PIPPI LONGSTOCKING
ปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว
แอสตริด ลินด์เกรน เขียน
ดร.บุญส่ง ชเลธร แปล
อิงกริด วาง นีมาน วาดภาพประกอบ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
ปิ๊ปปี้ย้ายเข้าวิลล่า วิลเลคูลล่า
ไกลออกไปตรงปลายสุดของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีสวนเก่ารกร้างอยู่แห่งหนึ่ง ในสวนมีบ้านหลังหนึ่ง ที่มีเด็กหญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ เธอคือปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว วัยเก้าขวบ ซึ่งใช้ชีวิตเพียงลำพังในบ้านหลังนี้ ไม่มีทั้งแม่และพ่อ แน่ละ ว่ามันช่างดีเหลือเกิน เพราะไม่มีใครคอยสั่งให้ต้องเข้านอน ในตอนกำลังเล่นสนุกๆ ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครมาบังคับให้ต้องกินน้ำมันตับปลาในตอนที่อยากกินลูกกวาดด้วย
ครั้งหนึ่งปิ๊ปปี้เคยมีพ่อที่รักมากที่สุด และมีแม่เหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่นั่นมันนานมาแล้ว นานจนตัวเองก็จำแม่ไม่ได้ เพราะแม่ตายตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ นอนอยู่ในเปลและส่งเสียงร้องดังลั่นจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ปิ๊ปปี้เชื่อว่าแม่อยู่บนสวรรค์และกำลังแอบดูเธอจากรูเล็กๆ บนท้องฟ้า เธอมักจะโบกมือให้แม่ และพูดว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วง! ฉันดูแลตัวเองได้”
สำหรับพ่อ ปิ๊ปปี้ไม่เคยลืมเลย พ่อของเธอเป็นกัปตันผู้แล่นเรืออยู่กลางมหาสมุทรกว้าง ปิ๊ปปี้เคยเดินทางไปกับเรือของพ่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อถูกพายุซัดตกทะเลและหายสาบสูญไป ซึ่งปิ๊ปปี้เชื่ออย่างจริงจังว่าพ่อไม่มีวันจมน้ำตาย พ่อจะต้องกลับมา เธอแน่ใจว่าพ่อคงลอยไปติดเกาะที่เต็มไปด้วยคนพื้นเมือง แล้วได้กลายเป็นราชาของชาวเกาะไปแล้วแน่ๆ เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องสวมมงกฎทองคำอยู่บนหัวตลอดเวลา
“พ่อของฉันเป็นราชาชาวเกาะ ไม่มีทางที่เด็กทุกคนจะมีพ่อได้เข้าท่าอย่างนี้” ปิ๊ปปี้มักพูดอย่างภาคภูมิใจ “วันไหนที่พ่อต่อเรือเสร็จ ก็จะมารับฉันไปอยู่ด้วย ฉันจะได้เป็นเจ้าหญิงของชาวเกาะ เฮ…โฮ ต้องสนุกแน่ๆ!”
พ่อของเธอซื้อบ้านเก่าในสวนแห่งนี้ไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว พ่อคิดว่าจะมาอยู่ที่นี่กับปิ๊ปปี้ในยามชรา ที่ไม่สามารถล่องเรือออกทะเลได้อีก แต่แล้วก็เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นจนได้ ก็ตอนที่พลาดตกทะเลไปนี่แหละ ดังนั้นระหว่างรอการกลับมาของพ่อ ปิ๊ปปี้จึงดิ่งมาที่วิลล่า วิลเลคูลล่า บ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้พร้อมสรรพ บ้านที่เหมือนรอคอยการมาของเธอ ในคืนอันสดใสหนึ่งของฤดูร้อน เธอกล่าวลาลูกเรือทุกคนบนเรือของพ่อ พวกเขาล้วนชอบปิ๊ปปี้มาก และปิ๊ปปี้ก็ชอบพวกเขามาก
“ลาก่อน” ปิ๊ปปี้กล่าวและจูบหน้าผากทีละคน “ไม่ต้องเป็นห่วง! ฉันดูแลตัวเองได้!”
