[ทดลองอ่าน] สายเลือดเห่งเอลฟ์ BLOOD OF ELVES

The Witcher I

สายโลหิตแห่งเอลฟ์

Blood of Elves

อันเดรย์ ซาพคอฟสกี ผู้เขียน

ธนพร ภู่ทอง ผู้แปล

 

ติดตามการวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวนิยายเเปล”
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

 

บทที่หนึ่ง

ทั่วทั้งเมืองกำลังลุกเป็นไฟ

ถนนอันคับแคบที่ทอดนำไปสู่คูน้ำรอบเมืองและชานบ้านแห่งแรกนั้นล้วนมีควันไฟและเถ้าถ่านพวยพุ่งออกมา  เปลวไฟมากมายกำลังกลืนกินบ้านมุงหลังคาที่กระจุกตัวกันเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่นและลามเลียไปทั่วกำแพงปราสาท จากทิศตะวันตกซึ่งเป็นทิศทางของประตูท่าเทียบเรือนั้น เสียงหวีดร้อง เสียงตะโกนจากการต่อสู้อันดุเดือด และเสียงปะทะอันทึบตันของเครื่องพังประตูที่ยังคงเหวี่ยงกระแทกเข้าใส่กำแพงยิ่งทวีความดังขึ้นไปอีก

กลุ่มผู้โจมตีโอบล้อมพวกนางไว้โดยมิได้คาดหมาย และในตอนนี้ก็กำลังทุบทำลายเครื่องกั้นที่ถูกยันเอาไว้โดยทหารจำนวนไม่กี่นายซึ่งเป็นเพียงชาวเมืองถือง้าวไม่กี่หยิบมือและทหารหน้าไม้จากสมาคมอีกจำนวนหนึ่ง ฝูงม้าศึกของฝ่ายผู้โจมตีสวมเครื่องประดับสีดำสนิทต่างห้อกระโจนผ่านเครื่องกั้นมาราวกับภูตผี โดยมีคมดาบที่ส่องประกายอยู่ในมือผู้ขี่คอยมอบความตายให้กับฝ่ายป้องกันที่กำลังหลบหนีไป

ซิริรู้สึกได้ว่าจู่ๆ อัศวินด้านหลังที่กำลังยึดร่างนางไว้บนอานก็กระตุ้นเร่งม้าของเขากะทันหัน นางได้ยินเสียงร้องของเขา “จับไว้” เขาตะโกน “จับไว้!”

อัศวินนายอื่นๆ ที่สวมชุดประดับธงของซินทราไล่ตามพวกนางมาทันจนได้ และถึงแม้จะยังควบม้าด้วยความเร็วสูงสุด พวกเขาก็ยังคอยรับมือกับทหารชาวนิล์ฟการ์ดอย่างไม่ลดละ ซิริมองเห็นการต่อสู้ดังกล่าวได้ด้วยหางตา – มองเห็นชุดคลุมสีทองอมน้ำเงินและสีดำสะบัดไปมาท่ามกลางเสียงเหล็กที่ฟาดกระทบกัน เสียงคมดาบที่ปะทะเข้ากับโล่ เสียงร้องของม้า––

เสียงตะโกน ไม่สิ ไม่ใช่เสียงตะโกน เสียงหวีดร้องต่างหาก

“จับไว้!”

กลัวเหลือเกิน ทุกๆ การกระตุก ทุกๆ การสะบัด และทุกๆ การกระโดดของม้าส่งความเจ็บปวดแล่นผ่านมาตามมือของเด็กสาวที่กำลังกุมบังเหียนไว้แน่น ขาทั้งสองที่ไม่สามารถหาที่วางพักได้หดเกร็งเข้าหากันด้วยความปวดร้าว                และควันไฟก็ทำให้ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ท่อนแขนที่โอบรัดตัวทำให้นางอึดอัด หายใจไม่ออก และมันก็กำลังบีบรัดซี่โครงนางเสียแน่น เสียงกรีดร้องรอบกายที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนยิ่งทวีความดังขึ้นไปอีก การกระทำแบบใดกันที่ทำให้บุรุษส่งเสียงแบบนั้นออกมาได้

กลัวเหลือเกิน เป็นความกลัวที่มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง ชวนอึดอัด และทำให้ทั่วทั้งร่างกลายเป็นอัมพาต

เสียงเหล็กกระทบกัน เสียงคำรามและเสียงลมหายใจอันรุนแรงของม้าดังขึ้นอีกครั้ง บ้านหลายหลังหมุนวนรอบตัวนาง แล้วจู่ๆ นางก็มองเห็นบานหน้าต่างที่มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ก่อนยังมีเพียงภาพถนนเลอะโคลนแคบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยศพและกองข้าวของเครื่องใช้ที่หลงเหลือของชาวบ้านผู้กำลังลี้ภัยกันอย่างชุลมุน ทว่าทันใดนั้นเอง อัศวินที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังนางกลับส่งเสียงไอโขลกออกมาอย่างประหลาด แล้วกระอักเลือดออกมาเปื้อนมือที่กำลังกุมบังเหียนอยู่ เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ลูกธนูหลายดอกพุ่งฉิวผ่านนางไป

นางพลัดตกจากหลังม้า และเกิดรอยช้ำอันเจ็บปวดจากการกระแทกกับชุดเกราะ กีบเท้ามากมายควบผ่านตัวเด็กสาวไป ท้องม้าและสายรัดหลุดลุ่ยพุ่งวาบผ่านศีรษะไป ตามมาด้วยท้องม้าอีกตัวและเครื่องประดับม้าสีดำสนิทที่ปลิวไสว แว่วเสียงคำรามของการออกแรง ฟังดูคล้ายกับเสียงช่างไม้ที่กำลังลงมือตัดไม้ ทว่านี่ไม่ใช่ไม้ แต่เป็นเสียงเหล็กกระทบเหล็ก เสียงร้องตะโกนอู้อี้และอื้ออึงดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นบางสิ่งซึ่งมีสีดำและมีขนาดใหญ่ก็ล้มลงใส่กองโคลนข้างตัวนางพร้อมเลือดที่พุ่งกระฉูดออกมา นางเห็นเท้าหุ้มเกราะที่สั่นระริก สะบัดไหว เดือยรองเท้าขนาดใหญ่ครูดเสียดสีไปกับพื้น

นางสัมผัสได้ถึงแรงกระชาก จากนั้นตัวนางก็ถูกคว้าแล้วดึงขึ้นไปบนอานม้าอีกตัว จับไว้! และนางก็ได้เผชิญกับการควบม้าอันบ้าคลั่งและรวดเร็วจนกระดูกลั่นอีกครั้ง ทั้งขาและแขนของนางปัดป่ายหาที่ยึดเหนี่ยวอย่างสิ้นหวัง เจ้าม้ายกขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศ จับไว้!…ไม่มีที่ให้จับ ไม่มีเลย…ไม่มี…มีแต่เลือด เจ้าม้าล้มลง นางกระโดดไปด้านข้างไม่ได้ สลัดก็ไม่หลุด ไม่อาจหลบหนีไปจากอ้อมแขนหุ้มเกราะที่กำลังกอดตัวนางเอาไว้แน่น ไม่มีทางหลบเลี่ยงหยาดเลือดที่ไหลรินลงมาบนศีรษะและไหล่ทั้งสองข้างของนางได้เลย

เกิดแรงกระตุก โคลนสาดกระเซ็น ตามมาด้วยแรงปะทะเมื่อฟาดลงกับพื้นอย่างรุนแรง และมีเพียงความเงียบงันอันน่าขนลุกหลังควบม้าอย่างบ้าระห่ำ เจ้าม้าหายใจหอบบาดหูและส่งเสียงร้องออกมาขณะที่มันพยายามจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เกือกม้า ข้อเท้าม้า และกีบม้าพุ่งวาบผ่านนางไป เครื่องประดับม้าและชุดคลุมสีดำมากมาย เสียงหวีดร้องยังคงดังอยู่

ถนนกำลังลุกเป็นไฟ กำแพงลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน เบื้องหน้านั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏอยู่ เป็นทหารม้าที่มีร่างกายใหญ่โตมหึมาค้ำอยู่เหนือหลังคาที่กำลังลุกไหม้ ม้าสวมเครื่องประดับสีดำของเขาขยับตัวอย่างกระฉับกระเฉง โยกหัวไปมา และส่งเสียงร้องดังฮี้

ทหารม้าผู้นั้นจับจ้องตรงมาที่นาง ซิริเห็นแววตาที่เปล่งประกายลอดผ่านช่องว่างบนหมวกเหล็กใบโตซึ่งล้อมกรอบด้วยปีกของนกนักล่า เห็นเปลวไฟที่สะท้อนอยู่บนใบดาบอันเขื่องที่ชายผู้นั้นถืออยู่ในมือข้างที่กำลังลดลงต่ำ

ทหารม้าจ้องมองนาง ซิริขยับไปไหนไม่ได้ ด้วยท่อนแขนของชายผู้ล่วงลับซึ่งไร้การเคลื่อนไหวยังคงโอบอยู่รอบเอว กดตัวนางเอาไว้ ร่างกายของนางถูกยึดติดกับที่ด้วยอะไรบางอย่างซึ่งทั้งหนักและชุ่มโชกไปด้วยเลือด บางสิ่งบางอย่างที่พาดอยู่บนต้นกดร่างนางให้จมอยู่กับพื้น

ร่างของนางแข็งเกร็งด้วยความกลัว เป็นความกลัวอันน่าสยดสยองที่แทบจะพลิกเครื่องในของนางออกมา ความกลัวนี้ทำให้นางไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของม้าที่บาดเจ็บ เสียงคำรามของเปลวเพลิง เสียงร้องของผู้คนที่กำลังจะตาย และเสียงกลองที่กำลังรัวสนั่น สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ ซึ่งยังนับว่ามีอยู่จริงและมีความหมายสำหรับนางก็คือความกลัว ความกลัวที่ปรากฏกายในรูปของอัศวินเกราะดำสวมหมวกเหล็กประดับขนนก และยังคงนิ่งงันอยู่ท่ามกลางกำแพงที่ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิงสีแดงก่ำ

ทหารม้ากระตุ้นม้าของเขา ปีกบนหมวกเหล็กกระพือไปมาราวกับนกนักล่าที่กำลังโผบิน พุ่งทะยานเข้าจู่โจมเหยื่อที่ไร้ทางสู้และตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว นกตัวนั้น – หรืออาจจะเป็นอัศวินผู้นั้น – กรีดร้องเสียงแหลมอย่างน่าขนลุก เหี้ยมเกรียม และพึงพอใจ นางเห็นม้าสีดำ เกราะสีดำ ชุดคลุมสีดำสนิท และเบื้องหลังภาพเหล่านั้นก็คือ – เปลวเพลิงมากมาย เป็นทะเลแห่งเปลวเพลิง

            กลัวเหลือเกิน

นกตัวนั้นกรีดร้องเสียงแหลม ปีกทั้งสองโบกกระพือ ขนนกฟาดตีใบหน้าของนาง กลัวเหลือเกิน!

ช่วยด้วย! ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยข้าเลย ข้าทั้งตัวคนเดียว อ่อนแอ และไร้กำลัง – ข้าขยับไม่ได้ เค้นเสียงออกจากลำคอที่ตีบตันก็ไม่ได้ ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยข้าเลย

            ข้ากลัวยิ่งนัก!

            แววตาวาวโรจน์ที่ลอดผ่านช่องว่างบนหมวกเหล็กประดับปีกขนาดใหญ่ เสื้อคลุมสีดำที่บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง

            “ซิริ!”

เด็กสาวสะดุ้งตื่นพร้อมกับเสียงร้องตะโกน ตัวชาและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เสียงร้องตะโกน ที่ปลุกนางให้ตื่นขึ้นมานั้น ยังคงลอยค้างอยู่ในอากาศ ก้องกังวานอยู่ใต้กระดูกทรวงอกหรือที่ไหนสักแห่งในร่างกายนาง และยังคงแผดเผาลำคออันแห้งผาก มือของนางปวดไปหมดทั้งที่ยังคงกำผ้าห่มไว้ หลังของนางก็ปวด…

“ซิริ ใจเย็นๆ”

ยามกลางคืนทั้งมืดและมีลมพัดแรง ยอดต้นสนรอบตัวต่างส่งเสียงเสียดสีเป็นจังหวะไพเราะสม่ำเสมอ กิ่งก้านและลำต้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดท่ามกลางสายลม ไม่มีเปลวไฟอันมุ่งร้ายอีกแล้ว ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงบทเพลงกล่อมเด็กอันนุ่มนวลนี้เท่านั้น ข้างกายของเด็กสาวมีกองไฟที่ลุกโชนขับแสงสว่างและความอบอุ่นออกมา ภาพสะท้อนของเปลวไฟนั้นส่องแสงเรืองรองอยู่บนหัวเข็มขัดบังเหียน ประกายสีแดงสะท้อนอยู่บนด้ามดาบเหล็กและที่หุ้มหนังซึ่งพิงอยู่กับอานม้าบนพื้น ไม่มีเปลวเพลิงหรือเหล็กชิ้นอื่นอีกแล้ว อีกทั้งมือที่วางแนบแก้มนางอยู่นี้ก็มีกลิ่นของหนังสัตว์และเถ้าถ่าน ไม่ใช่เลือด

“เกรอลท์—”

“เจ้าแค่ฝันไป แค่ฝันร้ายเท่านั้น”

ซิริตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงพลางขดตัวเข้าหากันแน่น

ฝัน แค่ฝันเท่านั้น

กองไฟมอดดับลงไปแล้ว ทว่าท่อนไม้เบิร์ชยังคงมีสีแดงสว่างเรืองรอง และในบางครั้งก็แตกปะทุเป็นสะเก็ดไฟสีฟ้าเล็กๆ ทอแสงให้เห็นเส้นผมสีขาวและใบหน้าได้รูปของชายที่กำลังนำผ้าห่มและหนังแกะมาคลุมตัวนาง

“เกรอลท์ ข้า—”

“ข้าอยู่นี่แล้ว นอนเถอะซิริ เจ้าต้องพักผ่อน เรายังต้องเดินทางกันอีกไกล”

ข้าได้ยินเสียงเพลง เด็กสาวคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ท่ามกลางเสียงต้นไม้เสียดสี…มีเสียงเพลง เสียงเพลงของลูท[1] และเสียงพูด องค์หญิงแห่งซินทรา…เด็กแห่งโชคชะตา…เด็กผู้มีสายโลหิตโบราณ สายโลหิตแห่งเอลฟ์ เกรอลท์แห่งริเวีย หมาป่าขาว และโชคชะตาของเขา ไม่สิ ไม่ใช่ นั่นคือตำนานต่างหาก เป็นเรื่องที่นักกวีรังสรรค์ขึ้น องค์หญิงสิ้นพระชนม์แล้ว ถูกสังหารบนถนนภายในเมืองขณะพยายามหนี…

            จับไว้…! จับ…

            “เกรอลท์”

“อะไรรึ ซิริ”

“เขาทำอะไรกับข้า เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนั้นเขา…ทำอะไรข้า”

“ใครกัน”

“อัศวิน…อัศวินเกราะดำที่มีขนนกติดอยู่บนหมวกเหล็ก…ข้าจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แค่ว่าเขาร้องตะโกนออกมา…แล้วก็มองมาที่ข้า แต่ข้าจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้เพียงข้ากลัว…ข้ากลัวเหลือเกิน…”

เกรอลท์โน้มตัวลงมาหานาง เปลวไฟจากกองไฟเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของเขา มันเป็นดวงตาที่แปลก แปลกมาก ซิริเคยนึกกลัวมันมาก่อน นางจึงไม่ชอบสบตากับเขานัก แต่เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นานมากแล้วจริงๆ

“ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” นางกระซิบพลางควานหามือที่ทั้งหนาและหยาบราวกับไม้ดิบของเขา “อัศวินเกราะดำ

“เจ้าเพียงแต่ฝันไป หลับให้สบายเถอะ มันไม่กลับมาหรอก”

ซิริเคยได้ยินคำพูดปลอบขวัญเช่นนี้มาก่อน เคยฟังมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักจบสิ้น หลายต่อหลายครั้งที่นางได้รับคำพูดปลอบโยนแบบนี้หลังจากสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงกรีดร้องในเวลากลางดึก แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ครั้งนี้นางเชื่อ เพราะผู้ที่เอ่ยมันออกมาคือเกรอลท์แห่งริเวีย หมาป่าสีขาว หรือวิทเชอร์ ชายผู้เป็นชะตากรรมของนาง และนางเป็นชะตากรรมของเขา วิทเชอร์เกรอลท์ ชายผู้พบนางท่ามกลางศึกสงคราม ความตาย และความสิ้นหวัง ผู้ที่พานางมาด้วยและสัญญาว่าทั้งสองจะไม่มีวันแยกจากกัน

เด็กสาวผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังกุมมือเขาไว้แน่น

 

นักกวีขับขานบทเพลงจนจบ และเอียงศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะใช้ลูทของตนดีดท่วงทำนองลำนำซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ทั้งละเอียดอ่อน นุ่มละมุน และใช้ระดับเสียงสูงกว่าลูกมือที่บรรเลงเพลงร่วมกันกับเขาอยู่หนึ่งระดับ

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก มีเพียงเสียงดนตรีที่เบาลงเรื่อยๆ เสียงเหล่าใบไม้กระซิบไหว และเสียงกิ่งของต้นโอ๊กขนาดยักษ์ที่ดังเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยินเท่านั้น ทว่าจู่ๆ แพะตัวหนึ่งที่ถูกล่ามไว้กับหนึ่งในเกวียนจำนวนมากซึ่งจอดล้อมต้นไม้โบราณอยู่ก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างยาวนาน และในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้ชมที่นั่งล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนราวกับได้รับสัญญาณ เขาเหวี่ยงเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มประดับขอบด้วยเกลียวทองพาดไหล่ไว้ ก่อนจะค้อมกายให้ด้วยท่วงท่าที่แข็งทื่อทว่าสง่างาม

“ขอบคุณท่านมาก ท่านแดนดิไลออน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แม้จะไม่ดังแต่ก็ก้องกังวานไปทั่ว “ข้า แรดคลิฟฟ์แห่งออกซ์เซนเฟิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ลี้ลับ ขออนุญาตกล่าวคำขอบคุณและคำชื่นชมที่เรามีต่อศิลปะและทักษะอันงดงามของท่าน ซึ่งข้ามั่นใจว่าทุกคนในที่นี้เห็นตรงกันเป็นแน่”

จอมเวทกวาดสายตามองผู้ชมทั้งหมดที่มารวมตัวกันซึ่งน่าจะมีนับร้อยคน ทั้งคนที่นั่งอยู่บนพื้น นั่งอยู่บนเกวียน และที่ยืนเบียดกันเป็นรูปครึ่งวงกลมโดยหันหน้าเข้าหาโคนต้นโอ๊ก ทุกๆ คนต่างพยักหน้าและส่งเสียงกระซิบกระซาบกัน บ้างก็เริ่มปรบมือ ในขณะที่คนอื่นๆ ยกมือขึ้นสูงเพื่อทักทายผู้ขับร้อง หญิงสาวมากมายที่ซาบซึ้งไปกับบทเพลงต่างพากันสูดจมูกและใช้อะไรก็ตามที่หยิบฉวยได้ปาดหางตาของตน ซึ่งสิ่งของที่ว่าก็จะแตกต่างกันออกไปตามสถานะทางสังคม อาชีพ และฐานะ อย่างหญิงสาวชาวบ้านอาจใช้แขนช่วงล่างหรือหลังมือในการเช็ดน้ำตา เหล่าภรรยาของพ่อค้าอาจใช้ผ้าเช็ดหน้าลินินในการซับดวงตาของพวกนาง ในขณะที่เหล่าเอลฟ์และหญิงสาวสูงศักดิ์จะใช้ผ้าเช็ดหน้าชั้นดีที่ใช้ผ้าฝ้ายถักทอขึ้นมาอย่างละเอียดประณีต ส่วนบุตรสาวทั้งสามของบารอนวิลิเบิร์ตพร้อมด้วยเหล่าผู้ติดตามที่ถึงกับหยุดกิจกรรมล่าสัตว์ด้วยเหยี่ยวเพื่อมาร่วมรับชมการแสดงของนักกวีชื่อดังโดยเฉพาะ ต่างพากันสั่งน้ำมูกเสียงดังสนั่นลงบนผ้าพันคอขนสัตว์สีเขียวแก่หรูหรา

“คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนัก” จอมเวทเอ่ยต่อ “หากจะกล่าวว่าท่านทำให้พวกเรารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ท่านแดนดิไลออน ท่านทำให้พวกเราต้องไตร่ตรองและฉุกคิดอีกครั้ง ทำให้หัวใจของพวกเราสั่นไหว ข้าขอแสดงความนับถือและขอขอบคุณท่านจากใจจริง”

นักกวีหยัดร่างยืนขึ้นและโค้งตัวลงต่ำจนขนนกกระสาที่ปักติดอยู่บนหมวกสุดทันสมัยปัดป่ายโดนหัวเข่า ลูกมือของเขาเองก็หยุดเล่น ฉีกยิ้มยิงฟัน และโค้งตัวลงเช่นเดียวกัน จนกระทั่งแดนดิไลออนถลึงตาจ้องลูกมือเขม็งและสบถบางอย่างออกมา เด็กหนุ่มจึงก้มศีรษะของตนลงและกลับไปดีดสายลูทของตนเบาๆ ตามเดิม

การชุมนุมดูครึกครื้นขึ้นมาทันตา เหล่าพ่อค้าที่เดินทางมาเป็นกลุ่มต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบ แล้วกลิ้งถังเบียร์ขนาดใหญ่พอตัวลงมาที่โคนต้นโอ๊ก จอมเวทแรดคลิฟฟ์กำลังสนทนากับบารอนวิลิเบิร์ตอย่างหมกมุ่นทว่าแผ่วเบา ส่วนบุตรสาวทั้งสามของท่านบารอนนั้น หลังจากที่สั่งน้ำมูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนางก็จ้องมองตรงไปยังแดนดิไลออนอย่างหลงใหล ทว่านักกวีกลับไม่แยแสสายตาของพวกนางเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเองก็กำลังทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการฉีกยิ้ม ขยิบตา และอวดฟันขาวให้กับกลุ่มเอลฟ์พเนจรผู้เงียบงันและหยิ่งยโส โดยมุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่เอลฟ์สาวเจ้าของเรือนผมสีดำ ดวงตากลมโตงดงาม และสวมหมวกขนเพียงพอนสีขาวใบเล็ก แต่ดูเหมือนจุดสนใจของแดนดิไลออนจะมิได้มีเพียงแค่นาง เพราะภายในกลุ่มนั้นยังมีเอลฟ์สาวอีกตนผู้มีดวงตากลมโตและสวมใส่หมวกพร้อมสายรัดคางอันสวยงามซึ่งดึงดูดความสนใจไปจากกลุ่มผู้ชมของเขาเช่นกัน ทั้งอัศวิน นักศึกษา และนักวิชาการพเนจรจำนวนมากต่างพากันส่งสายตาเกี้ยวพาราสีนาง และดูเหมือนเอลฟ์สาวเองก็ชื่นชอบการกลายเป็นจุดสนใจมิใช่น้อย เนื่องจากนางเองก็คอยเล่นกับแขนเสื้อลายลูกไม้พร้อมกระพือขนตาอยู่เรื่อยๆ ทว่าเอลฟ์ตนอื่นๆ ที่มากับนางกลับล้อมตัวนางเอาไว้ทุกๆ ด้าน ไม่คิดจะปิดบังความชิงชังที่พวกเขามีต่อเหล่าผู้ชื่นชมนางเลย

ลานโล่งใต้ร่มเงาของต้นโอ๊กอันยิ่งใหญ่นามเบลโอเบริสนั้น นับว่าเป็นสถานที่ที่มักมีผู้คนมาชุมนุมกันเป็นประจำ เป็นที่รู้กันดีว่าสถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับนักเดินทางและสถานที่พบปะของผู้ที่เตร็ดเตร่สัญจรไปทั่ว อีกทั้งยังขึ้นชื่อในความเปิดกว้างและความโอบอ้อมต่อผู้มาเยือน เหล่านักพรตที่คอยปกปักต้นไม้โบราณเรียกที่แห่งนี้ว่าจุดพำนักแห่งมิตรภาพ และจะคอยต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนด้วยความเต็มใจ แต่ถึงแม้จะเกิดวาระพิเศษเช่นการแสดงของนักกวีผู้มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างที่เพิ่งจะจบไป ทว่านักเดินทางทั้งหลายก็ยังคงหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้อื่นและมักจะแบ่งแยกตัวเป็นกลุ่มอย่างชัดเจน เอลฟ์ต่างอยู่ส่วนเอลฟ์ ส่วนคนแคระช่างฝีมือก็รวมกลุ่มอยู่แต่กับญาติของตน ซึ่งพวกเขามักจะถูกจ้างไปปกป้องกองคาราวานของพ่อค้าและสวมใส่อาวุธครบมืออยู่เสมอ พวกเดียวที่เหล่าคนแคระพอจะยอมรับได้ก็คือโนมนักขุดเหมืองและชาวไร่ลูกผสมที่มาตั้งที่พักแรมอยู่ใกล้ๆ อมนุษย์มักจะคอยรักษาระยะห่างจากมนุษย์โดยเท่าเทียมกัน ซึ่งมนุษย์เองก็ตอบรับการกระทำนั้นอย่างใจดี แต่ดูเหมือนพวกเขาเองก็มักจะรวมกลุ่มกันไม่ค่อยได้ เนื่องจากเหล่าผู้ดีทั้งหลายแสดงท่าทีดูถูกดูแคลนพวกพ่อค้าและคนขายของเร่ร่อนอย่างเปิดเผย ในขณะที่ทหารและนักรบรับจ้างก็คอยจะตีตัวออกห่างจากคนเลี้ยงแกะและหนังแกะเหม็นสาบของคนพวกนั้น ส่วนจอมเวทจำนวนไม่กี่คนและเหล่าลูกศิษย์จะแยกตัวออกมาจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง และมักจะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งใส่คนทุกคนไม่ว่าใครก็ตามอย่างเท่าเทียม ที่เบื้องหลังนั้นยังมีเหล่าชาวบ้านซึ่งเกาะกลุ่มกันอย่างเงียบเชียบและหมองหม่น ต่างคนต่างถือคราด ส้อมโกยฟาง และไม้นวดข้าวชี้ขึ้นเหนือศีรษะจนดูเผินๆ คล้ายกับผืนป่า พวกเขาล้วนถูกกลุ่มอื่นๆ หมางเมินเสียหมด

ข้อยกเว้นเห็นจะมีเพียงแค่พวกเด็กๆ เท่านั้น เมื่อได้หลุดพ้นจากการถูกบังคับให้นั่งเงียบๆ ในระหว่างการแสดงของนักกวี เจ้าตัวเล็กทั้งหลายก็พากันวิ่งปร๋อเข้าไปในป่าพร้อมเสียงร้องตะโกนอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะง่วนอยู่แต่กับการละเล่นตามกฎกติกาซึ่งเหล่าผู้ที่โบกมือลาช่วงเวลาอันแสนสุขในวัยเยาว์ไปแล้วไม่อาจเข้าใจได้ ทั้งลูกหลานชาวเอลฟ์ คนแคระ ลูกผสม โนม ลูกครึ่งเอลฟ์ ลูกเสี้ยวเอลฟ์ และเด็กน้อยไม่ทราบต้นกำเนิดอีกมากมายยังคงไม่รับรู้และไม่รู้จักประเด็นความแตกต่างทางด้านเผ่าพันธุ์หรือสังคม อย่างน้อยๆ ก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้

“ใช่แล้ว!” อัศวินคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากกลางพื้นที่โล่ง เขามีรูปร่างผอมบางราวกับไม้ค้ำต้นถั่ว สวมใส่เสื้อนอกสีดำแดงประดับลายสิงโตสามตัวที่กำลังยกอุ้งเท้าหน้าขึ้น “จอมเวทท่านนั้นพูดความจริง! ลำนำเมื่อครู่ไพเราะมาก จำคำข้าไว้เลยนะ ท่านแดนดิไลออนผู้ทรงเกียรติ หากท่านได้ผ่านไปแถวปราสาทบาลด์ฮอร์นของนายข้าละก็ อย่าได้ลังเลที่จะแวะไปที่นั่นเชียว รับรองเลยว่าท่านจะได้รับการต้อนรับเยี่ยงองค์ชาย– ไม่สิ พูดอะไรของข้าเนี่ย ต้องบอกว่าเยี่ยงราชาวิซิเมียร์เลยต่างหาก! ข้าขอเอาดาบเป็นประกันเลย ข้าเคยฟังนักกวีขับขานมาแล้วหลายราย แต่ไม่มีผู้ใดเทียบท่านได้เลยสักคนเดียว  ได้โปรดรับความนับถือและเครื่องบรรณาการจากพวกเราทั้งที่เกิดในตระกูลอัศวินและที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา เป็นค่าตอบแทนในความสามารถของท่านด้วยเถิด!”

ราวกับรับรู้ได้ถึงโอกาสอันดี นักกวีจึงหันไปขยิบตาให้กับลูกมือของเขา เด็กหนุ่มวางลูทของตนไว้ข้างกายแล้วหยิบหีบใบเล็กที่ใช้สำหรับเก็บสะสมของมีค่าแทนคำชื่นชมที่เหล่าผู้ชมนำมามอบให้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กวาดตามองกลุ่มคนทั้งหมด จากนั้นจึงวางหีบใบเล็กลงแล้วหยิบถังใบใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กันขึ้นมาแทน ท่านแดนดิไลออนแย้มยิ้มเป็นเชิงเห็นด้วยให้กับความรอบคอบของหนุ่มน้อย

“ท่านนักกวี!” หญิงสาวร่างใหญ่ผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมา นางกำลังนั่งอยู่บนเกวียนที่ด้านข้างถูกทาสีเป็นป้ายสัญลักษณ์ ‘วีรา โลเวนเฮาปต์ และบุตรทั้งหลาย’ ซึ่งภายในเกวียนบรรทุกเครื่องจักสานไว้มากมาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดาลูกชายที่ไม่มีใครพบเจอของหล่อนนั้นคงกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจับจ่ายใช้สอยเงินทองที่แม่ของพวกเขาหามาอย่างยากลำบากอยู่เป็นแน่ “ท่านแดนดิไลออนเจ้าคะ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ท่านจะทิ้งให้พวกเราอยากรู้อยู่แบบนี้หรือ บทเพลงของท่านคงไม่จบลงแค่นี้หรอกใช่ไหม ร้องให้เราฟังทีเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น!”

