[ทดลองอ่าน] THE WITCHER IV หอคอยนางแอ่น / แพรวสำนักพิมพ์

THE WITCHER IV หอคอยนางแอ่น / THE TOWER OF SWALLOW

Andrzej Sapkowski เขียน

ธนพร ภู่ทอง แปล

ติดตามการวางจำหน่ายได้ที่เพจ แพรวสำนักพิมพ์

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) 


 

เขามาเยือนดุนดาเรกลางราตรี

โดยที่มีวิทเชอร์สาวเป็นเป้าหมาย

หมู่บ้านล้วนถูกพวกมันล้อมเอาไว้

และปิดตายด้วยรั้วกั้นทุก ๆ ด้าน

 

เป้าหมายคือใช้กลโกงจับตัวนาง

แต่แผนพรางที่วางไว้กลับไร้ผล

ก่อนอรุณเบิกฟ้าบนถนน

เหล่าโจรปล้นต่างถูกฆ่าทั้งสามโหล

 

บทเพลงขอทานเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมหมู่อันแสนน่าสะพรึงกลัวซึ่งเกิดขึ้นที่หมู่บ้านดุนดาเรในคืนก่อนวันซาวิน

 

 

“ข้าบันดาลให้ได้ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา” หมอดูกล่าว “ทั้งทรัพย์สินเงินทอง พลังอำนาจ และอิทธิพล ทั้งชื่อเสียง และชีวิตอันยืนยาวและผาสุก จงเลือกเสีย”

            “ข้าไม่ต้องการทรัพย์สินเงินทองหรือชื่อเสียงใด ๆ ไม่ต้องการพลังอำนาจหรืออิทธิพล” วิทเชอร์สาวตอบกลับ “ข้าปรารถนาแค่เพียงม้าที่ว่องไวและมีสีดำราวกับลมพายุในยามค่ำคืน ข้าปรารถนาแค่เพียงดาบที่เจิดจ้าและคมกริบราวกับแสงจันทร์ ข้าอยากควบม้าสีดำของข้าท่องไปทั่วโลก ผ่านราตรีกาลสีดำทะมึน ข้าอยากทุบทำลายพลังอำนาจแห่งความชั่วร้ายและความมืดมิดด้วยดาบประกายแสงของข้า นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”

            “ข้าจะมอบม้าตัวหนึ่งให้กับเจ้า เป็นม้าที่มีดำทะมึนยิ่งกว่าราตรีและรวดเร็วยิ่งกว่าลมกลางคืนเสียอีก” หมอดูให้คำมั่น “ข้าจะมอบดาบเล่มหนึ่งให้กับเจ้า เป็นดาบที่เจิดจ้าและคมเสียยิ่งกว่าแสงจันทราเสียอีก แต่เด็กสาววิทเชอร์เอ๋ย ในเมื่อเจ้าร้องขอมากถึงขนาดนี้ เจ้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับข้าในราคาที่สูงเช่นเดียวกัน”

            “จ่ายด้วยอะไรเล่า ข้าไม่มีอะไรเลย”

            “ด้วยเลือดของเจ้าเอง”

ตำนานและนิทานปรัมปรา โดย โฟลเรนส์ เดลานนอย

 

 

บทที่หนึ่ง

อย่างที่รู้กันดีโดยทั่วกัน จักรวาลนั้นจะโคจรเป็นรูปวงล้อ – เช่นเดียวกับชีวิต – เป็นวงล้อที่บริเวณขอบจะถูกแกะสลักเป็นเข็มเวทมนตร์ทั้งแปด ซึ่งจะหมุนวนไปจนครบรอบในแต่ละปี โดยเข็มชี้ที่ประดับอยู่บริเวณขอบเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกันนี้จะประกอบไปด้วย อิมบอร์ค หรือวันผลิใบ ลูก์นาซาดห์ หรือวันผลสุก เบลเทน หรือวันแรกแย้ม และซาวิน หรือวันตายจาก นอกจากนี้ บนวงล้อนั้นยังมีสัญลักษณ์ที่สื่อถึงอายันทั้งสองประดับอยู่ด้วย ทั้งเหมายันที่เรียกกันว่ามิดอินเวิร์น และมิดอิติ หรือครีษมายัน นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงวิษุวัต หรือจุดราตรีเสมอภาคทั้งสองคืนด้วย ทั้งเบิร์คในฤดูใบไม้ผลิ และเวเล็นในฤดูใบไม้ร่วง วันที่เหล่านี้จะแบ่งวงกลมออกเป็นแปดส่วนด้วยกัน – เช่นเดียวกันปฏิทินของชาวเอลฟ์ที่มีการแบ่งปีในลักษณะนี้ไม่ต่างกัน

ยามที่เข้าเทียบท่าบนชายหาดในบริเวณใกล้เคียงกับยารูกาและพอนทาร์ ผู้คนจะนำปฏิทินของตนเองติดตัวมาด้วยเสมอ ปฏิทินเหล่านี้จะยึดดวงจันทร์เป็นสำคัญ ซึ่งจะแบ่งปีออกเป็นสิบสองเดือนตามวัฏจักรการทำงานของชาวนาในแต่ละปี – เริ่มตั้งแต่การทำเครื่องหมายในเดือนมกราคม ยาวไปจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุด หรือก็คือตอนที่หญ้าบนผิวดินจับตัวเป็นก้อนด้วยน้ำค้างแข็ง แต่ถึงแม้ผู้คนจะมีวิธีการแบ่งปีและคำนวณวันที่แตกต่างกันไป พวกเขาต่างก็ยอมรับปฏิทินวงล้อของชาวเอลฟ์ รวมถึงเข็มชี้บริเวณขอบทั้งแปด ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังนำปฏิทินชาวเอลฟ์ที่ว่านี้มาดัดแปลง ทำให้ทั้งอิมบอร์ค ลูก์นาซาดห์ ซาวิน และเบลเทน รวมถึงอายันและวิษุวัตทั้งสอง ล้วนกลายมาเป็นวันหยุดสำคัญ เป็นฤดูกาลที่แสนศักดิ์สิทธิ์สำหรับมนุษย์ วันที่เหล่านี้จะมีความโดดเด่นยิ่งกว่าวันที่อื่น ๆ ดูราวกับต้นไม้ที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งหญ้าไม่มีผิด

นอกจากนี้ วันที่เหล่านี้ยังถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยเวทมนตร์อีกต่างหาก

การที่วันหยุดทั้งแปดนี้เป็นวันที่มีกลิ่นไอเวทมนตร์เข้มข้นอย่างเหลือแสนทั้งในยามกลางวันและยามกลางคืนนั้น มิใช่เรื่องที่ถูกเก็บ –  หรือเคยถูกเก็บ –เป็นความลับเลยแม้แต่น้อย ปรากฏการณ์ทางด้านเวทมนตร์และเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นในวันหยุดทั้งแปดนี้ไม่อาจทำให้ใครตกอกตกใจได้อีก โดยเฉพาะในช่วงอายันและวิษุวัตทั้งสอง ทุก ๆ คนต่างคุ้นชินกับปรากฏการณ์เหล่านี้เสียแล้ว และมักไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นไปกับมักสักเท่าไร

