่ขวางทางถนนเอาไว้อย่างฉับไว และทุกๆ ครั้งที่เขาย้อนกลับมาเขาก็มักจะนำผลแบล็กเบอร์รี ถั่ว หรือรากไม้รูปร่างประหลาด ทว่าอร่อยถูกปากเต็มกำมือกลับมาฝากพวกเด็กๆ บนเกวียนด้วย

พวกเขาเดินทางได้ช้าจนน่าหวั่นใจ ทั้งยังต้องใช้เวลาถึงสามวันในการเคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางในป่า แม้จะไม่พบทหารนายใด แม้จะมองไม่เห็นควันดำหรือประกายแสงจากเปลวไฟ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ในหลายๆ ครั้ง เพอร์ซิวัลจะสังเกตเห็นพวกผู้ลี้ภัยที่ซ่อนตัวอยู่ภายในป่า ทว่าทั้งหมดกลับต้องรีบเคลื่อนขบวนผ่านกลุ่มคนเหล่านี้ไป เนื่องจากสีหน้าของพวกชาวบ้านที่ต่างก็ถือคราดและเสาหมุดไว้นั้นช่างไม่ชวนให้ผูกมิตรด้วยเอาเสียเลย อย่างไรก็ตาม กลับมีข้อเสนอแนะผุดขึ้นมาว่าให้ลองเจรจาและทิ้งหญิงสาวจากเคอร์นาวไว้กับชาวบ้านกลุ่มใดสักกลุ่มดู แต่โซลทันกลับคัดค้านข้อเสนอนั้นโดยมีมิลวาคอยหนุนหลัง ส่วนพวกผู้หญิงก็ดูไม่ได้รีบร้อนอยากจะจากคณะเดินทางไปเช่นกัน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกมาก เนื่องจากพวกนางมักปฏิบัติกับเหล่าคนแคระด้วยท่าทางจงเกลียดจงชัง หวาดกลัว สงวนเนื้อสงวนตัว แทบจะไม่พูดคุยด้วยเลย และมักจะปลีกตัวออกห่างจากพวกเขาทุกครั้งที่หยุดพักกัน

เกรอลท์ทึกทักเอาว่าสาเหตุที่พวกผู้หญิงมีพฤติกรรมเช่นนี้ อาจเป็นเพราะโศกนาฏกรรมที่พวกนางได้ประสบมาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็นึกสงสัยว่าเหตุที่พวกนางชิงชังคนแคระ อาจเป็นเพราะท่าทีเป็นกันเองของอีกฝ่ายก็ได้ เพราะคำสบถของโซลทันและผองเพื่อนนั้นไม่ได้หยาบโลนหรือมีความถี่น้อยไปกว่าคำสบถของเจ้านกแก้วนามจอมพลช่างจ้อเลย เพียงแค่มีวงคำศัพท์ที่กว้างกว่าเท่านั้น พวกเขามักจะขับร้องบทเพลงอันหยาบคาย โดยมีแดนดิไลออนร่วมขับร้องด้วยอย่างกระตือรือร้น พวกเขาจะถ่มน้ำลาย สั่งน้ำมูกลงบนนิ้ว และผายลมออกมาเสียงดังสนั่น ซึ่งมักจะทำให้เกิดเสียงหัวเราะ มุกตลก และการแข่งขันอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้พวกเขาจะหลบเข้าไปในพุ่มไม้ก็ต่อเมื่อต้องการทำธุระหนักเท่านั้น แต่หากเป็นธุระเล็กน้อยทั่วไป พวกเขาจะไม่เสียเวลาหลบออกไปห่างๆ สิ่งนี้เองที่ทำให้มิลวาไม่อาจระงับความโกรธได้ นางจึงสั่งสอนโซลทันเสียยกใหญ่ในเช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาดันไปปัสสาวะใส่เถ้าถ่านกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นท่ามกลางสายตาของผู้ชม กระทั่งเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย โซลทันผู้มีสีหน้ายุ่งยากใจจึงยอมชี้แจงว่าผู้ที่รู้สึกอับอายและลอบทำกิจกรรมประเภทนี้อย่างลับๆ ล่อๆ มีเพียงแค่เหล่านกสองหัว หรือคนคดโกงที่น่าจะเป็นสายข่าวเท่านั้น และการกระทำประเภทนี้จะเผยให้เห็นตัวตนของพวกเขาในทันที ทว่าคำอธิบายแฝงคารมเช่นนี้กลับไม่อาจทำให้มือธนูพึงพอใจได้ พวกคนแคระจึงถูกว่ากล่าวไปยกใหญ่ รวมถึงถูกขู่เข็ญเรื่องนี้อีกเป็นชุด ซึ่งก็ดูจะได้ผลดีทีเดียว เพราะหลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มปลีกตัวเข้าไปในพุ่มไม้อย่างเชื่อฟัง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้โดนกล่าวหาว่าเป็น ‘สายข่าวสองหน้า’ พวกเขาจึงพากันไปเป็นกลุ่ม