“บทเพลงและลำนำน่ะ” – นักกวีค้อมตัว – “ไม่มีจุดจบหรอก ท่านหญิงที่รัก เพราะบทกวีนั้นไม่มีวันตายและจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ไร้จุดเริ่มต้น ไร้จุดสิ้นสุด—”

“แต่เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นล่ะเจ้าคะ” วาณิชสาวไม่ยอมแพ้ มือยังคงไม่หยุดหย่อนเหรียญใส่ถังที่ลูกมือของแดนดิไลออนยื่นมาให้อย่างใจกว้าง “ถ้าหากท่านไม่คิดจะร้องเพลงให้เราฟัง อย่างน้อยๆ ก็ช่วยบอกเราหน่อยเถิด ถึงในบทเพลงของท่านจะไม่ได้เอ่ยชื่อใครออกมา แต่เราก็รู้ว่าวิทเชอร์ที่ท่านพูดถึงย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเกรอลท์แห่งริเวียผู้โด่งดัง และจอมเวทหญิงที่เขาตกหลุมรักหัวปักหัวปำก็ต้องเป็นเยนเนเฟอร์ผู้มีชื่อเสียงไม่แพ้กันเป็นแน่ ส่วนเด็กจากบัญญัติแห่งความไม่คาดฝันที่ผูกชะตาอยู่กับวิทเชอร์ และได้ให้คำสัตย์สาบานไว้กับเขาตั้งแต่เกิดนั้นก็คือซิริลลา องค์หญิงอับโชคแห่งซินทรา เมืองที่เคยถูกทำลายโดยผู้บุกรุกใช่หรือไม่”

แดนดิไลออนยิ้ม ขณะคงท่าทีลึกลับเฉยชาเอาไว้ “บทเพลงของข้ากล่าวถึงเรื่องทั่วไปต่างหาก ท่านหญิงผู้ใจบุญ” เขากล่าว “ใครๆ ก็เจอเหตุการณ์แบบนี้ได้กันทั้งนั้น มิใช่ใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง”

“โธ่ ไม่เอาน่า!” เสียงใครคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชนโห่ร้องลั่น “ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าบทเพลงเหล่านี้เป็นเรื่องของวิทเชอร์เกรอลท์!”

“ใช่ๆ!” บุตรสาวทั้งสามของบารอนวิลิเบิร์ตร้องประสานเสียงแหลมขณะนำผ้าพันคออันเปียกชุ่มมาตากให้แห้ง “ร้องต่อเถิดท่านแดนดิไลออน! เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นกัน สุดท้ายแล้ววิทเชอร์กับจอมเวทหญิงเยนเนเฟอร์ได้เจอกันไหม พวกเขารักกันหรือเปล่า แล้วพวกเขามีความสุขไหม พวกเราอยากรู้นะ!”

“พอเสียที!” หัวหน้ากลุ่มคนแคระคำรามก้องพร้อมส่งเสียงขู่ในลำคอจนเคราสีแดงงามสง่าที่ยาวลงมาจรดเอวสั่นระริก “มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น ทั้งเรื่ององค์หญิง แม่มด ชะตากรรม ความรัก แล้วก็ไอ้นิทานแสนเพ้อฝันอย่างกับของผู้หญิงนั่น ขออภัยกับท่าทีของข้าด้วยนะท่านนักกวีผู้ยิ่งใหญ่ แต่เรื่องพวกนี้มันเรื่องโกหกทั้งเพ เป็นแค่งานกวีที่ถูกสร้างเสริมแต่งเติมเรื่องราวให้ดูสวยงามและน่าประทับใจขึ้นเท่านั้น ทว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสงครามอย่างการสังหารหมู่และปล้นสะดมที่ซินทรา หรือสงครามที่มาร์นาดัลและซอดเดนละก็ –  ขอบอกเลยว่าท่านร้องได้ยิ่งใหญ่ดีมาก แดนดิไลออน! ข้าไม่เสียดายเลยที่ต้องปันเงินให้แก่เพลงที่นำความสุขมาให้กับหัวใจของนักรบเช่นนี้! และข้า เชลดอน สแก็กส์ ขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า ไม่มีจุดใดในคำพูดของเจ้าที่เป็นเรื่องโกหกแม้แต่น้อย ข้าสามารถแยกความเท็จออกจากความจริงได้ในทันที เพราะข้าเองก็อยู่ที่ซอดเดนเช่นกัน คอยรับมือกับพวกผู้บุกรุกชาวนิล์ฟการ์ดด้วยขวานในมือ…”

“ข้า โดนิเมียร์แห่งทรอย” อัศวินร่างผอมที่สวมใส่เครื่องแบบประดับตราสิงโตยกเท้าหน้าสามตัวร้องตะโกน “ได้เข้าร่วมในศึกที่ซอดเดนทั้งสองรอบเช่นเดียวกัน! แต่ข้าไม่ยักเห็นท่านที่นั่นเลย ท่านคนแคระ!”

“ต้องเป็นเพราะเจ้ามัวแต่ดูแลรถขนเสบียงอยู่แน่ๆ!” เชลดอน สแก็กส์ โต้ “ในระหว่างที่ข้ากำลังต่อสู้อยู่ที่แนวหน้าอย่างดุเดือด!”

“ระวังปากหน่อย ไอ้เคราเฟิ้มนี่!” โดนิเมียร์แห่งทรอยเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำพลางดึงเข็มขัดสะพายดาบขึ้นมา “เบิกตาดูหน่อยว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่!”

“เชิญแหกตาดูเอาเองเถอะ!” คนแคระตวัดฝ่ามือจับบนขวานที่เสียบอยู่ในเข็มขัดของเขา ก่อนจะหันหน้าไปฉีกยิ้มยิงฟันให้กับบรรดาสหายของตน “พวกเจ้าเห็นไอ้อัศวินกระจอกนี่ที่นั่นไหม เห็นตราสัญลักษณ์ของเขาบ้างรึเปล่า เหอะ! สิงโตสามตัวบนโล่งั้นรึ ไก่อ่อนสองตัวกับลูกหมาอีกหนึ่งละสิไม่ว่า!”

“หยุดเถอะ หยุด!” นักพรตผมเทาสวมชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งเอ่ยยับยั้งด้วยน้ำเสียงเฉียบคมทรงอำนาจ “ทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรเลยนะ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย! กรุณาอย่าวิวาทกันใต้ร่มเงาของต้นเบลโอเบริส ต้นโอ๊กที่เก่าแก่ยิ่งกว่าปัญหาและข้อพิพาทใดๆ ในโลกนี้จะได้ไหม! แล้วก็โปรดอย่าทะเลาะกันต่อหน้าท่านแดนดิไลออนเลย ลำนำของท่านสอนให้เรารู้จักความรักต่างหาก ไม่ใช่ความขัดแย้ง”

“ข้าเห็นด้วย!” นักบวชตัวอ้วนเตี้ยผู้มีเหงื่อผุดทั่วใบหน้ากล่าวสนับสนุนนักพรต “พวกท่านได้ฟังก็จริง แต่เนื้อหาเหล่านั้นกลับไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในใจของท่านเลย คงเป็นเพราะพวกท่านไม่ได้รับความรักจากพระเจ้า พวกท่านก็เหมือนกับถังเปล่าที่—”

“พูดถึงถังแล้ว” โนมจมูกยาวส่งเสียงแหลมเล็กดังมาจากเกวียนของเขาซึ่งทาสีเป็นป้ายสัญลักษณ์ ‘ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องมือเหล็ก’ “เจ้าพวกคนของสมาคมนั่นน่ะ กลิ้งถังเบียร์มาอีกถังเร็ว! เจอเรื่องสะเทือนอารมณ์พวกนี้เข้าไป คอของนักกวีแดนดิไลออนกับของพวกเราจะแห้งตายกันอยู่แล้ว!”

“—ข้าขอกล่าวด้วยความสัตย์จริง พวกท่านช่างเหมือนกับถังเปล่าไม่มีผิด!” นักบวชที่ตัดสินใจว่าจะต้องไม่ถูกเมินตะโกนกลบเสียงโนมเครื่องมือเหล็ก “พวกท่านไม่ได้เข้าใจในลำนำของท่านแดนดิไลออนเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังไม่ได้เรียนรู้อะไรไปเลย! ไม่มีใครมองออกเลยว่าลำนำเหล่านี้ล้วนกล่าวถึงโชคชะตาของคนเรา บอกให้รู้ว่าพวกเรานั้นล้วนเป็นเพียงของเล่นภายในพระหัตถ์ของทวยเทพ และแผ่นดินของเราก็เป็นเพียงแค่สนามเด็กเล่นของพวกเขาเท่านั้น บทเพลงที่กล่าวถึงโชคชะตาได้แสดงให้เห็นถึงชะตากรรมของพวกเราทุกคน และถึงแม้ตำนานของวิทเชอร์เกรอลท์และองค์หญิงซิริลลาจะฟังดูขัดกับภูมิหลังของสงครามในครั้งนั้นไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงการอุปมา เป็นผลงานที่นักกวีจินตนาการขึ้นเพื่อช่วยให้เรา—”

“พูดอะไรไร้สาระ ท่านคนทรงศีล!” วีรา โลเวนเฮาปต์ ส่งเสียงตะโกนลงมาจากเกวียนเล่มสูง “ตำนานบ้าบออะไร ผลงานจากจินตนาการอะไรกัน ท่านอาจไม่รู้จักเขา แต่ข้ารู้จักเกรอลท์แห่งริเวียดี ข้าเคยเห็นเขากับตาตอนที่เขาทำลายคำสาปของธิดาราชาฟอลเทสท์ที่วิซิมา และหลังจากนั้นข้าก็ได้เจอเขาอีกครั้งที่เส้นทางการค้า ที่ที่เขาได้ลงมือสังหารกริฟฟินดุร้ายตัวหนึ่งที่ตามระรานคณะเดินทางตามคำร้องขอของกิลเดีย และสุดท้ายก็ช่วยชีวิตคนบริสุทธิ์เอาไว้ได้อีกหลายชีวิต ขอทีเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่ตำนานหรือนิทานเสียหน่อย นี่เป็นความจริงต่างหาก ลำนำที่ท่านแดนดิไลออนขับร้องให้เราฟังเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน”

“ข้าขอยืนยันด้วยอีกคน” นักรบหญิงรูปร่างผอมเพรียวผู้มีเส้นผมดำยาวหวีเสยไปด้านหลังอย่างเป็นระเบียบและถักรวบไว้เป็นเปียเส้นหนาเอ่ยขึ้น “ข้า เรย์ลาแห่งลิเรียผู้นี้ก็รู้จักหมาป่าขาวเกรอลท์ มือสังหารอสูรผู้โด่งดังเช่นกัน อีกทั้งข้ายังเคยได้พบกับท่านหญิงเยนเนเฟอร์ จอมเวทหญิงผู้นั้นในบางโอกาสด้วย เพราะข้าเคยไปเยือนเอเดิร์นและเวนเกอร์เบิร์กซึ่งเป็นบ้านเกิดของนาง ทว่าข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าสองคนนี้รักใคร่ชอบพอกันอยู่”

“แต่มันต้องเป็นเรื่องจริงแน่” เอลฟ์ทรงเสน่ห์เจ้าของหมวกไร้ขอบขนเพียงพอนพูดขึ้นกะทันหันด้วยน้ำเสียงไพเราะ “ลำนำแห่งรักที่งดงามเช่นนั้นไม่มีทางเป็นเรื่องโกหกไปได้หรอก”

“ไม่มีทางอยู่แล้ว!” บรรดาบุตรสาวของบารอนวิลิเบิร์ตต่างพากันสนับสนุนเอลฟ์สาวพร้อมกับยกผ้าพันคอขึ้นซับดวงตาราวกับถูกออกคำสั่ง “จะไม่จริงได้ยังไงกัน”

“ท่านจอมเวทผู้ทรงเกียรติ!” วีรา โลเวนเฮาปต์ หันหน้าไปหาแรดคลิฟฟ์ “พวกเขาเป็นคนรักกันรึเปล่า ท่านต้องทราบอย่างแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยนเนเฟอร์และวิทเชอร์คนนั้น ช่วยไขความลับให้พวกเรากระจ่างทีเถอะ!”

“ถ้าในเพลงบอกไว้ว่าพวกเขารักกัน” จอมเวทตอบ “ก็แสดงว่ามันเป็นเช่นนั้น และความรักของทั้งสองยังยืนยงคงกระพันด้วย เหมือนดั่งพลังแห่งบทกวี”

“ว่ากันว่า” บารอนวิลิเบิร์ตเอ่ยแทรกขึ้นมากะทันหัน “เยนเนเฟอร์แห่งเวนเกอร์เบิร์กถูกสังหารที่เนินเขาซอดเดน จอมเวทหญิงหลายคนถูกฆ่าตายที่นั่น—”

“ไม่จริงเลย” โดนิเมียร์แห่งทรอยกล่าว “ไม่มีชื่อของนางอยู่บนอนุสาวรีย์ ข้าเองก็มาจากแถวนั้นและเคยปีนขึ้นไปบนเนินเขาซอดเดนเพื่ออ่านรายชื่อที่ถูกสลักไว้บนอนุสาวรีย์บ่อยๆ แม่มดที่จบชีวิตลงที่นั่นมีอยู่สามคน หนึ่งคือทริซ เมริโกลด์ สองคือลิตตา เนย์ด หรือที่เรียกกันว่าคอรัล…อืม…ส่วนคนสุดท้าย ข้าลืมชื่อไปแล้ว…”

อัศวินชำเลืองมองไปยังจอมเวทแรดคลิฟฟ์ที่แย้มยิ้มโดยไม่พูดอะไร

“และเจ้าวิทเชอร์นั่น” เชลดอน สแก็กส์ โพล่งออกมาอย่างฉับพลัน “เกรอลท์ที่หลงรักเยนเนเฟอร์อะไรนั่น ดูเหมือนว่าเจ้านั่นเองก็หน้าคะมำดินม่องเท่งไปแล้วเหมือนกันนี่ ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกฆ่าอยู่ที่ไหนสักแห่งในทรานส์ริเวอร์ คอยสังหารสัตว์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่าจนกระทั่งเจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือเหนือกว่า เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ใครที่สู้ด้วยดาบก็ต้องตายด้วยดาบ สุดท้ายเราก็จะได้เจอกับใครสักคนที่ฝีมือเหนือกว่าเรา ได้ลิ้มรสเหล็กที่ทั้งเย็นทั้งแข็งอยู่ดี”

“ข้าไม่เชื่อ” นักรบรูปร่างผอมเพรียวเบ้ริมฝีปากสีซีดของนาง ก่อนจะถ่มน้ำลายลงกับพื้นอย่างฉุนเฉียวและยกแขนที่สวมทับด้วยเกราะเหล็กขึ้นกอดอกจนเกิดเสียงดัง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครกำราบเกรอลท์แห่งริเวียคนนั้นได้ ข้าเคยเห็นวิทเชอร์คนนี้ใช้ดาบมาก่อน เขามีความเร็วเยี่ยงอมนุษย์—”

“พูดได้ดีนี่” จอมเวทแรดคลิฟฟ์เอ่ยแทรก “อมนุษย์ พวกวิทเชอร์ล้วนเป็นพวกกลายพันธุ์ทั้งนั้น ดังนั้นปฏิกิริยาโต้ตอบของพวกเขาจึง—”

“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดเลย ท่านจอมเวท” นักรบสาวยิ่งเบะปากจนดูน่าเกลียดเข้าไปอีก “ท่านใช้ศัพท์ยากเกินไป สิ่งเดียวที่ข้าพอจะรู้ก็คือ ข้าไม่เคยเห็นนักดาบคนไหนที่มีฝีมือทัดเทียมเกรอลท์แห่งริเวียหรือหมาป่าขาวมาก่อน ดังนั้นข้าจึงขอปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาถูกสังหารในการต่อสู้อย่างที่คนแคระว่า”

“พอเจอศัตรูมากเข้าหน่อย พวกนักดาบก็พลอยหางจุกตูดเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ” เชลดอน สแก็กส์ เอ่ยประโยคให้คล้องจองกับอีกฝ่าย “เหมือนที่พวกเอลฟ์ว่าไง”