แต่ปีนั้นกลับต่างออกไป

ในปีดังกล่าว ผู้คนทั้งหลายยังคงเฉลิมฉลองให้กับวันศารทวิษุวัตตามปกติโดยการร่วมรับประทานอาหารกันเป็นครอบครัวตามพิธี และในช่วงเวลาดังกล่าว ผลไม้ทุกชนิดที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนั้น ๆ จะถูกนำมาวางเรียงไว้บนโต๊ะตามที่กำหนดไว้ในประเพณี แม้ผลไม้แต่ละชนิดจะมีเพียงไม่กี่ชิ้นก็ตาม และเมื่อร่วมรับประทานและเอ่ยขอบคุณองค์เทพีเมลิเทเลสำหรับการเก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว ผู้คนเหล่านี้จึงจะเข้านอนกัน และแล้วฝันร้ายก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ก่อนเที่ยงคืนเพียงไม่กี่นาที ลมพายุอันน่าสะพรึงกลัวก็ได้ก่อตัวขึ้น ลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ทั้งเสียงโหยหวน เสียงกรีดร้อง และเสียงร่ำไห้ล้วนดังแว่วมาจากเหนือยอดไม้ที่เอนลู่ลงจนเกือบแนบชิดกับผืนดิน คานค้ำหลังคาส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด เช่นเดียวกับหน้าต่างบานเกล็ดที่ตีปิดดังปัง หมู่เมฆที่พัดผ่านฟากฟ้าไปนั้นล้วนมีรูปร่างแปลกประหลาด ทว่าท่ามกลางเมฆหมอกเหล่านั้น ภาพที่ดูธรรมดาที่สุดเห็นจะเป็นภาพเงาร่างของฝูงม้าและยูนิคอร์นที่กำลังควบวิ่ง ลมพายุยังคงพัดกระหน่ำไม่หยุดต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมงเต็ม และท่ามกลางความเงียบสงัดที่จู่ ๆ ก็ทิ้งกายลงมา ยามราตรีก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยเสียงพึ่บพั่บและเสียงดังระรัวซึ่งเกิดจากปีกของเหล่านกตบยุงนับร้อย หรือก็คือสัตว์ปีกสุดลึกลับที่ – ตามนิทานพื้นบ้าน – จะมารวมตัวกันเพื่อขับร้องบทเพลงแห่งลางมรณะให้แก่บุคคลที่กำลังจะตาย ครั้งนี้เสียงประสานของฝูงนกตบยุงดูจะทรงพลังและดังลั่นราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะสิ้นอายุขัยลงก็มิปาน

เหล่านกตบยุงต่างขับร้องบทเพลงแห่งลางมรณะด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน ขณะที่เส้นขอบฟ้าเริ่มจะถูกบดบังด้วยหมู่เมฆ ส่งผลให้แสงจันทร์ที่ยังพอหลงเหลืออยู่ดับมืดไป ทันใดนั้นเอง เสียงหวีดร้องโหยหวนของแบนชีแสนดุร้าย ผู้นำมาซึ่งความตายอันแสนโหดเหี้ยมและฉับไวก็ดังแว่วขึ้น บนฟากฟ้าอันมืดมิดปรากฏภาพการห้อตะบึงของกลุ่มไวลด์ฮันท์ – หรือขบวนแห่ของภูตผีนัยน์ตาเพลิงที่โดยสารอยู่บนม้าโครงกระดูก ผ้าคลุมขาดวิ่นของและธงของพวกเขาปลิวไสวอยู่ด้านหลัง ดังเช่นที่เกิดขึ้นในทุก ๆ สองสามปี เหล่าไวลด์ฮันท์จะออกมารวบรวมผลผลิตของพวกเขา แต่เป็นเวลากว่าหลายสิบปีแล้วที่สถานการณ์ไม่ได้ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ – เพียงแค่ในโนวิกราดเพียงแห่งเดียว ก็มีผู้คนหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยมากกว่าสองโหลแล้ว

หลังจากที่กลุ่มไวลด์ฮันท์ห้อตะบึงจากไปและหมู่เมฆกระจัดกระจายหายลับไป ผู้คนจึงมองเห็นจันทร์คืนแรมที่ปรากฏขึ้นในคืนวิษุวัตเป็นปกติอีกครั้ง ทว่าในคืนที่ว่านั้น ดวงจันทร์กลับมีสีเลือด

ชาวบ้านทั่วไปต่างก็มีคำอธิบายมากมายไว้ใช้สำหรับอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวิษุวัตนี้ ซึ่งมักจะแตกต่างกันออกไปตามหลักมารวิทยาเฉพาะถิ่น เหล่านักโหราศาสตร์ ดรูอิด และจอมเวทเองก็มีคำอธิบายเป็นของตนเองเช่นกัน ทว่าส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดและนำมาปะติดปะต่อกันอย่างส่งเดช มีคนเพียงจำนวนน้อย หรือก็คือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปะติดปะต่อปรากฏการณ์ที่ว่าเข้ากับข้อเท็จจริงได้

ตัวอย่างเช่น บนหมู่เกาะสเกลลิเกอนั้น ผู้คนเพียงไม่กี่คนที่มีความเชื่องมงายในด้านไสยศาสตร์จะมองเหตุการณ์น่าสงสัยเหล่านี้ว่าเป็นลางแห่งเทดด์ เดย์รัดห์ หรือจุดจบของโลก โดยจะมีรักห์ นาร์ รู้ก หรือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างแสงสว่างและความมืดเกิดนำมาก่อน กระทั่งพายุอันเหี้ยมโหดที่ทำให้ทั้งเกาะต้องสั่นสะเทือนในคืนศารทวิษุวัตนั้นยังถูกกลุ่มคนงมงายเหล่านี้มองว่าเป็นคลื่นยักษ์ที่ถูกผลักเข้ามาโดยหัวเรือของเรือนากล์ฟาร์แห่งมอร็อห์กก์ เรือยาวที่สีข้างเรือสร้างขึ้นจากเล็บมือและเล็บเท้าของคนตาย ทั้งยังบรรทุกกองทัพภูตผีและปีศาจแห่งความโกลาหลมาด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่มีรู้แจ้งหรือรอบรู้กว่า จะเชื่อมโยงภัยธรรมชาติอันวุ่นวายนี้เข้ากับนางแม่มดร้ายเยนเนเฟอร์และการตายอันน่าสะพรึงกลัวของนาง ส่วนคนอื่น ๆ – ที่รอบรู้กว่านั้นอีก – จะมองภาพทะเลอันคลุ้มคลั่งนี้เป็นสัญญาณว่าใครบางคนกำลังจะตาย ใครบางคนที่มีสายเลือดของเหล่าราชาแห่งสเกลลิเกอและซินทราไหลเวียนอยู่ในตัว

ภายในโลกอันกว้างไกลนี้ วันศารทวิษุวัตนั้นถือเป็นคืนของเหล่าปีศาจ เป็นทั้งฝันร้ายและจินตภาพ เป็นคืนที่ผู้คนจะลืมตาตื่นขึ้นโดยพลันในสภาวะหายใจไม่ออกและหวาดกลัวเพศภัยบนผ้าปูเตียงยับย่นโชกเหงื่อ กระทั่งผู้ที่มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ก็ไม่อาจหลีกหนีจินตภาพและการสะดุ้งตื่นนี้ได้ แม้แต่องค์จักรพรรดิอีเมียร์ วาร์ เอ็มรีสยังตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องภายในหอคอยทองคำแห่งนิล์ฟการ์ด ส่วนในดินแดนแลน เอ็กเซอเทอร์ทางตอนเหนือ กษัตริย์เอสเทราด ไธส์เซนจะกระโจนตัวขึ้นมาจากเตียงของตน ยังผลให้ราชินีซูเลย์กา คู่สมรสของเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วย ในเทรโทกอร์ หัวหน้าสายลับดิจ์กสตราจะดีดร่างผึงขึ้นมาและเอื้อมมือไปยังกริชของตน ส่งผลให้ภริยาของรัฐมนตรีการคลังลืมตาติ่นขึ้นมาด้วย ส่วนในปราสาทขนาดมหึมาที่มอนเตคาลโว จอมเวทหญิงฟิลิปปา ไอล์ฮาร์ท จะดีดร่างขึ้นมาจากผ้าปูเตียงทอยกดอกของนางโดยมิได้ทำให้ภริยาของท่านเคานต์แห่งโนเอลส์ตื่นขึ้นมาด้วย กระทั่งคนแคระยาร์เปน ซิกรินในมาฮาคัม วิทเชอร์เฒ่าเวเซเมียร์ในปราการภูเขาแห่งแคร์มอเรห์น เจ้าหน้าที่ธนาคารฟาบิโอ แซ็คส์ ในเมืองกอส์เวเล็น และเอิร์ลแครก อัน เครท ผู้ที่โดยสารอยู่บนเรือยาวริงฮอร์น ต่างก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนไม่มากก็น้อย จอมเวทหญิงฟรินจิลลา วีโก ลืมตาตื่นขึ้นมาปราสาทโบแคลร์ เช่นเดียวกับนักบวชหญิงซิกร์ดริฟาแห่งวิหารเทพีเฟรยาบนเกาะฮินดาส์ฟยอลล์ แดเนียล เอทเชอเวอร์รี เคานต์แห่งการ์ราโมนี ลืมตาตื่นขึ้นมาในป้อมปราการแห่งมาริบอร์ซึ่งบัดนี้ถูกห้อมล้อมไว้ เช่นเดียวกับซีวิค ผู้บังคับการแห่งดุนแบนเนอร์ในป้อมบานเกลียน นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าโดมินิค บอมบาสตุส ฮูเวนาก์เฮลในเมืองแคลร์มอนต์ และคนอื่น ๆ อีกมากมาย