อย่างไรก็ดี คณะเดินทางกลุ่มใหม่นี้ก็ได้เปลี่ยนแดนดิไลออนไปเป็นคนละคน นักกวีเข้าขากับพวกคนแคระได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย โดยเฉพาะเมื่อคนแคระบางคนเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาก่อน ถึงขนาดรู้จักลำนำและโคลงกลอนของเขา แดนดิไลออนติดตามกลุ่มของโซลทันไปทั่วราวกับสุนัข เขาสวมใส่เสื้อนอกสองชั้นที่ช่วงชิงมาจากพวกคนแคระ  แม้กระทั่งหมวกติดขนนกอันยับย่นของเขายังถูกแทนที่ด้วยหมวกขนมาร์เทน[4]แบบที่เหล่าอันธพาลชอบใส่กัน นอกจากนี้เขายังคาดเข็มขัดเส้นใหญ่สลักเกลียวทองเหลือง และนำมีดหน้าตาน่ากลัวที่เขาได้รับมาเสียบไว้ แม้มีดที่ว่าจะทิ่มเข้าใส่สีข้างเขาทุกครั้งที่เขาพยายามโน้มตัวลงมา แต่เคราะห์ดีที่ในไม่ช้าเขาก็วางมันลืมไว้ และไม่เคยได้รับมีดจากใครอีก

พวกเขาตระเวนผ่านผืนป่ารกชัฏที่ขึ้นปกคลุมทั่วแนวลาดเขาเทอร์โลห์ ดูเหมือนป่าแห่งนี้จะรกร้าง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสัตว์ป่าใดๆ เห็นได้ชัดว่าทัพทหารและเหล่าผู้ลี้ภัยคงทำให้พวกมันตื่นตกใจจนเผ่นหนีกันไปหมด ต่อให้ไม่มีอะไรให้ล่า ภัยความหิวก็ไม่ได้เข้าจู่โจมพวกเขาในทันที เนื่องจากพวกคนแคระพกเสบียงติดตัวมาเป็นจำนวนมาก ทว่าเมื่อเสบียงเหล่านั้นหมดสิ้นไป – และมันก็หมดลงอย่างรวดเร็วเสียด้วยเพราะจำนวนคนในขบวน – ในทันทีที่ราตรีมาเยือน เยซอน วาร์ดา และมันโร บรุยส์ จะหายตัวไปพร้อมกระสอบเปล่า และเมื่อพวกเขากลับมาในยามเช้า พวกเขาจะหิ้วกระสอบที่บรรจุของจนเต็มติดมาด้วยสองใบ หนึ่งในนั้นคืออาหารสำหรับม้า ส่วนอีกหนึ่งเป็นเมล็ดข้าวบาร์เลย์ แป้ง เนื้อแดดเดียว เนยแข็งเกือบเต็มก้อน มีแม้กระทั่งแฮกกิสชิ้นใหญ่ หรือก็คืออาหารชั้นยอดในรูปของกระเพาะหมูยัดไส้เครื่องในสัตว์ แล้วนำไปบีบอัดด้วยแผ่นไม้สองแผ่นซึ่งมีลักษณะเหมือนเครื่องสูบลมไม่มีผิด

เกรอลท์ลองเดาดูว่าเสบียงอาหารเหล่านั้นมีที่มาจากที่ใด เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมาตรงๆ แต่กลับประวิงเวลาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้อยู่กับโซลทันเพียงลำพัง เกรอลท์ถึงได้เอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่าเขาไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือที่เที่ยวไปปล้นข้าวของมาจากเหล่าผู้ลี้ภัยซึ่งคงไม่ได้หิวโหยน้อยไปกว่าพวกเขา และคงกำลังต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งคนแคระก็ตอบอย่างโศกเศร้าว่าเขาย่อมรู้สึกอับอาย แต่ช่วยไม่ได้ที่เขามีนิสัยแบบนี้