“เหล่าเอลฟ์ทั้งหลาย” ตัวแทนจากชนเผ่าโบราณ[2]ผู้มีรูปร่างสูงและเส้นผมสีทองกล่าวเสียงเย็นจากข้างกายเอลฟ์ที่สวมหมวกไร้ขอบอันสวยงาม “ไม่นิยมใช้ภาษาที่หยาบคายเช่นนั้น”

“ไม่นะ! ไม่จริง!” เหล่าบุตรสาวของบารอนวิลิเบิร์ตต่างร้องเสียงแหลมผ่านผ้าพันคอสีเขียว “วิทเชอร์เกรอลท์ไม่มีทางถูกฆ่าได้หรอก! เขาหาตัวซิริ เด็กที่ชะตาลิขิตมาให้เขาพบ จากนั้นเขาก็เจอจอมเวทหญิงเยนเนเฟอร์เช่นกัน แล้วทั้งสามก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป! จริงหรือไม่ท่านแดนดิไลออน”

“นี่เป็นเพียงลำนำเท่านั้น เหล่าท่านหญิงน้อยผู้สูงศักดิ์ของข้า” โนมนักผลิตเครื่องมือเหล็กผู้กระหายเบียร์กล่าวพร้อมกับอ้าปากหาว “พวกเจ้าจะหาความจริงจากลำนำไปเพื่ออะไร ความจริงเป็นเรื่องหนึ่ง บทกวีก็เป็นอีกเรื่อง ข้าว่านะ เรื่องของเด็กจากบัญญัติแห่งความไม่คาดฝันอันโด่งดังนั่น – ชื่ออะไรนะ – ซิริใช่ไหม ข้าว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่ท่านแดนดิไลออนกุขึ้นมาแน่ ข้าเคยไปเยือนซินทราตั้งหลายครั้ง และองค์ราชากับราชินีของที่นั่นก็อาศัยอยู่ในวังโดยไร้ซึ่งทายาท ไม่มีทั้งโอรสและธิดา—”

“เจ้าคนโกหก!” ชายผมแดงที่สวมเสื้อนอกหนังแมวน้ำพร้อมพันผ้าลายตาหมากรุกไว้รอบหน้าผากตะเบ็งเสียง “ราชินีคาลานเธ นางสิงห์แห่งซินทรา มีธิดาชื่อพาเวตตา แต่นางตายไปพร้อมกับสามีของนางจากเหตุพายุคลั่งกลางทะเล และผืนสมุทรก็ได้กลืนพวกเขาทั้งคู่ไป”

“งั้นเจ้าก็ต้องเข้าใจแล้วสิว่าข้าไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเอง!” โนมเครื่องมือเหล็กพยายามร้องเรียกให้ทุกคนร่วมเป็นพยานของเขา “องค์หญิงของซินทรามีชื่อว่าพาเวตตา ไม่ใช่ซิริ”

“ซิริลลา หรือที่รู้จักกันในนามซิริ คือบุตรีของพาเวตตาที่จมน้ำตายนั่นแหละ” ชายผมแดงอธิบาย “นางเป็นหลานของคาลานเธ และถึงจะไม่ใช่องค์หญิงด้วยพระองค์เอง แต่ก็ถือเป็นบุตรีขององค์หญิงแห่งซินทรา นางคือเด็กจากบัญญัติแห่งความไม่คาดฝันที่ชะตาลิขิตให้เป็นของวิทเชอร์ ชายผู้ที่องค์ราชินีได้สาบานไว้ว่าจะยอมมอบตัวหลานสาวให้ก่อนที่นางจะเกิดด้วยซ้ำ ซึ่งก็ตรงกับที่ท่านแดนดิไลออนได้ขับขานให้เราฟัง แต่วิทเชอร์ผู้นั้นทั้งหาตัวนางไม่พบและพาตัวนางออกมาไม่ได้ นี่ต่างหากความจริงที่นักกวีของพวกเรากล่าวพลาดไป”

“ถูกต้อง เขาพลาดความจริงส่วนนี้ไปเป็นแน่” หนุ่มน้อยท่าทางแข็งแรงคนหนึ่งเอ่ยขัดจังหวะ เมื่อดูจากการแต่งตัวของเขาแล้ว กล่าวได้ว่าเขาคงเป็นนักเดินทางที่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางเพื่อรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกของตนขึ้นมา และต้องผ่านการทดสอบของผู้เป็นอาจารย์ให้ได้ในท้ายที่สุด “วิทเชอร์ไม่เคยได้พบกับโชคชะตาของตนเอง เนื่องจากซิริลลาถูกสังหารในเหตุล้อมโจมตีที่ซินทรา ก่อนที่ราชินีคาลานเธจะกระโดดลงมาจากหอคอย พระองค์ได้ลงมือปลิดชีพบุตรีขององค์หญิงด้วยมือของพระองค์เอง เพื่อป้องกันไม่ให้นางตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวนิล์ฟการ์ดทั้งเป็น”

“ไม่ใช่สักหน่อย เรื่องมันใช่แบบนั้นเสียที่ไหนกัน!” ชายผมแดงแย้ง “บุตรีขององค์หญิงถูกฆ่าระหว่างการสังหารหมู่ขณะพยายามหนีออกจากเมืองต่างหาก”

“ไม่ว่าจะแบบไหน” โนมเครื่องมือเหล็กตะโกน “วิทเชอร์ก็หาตัวซิริลลาไม่พบอยู่ดี! เจ้านักกวีโกหกเรา!”

“แต่ก็เป็นเรื่องโกหกที่สวยงาม” เอลฟ์สวมหมวกไร้ขอบพูดขึ้นพลางขยับกายเข้าหาเอลฟ์ผมทองตัวสูง

“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เรื่องกวี แต่อยู่ที่ความจริงต่างหาก!” นักเดินทางหนุ่มเปล่งเสียงลั่น “ขอบอกไว้เลยนะว่า บุตรีขององค์หญิงตายด้วยน้ำมือยายแท้ๆ ของตน ใครที่เคยไปที่ซินทรามาก่อนย่อมยืนยันคำพูดของข้าได้!”

“ส่วนข้าก็ขอยืนยันว่านางถูกฆ่าบนถนนขณะกำลังพยายามหนี” ชายผมแดงประกาศกร้าว “ที่ข้ารู้ก็เพราะถึงแม้ข้าจะไม่ได้มาจากซินทรา แต่ข้าก็เคยเข้าร่วมในกองทัพของเอิร์ลแห่งสเกลลิเกอที่คอยสนับสนุนซินทราระหว่างสงครามมาก่อน อย่างที่ทราบกันดีว่า ไอส์ท ทัวร์เซ็ค กษัตริย์ของซินทรานั้นมาจากเกาะสเกลลิเกอ และเขาก็เป็นลุงของท่านเอิร์ล ข้าเคยร่วมรบในกองทัพของท่านเอิร์ลที่มาร์นาดัลกับซินทรา และหลังจากพ่ายแพ้ที่ซอดเดน—”

“ทหารผ่านศึกอีกแล้วรึ” เชลดอน สแก็กส์ ส่งเสียงคำรามใส่เหล่าคนแคระที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา “มีแต่วีรบุรุษกับนักรบทั้งนั้น เฮ้พวก! มีพวกเจ้าคนไหนบ้างที่ไม่เคยไปรบที่มาร์นาดัลหรือที่ซอดเดนมาก่อน”

“เป็นการขุดคุ้ยที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลยนะ สแก็กส์” เอลฟ์ร่างสูงตำหนิเขาขณะเหวี่ยงแขนไปโอบรอบร่างของโฉมงามผู้สวมใส่หมวกไร้ขอบด้วยท่วงท่าที่หมายจะขจัดความสงสัยที่อาจยังหลงเหลืออยู่ของผู้หมายปองนางให้สิ้น “อย่าได้คิดเชียวว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่เข้าร่วมสู้ศึกที่ซอดเดน เพราะข้าเองก็ร่วมรบในศึกครั้งนั้นด้วยเหมือนกัน”

“ข้าละอยากรู้จริงๆ ว่าเขาอยู่ฝั่งไหน” บารอนวิลิเบิร์ตกระซิบกับแรดคลิฟฟ์ด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ทว่าเอลฟ์ตนนั้นกลับเมินเฉยเขาโดยสิ้นเชิง

“อย่างที่ทุกคนรู้กันดี” เขาพูดต่อพลางชายตามองบารอนและจอมเวทเพียงเล็กน้อย “สงครามครั้งที่สองบนเนินซอดเดนมีนักรบเข้าร่วมมากกว่าหนึ่งแสนคน และในจำนวนนั้นก็มีคนถูกสังหารหรือพิการอย่างน้อยสามหมื่นคน ท่านแดนดิไลออนควรจะได้รับคำขอบคุณด้วยซ้ำที่นำสงครามอันโด่งดังและโหดร้ายนี้มาใส่ไว้ในลำนำของเขา ทำให้มันกลายเป็นตำนานที่จะไม่มีใครลืมเลือน และข้าก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงอารมณ์ยินดีในเนื้อเพลงหรือท่วงทำนองแม้แต่น้อย มีแค่เพียงคำเตือนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจะขอพูดซ้ำอีกครั้งว่า เราควรจะชื่นชมและยกย่องกิตติศัพท์ของนักกวีผู้นี้ไปอีกนานแสนนาน เพราะบางทีลำนำของเขาอาจจะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมที่น่าหวาดผวาเช่นเดียวกับสงครามที่ทั้งทารุณและไร้ซึ่งความจำเป็นครั้งนั้นขึ้นอีกก็เป็นได้”

“นั่นสินะ” บารอนวิลิเบิร์ตกล่าวพลางมองไปที่เอลฟ์ด้วยสายตาต่อต้าน “เจ้าตีความลำนำนี้ได้น่าสนใจทีเดียว ท่านสุภาพบุรุษผู้น่ายกย่อง เจ้าบอกว่าสงครามนั่นเป็นสงครามที่ไร้ซึ่งความจำเป็นสินะ และเจ้าก็อยากหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนั้นขึ้นอีกในอนาคต เท่ากับว่าหากพวกนิล์ฟการ์ดบุกโจมตีเราอีกครั้ง เจ้าจะแนะนำให้เรายอมแพ้โดยดุษณี และยอมให้พวกนิล์ฟการ์ดกดขี่โดยไม่ต่อต้านเลยงั้นสิ”

“ชีวิตนับเป็นของขวัญอันล้ำค่าและควรจะรักษาไว้ให้ดี” เอลฟ์หนุ่มตอบรับอย่างเย็นชา “การสังหารหมู่และการเสียสละที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายในสงครามที่ซอดเดนทั้งสองครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะออกมาเป็นอย่างไร สงครามทั้งสองครั้งคร่าชีวิตผู้คนไปนับพันนับหมื่น และเมื่อสูญเสียพวกเขาไป เจ้าก็ได้สูญเสียศักยภาพอันเหนือจินตนาการ—”

“พวกเอลฟ์นี่ช่างเหลวไหลสิ้นดี!” เชลดอน สแก็กส์ ขู่คำราม “เจ้าเศษเดนโง่เง่า! ชีวิตเหล่านั้นคือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อแลกกับการที่ผู้อื่นจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมและสุขสงบ แทนที่จะต้องถูกล่ามโซ่ ถูกปิดตา ถูกเฆี่ยนตี และถูกบังคับให้ทำงานในเหมืองกำมะถันและเกลือต่างหาก เหล่าผู้ล่วงลับล้วนจากไปเยี่ยงวีรบุรุษ และเป็นเพราะแดนดิไลออน คนเหล่านั้นจะยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป คอยสอนเราให้ปกป้องบ้านเมืองของตนเอง ร้องลำนำของเจ้าต่อไปเถอะ แดนดิไลออน ขับร้องให้ทุกคนได้ยินเสีย บทเรียนของเจ้าจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน คอยดูเถอะ! มันจะต้องมีประโยชน์ในสักวันแน่ เพราะพวกนิล์ฟการ์ดจะจู่โจมเราอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ในวันนี้ ก็จะเป็นพรุ่งนี้! จำคำข้าเอาไว้ให้ดีแล้วกัน ตอนนี้พวกมันอาจจะกำลังเลียแผลและฟื้นฟูกำลังอยู่ แต่วันเวลาที่เราจะได้เห็นชุดคลุมสีดำและหมวกเหล็กติดขนนกนั่นอีกครั้งคืบใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”

“เจ้าพวกนั้นต้องการอะไรจากเรากันแน่” วีรา โลเวนเฮาปต์ ตะโกนลั่น “ทำไมพวกมันถึงตามรังควานเราไม่หยุดไม่หย่อนเสียที ทำไมถึงไม่ปล่อยเราไว้เฉยๆ ให้เราได้ใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุขกัน พวกนิล์ฟการ์ดต้องการอะไรกันแน่”

“พวกมันอยากได้เลือดของเราน่ะสิ!” บารอนวิลิเบิร์ตคำราม

“กับแผ่นดินของเรา!” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาจากในกลุ่มชาวบ้าน

“และผู้หญิงของเรา!” เชลดอน สแก็กส์ เอ่ยแทรกพร้อมกับถลึงตาอย่างดุร้าย

หลายๆ คนเริ่มหัวเราะ – อย่างเงียบเชียบและซ่อนเร้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ความคิดที่ว่าจะมีใครอื่นนอกจากพวกคนแคระด้วยกันเองที่หมายปองคนแคระสาวซึ่งดูไม่น่าดึงดูดเอาเสียเลยจะเป็นเรื่องน่าขันมาก แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาล้อเลียนหรือหยอกเย้าได้อยู่ดี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนแคระเคราเฟิ้มตัวเตี้ยรูปร่างกำยำ ผู้ที่สามารถฉวยขวานและดาบสั้นจากเข็มขัดมาไว้ในมือได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ อีกทั้งด้วยสาเหตุบางประการ เหล่าคนแคระจึงมักคิดกันว่าผู้คนทั้งโลกนั้นล้วนเต็มไปด้วยราคะ และกำลังซุ่มเงียบรอจังหวะช่วงชิงตัวภรรยาและบุตรสาวของพวกเขามาเป็นของตน พวกเขาจึงอ่อนไหวต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

“ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี” นักพรตผมเทาประกาศขึ้นมากะทันหัน “มันย่อมเกิดขึ้น เพราะเราต่างหลงลืมว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเรา และการคงอยู่ของสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราแต่เพียงผู้เดียว  ก็เหมือนกับปลาซิวโง่ตัวอ้วนแสนเกียจคร้านในบ่อโคลนที่เลือกจะไม่ยอมรับการมีอยู่ของปลาหมอไพค์ตัวอื่นนั่นแหละ เป็นพวกเราเองที่ยอมให้โลกใบนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตม เน่าเฟะ และเสื่อมโทรมลงเหมือนกับบ่อน้ำที่ว่า ลองมองดูรอบตัวพวกท่านสิ – ทุกๆ แห่งล้วนเต็มไปด้วยอาชญากรรม บาป ความโลภ การแสวงหาซึ่งผลกำไร เหตุทะเลาะวิวาท และความขัดแย้ง ขนบธรรมเนียมของเรากำลังเลือนหายไป อีกทั้งพวกเราก็เริ่มที่จะไม่เห็นค่าของสิ่งต่างๆ  แล้ว แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ พวกเรากลับเริ่มที่จะทำลายมัน แล้วดูสิว่าเราได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทนบ้าง ทั้งอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าจากเตาหลอมถลุงแร่ แม่น้ำลำธารที่ปนเปื้อนไปด้วยสิ่งปฏิกูลจากโรงเชือดและโรงฟอกหนัง ป่าที่ถูกโค่นอย่างต่อเนื่องโดยไร้ซึ่งสำนึก…พวกท่านลองดูเอาเองแล้วกัน! แม้กระทั่งบนเปลือกไม้ที่มีชีวิตของต้นเบลโอเบริสอันศักดิ์สิทธิ์ ตรงตำแหน่งที่อยู่เหนือศีรษะของนักกวีขึ้นไป ยังมีคนมือบอนโง่เง่าไร้การศึกษานำมีดมาแกะสลักเป็นถ้อยคำอันน่ารังเกียจเลย แถมยังสะกดผิดเสียด้วย ทำไมพวกท่านถึงดูตกใจกันนักล่ะ ถึงอย่างไรมันก็จบไม่สวยอย่างแน่—”