ทว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเชื่อมโยงเหตุปรากฏการณ์นี้เข้ากับข้อเท็จจริงอันจำเพาะเจาะจง หรือบุคคลผู้จำเพาะเจาะจงได้ เคราะห์ยังดีที่บุคคลเหล่านี้ได้มาอยู่ร่วมชายคากันในคืนศารทวิษุวัตถึงสามคนด้วยกัน และสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็คือวิหารแห่งเทพีเมลิเทเลในเอลแลนเดอร์นั่นเอง

 

“เจ้านกเวรนี่…” อาลักษณ์ฌาร์โอดครวญขณะจ้องมองลึกเข้าไปในความมืดที่ปกคลุมอยู่รอบ ๆ เขตวิหาร “ทั้งฝูงนี่จะต้องมีกันเป็นพัน ๆ ตัวแหง พวกมันกำลังกู่ร้องให้กับความตายของใครบางคน ให้กับความตายของนาง… นางกำลังจะตาย…”

“อย่าพูดเพ้อเจ้อสิ!” ทริซ เมริโกลด์ หมุนร่างมาและชูหมัดที่กำแน่นขึ้น ชั่วขณะนั้น ดูราวกับว่านางจะลงมือผลักเด็กหนุ่มหรือชกอกเขาเข้าให้ “เจ้าเชื่อเรื่องงมงายโง่เง่าแบบนี้ด้วยหรือ เดือนกันยากำลังจะหมดลง พวกนกตบยุงก็เลยมารวมตัวกันเพื่อจะบินอพยพ! เรื่องแบบนี้ธรรมดาจะตายไป!”

“นางกำลังจะตาย…”

“ไม่มีใครกำลังจะตายทั้งนั้น!” จอมเวทหญิงหวีดร้อง สีหน้าซีดเผือดด้วยโทสะ “ไม่มีเลย เข้าใจไหม เพราะงั้นก็เลิกพูดจาเพ้อเจ้อได้แล้ว!”

ผู้ฝึกตนหญิงวัยเยาว์จำนวนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามาในเฉลียงห้องสมุดเมื่อได้ยินเสียงเอะอะในยามค่ำคืน สีหน้าของพวกนางทั้งเคร่งขรึมและซีดเผือด

“ฌาร์” ทริซใจเย็นลงแล้ว นางจึงวางมือลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มและบีบมันแน่น “เจ้าเป็นบุรุษเพียงหนึ่งเดียวในวิหารแห่งนี้ พวกเราต่างกำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ หมายจะแรงสนับสนุนและความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้าจะต้องไม่หวาดกลัว เจ้าจะต้องไม่ตื่นตูม จงตั้งตนให้มั่นเสีย อย่าได้ทำให้พวกเราผิดหวังเชียว”

ฌาร์สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามบรรเทาอาการสั่นบนรืมฝีปากและมือทั้งสองข้าง

“มันไม่ใช่ความกลัว…” เขากระซิบพลางหลบตาจอมเวทหญิง “ข้าไม่ได้กลัว แต่กำลังกังวลต่างหาก! ข้ากังวลเรื่องนาง ข้ามองเห็นนางในความฝัน”

“ข้าเองก็เห็นเช่นกัน” ทริซเม้มปาก “พวกเราต่างก็ฝันถึงเรื่องเดียวกัน ทั้งเจ้า ข้า และเน็นเนเค แต่อย่าได้พูดอะไรเป็นอันขาด”

“นางมีเลือดติดอยู่บนหน้า… เลือดจำนวนมหาศาล—”

“บอกให้เงียบไง เน็นเนเคมาโน่นแล้ว”

นางชีชั้นสูงมาร่วมวงกับพวกเขาในสภาพอิดโรย นางสั่นศีรษะให้กับคำถามที่ทริซมิได้เอ่ยถามออกมา และเมื่อเห็นฌาร์เปิดปาก นางก็ดักคอเขาเอาไว้ก่อน

“น่าเศร้านัก แต่ไม่มีเลย ถึงสาว ๆ เกือบทุกคนจะสะดุ้งตื่นขึ้นตอนที่พวกไวลด์ฮันท์โฉบผ่านเหนือวิหารไป ทว่ากลับไม่มีใครเห็นภาพนิมิตเลย ไม่มีแม้กระทั่งภาพนิมิตเลือนรางแบบที่เรามี เข้านอนเถิดหนุ่มน้อย เจ้าช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก กลับไปที่หอพักเสีย สาว ๆ”

นางยกสองมือขึ้นลูบใบหน้าและดวงตาของตน

“โอ… วิษุวัต! ราตรีต้องสาปนี่อีกแล้ว… ไปนอนเถิด ทริซ อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

จอมเวทหญิงกำหมัด “ไอ้ความหมดหนทางนี่ชักจะทำให้ข้าใกล้เป็นบ้าเข้าไปทุกที แค่คิดว่านางอาจกำลังทุกข์ทรมาน กำลังหลั่งเลือดอยู่ที่ไหนสักแห่ง แค่คิดว่านางกำลังตกอยู่ในอันตราย… เวรเอ๊ย! ถ้าข้ารู้ว่าต้องทำยังไงก็คงจะดี!”

เน็นเนเค นางชีชั้นสูงแห่งวิหารเมลิเทเล หมุนร่างกลับไป

“ลองสวดภาวนาดูแล้วหรือยัง”

 

ทางตอนใต้ เบื้องหลังทิวเขาอาเมลล์ไกลแสนไกล ภายในดินแดนนามพีรีพลูตในเอ็บบิง ท่ามกลางหนองบึงอันกว้างใหญ่ที่ตัดผ่านโดยแม่น้ำเวลดา ลีต และอาเรเต ในพื้นที่ที่มีระยะห่างถึงแปดร้อยไมล์หากวัดตามนกกาที่บินมาจากเมืองเอลแลนเดอร์และวิหารเมลิเทเล นกตบยุงตัวหนึ่งได้ปลุกนักพรตเฒ่าวิโซโกตาขึ้นจากการหลับใหล ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว วิโซโกตาก็ไม่อาจจดจำความฝันของตนได้ ทว่าความกังวลแปลกประหลาดกลับทำให้เขาไม่อาจข่มตาลงได้อีก

 

“หนาว หนาว หนาวเหลือเกิน” วิโซโกตากล่าวกับตนเองขณะย่ำเท้าไปตามทางเดินท่ามกลางต้นอ้อ “หนาว หนาวชะมัด บรื๋อออ”

กระทั่งกับดักอีกอันยังว่างเปล่า ไม่มีหนูพุกเลยสักตัว นับเป็นคืนแห่งความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง วิโซโกตาล้างโคลนและดึงจอกแหนออกจากกับดัก ริมฝีปากสบถพึมพำขณะสูดจมูกฟุดฟิดผ่านรูจมูกอันเย็นชืด

“หนาวชะมัด บรื๋อออ หนาวโว้ย!” เขากล่าวขณะเดินตรงไปที่ขอบบึง “นี่ขนาดยังไม่หมดเดือนกันยาเลยนะเนี่ย! แต่นี่ก็วันที่สี่นับจากวิษุวัตเข้าไปแล้วนะ! ให้ตายสิ ไม่ยักจำได้เลยว่าสิ้นเดือนกันยาจะหนาวขนาดนี้ ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต แล้วข้าก็ใช้ชีวิตมานานเสียด้วย!”