มีเพียงสองสิ่งที่ปิ๊ปปี้นำติดตัวมาจากเรือ หนึ่งคือลิงน้อยชื่อนายนิลส์สัน — ที่ได้เป็นของขวัญจากพ่อ — อีกหนึ่งคือกระเป๋าใบใหญ่อัดแน่นไปด้วยเหรียญทองคำ พวกลูกเรือขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าและมองตามส่งจนลับสายตา แต่ปิ๊ปปี้กลับก้าวตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคงโดยไม่เหลียวหลัง มีนายนิลส์สันเกาะอยู่บนไหล่ และกระเป๋าอยู่ในมือ
“เด็กประหลาด” ลูกเรือคนหนึ่งพูดเมื่อเธอลับหายไปแล้วจากสายตา
เขาพูดถูก ปิ๊ปปี้เป็นเด็กประหลาดจริงๆ และที่ประหลาดที่สุดก็คือ เธอทรงพลังมหาศาล แข็งแรงขนาดที่ว่าในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่มีตำรวจสักคนเดียวที่จะแข็งแรงเทียบเท่าเธอ ปิ๊ปปี้แบกม้าได้ทั้งตัวถ้าอยากแบก และเธอก็อยากแบกเสียด้วย เธอเอาเหรียญทองคำหลายเหรียญไปแลกซื้อม้าให้ตัวเองในวันที่ย้ายเข้าวิลล่า วิลเลคูลล่า เธอฝันอยากมีม้าเป็นของตัวเองมาเนิ่นนาน และตอนนี้มันก็มาอยู่ตรงระเบียงบ้านแล้ว ถ้าตอนไหนปิ๊ปปี้นึกอยากดื่มกาแฟตรงนั้นขึ้นมา เธอก็จะแบกมันหลบออกไปไว้ในสวน
ข้างๆ วิลล่า วิลเลคูลล่า มีสวนและมีบ้านอีกหลังหนึ่ง เป็นที่อยู่ของครอบครัวซึ่งมีพ่อแม่ และลูกชายลูกสาวน่ารักน่าเอ็นดูอีกสองคน เด็กชายชื่อทอมมี่ เด็กหญิงชื่ออันนิก้า ทั้งคู่เรียบร้อยมาก ได้รับการอบรมมาอย่างดี และอยู่ในโอวาท ทอมมี่ไม่เคยแม้แต่คิดจะกัดเล็บตัวเอง เขาทำทุกอย่างที่แม่บอกให้ทำ ส่วนอันนิก้าก็ไม่เคยร้องอาละวาดเวลาไม่ได้ของที่ตัวเองต้องการ เธอจะอยู่ในชุดสะอาด รีดเรียบร้อย และคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาไม่ให้เปื้อน ทอมมี่และอันนิก้ามักเล่นกันอย่างเงียบๆ เรียบร้อยอยู่ในสวน แต่ทั้งคู่ก็หวังอยู่เสมอว่าจะมีเพื่อนเล่นสักคน ตอนที่ปิ๊ปปี้ยังล่องเรืออยู่กลางทะเลกับพ่อ เด็กทั้งสองมักมาเกาะที่ริมรั้วแล้วคุยกันเองว่า
“แย่นะ ไม่มีใครย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนั้นเลย! น่าจะมีใครมาอยู่ที่นั่น ใครก็ได้ที่มีเด็กด้วย”
ในวันอันอบอุ่นของฤดูร้อน คืนที่ปิ๊ปปี้เหยียบธรณีประตูวิลล่า วิลเลคูลล่าเป็นก้าวแรก ทอมมี่และอันนิก้าไม่อยู่ ทั้งคู่ไปเยี่ยมคุณยายหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ จึงไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าจะมีใครย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังข้างๆ วันแรกที่พวกเขากลับถึงบ้านและยืนอยู่ที่ประตูพลางมองออกไปนอกถนน พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่ามีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้วในบ้านหลังใกล้ๆ นั่นเอง ขณะที่ทั้งคู่กำลังคิดว่าจะเล่นอะไรกันดี และสงสัยว่าวันนี้จะมีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า หรือจะเป็นวันอันน่าเบื่อเหมือนวันก่อนๆ ที่คิดไม่ออกว่าจะเล่นอะไรกันดี ประตูวิลล่า วิลเลคูลล่าก็เปิดออกโดยพลัน เด็กหญิงคนหนึ่งก้าวออกมา เธอเป็นเด็กประหลาดที่สุดเท่าที่ทอมมี่กับอันนิก้าเคยเห็นมาทีเดียว เธอคือปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว ผู้กำลังออกมาเดินเล่นนอกบ้าน และนี่คือลักษณะท่าทางของเธอ