“ถูกต้อง!” นักบวชอ้วนร่วมบทสนทนานี้ด้วย “ได้สติกันเสียที เจ้าพวกคนบาป ตอนนี้ยังพอมีเวลาอยู่ มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะได้พบกับความพิโรธและความพยาบาทของเหล่าทวยเทพอย่างแน่นอน! พวกเจ้ายังจำคำทำนายของอิธลินน์ได้อยู่ไหม ถ้อยคำพยากรณ์ที่พรรณนาถึงบทลงโทษของเหล่าทวยเทพซึ่งสงวนไว้ให้กับเผ่าพันธุ์ที่แปดเปื้อนไปด้วยบาปน่ะ! ‘ช่วงเวลาแห่งการเหยียดหยามจะมาเยือน ต้นไม้ใหญ่จะปลิดทิ้งใบ ต้นอ่อนจะเหี่ยวแห้ง ผลไม้จะเน่าเสีย เมล็ดพันธุ์จะมีรสขม และแม่น้ำลำห้วยจะเต็มไปด้วยน้ำแข็งแทนที่จะเป็นสายน้ำ ความหนาวเหน็บสีขาวจะมาเยือน ตามมาด้วยแสงสว่างสีขาว และโลกทั้งใบจะพังทลายลงภายใต้พายุน้ำแข็ง’ นี่แหละคือสิ่งที่นักพยากรณ์หญิงอิธลินน์เคยกล่าวไว้! และก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เราจะได้เห็นสัญญาณเตือนบางอย่างก่อน เป็นภัยพิบัติที่จะทำลายโลกนี้ให้สิ้น – จงจำไว้ให้ดี! – พวกนิล์ฟการ์ดก็คือบทลงโทษของปวงเทพ! เป็นเสมือนแส้ที่เหล่าผู้มีชีวิตอมตะใช้เฆี่ยนตีคนบาปเช่นพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้—”

“หุบปากเสียทีน่า ไอ้เฒ่าศักดิ์สิทธิ์จอมปลอมนี่!” เชลดอน สแก็กส์ คำรามพร้อมกับกระทืบรองเท้าบู๊ตหนักอึ้งของตน “พวกคลั่งไสยศาสตร์ไร้สาระอย่างเจ้าทำข้าอยากอ้วกเต็มทน! ท้องไส้ข้ากำลังบิดมวน—”

“ระวังไว้เถอะ เชลดอน” เอลฟ์ตัวสูงเอ่ยขัดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อย่าได้เอาศาสนาของผู้อื่นมาล้อเลียนเชียว นั่นไม่ใช่การกระทำที่สุภาพ น่าฟัง หรือ…ปลอดภัยเลยนะ”

“ข้าก็ไม่ได้ล้อเลียนอะไรเสียหน่อย” คนแคระทักท้วง “ข้าไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของเทพเจ้า แต่ข้ามักจะรู้สึกรำคาญใจอยู่เสมอเวลามีใครดึงเทพพวกนั้นมาข้องเกี่ยวกับปัญหาทางโลก หรือพยายามใช้คำทำนายของเอลฟ์สติฟั่นเฟือนบางตนมาหลอกลวงข้า เจ้าบอกว่าพวกนิล์ฟการ์ดคือเครื่องมือของเหล่าเทพใช่ไหม เหลวไหลสิ้นดี! ลองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตดูสิ ตั้งแต่ยุคสมัยของเดสม็อด, ราโดวิด และแซมบุค ไปจนถึงยุคสมัยของต้นโอ๊กเก่าแก่อับบราด! เจ้าอาจจะจำชื่อเหล่านั้นไม่ได้ เพราะชีวิตของพวกเจ้ามันช่างสั้นนัก สั้นเยี่ยงแมลงชีปะขาว[3] แต่ข้าจำได้  และข้าจะบอกให้ว่าดินแดนเหล่านั้นมีสภาพเป็นอย่างไรตอนที่เจ้าเพิ่งจะลงจากเรือมาอยู่บนหาดตรงปากแม่น้ำยารูกาและอ่าวบริเวณปากน้ำพอนทาร์ จากเรือเพียงสี่ลำที่เข้าเทียบท่าที่ชายฝั่งในวันนั้น ก่อกำเนิดเป็นราชอาณาจักรถึงสามแห่ง ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะกลืนกินผู้ที่อ่อนแอกว่า จากนั้นพวกเขาก็จะเติบใหญ่และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พวกเขาจะเที่ยวรุกรานไปยังดินแดนของผู้อื่นเพื่อพิชิตมัน และอาณาจักรของพวกเขาก็จะยิ่งขยายตัวกว้างขึ้นและทรงพลังมากกว่าเดิม และในตอนนี้ พวกนิล์ฟการ์ดเองก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่ เพราะคนของพวกเขานั้นทั้งแข็งแกร่ง สามัคคี มีระเบียบวินัย และเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้น ซึ่งถ้าหากพวกเจ้าไม่ร่วมมือกันทำแบบนั้นบ้าง พวกนิล์ฟการ์ดจะได้กลืนกินเจ้าเข้าไป เช่นเดียวกับที่ปลาหมอไพค์กลืนกินปลาซิวแน่ – เหมือนที่เจ้านักพรตหัวไวนั่นบอกไง!”

“ก็ลองดูสิ!” โดนิเมียร์แห่งทรอยยืดอกซึ่งประดับตรารูปสิงโต และโยกดาบที่อยู่ในฝักของตนไปมา “เราเคยขยี้พวกมันจนเละไปแล้วที่เนินซอดเดน จะให้ทำอีกกี่ครั้งก็ย่อมได้!”

“ดูมั่นอกมั่นใจเสียจริงนะ” เชลดอน สแก็กส์ คำราม “อัศวินเอ๋ย เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่า ก่อนจะเกิดศึกที่เนินซอดเดน พวกนิล์ฟการ์ดเคยไล่ถางดินแดนของพวกเจ้าอย่างกับเครื่องถางเหล็กมาแล้ว ซ้ำยังทำให้ดินแดนระหว่างมาร์นาดัลและทรานส์ริเวอร์เกลื่อนไปด้วยซากศพของพวกผู้กล้าเช่นเจ้าอีก แล้วคนที่หยุดพวกนิล์ฟการ์ดได้ก็ไม่ใช่พวกปากดีอย่างเจ้าด้วย แต่เป็นการรวมพลังกันของเทเมเรีย เรดาเนีย เอเดิร์น และเคดเวนต่างหาก ความกลมเกลียวและความเป็นปึกแผ่นโน่น คือสิ่งที่หยุดเจ้าพวกนั้นเอาไว้!”

“ไม่ใช่แค่นั้น” แรดคลิฟฟ์เอ่ยชี้แจงด้วยน้ำเสียงเย็นชาทว่าก้องกังวาน “ไม่ใช่แค่นั้นเสียหน่อย ท่านสแก็กส์”

คนแคระขากเสลดเสียงดัง สั่งน้ำมูก สับเท้าของตนไปมา ก่อนจะค้อมกายให้จอมเวทเล็กน้อย

“ไม่มีใครกล้าปฏิเสธผลงานของเพื่อนร่วมอาชีพท่านหรอก” เขาว่า “ผู้ใดที่กล้าปฏิเสธความกล้าหาญของภราดรผู้วิเศษ[4]ที่เนินซอดเดนย่อมต้องเป็นคนที่น่าละอายยิ่ง พวกเขาต่างยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญ ยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อส่วนรวม และทุ่มเทเพื่อชัยชนะของพวกเรามากที่สุด แดนดิไลออนไม่เคยลืมพวกเขาในลำนำ ดังนั้นเราเองก็ไม่ควรเช่นกัน แต่อย่าลืมเสียล่ะว่า จอมเวทเหล่านั้นต่างยืนหยัดรวมตัวกันอยู่บนเนินอย่างภักดีภายใต้การชี้นำของวิลเกอฟอท์ซแห่งโรกเกวีน เหมือนกับที่พวกเราเหล่านักรบแห่งราชอาณาจักรทั้งสี่ต่างน้อมรับคำสั่งของวิซิเมียร์แห่งเรดาเนีย น่าเสียดายที่ความสามัคคีและความกลมเกลียวเช่นนี้กลับคงอยู่ได้แค่ในยามสงครามเท่านั้น เพราะในยามสงบ พวกเราต่างแยกตัวกันเป็นฝักฝ่ายกันอีกแล้ว วิซิเมียร์กับฟอลเทสท์กำลังจะบีบคอกันตายด้วยเรื่องภาษีศุลกากรและกฎหมายการค้า ส่วนเดมาเวนด์แห่งเอเดิร์นกับเฮนเซลท์ก็กำลังทะเลาะกันเรื่องแนวเขตแดนทางตอนเหนือ ในขณะที่สหพันธ์เฮงฟอส์[5]และตระกูลไธส์เซนส์แห่งโคเวียร์ต่างก็เมินเฉยกับทุกเรื่อง อีกทั้งข้ายังได้ยินมาด้วยว่าไม่มีความกลมเกลียวกันภายในหมู่จอมเวท พวกเราไม่มีความเป็นปึกแผ่นกันเลยสักนิด ไม่มีทั้งระเบียบวินัยและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่พวกนิล์ฟการ์ดมี!”

“ก็เพราะนิล์ฟการ์ดถูกปกครองโดยจักรพรรดิเอเมียร์ วาร์ เอ็มไรส์ ทรราชและจอมเผด็จการที่ใช้ทั้งแส้ บ่วง และขวานบังคับให้ผู้คนต้องเชื่อฟังเขาน่ะสิ!” บารอนวิลิเบิร์ตส่งเสียงดังลั่นราวฟ้าผ่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่ คนแคระเอ๋ย เราจะรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นได้อย่างไร ต้องใช้วิธีบังคับขู่เข็ญแบบพวกนิล์ฟการ์ดด้วยไหม แล้วในความคิดของเจ้า กษัตริย์องค์ใดจากราชอาณาจักรไหนบ้างล่ะที่ควรจะยอมเป็นรองอีกฝ่าย และเจ้าอยากจะเห็นอำนาจแห่งกษัตริย์ทั้งปวงตกไปอยู่ในมือของใครกัน”

“ทำไมข้าถึงต้องสนด้วยเล่า” สแก็กส์ตอบพลางยักไหล่ “นั่นมันเรื่องของพวกมนุษย์นี่ อย่างไรเสียพวกเจ้าก็คงไม่เลือกคนแคระมาเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว”

“รวมถึงเอลฟ์หรือแม้กระทั่งครึ่งเอลฟ์ด้วย” ตัวแทนร่างสูงจากชนเผ่าโบราณกล่าวเพิ่มเติม แขนของเขายังคงโอบอยู่รอบกายของโฉมงามผู้สวมใส่หมวกไร้ขอบ “ขนาดลูกเสี้ยวเอลฟ์ พวกเจ้ายังมองเป็นผู้ที่ด้อยกว่า—”

“นั่นแหละปัญหา” วิลิเบิร์ตหัวเราะ “พวกเจ้าเลือกที่จะเข้าข้างนิล์ฟการ์ดเพราะพวกนั้นเอาแต่แหกปากป่าวประกาศเรื่องความเท่าเทียม ทั้งยังตกปากรับคำอีกว่าจะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นระบบระเบียบดังเช่นสมัยก่อนทันทีที่เอาชนะและกวาดล้างพวกเราไปจนหมดแผ่นดิน นั่นน่ะหรือความเป็นปึกแผ่น นั่นน่ะหรือความเท่าเทียมที่พวกเจ้าใฝ่หา คอยพูดถึงและป่าวประกาศมาโดยตลอด! พวกนิล์ฟการ์ดคงจ่ายเงินให้พวกเจ้าทำแบบนี้สิท่า! มิน่าเล่าพวกเจ้าถึงรักกันเองเสียเหลือเกิน ชาวนิล์ฟการ์ดเองก็เป็นพวกเอลฟ์เหมือนกันนี่—”

“ไร้สาระ” เอลฟ์หนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา “ท่านอัศวิน คำพูดของท่านช่างไร้สาระสิ้นดี เห็นได้ชัดว่าการเหยียดเผ่าพันธุ์ทำให้ท่านตาบอดสนิทไปเสียแล้ว ชาวนิล์ฟการ์ดก็เป็นมนุษย์เหมือนกับท่านนั่นแหละ”

“โกหกชัดๆ! ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเจ้าพวกนั้นเป็นทายาทของเซดทมิฬ! เลือดของเหล่าเอลฟ์ไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกมัน เลือดของเหล่าเอลฟ์ต่างหาก!”

“แล้วสิ่งใดกันเล่าที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของท่าน” เอลฟ์หนุ่มฉีกยิ้มเย้ยหยัน “มีการผสานสายเลือดมานับหลายชั่วอายุคน หลายศตวรรษ ทั้งเผ่าพันธุ์ท่านและเผ่าพันธุ์ข้า และค่อนข้างสำเร็จดีเสียด้วย ซึ่งข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ พวกท่านเริ่มต่อต้านการผสานสายเลือดมาไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ของศตวรรษดีด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่ค่อยได้ผลอีกต่างหาก ไม่เช่นนั้นก็ลองพามนุษย์ที่ไม่มีสายเลือดของเซดอีคอร์ สายเลือดของชนเผ่าโบราณปะปนอยู่เลยมาให้ข้าดูสักคนสิ”

ใบหน้าของวิลิเบิร์ตขึ้นสีแดงจัด วีรา โลเวนเฮาปต์ เองก็หน้าขึ้นสีเช่นกัน ส่วนจอมเวทแรดคลิฟฟ์ก้มศีรษะลงแล้วกระแอม แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือเอลฟ์สาวที่สวมหมวกขนเพียงพอนเองก็หน้าขึ้นสีเรื่อด้วย

“เราทุกคนล้วนเป็นบุตรของพระแม่ธรณี” เสียงของนักพรตผมเทาดังก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน “เราคือบุตรแห่งธรรมชาติทั้งปวง และถึงแม้เราจะไม่เคารพรักมารดาของเรา ถึงแม้เราจะทำให้ท่านต้องเป็นกังวลและเจ็บปวดบ่อยๆ ถึงแม้เราจะทำให้หัวใจของท่านต้องแหลกสลาย แต่ท่านก็ยังรักพวกเราทุกคน ขอให้พวกท่านทุกคนที่มารวมตัวกัน ณ จุดพำนักแห่งมิตรภาพนี้จงจำเรื่องนี้ไว้ให้ดี และอย่าได้โต้เถียงกันอีกเลยว่าใครมาก่อนหรือมาหลัง เพราะสิ่งแรกที่ถูกพัดพามากับคลื่นก็คือผลโอ๊ก และผลโอ๊กที่ว่าก็แตกหน่องอกงามเป็นต้นโอ๊กเบลโอเบริสอันยิ่งใหญ่ เป็นต้นโอ๊กที่เก่าแก่ที่สุดต้นนี้ ขอให้พวกท่านทุกคนที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้นี้ ท่ามกลางรากแห่งยุคปฐมภูมิ จงอย่าได้ลืมรากเหง้าเฉกเช่นพี่น้องท้องเดียวกันของเรา อย่าได้ลืมโลกที่รากต้นโอ๊กนี้เติบโตขึ้นมา ขอให้พวกท่านทุกคนจดจำเนื้อความจากบทเพลงของนักกวีแดนดิไลออน—”

“ใช่แล้ว!”  วีรา โลเวนเฮาปต์ อุทานขึ้นมา “ว่าแต่เขาอยู่ไหนแล้วล่ะ”

“หนีไปแล้วน่ะสิ” เชลดอน สแก็กส์ พยายามสืบหาความจริงด้วยการเพ่งมองไปยังพื้นที่อันว่างเปล่าภายใต้ต้นโอ๊ก “เขาหอบเงินหนีไปโดยไม่คิดจะบอกลาเราเลยแม้แต่คำเดียว เหมือนกับพวกเอลฟ์ไม่มีผิด!”