กับดักชิ้นถัดไป – หรือกับดักชิ้นก่อนท้ายสุด – นั้นก็ว่างเปล่าเช่นเดียวกัน วิโซโกตาไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะสบถ

“ไม่ต้องสงสัยเลย” เขาพูดเจื้อยแจ้วขณะออกเดินต่อ “ว่าสภาพอากาศจะทวีความหนาวขึ้นในทุก ๆ ปี และในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะหนาวเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย ฮ่า พวกเอลฟ์เคยทำนายเรื่องพวกนี้ไว้ตั้งนานแล้ว แต่ใครจะไปเชื่อคำทำนายของพวกเอลฟ์กัน”

ปีกขนาดเล็กสะบัดกะพรืออีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างสีเทาจะโฉบผ่านเหนือศีรษะของชายชราไปอย่างรวดเร็วแทบมองไม่ทัน เป็นอีกครั้งที่สายหมอกเหนือหนองบึงก้องสะท้อนไปด้วยเสียงกู่ร้องอันป่าเถื่อนของเหล่านกตบยุงที่ดังแว่วมาเป็นช่วง ๆ กอปรกับปีกจำนวนมากที่กำลังกระพือไหวถี่ระรัว วิโซโกตาไม่สนใจนกเหล่านั้น เขาไม่ใช่คนงมงาย และภายในบึงก็มีนกผีชนิดนี้อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในยามรุ่งอรุณ พวกมันบินวนกันอยู่ในอากาศ เยอะเสียจนเขานึกกลัวว่ามันจะบินมาชนเขาเข้าให้ ไม่สิ  บางทีพวกมันอาจจะมีจำนวนไม่มากเท่าวันนี้ บางทีเสียงร้องของพวกมันอาจจะฟังดูไม่น่าขนลุกเท่าวันนี้… แต่ก็เอาเถอะ เขาคิด พักหลังมานี้ธรรมชาติมักชอบเล่นอะไรแผลง ๆ ไม่หยุดไม่หย่อน และมันก็มักจะแปลกพิกลขึ้นทุกที ๆ เสียด้วย

ขณะที่นักพรตเฒ่ากำลังลงมือปลดกับดัก – อันว่างเปล่า – ชิ้นสุดท้ายขึ้นจากน้ำ เขาก็ได้ยินเสียงร้องฮี้ของม้าตัวหนึ่ง หมู่นกตบยุงเงียบเสียงลงโดยพลัน

ท่ามกลางหนองบึงแห่งพีรีพลูตนั้นมีเนินอยู่ เป็นพื้นที่แห้งขอดที่ยกตัวขึ้นสูง ทั้งยังมีต้นเบิร์ชแม่น้ำ ต้นอัลเดอร์ ต้นด๊อกวู้ด และพุ่มไม้มีหนามขึ้นปกคลุมอยู่ เนินดินส่วนใหญ่ล้วนถูกห้อมล้อมไว้โดยหนองน้ำที่ม้าหรือคนขี่ม้าที่ไม่ชำนาญทางไม่อาจไปถึงได้ ทว่าเสียงร้อง – ที่เพิ่งดังแว่วมาเข้าหูวิโซโกตาอีกครั้ง– นี้ กลับดังมาจากหนึ่งในโคกเนินที่ว่านั้น

และแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นก็มีชัยเหนือความรอบคอบ

วิโซโกตาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านม้าหรือสายพันธุ์ของพวกมัน ทว่าเขาก็เป็นผู้ที่มีอารมณ์สุนทรีย์คนหนึ่ง เขาจึงสามารถตระหนักเห็นความงดงามและเชยชมมันได้ และอาชาสีดำขนเงางามดั่งถ่านหินที่ยืนแนบอยู่กับโครงต้นเบิร์ชในขณะนี้ก็สวยสดงดงามยิ่ง นับเป็นแบบอย่างความงดงามอย่างถ่องแท้ งามเสียจนดูเหมือนภาพลวงตาเลยทีเดียว

แต่มันกลับเป็นความจริง และมันก็กำลังติดกับอยู่จริง ๆ เสียด้วย ทั้งตัวและสายบังเหียนของมันล้วนพันคล้องอยู่กับกิ่งก้านสีแดงฉานของพุ่มด๊อกวู้ดที่เกาะกลุ่มกันเป็นช่อ เมื่อวิโซโกตาเคลื่อนเข้าไปใกล้ ม้าตัวนั้นจึงหลุบใบหูทั้งสองข้างไปด้านหลังและกระทืบเท้าแรงเสียจนพื้นสั่น ศีรษะได้รูปของมันสะบัดหงายขึ้นและหมุนวนไปรอบ ๆ เห็นได้ชัดว่าม้าตัวนี้เป็นตัวเมีย แต่นอกจากนั้นแล้ว เขายังเห็นบางสิ่งบางอย่าง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้หัวใจของวิโซโกตาเต้นตุ้บอย่างลนลาน สารอะดรีนาลินบีบเค้นอยู่รอบคอเขาราวกับคีมเหล็กที่มองไม่เห็น

เพราะในโพรงตื้น ๆ เบื้องหลังม้าตัวนั้น มีร่างร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่

วิโซโกตาทิ้งถุงกระสอบของตนลงบนพื้น และก็พลันอับอายกับความคิดแรกของตน นั่นก็คือการเผ่นหนีหางจุกก้นไป เขาขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง เพราะเจ้าม้าตัวเมียสีดำตัวนั้นยังคงกระทืบกีบเท้าลงกับพื้น หลุบลู่ใบหู และแยกเขี้ยวยิงฟันบนเหล็กปากม้า รอคอยโอกาสที่จะกัดหรือเตะเขาสักที

ศพที่ว่านั้นเป็นศพของวัยรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยู่ในท่านอนคว่ำหน้า แขนข้างหนึ่งถูกทับไว้ใต้ลำตัว ส่วนอีกข้างยืดกางออกไปด้านหนึ่งพร้อมปลายนิ้วที่จิกฝังลงในทราย หนุ่มน้อยผู้นี้สวมเสื้อนอกหนังกลับตัวสั้น กางเกงขายาวรัดรูป และรองเท้าบู๊ตอ่อนนุ่มสูงถึงเข่าติดหัวเข็มขัดแบบชาวเอลฟ์

วิโซโกตาโน้มร่างไปหา ทว่าทันใดนั้นเอง ศพดังกล่าวก็ร้องครางออกมาเสียงดัง เจ้าม้าเพศเมียสีดำส่งเสียงร้องฮี้ออกมายืดยาวแล้วเคาะกีบเท้าลงกับพื้น