“ข้อบกพร่องอันยิ่งใหญ่ของข้าก็คือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โดยไม่รู้จักพอนี่แหละ” เขาอธิบาย “ข้าแค่อยากทำดี อย่างไรเสีย ข้าก็เป็นคนแคระที่มีเหตุผล และรู้ดีว่าข้าไม่อาจทำดีกับทุกคนได้ เพราะหากข้าพยายามทำดีกับทุกคน พยายามทำเพื่อโลกหรือเพื่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลก การกระทำของข้าคงเหมือนกับการเข็นครกขึ้นภูเขา พูดอีกอย่างก็คือเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะทำดีแค่เพียงบางเรื่องเท่านั้น และความดีที่ว่าจะต้องไม่สูญเปล่าไปเฉยๆ ข้าจะทำดีแค่เพียงกับตัวเองและคนที่อยู่รอบตัวข้าในขณะนี้”

เกรอลท์ไม่ถามอะไรอีก

 

ในระหว่างการตั้งค่ายพักแรมครั้งหนึ่ง เกรอลท์และมิลวาได้เปิดบทสนทนาอันยืดยาวกับโซลทัน ชิเวย์ ชายผู้ยึดมั่นในผลประโยชน์ของผู้อื่นอย่างแน่วแน่ไม่หวั่นไหว คนแคระผู้นี้ดูจะรู้เรื่องแผนการดำเนินงานของกองทัพดี หรืออย่างน้อยก็ชวนให้รู้สึกแบบนั้น

“การบุกจู่โจม” เขากล่าว โดยหันไปบอกให้จอมพลช่างจ้อซึ่งกำลังส่งเสียงร้องแหลมอย่างหยาบโลนหุบปากเงียบเป็นพักๆ “เริ่มมาจากไดรส์ชอต มันเริ่มต้นขึ้นในรุ่งเช้าวันที่เจ็ดนับจากวันลามมาส พวกนิล์ฟการ์ดเคลื่อนพลมาพร้อมกับพันธมิตรอย่างกองทัพแห่งเวอร์เดน ซึ่งพวกเจ้าก็น่าจะรู้นี่ว่าในขณะนี้เวอร์เดนถือเป็นดินแดนในอาณัติของจักรวรรดิ พวกมันเคลื่อนทัพมาอย่างว่องไว และเผาทำลายหมู่บ้านทุกแห่งที่อยู่พ้นไดรส์ชอตไปจนวอด รวมถึงกำจัดกองทัพชาวบรูจจ์ที่ประจำการอยู่ที่นั่นเสียเรียบ จากนั้นพลทหารราบชาวนิล์ฟการ์ดก็เคลื่อนขบวนจากอีกฝั่งของแม่น้ำยารูกาไปยังป้อมปราการในดิลลินเจน พวกมันข้ามแม่น้ำมาจากจุดที่ไม่มีใครเคยคาดคิด เพียงแค่ครึ่งวันก็สร้างทุ่นลอยน้ำขึ้นมาได้แล้ว เป็นเจ้าจะเชื่อไหม”

“ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น” มิลวาพึมพำ “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เจ้าอยู่ในดิลลินเจนด้วยรึเปล่า”

“อยู่แถวๆ นั้นแหละ” คนแคระอ้อมแอ้มตอบ “ตอนที่ข่าวเรื่องการจู่โจมแพร่มาถึงหูเรา พวกเราก็ออกเดินทางไปยังเมืองบรูจจ์เสียแล้ว บนทางหลวงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีพวกผู้ลี้ภัยออกันอยู่เต็มไปหมด บ้างก็หลบหนีจากใต้ขึ้นเหนือ บ้างก็จากเหนือลงใต้ คนเหล่านี้เบียดเสียดกันอยู่บนทางหลวง ดังนั้นเราจึงติดคาอยู่ที่นั่น ส่วนพวกนิล์ฟการ์ดน่ะรึ กลายเป็นว่าพวกนั้นกลับล้อมอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเรา ทัพทหารที่ออกมาจากไดรส์ชอตคงจะแยกตัวกันเป็นสองกลุ่ม ข้าคิดว่าทัพทหารม้ากองใหญ่น่าจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าไปบรูจจ์”