“เหมือนพวกคนแคระต่างหาก!” โนมเครื่องมือเหล็กร้องเสียงแหลม

“เหมือนพวกมนุษย์ต่างหาก” เอลฟ์ร่างสูงแก้ ก่อนที่โฉมงามสวมหมวกไร้ขอบจะเอนศีรษะของนางมาซบไหล่เขา

 

“นี่ ท่านนักกวี” แม่เล้าแลนทิเอรีเอ่ยขณะก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู กลิ่นดอกไฮยาซินธ์ เหงื่อไคล เบียร์ และเบคอนรมควันอบอวลอยู่รอบตัวนาง “ท่านมีแขกแน่ะ เข้ามาสิท่านสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์”

แดนดิไลออนลูบผมของตนให้เรียบก่อนจะยืดหลังนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ทรงโค้งขนาดใหญ่ซึ่งมีที่เท้าแขน เด็กสาวทั้งสองที่นั่งอยู่บนตักเขารีบดีดร่างลุกขึ้นอย่างว่องไว เก็บงำเสน่ห์ของพวกตนไว้พร้อมจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยให้กลับเข้าที่ ดูท่า ‘ความถ่อมตัวของหญิงโสเภณี’ คงจะมิใช่ชื่อลำนำที่แย่เสียทีเดียว นักกวีคิด แล้วหยัดร่างลุกขึ้นยืน รัดเข็มขัด สวมใส่เสื้อรัดรูปให้เรียบร้อย ขณะที่ดวงตาคอยเหลือบมองชายสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าไปด้วย

“พูดตามตรงนะ” เขากล่าว “พวกท่านมักจะหาตัวข้าพบเสมอ แต่น้อยครั้งนักที่จะเลือกเวลาได้ถูกกาลเทศะ โชคดีที่ครั้งนี้ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกตัวสาวสวยคนไหนดี แถมด้วยราคาที่ท่านตั้ง ข้าคงเลือกทั้งสองคนพร้อมกันไม่ไหวด้วย แลนทิเอรี”

แม่เล้าแลนทิเอรีแย้มยิ้มอย่างเห็นใจพร้อมปรบมือ ทันใดนั้นเด็กสาวทั้งสองนาง – ชาวเกาะผิวขาวตกกระและลูกครึ่งเอลฟ์ผมดำ – ก็ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ชายที่ยืนอยู่ตรงประตูถอดเสื้อคลุมของตนออก ก่อนจะยื่นให้แม่เล้าพร้อมกับถุงเงินที่แม้จะเล็กแต่ก็ใส่เหรียญไว้จนเต็ม

“ขออภัยท่านด้วย ท่านนักกวี” เขากล่าวขณะเดินตรงมาที่โต๊ะและหย่อนตัวลงนั่ง “ข้ารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมารบกวนท่าน แต่จู่ๆ ท่านก็อันตรธานหายตัวไปจากใต้ต้นโอ๊ก…ข้าหาตัวท่านที่ถนนสายหลักไม่เจออย่างที่ตั้งใจไว้ แล้วก็ใช้เวลาพักหนึ่งเลยกว่าจะตามหาร่องรอยของท่านในเมืองเล็กๆ แห่งนี้พบ เชื่อข้าเถอะ ข้ารบกวนเวลาท่านไม่นานหรอก—”

“ใครๆ ก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องโกหกทุกที” นักกวีพูดแทรก “ขอพวกเราอยู่ด้วยกันตามลำพังได้ไหม แลนทิเอรี แล้วก็ช่วยดูแลอย่าให้ใครมารบกวนเราที เอาละ ข้ารอฟังอยู่นะ ท่านสุภาพบุรุษ”

ชายสูงศักดิ์จ้องมองเขาอย่างพิจารณา เขามีนัยน์ตาที่มืดหม่นและชุ่มชื้นเสียจนเกือบจะเหมือนมีน้ำตาคลอ ปลายจมูกแหลมชี้ที่ดูน่าเกลียด และริมฝีปากเล็กแคบ

“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ข้าจะขอพูดตรงประเด็นเลยแล้วกัน” เขาประกาศขณะรอให้ประตูปิดตามหลังแม่เล้าไป “ท่านนักกวี ลำนำของท่านทำให้ข้ารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตัวละครบางตัวในนั้นทำให้ข้าสนใจ ข้าค่อนข้างเป็นกังวลกับชะตากรรมของตัวเอกในลำนำที่ว่าพอสมควร และถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด บทเพลงอันไพเราะที่ข้าได้ยินภายใต้ต้นโอ๊กนั้นคงจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากชะตากรรมของคนจริงๆ สินะ ข้าขอเดาว่านั่นต้องเป็น…ซิริลลาตัวน้อยแห่งซินทรา ผู้เป็นหลานสาวของราชินีคาลานเธแน่ๆ”

แดนดิไลออนเลื่อนสายตาขึ้นเพ่งมองเพดาน พลางเคาะนิ้วของเขาลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ

“ท่านสุภาพบุรุษ” เขากล่าวเสียงแห้ง “ประเด็นที่ท่านสนใจเป็นประเด็นที่ประหลาดมาก และคำถามของท่านก็ประหลาดมากเช่นเดียวกัน บางอย่างบอกข้าว่าท่านคงไม่ใช่คนแบบที่ข้าเห็นแน่”

“ถ้างั้นขอข้าถามหน่อยได้ไหม ว่าท่านเห็นข้าเป็นคนเช่นไร”

“ข้าไม่แน่ใจว่าจะถามได้น่ะสิ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าข้ากับท่านมีสหายร่วมกันหรือไม่ และคนคนนั้นได้ฝากคำทักทายมาให้ข้าหรือเปล่า อันที่จริงท่านควรจะทำแบบนั้นตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนท่านคงจะลืมไปแล้วกระมัง”

“ข้าเปล่าลืม” เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าตรงส่วนอกของเสื้อนอกกำมะหยี่สีน้ำตาลหม่นของเขา จากนั้นจึงหยิบถุงเงินที่ดูจะมีขนาดใหญ่กว่าถุงเงินที่เขาส่งให้กับแม่เล้า ทว่าด้านในยังคงเต็มไปด้วยเหรียญซึ่งส่งเสียงดังกริ๊งออกมาเมื่อกระทบกับโต๊ะ “เราเพียงแต่ไม่มีสหายที่รู้จักกันทั้งสองฝ่ายเลยเท่านั้น ท่านแดนดิไลออน แต่บางทีถุงเงินนี้อาจจะพอทำให้ท่านมองข้ามเรื่องนั้นไปได้”

“แล้วท่านตั้งใจจะใช้ถุงเงินเล็กกระจ้อยนี้ซื้อสิ่งใดกัน” นักกวีทำหน้ามุ่ย “ซ่องนางโลมของแม่เล้าแลนทิเอรีและดินแดนรอบด้านทั้งหมดรึ”

“เรียกว่าเป็นการสนับสนุนงานศิลปะและตัวศิลปินเองดีกว่า และเพื่อการที่ข้าจะได้พูดคุยกับศิลปินเรื่องผลงานของเขาด้วย”

“ท่านคงรักงานศิลปะมากเลยสินะ ท่านสุภาพบุรุษ ท่านอยากคุยกับศิลปินมากถึงขนาดที่ต้องวางเงินให้เขาก่อนจะแนะนำตัวเชียวหรือ ทั้งที่มันเป็นการละเมิดมารยาทขั้นพื้นฐานแท้ๆ”

“แต่ตอนที่บทสนทนานี้เริ่มต้นขึ้น” นัยน์ตาสีเข้มของชายแปลกหน้าค่อยๆ หรี่ลง “ท่านก็ดูไม่ได้วิตกอะไรกับตัวตนไร้นามของข้านี่”

“แต่ตอนนี้ข้าเริ่มจะวิตกแล้วละ”

“ข้ามิได้ละอายใจในชื่อของตนเองหรอก” ชายแปลกหน้ากล่าว รอยยิ้มจางปรากฏขึ้นบนริมฝีปากอันเล็กแคบของเขา “ผู้คนเรียกข้าว่าไรน์ซ แต่ก็ไม่แปลกหากท่านจะไม่รู้จักข้า ท่านโด่งดังเกินไป และก็เป็นที่รู้จักมากเสียจนท่านคงไม่อาจทำความรู้จักกับผู้ที่ชื่นชมท่านทุกคนได้ แต่ทุกๆ คนที่นับถือในฝีมือของท่านกลับมีความรู้สึกว่าพวกเขารู้จักท่านดี ดีเสียจนบางทีก็เผลอทำตัวสนิทสนมด้วย ซึ่งข้าเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน ข้าทราบดีว่านี่เป็นการเข้าใจผิด ดังนั้นได้โปรดปรานียกโทษให้ข้าด้วยเถิด”

“ข้ายกโทษให้ท่าน”

“เช่นนั้นก็แปลว่าท่านคงจะยอมตอบคำถามไม่กี่คำถามของข้าแล้ว—”

“เปล่า! ไม่ใช่เสียหน่อย” นักกวีร้องแทรกพลางทำท่าวางก้าม “เห็นทีคราวนี้ข้าคงต้องเป็นฝ่ายขอให้ท่านยกโทษให้ข้าอย่างเต็มใจบ้างแล้วละ เพราะข้าไม่คิดจะยกเรื่องผลงานของข้ามาคุยกับใคร ไม่ว่าเรื่องแรงบันดาลใจ ตัวละครต่างๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ว่าผลงานของข้าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาหรือไม่ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เหลือด้วย เพราะการทำแบบนั้นจะเป็นการลดทอนคุณค่าของบทกวีไป และอาจทำให้ผู้คนเบื่อหูได้ในที่สุด”

“อย่างนั้นหรือ”

“แน่นอน ยกตัวอย่างเช่น หากข้าขับขานลำนำเกี่ยวกับภรรยาผู้รื่นเริงของมิลเลอร์ แล้วข้าก็ประกาศออกไปว่านี่คือเรื่องราวของสเวียร์กา ภรรยาของมิลเลอร์ โลช จากนั้นข้าก็ป่าวประกาศออกไปอีกว่า ท่านสามารถร่วมเตียงกับสเวียร์กาได้อย่างง่ายดายในทุกๆ วันพฤหัสบดี เนื่องจากในทุกๆ วันพฤหัสบดีนั้น มิลเลอร์ผู้เป็นสามีจะออกไปจ่ายตลาด เรื่องราวนี้ก็จะไม่ใช่บทกวีอีกต่อไป เป็นเพียงประโยคที่คล้องจองกันหรือการใส่ร้ายป้ายสีอันน่ารังเกียจเท่านั้น”

“เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้วละ” ไรน์ซเอ่ยเร็วๆ “แต่บางทีตัวอย่างที่ท่านว่าอาจจะเป็นตัวอย่างที่แย่ไปสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้สนใจในความผิดเล็กๆ น้อยๆ หรือบาปของใครอยู่แล้ว เชื่อเถอะว่าท่านไม่จำเป็นต้องให้ร้ายใครเลยแม้แต่น้อยหากจะตอบคำถามข้า สิ่งเดียวที่ข้าต้องการก็คือข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ข้อมูลหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็คือข้อมูลที่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับซิริลลา หลานสาวของราชินีแห่งซินทรากันแน่ หลายๆ คนอ้างว่านางถูกสังหารระหว่างเหตุล้อมโจมตีเมือง และคำกล่าวนี้ก็ได้รับการยืนยันโดยผู้เห็นเหตุการณ์หลายคน แต่จากลำนำของท่าน ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะรอดชีวิตมาได้ ข้าจึงสนใจใคร่รู้จริงๆ ว่าเรื่องราวเหล่านี้มาจากจินตนาการของท่านหรือเป็นความจริงกันแน่ ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ”

“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านให้ความสนใจในผลงานของข้าถึงเพียงนี้” แดนดิไลออนฉีกยิ้มกว้าง “ท่านจะหัวเราะก็ได้นะ ท่านคนที่ชื่ออะไรก็ตาม แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าตั้งใจเอาไว้ตอนที่ข้าประพันธ์ลำนำนี้ขึ้นมา ข้าอยากจะทำให้ผู้ฟังของข้ารู้สึกตื่นเต้นและสงสัยใคร่รู้”

“จริงหรือเท็จ” ไรน์ซย้ำเสียงเย็น

“หากข้าเฉลยออกไป เสน่ห์ในผลงานของข้าคงถูกทำลายป่นปี้พอดี ลาก่อนสหายข้า ท่านได้ใช้เวลาที่ข้าพอจะสละให้ได้ไปหมดแล้ว และแรงบันดาลใจทั้งสองของข้าก็กำลังคอยข้าอยู่ข้างนอกนั่นพร้อมข้อสงสัยที่ว่าข้าจะเลือกใคร”

ไรน์ซนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่โดยไม่แสดงท่าทีว่าจะลุกออกไปเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองนักกวีด้วยแววตาฉ่ำน้ำและไม่เป็นมิตรจนนักกวีพลันรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา เสียงเอะอะเริงร่าดังสะท้อนมาจากห้องหลักของซ่องนางโลมโดยมีเสียงหัวเราะคิกคักแหลมสูงของหญิงสาวดังแทรกขึ้นมาเป็นพักๆ แดนดิไลออนหันศีรษะไปด้านข้าง แสร้งวางท่าหยิ่งยโสเย้ยหยัน ทว่าอันที่จริงแล้วเขากำลังคาดคะเนระยะห่างจากจุดที่เขานั่งอยู่กับมุมห้องและผ้าม่านลายนางไม้ที่กำลังเทน้ำจากคนโทรดหน้าอกของตนต่างหาก

“แดนดิไลออน” ไรน์ซเอ่ยออกมาในที่สุดขณะสอดมือกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอกสีน้ำตาลดำของเขา “ตอบคำถามข้ามาเถอะ ขอร้องละ ข้าอยากรู้คำตอบจริงๆ เรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก และเชื่อข้าเถอะว่ามันก็สำคัญกับท่านไม่แพ้กัน เพราะหากท่านยอมพูดออกมาแต่โดยดี ข้าคงไม่ต้อง—”

“ไม่ต้องอะไร”

รอยยิ้มบิดเบี้ยวน่าสยดสยองค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากอันเรียวเล็กของไรน์ซ

“ข้าคงไม่ต้องใช้กำลังบังคับให้ท่านพูดน่ะสิ”

“เอาละ ฟังข้านะเจ้าคนชั่ว” แดนดิไลออนหยัดร่างลุกขึ้นพลางแสร้งตีหน้าขู่ “ข้าชิงชังความรุนแรงและการใช้กำลังก็จริง แต่เดี๋ยวข้าจะเรียกแม่เล้าแลนทิเอรีมาที่นี่ จากนั้นนางก็จะเรียกคนที่ชื่อกรูซิลา ผู้รับหน้าที่เป็นยามเฝ้าหน้าร้านผู้ทรงเกียรติและมีความรับผิดชอบของที่นี่มา และขอบอกเลยนะว่า เขาคือนักสู้ตัวจริงในด้านนี้ เขาจะเตะก้นเจ้าอย่างแรงจนตัวเจ้าลอยโด่งขึ้นไปบนหลังคาอย่างสง่างาม งามเสียจนผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาในเวลานี้นึกว่าเจ้าเป็นเพกาซัสเลยทีเดียว”