นักพรตคุกเข่าลงแล้วค่อย ๆ พลิกร่างของเด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บกลับมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ถอยกรูดและส่งเสียงขู่ฟ่อออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้เห็นหน้ากากชวนขนลุกที่ประกอบขึ้นจากฝุ่นและคราบเลือดหนาเตอะบนตำแหน่งที่ควรจะเป็นเครื่องหน้าของหนุ่มน้อย ชายชราค่อย ๆ หยิบตะไคร่น้ำ ใบไม้ และทรายออกจากริมฝีปากที่ปกคลุมด้วยน้ำลายและเมือกน้ำมูกนั้นอย่างประณีต ก่อนจะลองพยายามดึงเส้นผมที่จับตัวกันเป็นก้อนและแปะติดอยู่กับเลือดบนแก้มของเด็กหนุ่มตรงหน้า เด็กหนุ่มบาดเจ็บส่งเสียงโอดครวญแผ่วเบาและเกร็งร่างขึง จากนั้นจึงเริ่มตัวสั่น วิโซโกตาลอกเส้นผมออกจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม

“เด็กผู้หญิง” เขาเอ่ยเสียงดัง ด้วยไม่อาจทำใจเชื่อในภาพตรงหน้าได้ “เป็นเด็กผู้หญิงเองหรือนี่”

 

ในวันเดียวกันนั้น หากมีใครสักคนแอบย่องมาที่กระท่อมอันโดดเดี่ยวพร้อมหลังคามุงจากโหว่ ๆ ซึ่งคลุมครึ้มด้วยตะไคร่ท่ามกลางหนองบึงในยามวิกาล หากคนผู้นั้นลองจ้องมองผ่านรอยแตกเป็นทางยาวบนบานเกล็ดหน้าต่างเข้าไปในแสงเทียนไขเลือนลาง พวกเขาจะมองเห็นเด็กสาววัยรุ่นที่มีผ้าพันแผลหนาเตอะพันไว้รอบศีรษะคนหนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังนอนแผ่นิ่งไม่ไหวติงราวกับศพอยู่บนที่นอนฟางซึ่งปูทับด้วยหนังสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาอาจยังมองเห็นชายชราผู้มีเคราสีดอกเลารูปสามเหลี่ยมและเส้นผมยาวสีขาวซึ่งตกลู่ลงมาบนไหล่และหลังของเขา ไล่มาจากขอบศีรษะล้านโล่งที่แผ่กว้างขึ้นมาจากหน้าผากหมองคล้ำ ไกลจากบริเวณกระหม่อมของเขายิ่งนัก พวกเขาจะสังเกตเห็นชายชราผู้นั้นจุดเทียนไขขึ้นอีกเล่ม วางนาฬิกาทรายลงบนโต๊ะ เหลาก้านขนนก และคู้ตัวลงเหนือกระดาษหนังแผ่นหนึ่ง เห็นเขาตีหน้าครุ่นคิดและพึมพำบางอย่างกับตนเองขณะคอยจับตามองเด็กสาวที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนฟางอย่างใกล้ชิด

แต่เรื่องเช่นนี้ย่อนไม่อาจเป็นไปได้ ใครเล่าจะมองเห็นเหตุการณ์นี้ ด้วยกระท่อมของนักพรตวิโซโกตานั้นเร้นกายอยู่อย่างมิดชิดท่ามกลางลุ่มน้ำ ภายในป่าดงพงไพรที่มีหมอกห่อหุ้มอยู่ตลอดกาล ที่ซึ่งไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาแม้แต่คนเดียว

 

“เราจะขอบันทึกไว้ดังต่อไปนี้” วิโซโกตาจุ่มปากกาขนนกลงในหมึก “สามชั่วโมงหลังจากการแทรกแซงของข้าพเจ้า ผลการวินิจฉัย: วูลนัส อินสิซิวัม (บาดแผลบนร่างกายอันเกิดจากของมีคม) แผลเปิดซึ่งเกิดขึ้นจากการถูกของมีคมไม่ทราบชนิดจู่โจมอย่างรุนแรง อาจจะเป็นดาบโค้ง บาดแผลโอบล้อมอยู่บนใบหน้าทางซีกซ้าย ไล่ตั้งแต่บริเวณขอบล่างของเบ้าตา ลากผ่านข้างแก้ม ยาวไปจนถึงเส้นประสาทข้างใบหูและกล้ามเนื้อมุมขากรรไกร บาดแผลที่ลึกที่สุด – หรือลึกถึงเยื่อหุ้มกระดูก – ในการวินิจฉัยเบื้องต้นนั้น อยู่ภายใต้เบ้าตาบริเวณกระดูกโหนกแก้ม ระยะเวลาโดยประมาณนับตั้งแต่เกิดบาดแผลจนถึงตอนที่บาดแผนได้รับการรักษาเป็นครั้งแรก: สิบชั่วโมง”

ปลายปากกาขูดขีดอยู่กับแผ่นกระดาษหนัง ทว่าการขูดขีดนั้นกลับเกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจหรือไม่กี่บรรทัดเท่านั้น วิโซโกตาไม่คิดว่าวาจาที่เขาพูดกับตนเองจะควรค่าแก่การจดบันทึกลงไปทั้งหมด

“กลับมาที่เรื่องการรักษาแผล” ชายชราเริ่มเอ่ยอีกครั้งขณะจ้องมองเปลวเทียนที่กำลังกะพริบไหวและมีควันโชยกรุ่น “เราจะขอบันทึกไว้ดังต่อไปนี้: ข้าพเจ้าไม่ได้ลงมือผ่าตัดนำขอบบาดแผลออก เพียงแค่นำเศษเนื้อตายและลิ่มเลือดบางส่วนออกมาเท่านั้น ข้าพเจ้าได้นำสารสกัดจากเปลือกต้นหลิวมาชำระล้างแผล กำจัดฝุ่นผงและสิ่งแปลกปลอมออก จากนั้นจึงเย็บแผลให้ติดกันโดยใช้ไหมป่าน ขอจดบันทึกเอาไว้ว่าข้าพเจ้าไม่มีไหมชนิดอื่นให้ใช้เลยในขณะนี้ ต่อมา ข้าพเจ้าจึงนำยาพอกที่ทำจากดอกวูฟส์เบนมาทาและพันแผลด้วยผ้าฝ้าย”

หนูตัวหนึ่งวิ่งพล่านออกมาที่กลางห้อง วิโซโกตาโยนเศษขนมปังชิ้นหนึ่งให้มัน เด็กสาวบนที่นอนฟางหอบหายใจอย่างกระสับกระส่ายพลางละเมอส่งเสียงครางออกมา

 

“แปดชั่วโมงหลังจากการแทรกแซงของข้าพเจ้า อาการของผู้ป่วย – ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อาการของแพทย์… หมายถึงอาการของข้าพเจ้าเอง… มีอาการดีขึ้น เนื่องจากข้าพเจ้าได้เข้านอนไปเล็กน้อยแล้ว… ข้าพเจ้าจึงสามารถจดบันทึกต่อได้ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องจดข้อมูลของผู้ป่วยลงไปในกระดาษเหล่านี้เพื่อผลประโยชน์ของคนรุ่นหลัง หากคนรุ่นหลังที่ว่าสามารถมาที่หนองน้ำแห่งนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะเน่าเปื่อยและสลายกลายเป็นเถ้าได้”

วิโซโกตาผ่อนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะจุ่มปากกาลงไปและปาดมันลงบนขอบขวดหมึก

“ด้านข้อมูลของผู้ป่วยเท่าที่ข้าพเจ้าพอจะทราบ” เขาพึมพำ “ข้าพเจ้าจะขอจดบันทึกไว้ดังต่อไปนี้ อายุ น่าจะประมาณสิบหกปี รูปร่างสูงและผอมเพรียวอย่างน่าตกใจ แต่ก็ไม่ได้ดูอ่อนแอขี้โรค ทั้งยังไม่มีอาการของโรคขาดสารอาหาร ระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างร่างกายดูเหมือนเอลฟ์หญิงวัยเยาว์ทั่วไป ทว่ากลับไม่พบลักษณะพิเศษใด ๆ ที่บ่งชี้ว่านางเป็นพวกเลือดผสม…   นางต้องมีเชื้อเอลฟ์แค่ไม่เกินเศษหนึ่งส่วนแปดแน่ ๆ และสายเลือดเอลฟ์ในอัตราส่วนที่น้อยกว่านี้ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้”