เส้นผมสีแดงเหมือนแครอต ถักเป็นเปียชี้ออกไปสองข้าง จมูกเหมือนมันฝรั่งลูกเล็กๆ มีกระล้อมรอบจมูกเต็มไปหมด ใต้จมูกลงไปเป็นริมฝีปากกว้างที่เต็มไปด้วยฟันขาวแข็งแรง ชุดที่สวมใส่ก็ไม่เหมือนชุดทั่วๆ ไป เพราะปิ๊ปปี้ตัดเย็บขึ้นมาเอง ตอนแรกตั้งใจจะให้เป็นชุดสีน้ำเงิน แต่ผ้าสีน้ำเงินเกิดมีไม่พอ เธอเลยเอาผ้าสีแดงมาแต่งเติมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ท่อนขาผอมของปิ๊ปปี้สวมถุงเท้ายาว ข้างหนึ่งสีน้ำตาล อีกข้างสีดำ รองเท้าสีดำที่สวมใส่ก็ยาวกว่าเท้าจริงตั้งเท่าตัว รองเท้าคู่นี้พ่อซื้อมาฝากจากอเมริกาใต้ โดยเผื่อไว้ใส่ตอนเท้าโตขึ้นขึ้นด้วย และปิ๊ปปี้ก็ไม่เคยนึกอยากได้รองเท้าอื่นๆ อีกเลย
แต่สิ่งที่ทำให้ทอมมี่และอันนิก้าต้องตาโต คือลิงที่นั่งอยู่บนไหล่ของเด็กหญิงแปลกหน้าคนนี้ มันเป็นลิงตัวเล็กๆ นุ่งกางเกงสีน้ำเงิน เสื้อสีเหลือง แถมใส่หมวกฟางสีขาวอีกต่างหาก
ปิ๊ปปี้เดินไปตามถนน เท้าข้างหนึ่งอยู่บนทางเท้า อีกข้างอยู่บนรางระบายน้ำข้างทาง ทอมมี่กับอันนิก้ามองตามไปจนสุดสายตา ครู่ต่อมาปิ๊ปปี้ก็เดินถอยหลังกลับมาเพราะไม่ต้องการเสียเวลาหมุนตัวกลับ พอถึงหน้าประตูบ้านทอมมี่กับอันนิก้า เธอก็หยุด เด็กๆ มองหน้ากันอย่างเงียบๆ ในที่สุดทอมมี่ก็พูดขึ้นมา
“ทำไมเดินถอยหลังล่ะ”
“ทำไมเดินถอยหลังเหรอ” ปิ๊ปปี้ว่า “นี่ไม่ใช่ประเทศเสรีหรือไง คนจะเดินอย่างที่อยากเดินไม่ได้เหรอ นี่แน่ะ ฉันจะบอกอะไรให้ ที่อียิปต์คนเดินกันอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครรู้สึกว่าแปลกเลยสักนิดเดียว”
“เธอรู้ได้ไง” ทอมมี่ถาม “เธอไม่เคยอยู่อียิปต์ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันน่ะหรือไม่เคยอยู่อียิปต์! เคยสิ จดไว้เลยว่าฉันไปมาแล้วทั่วโลก ได้เห็นของแปลกๆ มามากกว่าเรื่องคนเดินถอยหลังอีก ฉันสงสัยเหมือนกันว่า ถ้าฉันเดินด้วยมืออย่างชาวอินเดียที่อยู่ไกลออกไปโน่น พวกเธอจะว่ายังไงกัน”
“เธอโกหกแหง” ทอมมี่แย้ง
ปิ๊ปปี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ถูกของเธอ ฉันโกหก” น้ำเสียงเศร้าสร้อย
“พูดโกหกไม่ดีเลย” อันนิก้าพูดบ้าง เธอเพิ่งกล้าเปิดปากเดี๋ยวนี้เอง
“ใช่ พูดโกหกไม่ดี มากๆ เลย” ปิ๊ปปี้เศร้าลงไปอีก “แต่ฉันลืมอยู่บ่อยๆ เธอจะเอาอะไรนักหนากับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่มีแม่เป็นนางฟ้า พ่อเป็นราชาชาวเกาะ ตัวเองก็ล่องเรืออยู่ในทะเลมาตลอดชีวิต จะให้พูดความจริงตลอดเวลาได้ยังไง แล้วอีกอย่างนะ—” ใบหน้าที่ตกกระเบิกบานขึ้น “ฉันจะบอกให้ ที่คองโกน่ะ ไม่มีใครพูดความจริงเลยสักคน เขาโกหกกันทั้งวันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายันอาทิตย์ตกดิน ดังนั้นถ้าฉันเผลอโกหกออกไปสักครั้ง พวกเธอต้องให้อภัย แล้วจำไว้นะว่านั่นเป็นเพราะฉันเคยอยู่คองโกนานไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่หรือ”
“แน่นอน” ทอมมี่รับ รู้สึกทันทีว่านี่จะไม่ใช่วันที่น่าเบื่อแน่ๆ
“งั้นทำไมพวกเธอไม่มากินอาหารเช้ากับฉันล่ะ” ปิ๊ปปี้ถาม
“ทำไมจะไม่ล่ะ” ทอมมี่ว่า “ไปกันเถอะ!”