จู่ๆ ไรน์ซก็ขยับตัวอย่างกะทันหัน วัตถุบางอย่างส่องประกายอยู่ในมือของเขา

“ท่านแน่ใจรึ” เขาถาม “ว่าท่านจะเรียกนางมาทันเวลา”

แดนดิไลออนไม่ได้คิดจะรอคำตอบ รวมถึงไม่ได้ตั้งใจจะรออยู่เฉยๆ อยู่แล้ว ก่อนที่ไรน์ซจะฉวยดาบสั้นขึ้นมาไว้ในมือ นักกวีก็กระโจนตัวพุ่งไปยังมุมห้อง มุดเข้าไปใต้ม่านลายนางไม้ ถีบประตูลับให้เปิดออก จากนั้นก็วิ่งพรวดพราดลงไปตามขั้นบันไดวนอย่างรวดเร็วโดยใช้ราวบันไดเก่าๆ เป็นเครื่องช่วยนำทาง ไรน์ซพุ่งตัวตามเขามา ทว่านักกวีก็มั่นใจในตัวเองมากเช่นกันว่าเขารู้จักเส้นทางลับนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง เนื่องจากเขาเคยใช้มันมานักต่อนักแล้วในยามที่ต้องหนีบรรดาเจ้าหนี้ สามีขี้อิจฉา และคู่แข่งผู้โกรธเกรี้ยวมากมายที่เขาเคยขโมยเสียงสัมผัสและท่วงทำนองของบทกวีมาเป็นครั้งคราว แดนดิไลออนรู้ดีว่าหลังจากหักเลี้ยวเป็นครั้งที่สาม เขาจะสามารถคลำหาบานประตูหมุนซึ่งตั้งอยู่เบื้องหลังบันไดที่ทอดยาวลงไปสู่ห้องใต้ดินได้ นักกวีมั่นใจว่าผู้ที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่จะต้องหยุดตัวไม่ทัน จนวิ่งผ่านไปเหยียบประตูกลและร่วงลงไปสู่เล้าหมูเบื้องล่าง อีกทั้งเขายังมั่นใจเช่นกันว่าหลังจากที่ต้องเจ็บช้ำ เปื้อนอุจจาระ และถูกหมูกัดแทะไปทั่ว ผู้ที่กำลังข่มเหงเขาอยู่จะต้องถอดใจเลิกตามล่าเขาอย่างแน่นอน

ทว่าแดนดิไลออนกลับคิดผิด ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในยามที่เขามั่นใจมากเกินไป มีบางอย่างเปล่งแสงสีน้ำเงินวาบขึ้นจากด้านหลังเขา จากนั้นแขนขาของนักกวีก็ชาวูบ ไร้ความรู้สึก และแข็งทื่อ ขาของเขาไม่ฟังคำสั่งเขาอีกต่อไป เขาจึงไม่อาจชะลอความเร็วลงเพื่อคลำหาบานประตูหมุนได้ เขาร้องตะโกนลั่นขณะกลิ้งลงไปตามขั้นบันได ร่างกระแทกเข้ากับกำแพงเฉลียงขนาดเล็ก แล้วประตูกลก็เปิดออกกว้างจากใต้ร่างพร้อมด้วยเสียงแตกพร่า ร่างของนักกวีกลิ้งคะมำลงไปสู่ความมืดมิดและกลิ่นเหม็นสาบ ก่อนที่หัวของเขาจะโหม่งเข้ากับพื้นดินและหมดสติไป เขาก็นึกถึงคำพูดของแม่เล้าแลนทิเอรีที่เคยบอกว่าเล้าหมูกำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม

 

ความเจ็บปวดจากข้อมือและหัวไหล่ที่หดเกร็งและถูกบิดรั้งอย่างแรงจนข้อต่อลั่นดึงสติของเขากลับมา เขาอยากร้องตะโกนออกมาใจจะขาด แต่กลับทำไม่ได้ เพราะตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่ามีก้อนดินอุดปากอยู่ เขากำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นดิน ข้อมือทั้งสองถูกมัดด้วยเส้นเชือกที่ส่งเสียงลั่น นักกวีพยายามลุกขึ้นยืน หมายจะลดทอนแรงดึงรั้งบริเวณไหล่ ทว่าขาทั้งสองก็ถูกมัดไว้ด้วยเช่นกัน เขาหอบไอและสำลักอากาศขณะดิ้นรนลุกขึ้นยืนสำเร็จ แม้ความจริงแล้วจะเป็นเพราะถูกดึงเชือกที่มัดร่างของเขาอยู่อย่างไร้ความปรานีก็ตาม

ไรน์ซยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ดวงตามาดร้ายคู่นั้นเปล่งประกายวูบไหวภายใต้แสงไฟจากตะเกียงที่อันธพาลเคราครึ้มตัวสูงเกือบสองเมตรยกสูงอยู่ในมือ และมีอันธพาลอีกคนที่ตัวไม่เตี้ยกว่ากันนักยืนอยู่ด้านหลังเขา แดนดิไลออนได้ยินเสียงลมหายใจ ทั้งยังได้กลิ่นเหงื่อเหม็นหืนที่โชยมาจากตัวชายคนนั้น เป็นชายตัวเหม็นนั่นเองที่เป็นผู้กระตุกเส้นเชือกซึ่งพาดอยู่บนขื่อคานและมัดรอบข้อมือของนักกวีอยู่

ปลายเท้าของแดนดิไลออนลอยสูงขึ้นจากพื้นดิน นักกวีไม่อาจทำสิ่งใดได้เลยนอกจากส่งเสียงฟืดฟาดออกมาทางโพรงจมูก

“พอแล้ว” ไรน์ซเอ่ยห้ามในที่สุด และถึงแม้เขาจะพูดแทบจะในทันที ทว่าสำหรับแดนดิไลออนแล้ว นี่ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน ปลายเท้าของนักกวีสัมผัสกับพื้นดินอีกครั้ง แต่ต่อให้เขาอยากกลับไปอยู่ในท่าคุกเข่าใจแทบขาด เขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ด้วยเส้นเชือกที่รัดอยู่นั้นยังคงรั้งร่างเขาเอาไว้เสียตึงราวกับสายเครื่องดนตรี

ไรน์ซขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าว่างเปล่าไร้ซึ่งร่องรอยของอารมณ์ใดๆ ดวงตาฉ่ำชื้นของเขายังคงมีสภาพเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ส่วนน้ำเสียงก็ยังคงเป็นน้ำเสียงที่สงบนิ่ง เรียบเรื่อย และออกจะเบื่อหน่ายนิดหน่อยด้วยซ้ำ

“ไอ้เจ้านักกวีน่ารังเกียจ ไอ้สัตว์ชั้นต่ำ เจ้าเศษสวะหยิ่งยโสไร้ค่า คิดจะหนีไปจากข้างั้นรึ ไม่เคยมีใครหนีข้าพ้น แถมเรายังคุยกันไม่จบเลยด้วย เจ้าคนโง่สมองทึบ ข้ารึอุตส่าห์ถามคำถามเจ้าดีๆ ในสถานการณ์ที่มันสะดวกสบายกว่านี้ แต่เจ้ากลับเลือกเอาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่กว่าเดิมแทนเสียนี่ ทีนี้เจ้าคงจะยอมตอบคำถามของข้าทั้งหมดแล้วสินะ ข้าพูดถูกไหม”

แดนดิไลออนรีบพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ไรน์ซเผยยิ้มออกมาในที่สุด ก่อนจะขยับท่าทางส่งสัญญาณ นักกวีส่งเสียงร้องแหลมอย่างหมดหนทางเมื่อรู้สึกได้ว่าเชือกรัดแขนของตนแน่นขึ้น บิดรั้งมันไปข้างหลังจนข้อต่อส่งเสียงลั่นร้าว

“เจ้ายังพูดไม่ได้หรอก” ไรน์ซยืนยัน ริมฝีปากยังคงแย้มเป็นรอยยิ้มน่ารังเกียจ “คงจะเจ็บมากเลยสิท่า ข้าจะบอกให้รู้ไว้หน่อยก็ได้ว่า ที่เจ้ายังถูกแขวนเอาไว้แบบนี้ก็เพื่อที่จะสนองความต้องการของข้าเอง พอดีว่าข้าชอบเห็นผู้คนทรมานน่ะ เอ้า สูงขึ้นอีกหน่อย”

แดนดิไลออนได้แต่ส่งเสียงหายใจหอบอย่างรุนแรงจนแทบสำลัก

“พอแล้ว” ไรน์ซออกคำสั่งในที่สุด ก่อนจะก้าวตรงมาหานักกวีและคว้าชั้นจีบบนเสื้อของเขาขึ้นมา “ฟังข้าให้ดีนะ ไอ้เจ้าคนอวดดี เดี๋ยวข้าจะถอนเวทมนตร์ออกให้เพื่อให้เจ้าพูดได้ แต่ถ้าเจ้าส่งเสียงอันมีเสน่ห์ของเจ้าดังเกินความจำเป็นละก็ เจ้าจะต้องเสียใจแน่”

เขายกมือขึ้นทำท่าทางบางอย่าง จากนั้นจึงแตะแหวนบนมือลงบนแก้มของนักกวี ทันใดนั้นเอง แดนดิไลออนก็รู้สึกได้ว่าทั้งกราม ลิ้น และเพดานปากของเขากลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

“เอาละ” ไรน์ซกล่าวต่อเสียงเบา “ทีนี้ข้าจะถามคำถามเจ้าสักข้อสองข้อ และเจ้าก็ต้องตอบคำถามเหล่านั้นออกมาอย่างรวดเร็ว ลื่นไหล และลึกถึงรายละเอียด หากเจ้าอึกอักหรือแสดงท่าทีลังเลออกมาแม้แต่นิดเดียว หรือทำให้ข้านึกสงสัยแม้เพียงเล็กน้อยว่าเจ้าอาจจะกำลังโกหกอยู่ละก็…ลองก้มดูข้างล่างสิ”

แดนดิไลออนยอมทำตามแต่โดยดี แล้วก็พลันขวัญผวาขึ้นมาเมื่อพบว่ารอบๆ ข้อเท้าของเขานั้นมีเชือกสั้นๆ ถูกผูกเป็นปมอยู่ และที่ปลายเส้นเชือกอีกด้านก็ผูกติดอยู่กับถังน้ำที่บรรจุหินปูนไว้จนเต็ม

“หากข้าสั่งให้ดึงตัวเจ้าสูงขึ้นอีก” ไรน์ซแย้มยิ้มอย่างโหดร้าย “และถังนั่นถูกยกขึ้นไปพร้อมกับเจ้าด้วย มือของเจ้าคงจะไม่มีวันกลับมามีความรู้สึกอีกแน่นอน และหลังจากนั้น ข้าว่าเจ้าคงไม่สามารถใช้ลูทของเจ้าบรรเลงเพลงได้อีก ดังนั้นเจ้าคงจะยอมพูดกับข้าดีๆ แล้วใช่ไหม”

แดนดิไลออนไม่ได้ตอบตกลงออกไป เนื่องจากความหวาดกลัวทำให้เขาไม่อาจขยับศีรษะหรือเค้นเสียงของตนออกมาได้เลย ทว่าไรน์ซเองก็ดูจะไม่ได้ต้องการคำยืนยันเช่นกัน

“รู้ไว้ด้วยนะ” เขากล่าว “ว่าข้าจะรู้ได้ในทันทีว่าเจ้ากำลังพูดความจริงอยู่หรือไม่ ซึ่งหากเจ้าพยายามจะหลอกข้า ข้าก็จะรู้ได้ในทันทีเช่นกัน แล้วข้าก็จะไม่หลงกลไปกับคำพูดในเชิงบทกวีหรือคำพูดที่ฟังดูคลุมเครือด้วย เหตุการณ์ในวันนี้ล้วนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับข้า – เช่นเดียวกับที่ข้าทำให้เจ้าเป็นอัมพาตบนบันไดเวียนนั่นแหละ ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าชั่งน้ำหนักคำพูดของเจ้าให้ดี เจ้าเศษสวะ เอาละ เลิกผลาญเวลาแล้วมาเริ่มกันเลยดีกว่า อย่างที่เจ้ารู้ ข้ากำลังสนใจในตัวนางเอกจากหนึ่งในลำนำอันไพเราะของเจ้าอยู่ และนางเอกที่ว่าก็คือหลานสาวของราชินีคาลานเธแห่งซินทรา องค์หญิงซิริลลา หรือที่ได้รับการเรียกขานอย่างรักใคร่ว่าซิริ ผู้เห็นเหตุการณ์หลายรายต่างยืนยันว่าเด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ตายไปตั้งแต่เหตุล้อมโจมตีเมืองเมื่อสองปีก่อน ทว่าในลำนำของเจ้า เจ้ากลับบรรยายเอาไว้อย่างชัดเจนและน่าประทับใจว่านางได้พบกับคนผู้หนึ่งที่ทั้งแปลกและเกือบจะกลายเป็นตำนานอยู่แล้ว…ซึ่งก็คือวิทเชอร์…เกรอลท์หรือเจรัลด์นั่นแหละ หากตัดเรื่องเหลวไหลไร้สาระอย่างเรื่องชะตากรรมและคำตัดสินแห่งโชคชะตาอะไรนั่นทิ้งไป ดูเหมือนว่าลำนำส่วนที่เหลือของเจ้าจะกล่าวเอาไว้ว่าเด็กคนนั้นรอดชีวิตมาจากสงครามที่ซินทราได้แบบครบสามสิบสองสินะ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

“ข้าไม่รู้…” แดนดิไลออนคราง “ให้ตายสิ ข้าเป็นแค่นักกวีนะ! ข้าก็แค่ได้ยินเรื่องพวกนี้มา ส่วนที่เหลือ…”

“ว่าต่อสิ”

“ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องที่ข้าแต่งขึ้นมาเอง เป็นเรื่องที่ข้ากุขึ้นมาเองล้วนๆ! ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!” นักกวีรีบส่งเสียงร้องลั่นทันทีที่เห็นไรน์ซส่งสัญญาณให้กับชายตัวเหม็นและรู้สึกได้ว่าเชือกรัดแน่นยิ่งขึ้น “ข้าเปล่าโกหกนะ!”