วิโซโกตาเพิ่งจะตระหนักได้เดี๋ยวนั้นเองว่าเขายังไม่ได้เขียนสิ่งใดลงไปบนหน้ากระดาษแม้แต่คำเดียว  เขาจรดปากกาลงบนกระดาษ ทว่าหมึกกลับแห้งเสียแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายชราสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“ขอจดบันทึกไว้” เขากล่าวต่อ “ว่าเด็กสาวผู้นี้ยังไม่มีลูก ขอเน้นย้ำว่าข้าพเจ้าเพียงแค่พูดถึงรอยแผลเก่าเท่านั้น บนร่างของนางมีบาดแผลสดอยู่ทั่วทุกที่ เด็กสาวผู้นี้ถูกกระทำชำเรามา ถูกเฆี่ยนตีด้วยวิธีต่าง ๆ อาจเป็นฝีมือของบิดานางเอง นางยังอาจถูกเตะมาด้วยเช่นกัน”

“นอกจากนี้ ข้ายังพบตำหนิที่ทั้งประหลาดและแปลกแยกบนร่างกายของนาง… อืมมม… จดเจ้านี่ลงไปด้วยดีกว่า เพื่อผลประโยชน์ด้านวิทยาศาสตร์… เด็กสาวผู้นี้สักรูปกุหลาบสีแดงไว้บนเนื้อสะโพก ถัดจากบริเวณหัวหน่าวพอดิบพอดี”

วิโซโกตาจ้องมองปลายปากกาขนนกอันแหลมคม ก่อนจะจุ่มมันลงในขวดหมึก ทว่าคราวนี้เขากลับไม่ลืมว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น – เขาจึงเริ่มเติมเต็มหน้ากระดาษนั้นด้วยลายมือเอียงกะเท่เร่ที่เรียงตัวเป็นบรรทัดเท่า ๆ กัน เขาเขียนจนกระทั่งหมึกปากกาแห้งเหือด

“นางเอาแต่พูดพล่ามและร้องตะโกนอย่างสับสน” เขากล่าว “สำเนียงและวิธีการพูดของนางนั้น – หากตัดคำอุทานหยาบคายแบบที่อาชญากรมักพูดกันออกไป – นับว่าค่อนข้างชวนสับสนและปะติดปะต่อได้ยาก ทว่าข้าพเจ้าจะขอเสี่ยงยืนกรานว่ามันคือสำเนียงที่มีที่มาจากทางเหนือมากกว่าที่จะเป็นทางใต้ คำบางคำ…”

เป็นอีกครั้งที่ปลายปากกาครูดเข้ากับแผ่นกระดาษ แต่ก็เพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น สั้นเกินกว่าที่จะจดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่ได้ ต่อจากนั้น ชายชราจึงเริ่มดำเนินการสนทนาเพียงฝ่ายเดียวต่อจากจุดที่เขาทิ้งค้างไว้อย่างแม่นยำ

“คำบางคำและชื่อบางชื่อที่เด็กสาวพึมพำออกมาระหว่างการเพ้อคลั่งนั้นเป็นชื่อที่ควรค่าแก่การจดจำและตรวจสอบ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนบ่งชี้ว่าได้มีบุคคลสำคัญ – สำคัญมาก ๆ – มาเยือนยังกระท่อมของผู้เฒ่าวิโซโกตาเสียแล้ว…”

เขาปิดปากเงียบไปชั่วครู่หนึ่งและเงี่ยหูฟัง

“ข้าพเจ้าเพียงแค่หวังว่า” เขาพึมพำ “กระท่อมของผู้เฒ่าวิโซโกตาจะไม่กลายมาเป็นจุดหมายสุดท้ายของนาง”

 

วิโซโกตาคู้ตัวลงเหนือแผ่นกระดาษหนัง เขาถึงกับจรดปลายปากกาลงไปบนนั้น ทว่ากลับไม่ได้เขียนอะไรลงไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว นักพรตเฒ่าโยนปากกาลงบนโต๊ะ หอบหายใจหนักหน่วงอยู่ครู่หนึ่ง ส่งเสียงพึมพำอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วจึงพ่นลมออกมาทางจมูก เขาจ้องมองไปที่ที่นอนฟาง และเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วมาจากตรงนั้น

“ข้าจำเป็นต้องชี้แจงและจดบันทึกเอาไว้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “ว่าสถานการณ์ดูย่ำแย่ยิ่งนัก ความพยายามของข้าอาจไม่เพียงพอ และความทุ่มเทของข้าก็อาจจะไร้ผล ข้ามีเหตุผลให้ต้องหวาดกลัว แผลของนางติดเชื้อ และเด็กสาวก็มีไข้สูงเสียจนน่าเป็นห่วง มีอาการหลัก ๆ ที่บ่งชี้ถึงการอักเสบชนิดเฉียบพลันปรากฏออกมาสามถึงสี่อย่าง ทั้งอาการแดง ร้อน และบวม ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างง่ายดายผ่านทางสัมผัสและการมองด้วยตาเปล่า ครั้นเมื่อสภาวะช็อกหลังจากการรักษาผ่านพ้นไป อาการที่สี่ – หรืออาการปวด – จะปรากฏออกมาเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าขอจดบันทึกไว้ว่าเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษแล้วที่ข้าได้ศึกษาเรื่องยามา ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าด้วยเวลาที่นานขนาดนี้ ทำให้ความทรงจำของข้าเลือนรางลงไป ทั้งยังทำให้ความแม่นยำของนิ้วมือข้าพเจ้าลดต่ำลงด้วย ข้าพเจ้ามีทักษะด้านปฏิบัติเพียงน้อยนิด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทำอะไรไม่ได้มาก อีกทั้งข้าพเจ้ายังมีทรัพยากรหรือเครื่องยาเพียงน้อยนิด ฉะนั้นเราจึงต้องฝากความหวังไว้ที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอันเยาว์วัยนี้…”

 

“สิบสองชั่วโมงหลังจากการแทรกแซงของข้าพเจ้า อาการติดเชื้อรูปแบบที่สาม หรือก็คืออาการปวด ได้ปรากฏขึ้นตามที่คาดหวังไว้ ผู้ป่วยกำลังกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ไข้และอาการสั่นก็ทวีความรุนแรงขึ้นด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้าไม่มียารักษาใดจะมอบให้นางเลย ข้าพเจ้ามีเพียงยาอมฤตที่ทำจากผักชีฝรั่งจำนวนน้อยนิด ทว่าฤทธิ์ของมันกลับรุนแรงเกินไปสำหรับร่างกายอันอ่อนแอของเด็กสาว นอกจากนี้ ข้ายังมีโหราเดือยไก่อยู่อีก ทว่ามันจะต้องทำให้นางจบชีวิตลงอย่างแน่นอน”

 

“สิบห้าชั่วโมงหลังจากการแทรกแซงของข้าพเจ้า ยามสายัณห์ ผู้ป่วยยังคงไม่ได้สติ อาการไข้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีอาการสั่นรุนแรงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกิดการชักกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างรุนแรงด้วย หากนี่คือโรคบาดทะยัก เด็กสาวผู้นี้ไม่รอดแน่ หวังว่ามันจะเป็นแค่อาการของเส้นประสาทบนใบหน้า… หรือเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ในการควบคุมใบหน้า ไม่ก็ทั้งสองอย่าง เด็กสาวอาจจะมีใบหน้าผิดรูปผิดร่าง… แต่นางจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