“ใช่ ๆ ไปกันเถอะ!” อันนิก้าคล้อยตาม
“แต่ก่อนอื่นฉันขอแนะนำให้พวกเธอรู้จักนายนิลส์สัน” ปิ๊ปปี้บอก ลิงตัวน้อยถอดหมวกออกแล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพ
จากนั้นทั้งหมดก็เดินเข้าไปในวิลล่า วิลเลคูลล่า ผ่านประตูรั้วของสวนที่ทรุดโทรม เดินไปตามทางกรวดที่มีต้นไม้อายุเก่าแก่เรียงรายสองข้างทาง ตะไคร่น้ำจับลำต้นเต็มไปหมด ดูแล้วน่าปีนขึ้นไปเล่นจริงๆ ทุกคนขึ้นไปบนระเบียงหน้าบ้านที่มีม้ายืนเคี้ยวข้าวโอ๊ตจากถ้วยซุปใบโตอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
“ทำไมม้าขึ้นมาอยู่บนระเบียงได้” ทอมมี่ถาม ม้าทุกตัวที่เขาเคยเห็นล้วนแต่อยู่ในคอก
“ก็” ปิ๊ปปี้คิด “ถ้าอยู่ในครัว มันก็เกะกะ ให้อยู่ในห้องนั่งเล่น มันก็ไม่ชอบ”
ทอมมี่กับอันนิก้าลูบขนม้า แล้วเข้าไปในบ้าน เห็นมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอนอีกหนึ่งห้อง ซึ่งดูเหมือนว่าปิ๊ปปี้จะลืมทำความสะอาดอย่างที่คนทั่วไปมักทำกันในวันศุกร์ ทอมมี่กับอันนิก้ามองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง เผื่อว่าราชาชาวเกาะจะนั่งอยู่มุมไหนสักแห่ง พวกเด็กไม่เคยเห็นราชาชาวเกาะมาก่อนในชีวิต แต่ก็ไม่เห็นทั้งพ่อและแม่ของปิ๊ปปี้อยู่ในห้อง
“เธออยู่คนเดียวจริงๆ หรือ” อันนิก้าถามด้วยความกังวล
“ใครบอกล่ะ!” ปิ๊ปปี้ตอบ “นายนิลส์สันกับม้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“ใช่ แต่ฉันหมายถึงว่า เธอไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่หรือ”
“ไม่เลยสักนิด” ปิ๊ปปี้บอกอย่างร่าเริง
“แล้วใครจะคอยเตือนเธอล่ะ ว่าถึงเวลานอนแล้ว แล้วก็อะไรอีกหลายอย่าง” อันนิก้าถาม
“ฉันเตือนตัวเองน่ะสิ” ปิ๊ปปี้บอก “ตอนแรกก็บอกกันดีๆ ไม่เชื่อก็ต้องเอ็ดบ้าง ถ้ายังไม่ฟังอีกก็ต้องโดนตีแล้ว เข้าใจมั้ย”
ว่ากันจริงๆ แล้วทั้งทอมมี่และอันนิก้าไม่เข้าใจหรอก แต่คิดว่าบางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ดีก็ได้ เมื่อเดินไปถึงห้องครัว ปิ๊ปปี้ร้องขึ้นว่า
“เรากำลังทำแพนเค้ก
มันกำลังเป็นแพนคี
เรากำลังทอดแพนคาย”
แล้วเธอก็หยิบไข่มาสามฟอง โยนขึ้นไปบนอากาศ ใบหนึ่งตกใส่หัวตัวเอง ไข่ขาวไหลย้อยลงมาถึงนัยน์ตา ส่วนใบอื่นๆ เธอใช้กระทะรับไว้ได้อย่างชำนาญ มันแตกรวมๆ กันอยู่ในนั้น