“ก็จริง” ไรน์ซพยักหน้า “เจ้าไม่ได้โกหกออกมาตรงๆ ไม่งั้นข้าคงสัมผัสได้แล้ว แต่เจ้ากำลังพยายามพูดจาอ้อมโลกอยู่ เจ้าคงไม่แต่งลำนำออกมาแบบนั้นหรอกถ้าไม่มีเหตุผลอะไรสักอย่าง แถมเจ้าเองก็รู้จักกับวิทเชอร์ผู้นั้นด้วยนี่ ผู้คนมักพบเห็นเจ้าร่วมเดินทางไปกับเขา ดังนั้นบอกข้ามาซะ แดนดิไลออน ถ้าเจ้ายังรักข้อต่อของเจ้าอยู่ บอกเรื่องที่เจ้ารู้มาให้หมด”

“ซิริคนนั้น” นักกวีหายใจหอบ “คือเด็กที่ถูกผูกชะตาไว้กับวิทเชอร์ นางคือเด็กสาวที่ผู้คนต่างขนานนามว่า เด็กจากบัญญัติแห่งความไม่คาดฝัน…เจ้าต้องเคยได้ยินแน่ เรื่องนี้โด่งดังมาก พ่อแม่ของนางเคยสาบานเอาไว้ว่าจะมอบนางให้กับวิทเชอร์—”

“มอบตัวนางให้กับเจ้ามนุษย์กลายพันธุ์ไร้สตินั่นน่ะรึ ให้เจ้านักรบรับจ้างใจอำมหิตนั่นเนี่ยนะ โกหกชัดๆ เจ้ากวีชั้นต่ำ เก็บนิทานพรรค์นี้ไปเล่าให้พวกผู้หญิงฟังเถอะ”

“เรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ให้ข้าสาบานกับดวงวิญญาณของท่านแม่ข้าเลยก็ได้” แดนดิไลออนสะอื้น “ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้…วิทเชอร์ผู้นั้น—”

“เล่าเรื่องเด็กสาวมาดีกว่า ตอนนี้ข้ายังไม่สนใจวิทเชอร์นั่น”

“แต่ข้าไม่รู้เรื่องเด็กสาวคนนั้นเลยนี่! ข้ารู้แค่ว่าตอนเกิดสงคราม วิทเชอร์กำลังจะไปรับตัวนางมาจากซินทรา แล้วข้าก็ได้เจอเขาตอนนั้นพอดี คนที่บอกเรื่องการสังหารหมู่และการสิ้นพระชนม์ของคาลานเธให้เขาฟังก็คือข้า…เขาถามข้าเรื่องเด็กคนนั้น หลานสาวขององค์ราชินี…แต่ที่ข้ารู้มาก็คือ ทุกๆ คนในซินทราล้วนถูกฆ่าตายหมด ไม่มีใครรอดออกมาจากป้อมปราการแห่งสุดท้ายเลยแม้แต่คนเดียว—”

“พูดต่อไป เล่าความจริงออกมาตรงๆ แล้วก็ใช้คำเปรียบเปรยให้น้อยลงด้วย!”

“ตอนที่วิทเชอร์ได้รู้เรื่องการสังหารหมู่และการล่มสลายของซินทรา เขาก็ยกเลิกการเดินทางของตน พวกเราพากันหนีขึ้นเหนือ ก่อนจะแยกทางกันที่เฮงฟอส์ จากนั้นข้าก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลย…แต่ระหว่างการเดินทาง เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง…เรื่องของซิริหรืออะไรนี่แหละ…แล้วก็เรื่องของโชคชะตา…ข้าเลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเอง นอกนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว ข้าสาบานได้!”

ไรน์ซทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา

“แล้วตอนนี้วิทเชอร์นั่นอยู่ที่ไหน” เขาถาม “เจ้ามือสังหารสัตว์ประหลาดรับจ้าง เจ้าจอมเชือดในบทกวีที่ชอบกล่าวถึงเรื่องโชคชะตาผู้นั้น”

“ข้าก็บอกไปแล้วไง ครั้งสุดท้ายที่ข้าเจอเขา—”

“ข้าจำได้น่าว่าเจ้าเคยพูดไว้อย่างไร” ไรน์ซเอ่ยแทรก “ข้าตั้งใจฟังเรื่องที่เจ้าพูดเป็นอย่างดี แล้วตอนนี้ก็ถึงคราวที่เจ้าต้องตั้งใจฟังที่ข้าพูดบ้างแล้ว เจ้าต้องตอบคำถามต่อไปนี้มาให้ละเอียด และคำถามของข้าก็คือ ถ้าเกิดไม่มีใครเห็นตัวเกรอลท์ หรือวิทเชอร์เจรัลด์คนนั้นเลยตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้ เขาจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ที่ซ่อนที่เขามักจะไปหลบอยู่เป็นประจำคือที่ใดกัน”

“ข้าไม่รู้หรอกว่ามันคือที่ไหน” นักกวีเอ่ยเร็วๆ “ข้าไม่ได้โกหกนะ ข้าไม่รู้จริงๆ—”

“ไวไปแล้ว แดนดิไลออน ไวเกินไปแล้ว” ไรน์ซเหยียดยิ้มคล้ายเป็นลาง “เจ้ากระเหี้ยนกระหือรือเกินไป เจ้าเป็นพวกฉลาดแกมโกง แต่ยังระวังไม่มากพอ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้ว่าที่ซ่อนของเขาคือที่ไหนใช่หรือไม่ แต่ข้ากล้ารับประกันเลยว่าเจ้าต้องรู้ว่าที่นั่นเป็นที่แบบใดแน่”

แดนดิไลออนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธและสิ้นหวัง

“เอ้า ว่าอย่างไรเล่า” ไรน์ซส่งสัญญาณให้กับชายตัวเหม็นอีกครั้ง “ที่ซ่อนของวิทเชอร์อยู่ที่ไหน ที่นั่นมีชื่อเรียกว่าอะไร”

นักกวียังคงปิดปากเงียบ เส้นเชือกขึงแน่นขึ้น บิดรั้งมือเขาอย่างเจ็บปวด ปลายเท้าของเขายกสูงขึ้นจากพื้นอีกครั้ง แดนดิไลออนส่งเสียงร้องโหยหวน เป็นเสียงร้องที่ทั้งสั้นและขาดห้วงเนื่องจากแหวนมนตราของไรน์ซได้ปิดปากเขาเอาไว้อย่างกะทันหันอีกครั้ง

“สูงขึ้นอีก อีกนิด” ไรน์ซเอามือเท้าเอว “แดนดิไลออนเอ๋ย เจ้ารู้ไหมว่าอันที่จริงข้าสามารถใช้เวทมนตร์บังคับให้เจ้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้น่ะ แต่มันกินแรงข้ามาก อีกอย่าง ข้าชอบเห็นคนเจ็บปวดทรมานจนลูกตาหลุดออกมาจากเบ้ามากกว่า แล้วถึงยังไงเจ้าก็ต้องยอมปริปากออกมาอยู่ดี”

แดนดิไลออนเองก็คิดเช่นนั้น เชือกที่มัดรอบข้อเท้าของเขาไว้ยิ่งขึงแน่นขึ้นอีกจนถังใส่หินปูนครูดกับพื้นไปมา

“ท่านขอรับ” จู่ๆ อันธพาลคนแรกก็เอ่ยขึ้นมา เขาใช้เสื้อคลุมของตนคลุมตะเกียงไว้และมองลอดผ่านช่องที่ประตูเล้าหมูออกไปข้างนอก “มีคนมา น่าจะเป็นผู้หญิง”

“เจ้าก็รู้นี่ว่าต้องทำยังไง” ไรน์ซส่งเสียงขู่ฟ่อ “ดับตะเกียงซะ”

ชายตัวเหม็นปล่อยมือจากเชือก ปล่อยให้ร่างของแดนดิไลออนเซล้มลงกับพื้นอย่างช้าๆ ด้วยท่าล้มของเขาในตอนนี้ เขาพอจะมองเห็นชายถือตะเกียงที่กำลังยืนอยู่หน้าประตู โดยมีชายตัวเหม็นพร้อมมีดเล่มยาวในมือรอคอยอยู่ที่อีกฟากหนึ่ง ลำแสงสายหนึ่งลอดผ่านช่องว่างบนไม้กระดานของซ่องนางโลมเข้ามา จากนั้นนักกวีก็ได้ยินเสียงร้องเพลงและเสียงดังระงม

ประตูของเล้าหมูเปิดอ้าออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด เผยให้เห็นเงาร่างเตี้ยๆ ที่สวมทับด้วยเสื้อคลุมและหมวกทรงกลมขนาดพอดีหัว หลังจากลังเลอยู่สักพัก หญิงนางหนึ่งก็ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา ชายตัวเหม็นโถมร่างเข้าใส่นางพร้อมกับตวัดมีดอย่างหนักแน่น แต่แล้วก็ต้องล้มลงไปคุกเข่าเมื่อมีดเล่มนั้นพุ่งผ่านช่วงคอของเงาร่างตรงหน้าไปโดยไร้แรงต้านใดๆ ราวกับพุ่งผ่านกลุ่มควันไม่มีผิด แท้จริงแล้วเงาร่างนั้นก็คือกลุ่มควันที่กำลังเริ่มสลายตัวหายลับไปต่างหาก ทว่าก่อนที่มันจะเลือนหายไปจนหมด เงาร่างอีกร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในเล้าหมู เป็นเงาร่างที่ทั้งเลือนราง มืดหม่น และคล่องแคล่วราวกับตัวพังพอน แดนดิไลออนเห็นเงาร่างนั้นขว้างเสื้อคลุมใส่ชายถือตะเกียงและกระโดดข้ามชายตัวเหม็นมา เขามองเห็นอะไรบางอย่างเปล่งประกายอยู่ในมือของร่างที่ว่า จากนั้นก็ได้ยินเสียงชายตัวเหม็นหอบหายใจและสำลักกระอักกระไออย่างรุนแรง ชายถือตะเกียงสะบัดเสื้อคลุมออกจากตัวได้สำเร็จ ก่อนจะกระโดดและเงื้อมีดฟาดฟันเข้าใส่ ทว่ามีสายฟ้าอันรุนแรงสายหนึ่งแล่นปลาบออกมาจากเงาร่างดำมืดพร้อมกับเสียงลั่นเปรี๊ยะ พุ่งตรงเข้าใส่ใบหน้าอันเกรี้ยวกราดและแผ่นอกของเขาจนเกิดเสียงดัง ก่อนที่มันจะลุกลามไปทั่วตัวเขาราวกับน้ำมันติดไฟ อันธพาลกรีดร้องเสียงดังแสบหู กลิ่นเนื้อไหม้ฉุนจมูกตลบอบอวลไปทั่วเล้า

ต่อมาก็ถึงคราวที่ไรน์ซเป็นฝ่ายโจมตีบ้าง เวทมนตร์ที่เขาร่ายเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างจ้าวาบขึ้นมาท่ามกลางความมืด ทำให้แดนดิไลออนพอจะมองเห็นหญิงรูปร่างผอมบางสวมเสื้อของผู้ชายซึ่งกำลังใช้มือทั้งสองข้างโบกไปมาด้วยท่วงท่าแปลกประหลาด ทว่ามองได้เพียงวินาทีเดียว แสงสีน้ำเงินนั้นก็หายวับไปพร้อมกับมีเสียงระเบิดและแสงไฟสว่างไสว ไรน์ซหงายร่างไปด้านหลังและคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาล้มตึงใส่ผนังไม้ของเล้าหมูอย่างแรงจนมันแตกออกจากกันดังโครม หญิงสาวในชุดผู้ชายกระโจนตามเขาไปพร้อมกับดาบสั้นที่ส่องประกายอยู่ในมือ ทั่วทั้งเล้าหมูล้วนเต็มไปด้วยแสงสว่างอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเป็นแสงสีทองที่ส่องสว่างออกมาจากวงกลมรูปไข่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ แดนดิไลออนมองเห็นไรน์ซดีดตัวขึ้นมาจากพื้นเปื้อนฝุ่น กระโจนเข้าใส่วงกลมรูปไข่นั้นและหายวับไปในทันที จากนั้นวงกลมรูปไข่ที่ว่าก็ค่อยๆ จางแสงลง แต่ก่อนที่มันจะหายวับไป หญิงคนดังกล่าวก็วิ่งกลับไปหามันและตะโกนอะไรบางอย่างเป็นภาษาเก่าแก่พลางยื่นมือออกไป แว่วเสียงบางสิ่งบางอย่างดังกรอบแกรบพร้อมเสียงปะทุ และทันใดนั้นเอง วงกลมรูปไข่ที่กำลังอับแสงก็พลันเดือดพล่านด้วยเปลวไฟอยู่ชั่วครู่หนึ่ง น้ำเสียงอื้ออึงราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกลแว่วมาเข้าหูแดนดิไลออน เป็นเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด วงกลมรูปไข่หายวับไปในที่สุด แล้วความมืดมิดก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งเล้าหมูอีกครั้ง นักกวีรู้สึกได้ว่าพลังงานที่อุดปากเขาอยู่หายไปแล้ว

“ช่วยด้วย!” เขาร้องโหยหวน “ช่วยข้าที!”

“เลิกตะโกนได้แล้วน่า แดนดิไลออน” หญิงผู้นั้นว่าพลางย่อเข่าลงข้างกายเขาและใช้ดาบสั้นของไรน์ซเฉือนเงื่อนออกให้

“เยนเนเฟอร์ นั่นเจ้ารึ”

“ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางบอกว่าเจ้าจำหน้าข้าไม่ได้อย่างแน่นอน แล้วข้าก็มั่นใจด้วยว่านักดนตรีอย่างเจ้าจะต้องจำเสียงของข้าได้ ทีนี้จะลุกขึ้นได้รึยัง พวกนั้นคงไม่ได้ทำกระดูกเจ้าหักใช่ไหม”

แดนดิไลออนหยัดร่างลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เขาส่งเสียงโอดครวญออกมาและเหยียดไหล่อันปวดหนึบของตน

“แล้วสองคนนั้นล่ะ” เขาพยักพเยิดไปยังร่างของอันธพาลทั้งสองที่ยังนอนนิ่งอยู่ที่พื้น

“เดี๋ยวตรวจดูก็รู้” จอมเวทหญิงเสียบดาบสั้นเข้าฝัก “หนึ่งในนั้นน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ข้ามีคำถามบางอย่างต้องถามเขา”

“คนนี้” นักกวีเคลื่อนกายไปยืนอยู่เหนือร่างชายตัวเหม็น “น่าจะยังมีชีวิตอยู่นะ”

“แต่ข้าว่าไม่” เยนเนเฟอร์เอ่ยอย่างไม่ไยดี “ข้าทำลายหลอดลมและหลอดเลือดแดงของเขาไปแล้ว เขาอาจจะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็อยู่ได้อีกไม่นานหรอก”

แดนดิไลออนตัวสั่นด้วยความกลัว

“เจ้าฟันคอเขาหรือ”

“ถ้าเกิดข้าไม่ระมัดระวังตัวให้ดีโดยการส่งภาพลวงตาล่วงหน้าไปก่อน คนที่นอนอยู่ตรงนั้นคงจะเป็นข้าแทนแล้วละ ไหนลองมาดูอีกคนกันบ้าง…ให้ตายสิ ขนาดชายฉกรรจ์ผู้แข็งแกร่งอย่างเขายังไม่รอดเลยหรือนี่ น่าสงสาร ช่างน่าสงสารจริงๆ—”

“เขาก็ตายแล้วเหมือนกันหรือ”

“เขาทนรับกระแสไฟฟ้าไม่ไหว อืม…สงสัยข้าคงใช้ไฟแรงไปหน่อย…ดูสิ ขนาดฟันของเขายังไหม้เกรียมไปหมด— เป็นบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย แดนดิไลออน ไม่สบายหรือไง”

“ใช่แล้วละ” นักกวีกล่าวตอบอ้อมแอ้มขณะงอตัวลงและพิงหน้าผากกับผนังเล้าหมู

 

ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม

วางจำหน่ายเร็วๆ นี้

 

[1]  เครื่องดนตรีโบราณประเภทสายที่มีลักษณะคล้ายลูกแพร์ซึ่งใช้นิ้วในการดีด

[2] Elder Races คือชื่อโดยรวมที่มนุษย์ใช้เรียกชนเผ่าพันธุ์โนม คนแคระ ฮาล์ฟลิง และเอลฟ์

[3] แมลงที่อายุสั้นที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มวัยแล้วจะมีอายุอยู่ได้เพียง 1-2 วันเท่านั้น

[4] Brotherhood of Sorcerers คือองค์กรที่เก่าแก่ที่สุดของผู้ใช้เวทมนตร์ในอาณาจักรทางตอนเหนือ

[5] League of Hengfors คือแคว้นหนึ่งในอาณาจักรทางตอนเหนือ  ซึ่งมีเฮงฟอส์เป็นเมืองหลวง

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า