วิโซโกตาชำเลืองมองแผ่นกระดาษหนังที่ยังไม่มีคำคำใดถูกเขียนลงไปแม้แต่คำเดียว

“หากนางสามารถ” เขาเอ่ยด้วยความรู้สึกว่างโหวง “รอดชีวิตจากการติดเชื้อมาได้”

 

“ยี่สิบชั่วโมงหลังจากการแทรกแซงของข้าพเจ้า ไข้ขึ้นสูงยิ่งกว่าเดิม และข้าพเจ้าขอเดิมพันว่าอาการแดง ร้อน บวม และปวดคงใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มที แต่เด็กสาวคนนี้คงไม่มีชีวิตรอดจนถึงขั้นนั้นหรอก ด้วยเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงขอจดบันทึกเอาไว้ว่า… ข้าพเจ้า วิโซโกตาแห่งคอร์โว ไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า แต่หากพวกเขาเหล่านั้นบังเอิญมีตัวตนอยู่จริง ๆ ก็กรุณารับตัวเด็กคนนี้ไปดูแลด้วยเถิด และได้โปรดอภัยให้ข้าพเจ้าด้วย… หากข้าพเจ้าเกิดทำสิ่งใดผิดพลาดไป”

วิโซโกตาวางปากกาขนนกลง ขยี้เปลือกตาที่ทั้งบวมเป่งและคันคะเยอของตน แล้วจึงกดกำปั้นแนบไว้บนขมับ

“ข้าพเจ้าได้นำผักชีฝรั่งและโหราเดือยไก่มาผสมให้นางกินแล้ว” เขากล่าวอย่างว่างโหวง “แล้วเราจะได้เห็นผลกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า”

 

เขาไม่ได้กำลังนอนหลับ เพียงแค่งีบหลับไปเมื่อเสียงเคาะและเสียงทุบซึ่งดังคลอมากับเสียงครวญครางปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา มันฟังดูเหมือนเสียงครวญครางด้วยความโมโหมากกว่าจะเป็นความเจ็บปวด

วันเวลาภายนอกนั้นกำลังล่วงเข้าสู่ยามเช้าตรู่ แสงสีจางส่องผ่านเข้ามาระหว่างรอยกรีดบนบานหน้าต่าง นาฬิกาทรายไหลลงมาจนหมดรอบนานมากแล้ว และก็เป็นเหมือนเช่นทุกครั้งที่วิโซโกตาลืมจับมันพลิกกลับด้าน ตะเกียงน้ำมันกะพริบวูบวาบ เช่นเดียวกับแสงเรืองรองสีทับทิมของพื้นเตาไฟที่ส่องแสงรำไรอยู่บริเวณมุมห้อง ชายชราลุกขึ้นยืน ก่อนจะผลักผืนผ้าม่านที่เป็นตัวกั้นระหว่างที่นอนฟางและห้องส่วนที่เหลือเพื่อหมายจะให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างสงบเงียบออกไป

บัดนี้ ผู้ป่วยคนดังกล่าวได้ยันตัวขึ้นจากพื้นที่นางยังนอนแผ่อยู่เมื่อครู่เรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งคุดคู้อยู่บนขอบที่นอนฟาง พยายามเกาใบหน้าใต้ผ้าพันแผล วิโซโกตากระแอมไอ

“บอกว่าอย่าเพิ่งลุกไงเล่า เจ้ายังอ่อนกำลังเกินไป หากอยากได้อะไรก็เรียกข้าสิ ข้าก็อยู่ใกล้ ๆ เจ้านี่ไง”

“แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็ยังฟังกระจ่างชัด “ข้าปวดฉี่”

ครั้นเมื่อเขาหวนกลับมาเพื่อจะนำกระโถนออกไป เด็กสาวก็กลับขึ้นไปนอนหงายอยู่บนเตียงอีกครั้ง และกำลังเกี่ยวปลายนิ้วเล่นอยู่กับผ้าปิดแผลที่แนบติดอยู่กับแก้มของนาง โดยมีผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบหน้าผากและคอปิดทับไว้อีกชั้น และเมื่อเขาก้าวเข้าไปหานางหลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่งแล้ว นางก็ยังคงนอนอยู่ในตำแหน่งเดิม

“สี่วันเลยหรือ” นางถามขณะจ้องมองเพดาน

“ห้าต่างหาก ตั้งแต่ที่เราคุยกันเป็นครั้งสุดท้ายนั่นก็ผ่านไปเกือบวันแล้ว เจ้าหลับไปทั้งวัน ซึ่งก็ถือว่าดีแล้ว เจ้าจำเป็นต้องนอน”

“ข้าดีขึ้นแล้วน่า”

“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น งั้นก็มาถอดผ้าพันแผลกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะช่วยฉุดเจ้าขึ้นนั่งเอง จับมือข้าไว้”

บาดแผลของนางสมานเข้าหากันเป็นอย่างดีและสะอาดสะอ้าน ครั้งนี้การถอดผ้าพันแผลดำเนินไปได้อย่างราบรื่นโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวดยามเมื่อผืนผ้าพันถูกดึงออกจากสะเก็ดแผล เด็กสาวสัมผัสแก้มตนเองอย่างระมัดระวัง นางตีหน้าบึ้ง ทว่าวิโซโกตารู้ดีว่าสีหน้าดังกล่าวมิได้มีสาเหตุมาจากความเจ็บปวดเท่านั้น ทุก ๆ ครั้งที่นางลองตรวจสอบดูว่าบาดแผลนั้นทำให้นางเสียโฉมไปมากแค่ไหน นางก็จะคอยตรวจสอบความร้ายแรงของบาดแผลไปด้วยในตัว นางจำเป็นต้องยืนยันให้แน่ใจ – แม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง – ว่าสิ่งที่นางสัมผัสได้ก่อนหน้านี้มิใช่แค่ฝันร้ายที่เกิดจากพิษไข้เท่านั้น

“เจ้ามีกระจกไหม”

“ไม่มี” เขาโป้ปด

นางจ้องมองเขาด้วยแววตาแจ่มชัด อาจจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่นางมีสายตาแบบนี้

“หมายความว่ามันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ” นางถามขณะเกลี่ยนิ้วไปตามรอยเย็บอย่างระมัดระวัง

“มันเป็นแผลที่ยาวมาก” เขาพึมพำ นึกโกรธตัวเองที่ต้องมานั่งหาข้ออ้างและแก้ตัวให้เด็กสาวฟัง “หน้าของเจ้ายังบวมอยู่เลย ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะเอาไหมออกให้ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้ายังต้องนำวูฟส์เบนและสารสกัดจากต้นหลิวมาทาให้เจ้า แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องพันผ้ารอบศีรษะทั้งหมดอีกต่อไป บาดแผลของเจ้าสมานตัวดีแล้ว ดีมากทีเดียว”

นางไม่เอ่ยตอบ เด็กสาวขยับปากและกราม ก่อนจะลองยู่หน้าและตีหน้าเบี้ยวเพื่อทดสอบว่าตนสามารถทำอะไรได้บ้างยามเมื่อมีแผลอยู่อย่างนี้

“ข้าทำซุปพิราบมาให้ เจ้าจะกินสักหน่อยไหม”

“กิน แต่คราวนี้ข้าจะลองกินด้วยตัวเอง เวลาต้องให้คนอื่นมาป้อนนี่มันน่าอายชะมัด ข้าเองก็ไม่ได้เป็นอัมพาตเสียด้วย”