“งั้นก็แปลว่าพวกนิล์ฟการ์ดอยู่ทางตอนเหนือของเทอร์โลห์แล้วน่ะสิ พวกเราติดแหง็กอยู่ตรงกลางระหว่างสองทัพพอดี ถึงจะปลอดภัยก็เถอะ”

“อยู่ตรงกลางน่ะใช่” คนแคระเห็นพ้อง “แต่ไม่ปลอดภัย กองทัพของจักรวรรดิยังมีพวกกระรอก อาสาสมัครชาวเวอร์เดน และนักรบรับจ้างอีกมากมายคอยขนาบข้างอยู่ ซึ่งนับว่าร้ายกาจยิ่งกว่าชาวนิล์ฟการ์ดเสียอีก พวกนี้แหละที่วางเพลิงเผาเคอร์นาว และเกือบจะจับพวกเราได้ในภายหลัง ทำเอาพวกเราแทบจะเอาตัวรอดเข้ามาในป่าไม่ได้ ฉะนั้น เราจึงไม่ควรยื่นจมูกออกไปนอกชายป่า แล้วก็ควรระวังตัวไว้ให้ดี เราจะไปให้ถึงถนนสายเก่า จากนั้นค่อยเดินทางตามกระแสน้ำของแม่น้ำคอตลาไปยังแม่น้ำอินา และเมื่อไปถึงแม่น้ำอินา เราก็จะเจอกองทัพของเทเมเรียเข้าพอดี ป่านนี้คนของราชาฟอลเทสท์จะต้องหายตกใจและเริ่มลุกขึ้นต่อต้านพวกนิล์ฟการ์ดแล้วแน่ๆ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ” มิลวาเอ่ยขณะจ้องมองวิทเชอร์ “แต่ปัญหาก็คือเราจำต้องมุ่งหน้าไปทางใต้เนื่องด้วยปัญหาสำคัญและเร่งด่วนบางประการ เรากำลังคิดจะมุ่งหน้าจากเทอร์โลห์ลงไปทางใต้ ไปที่ยารูกา”

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าปัญหาที่ว่าคืออะไร” โซลทันกล่าวพลางถลึงตาใส่ทั้งสองอย่างสงสัย “แต่จะต้องเป็นปัญหาที่สำคัญและเร่งรีบมากแน่ๆ พวกเจ้าถึงได้ยอมเอาคอไปขึ้นเขียงแบบนี้”

เขาหยุดพูดและรอคอย แต่กลับไม่มีใครรีบอธิบายออกมา คนแคระเกาบั้นท้ายของตน ขากเสมหะ และบ้วนทิ้ง

“ข้าจะไม่แปลกใจเลย” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “หากชายฝั่งทั้งสองฟากของแม่น้ำยารูกายาวไปจนถึงปากแม่น้ำอินา ตกอยู่ในกำมือของพวกนิล์ฟการ์ดเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะมุ่งหน้าไปตรงจุดไหนของแม่น้ำยารูการึ”

“ไม่มีตรงไหนเป็นพิเศษ” เกรอลท์ตัดสินใจเอ่ยตอบ “ขอแค่ไปถึงแม่น้ำให้ได้ก็พอ ข้าอยากขึ้นเรือไปที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ”

โซลทันจ้องมองเขาและหัวเราะ แต่จู่ๆ ก็หยุดลงเมื่อตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