“ฉันได้ยินบ่อยๆ ว่าไข่ขาวมีประโยชน์กับเส้นผม” ปิ๊ปปี้พูดพลางเช็ดตา “คอยดูนะ ผมฉันจะงอกดังเปรี๊ยะ ๆ อย่างรวดเร็วเลย ความจริงที่บราซิล ทุกคนเดินไปมาโดยมีไข่อยู่บนหัวด้วยละ ที่นั่นไม่มีคนหัวล้านเลย นอกจากครั้งหนึ่ง คนแก่คนหนึ่งบ้าถึงขนาดกินไข่บนหัวจนหมด หัวก็เลยล้านเลี่ยนเตียนโล่ง พอโผล่ออกไปที่ถนนก็ถึงกับเกิดจลาจล รถตำรวจต้องออกมาเปิดหวอวิ่งกันลั่นไปหมด”
ระหว่างที่พูด ปิ๊ปปี้ค่อยๆ ใช้นิ้วคีบเปลือกไข่ออกจากกระทะ แล้วใช้แปรงขัดอ่างน้ำที่แขวนอยู่ข้างฝาตีแป้งแพนเค้กอย่างแรงจนเศษแป้งกระเด็นไปติดตามฝาห้องเลอะไปหมด จากนั้นก็เทส่วนที่เหลือลงกระทะที่อยู่บนเตา พอด้านหนึ่งสุกได้ที่ เธอก็โยนขึ้นไปบนเพดาน ให้มันกลับข้างเองกลางอากาศ แล้วใช้กระทะรับมาทอดต่อจนเสร็จ จากนั้นก็เหวี่ยงมันข้ามครัวมาตกบนจานที่วางอยู่บนโต๊ะพอดี
“กินสิ!” เธอตะโกน “เดี๋ยวเย็นหมด”
ทอมมี่กับอันนิก้ากินเข้าไป พลางคิดว่านี่เป็นแพนเค้กที่อร่อยมาก หลังจากนั้นปิ๊ปปี้ก็ชวนทั้งคู่เข้าไปในห้องโถงซึ่งมีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียว คือตู้ใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยลิ้นชักเล็กๆ ปิ๊ปปี้ดึงลิ้นชักออกมาอวดสมบัติที่เก็บไว้ข้างใน มีไข่นกแปลกๆ เปลือกหอยประหลาด หิน กล่องสวยใบจิ๋ว กระจกกรอบเงิน สร้อยคอไข่มุก และอื่นๆ อีกมากที่ปิ๊ปปี้กับพ่อซื้อมาระหว่างตระเวนรอบโลก ปิ๊ปปี้ให้ของที่ระลึกแก่เพื่อนใหม่ด้วย ทอมมี่ได้กริชฝังมุกที่ด้ามเปล่งแสงเป็นประกาย ส่วนอันนิก้าได้กล่องใบเล็กๆ ตกแต่งด้วยเปลือกหอยสีชมพู ข้างในมีแหวนประดับหินสีเขียวหนึ่งวง
“ถ้าพวกเธอกลับไปบ้านตอนนี้” ปิ๊ปปี้บอก “เธอก็จะมาที่นี่ได้อีกในวันพรุ่งนี้ เพราะถ้าเธอไม่กลับ เธอก็มาใหม่ไม่ได้ ซึ่งคงเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก”
ทอมมี่และอันนิก้าเห็นด้วย ทั้งสองจึงรีบกลับบ้าน เดินผ่านม้าซึ่งกินข้าวโอ๊ตเสร็จแล้ว ออกไปนอกประตูวิลล่า วิลเลคูลล่า นายนิลส์สันโบกหมวกให้ขณะที่ทั้งสองเดินจากไป
ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม
วางจำหน่ายเร็วๆ นี้