“ข้าขอยอมรับ” เขาเอ่ยหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “ว่าเจ้าเลือกเส้นทางได้เหลือเชื่อจริงๆ แต่เลิกฝันเฟื่องก่อนจะดีกว่า เพราะพื้นที่ทางตอนใต้ของบรูจจ์ตกอยู่ในกองเพลิงแทบทั้งสิ้น พวกนั้นคงแทงเจ้าตายก่อนจะไปถึงยารูกา หรือไม่ก็จับเจ้าล่ามโซ่ตรวนแล้วพาไปที่นิล์ฟการ์ดแทน หรือถ้าเจ้าบังเอิญไปที่แม่น้ำนั่นได้อย่างปาฏิหาริย์ เจ้าก็ไม่มีทางล่องเรือไปที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำได้อยู่ดี ยังจำทุ่นลอยน้ำที่ยาวตั้งแต่ซินทรามาจรดชายฝั่งบรูจจ์ได้ไหม พวกมันเฝ้าที่นั่นไว้ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีอะไรผ่านแม่น้ำตรงบริเวณนั้นไปได้ทั้งสิ้น เว้นก็แต่แซลมอนเท่านั้น เห็นทีเจ้าจะต้องวางปัญหาสุดแสนสำคัญและเร่งรีบนั่นไว้ก่อนแล้ว เพราะในความคิดของข้า เจ้าไม่มีวันทำสำเร็จแน่”

สายตาของมิลวาบ่งชี้ว่านางเห็นด้วยกับคนแคระ เกรอลท์ไม่ออกความเห็นใดๆ เขารู้สึกแย่มาก กระดูกแขนซ้ายและเข่าขวาของเขาที่กำลังเยียวยาตัวเองอย่างเชื่องช้ายังคงแผ่ความเจ็บปวดตื้อๆ มาให้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ราวกับถูกแทะเล็มด้วยคมเขี้ยวที่มองไม่เห็น และยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อต้องออกแรง เขาต้องเผชิญกับอากาศอันชื้นแฉะ ทั้งยังต้องผจญกับความรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด รุนแรง ชวนให้หมดกำลังใจ เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน และไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี

ความรู้สึกที่เรียกว่าความสิ้นหวังและความอับจนหนทาง

 

 

 

[1] สกุลเงินของจักรวรรดินิล์ฟการ์ด

[2] เลื่อยที่นิยมใช้ตัดไม้ ลักษณะใบเลื่อยเป็นแผ่น โคนใหญ่ ปลายเรียว

[3] หน่วยเงินของซิดาริส

[4] หมาไม้ เป็นสัตว์กินเนื้อคล้ายพังพอน มีขนหนานุ่ม

[5] ผ้าเนื้อดีละเอียดบาง ทำจากฝ้ายหรือลินิน น้ำหนักเบา ทึบแสง มักใช้ทำชั้นใน ผ้าเช็ดหน้า หรือเป็นผ้าซับในของเสื้อคุณภาพดี

[1] เรียกอีกชื่อว่า กระรอก เพราะมีสัญลักษณ์เป็นการสวมหมวกที่มีหางกระรอกประดับ กลุ่มกระรอกเป็นการรวมตัวกันของพวกที่ไม่ใช่มนุษย์ ส่วนใหญ่เป็นเอลฟ์ คนแคระ โนม และพวกลูกครึ่ง เป็นพันธมิตรกับพวกนิล์ฟการ์ดในการต่อกรกับมนุษย์

[2] มีเฉพาะในป่าโบรคิลอน เป็นของวิเศษที่พวกนางไม้ใช้รักษาอาการบาดเจ็บและใช้สมานกระดูกได้อย่างรวดเร็ว แต่จะทิ้งร่องรอยเป็นสีผิวที่เข้มขึ้นอย่างถาวรบริเวณที่ใช้ และมีผลข้างเคียงคือทำให้ประสาทรับความรู้สึกไวกว่าปกติ และปวดตามข้อต่อโดยเฉพาะในฤดูหนาว

[3] หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คอมเฟรย์ เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการ สมานแผล ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อตามส่วนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

 

[4] ชื่อเรียกที่เหล่าเอลฟ์ใช้ในการแบ่งช่วงปีออกเป็นส่วนๆ คล้ายกับเดือนของมนุษย์ โดยหนึ่งปีของเอลฟ์นั้นจะแบ่งส่วนออกเป็นแปดส่วน และแต่ละส่วนอาจตั้งชื่อตามเทศกาลสำคัญ หรือวันหยุดที่โดดเด่นในช่วงนั้นๆ

[5] กลุ่มอาชญากรอายุน้อยที่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง มักโจรกรรมและปล้นทรัพย์สินจากคนรวย ลามไปถึงการฆาตกรรมในเวลาต่อมา

[6] ต้นไม้สนประดับเครื่องตกแต่งหลากสีสวยงามในเทศกาลสำคัญ

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า