การกินอาหารทำให้นางเสียเวลาไปมากโข เด็กสาวยกช้อนไม้ขึ้นจ่อปากอย่างระมัดระวังและมานะอุตสาหะ ราวกับว่าช้อนคันนั้นหนักสองปอนด์ก็ไม่ปาน ทว่านางก็สามารถทำสำเร็จได้โดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากวิโซโกตา ผู้ที่กำลังเฝ้ามองนางอย่างสนอกสนใจ วิโซโกตาเป็นคนอยากรู้อยากเห็น – ทั้งยังขี้สงสัยมิใช่น้อย เขารู้ดีว่าการที่เด็กสาวกลับมามีสุขภาพดีเช่นนี้ ย่อมเปิดทางไปสู่บทสนทนาที่จะไขปริศนาทั้งหมดให้กระจ่างได้ ชายชรารู้เรื่องนี้ดี และแทบจะรอให้ถึงตอนนั้นไม่ไหว เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวในป่าดงพงไพรแห่งนี้มานานเกินไปแล้ว

นางกินอาหารจนเสร็จ จากนั้นจึงหงายหลังกลับไปลงบนหมอน เด็กสาวจ้องมองเพดานด้วยสายตาเซื่องซึมอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วพลิกศีรษะมา วิโซโกตาเพิ่งจะตระหนักได้อีกครั้งว่าดวงตาสีมรกตขนาดใหญ่ผิดธรรมดาซึ่งทำให้ใบหน้าของนางดูไร้เสียงสาดั่งเด็กน้อยนั้น บัดนี้ช่างดูขัดกับช่วงแก้มที่บูดเบี้ยวผิดรูปผิดร่างเสียเหลือเกิน วิโซโกตารู้จักโฉมหน้าแบบนี้ดี ทั้งดวงตากลมโต และความอ่อนเยาว์ที่จะคงอยู่ตลอดไปนี้ ล้วนเป็นโฉมหน้าที่มักจะทำให้ผู้มองรู้สึกเห็นใจโดยสัญชาติญาณ เด็กผู้หญิงที่จะคงความสาวไว้ตลอดกาล แม้ว่านางจะอายุยี่สิบปี สามสิบปี หรือแม้จะผ่านช่วงอายุสี่สิบปีมานานแล้วก็ตาม ใช่แล้ว วิโซโกตารู้จักโฉมหน้าแบบนี้ดี ภรรยาคนที่สองของเขาก็มีโฉมหน้าแบบนี้ เช่นเดียวกับบุตรสาวของเขา

“ข้าต้องหนีไปจากที่นี่” เด็กสาวพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “โดยเร็วที่สุด ข้ากำลังถูกตามล่า เจ้าเองก็รู้เรื่องนี้ดีใช่ไหม”

“รู้สิ” เขาพยักหน้า “นั่นคือคำแรกที่เจ้าพูด ซึ่งก็ดูจะไม่ใช่คำพูดไร้ความหมายเสียด้วย แม้มันจะดูขัดกับสภาพของเจ้าก็ตาม พูดให้ถูกก็คือ นี่คือหนึ่งในคำพูดแรก ๆ ของเจ้า ตอนแรกเจ้าเอ่ยถามถึงม้าและดาบของเจ้าตามลำดับ จนเมื่อข้ารับปากเจ้าว่าทั้งม้าและดาบของเจ้าอยู่ภายใต้การดูแลเป็นอย่างดีแล้วนั่นแหละ เจ้าถึงเพิ่งมานึกสงสัยว่าข้าคือสหายสนิทของคนที่ชื่อบอนฮาร์ทหรือไม่ ทั้งยังสงสัยว่าข้าไม่ได้กำลังช่วยรักษาให้เจ้า แต่กำลังทรมานเจ้าด้วยการหยิบยื่นความหวังให้เจ้าอีกต่างหาก กระทั่งเมื่อข้าแก้ความเข้าใจให้เจ้าได้อย่างไม่ยากเย็นแล้ว เจ้าจึงแนะนำตัวว่าเจ้าคือฟอลกา และขอบคุณข้าที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้”

“ข้าดีใจ” นางหันหน้าหนีทั้งบนหมอน ราวกับว่าต้องการหลีกหนีไม่สบตากับเขา “ข้าดีใจที่ข้าไม่ได้ลืมขอบคุณเจ้า ข้าจำเรื่องนั้นได้แค่เลือนรางเท่านั้น ข้าไม่รู้แล้วว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน ข้าจึงนึกกลัวว่าข้าอาจยังไม่ได้ขอบคุณเจ้า แล้วชื่อของข้าก็ไม่ใช่ฟอลกาด้วย”

“เรื่องนั้นข้าก็รู้แล้วเช่นกัน แม้จะได้รู้โดยบังเอิญก็ตาม เจ้าละเมอตอนไข้ขึ้น”

“ข้าเป็นผู้หลบหนี” นางกล่าวโดยไม่หันกลับมา “เป็นผู้ลี้ภัย เจ้าจะตกอยู่ในอันตรายหากให้ที่พักแก่ข้า เจ้าจะตกอยู่ในอันตรายหากได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ข้ามีชื่อว่าอะไร ข้าต้องขึ้นม้าแล้วเผ่นหนีไป ก่อนที่พวกนั้นจะตามข้ามาทัน…”

“เมื่อสักครู่นี้” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้ายังนั่งบนกระโถนฉี่แทบไม่ไหว ข้ามองไม่ออกเลยว่าเจ้าจะขี่ม้าได้ยังไง แต่ข้าขอรับปากเจ้าว่าเจ้าจะปลอดภัย ไม่มีใครตามเจ้ามาที่นี่หรอก”

“ข้าต้องถูกตามล่าอยู่แน่ ๆ พวกนั้นกำลังตามรอยข้ามา กำลังลาดตระเวนไปทั่วพื้นที่…”

“ใจเย็นน่า ที่นี่ฝนตกทุกวัน ไม่มีใครหาร่องรอยเจ้าเจอหรอก เจ้าอยู่ในป่านะ ในอาศรม ในบ้านของนักพรตที่ตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ถึงขนาดที่ว่าคนอื่น ๆ คงหาตัวเขาพบไม่ได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าก็พอจะหาทางส่งข่าวของเจ้าให้กับครอบครัวหรือเพื่อนของเจ้าได้”

“เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร—”

“เจ้าเป็นเด็กสาวที่ได้รับบาดเจ็บ” เขาเอ่ยแทรก “ซึ่งกำลังหนีจากใครบางคนที่กล้าลงมือกับเด็กผู้หญิงได้โดยไม่ลังเล ตกลงเจ้าอยากให้ข้าส่งข่าวออกไปไหม”

“ข้าไม่เหลือใครแล้ว” นางเอ่ยตอบหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง และหูของวิโซโกตาก็พอจะจับความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของนางได้ “เพื่อนของข้าตายหมดแล้ว พวกเขาถูกสังหารหมู่”

เขาไม่ออกความเห็นใด

“ข้าคือความตาย” นางเริ่มพูดอีกครั้ง แต่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกประหลาดยิ่ง “ใครที่พบเจอกับข้าล้วนแล้วแต่ต้องตาย”

“ไม่ใช่ทุกคนเสียหน่อย” เขาแย้งขณะพินิจพิเคราะห์นาง “ไม่ใช่บอนฮาร์ท หรือคนที่เจ้าตะโกนชื่อออกมาตอนที่ไข้ขึ้นสูง คนที่เจ้ากำลังพยายามหนี ฝ่ายที่โดนทำร้ายจากการเผชิญหน้าในครั้งนี้ดูจะเป็นเจ้ามากกว่าเขานะ เขาคือคน…ฟันใบหน้าของเจ้าหรือ”

“เปล่า” เด็กสาวเม้มปาก หมายจะกลั้นอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นเสียงครวญครางหรือคำสาปแช่ง “คนที่ฟันหน้าข้าคือนกฮูกน้ำตาลสเตฟาน สเกลเล็น แต่บอนฮาร์ท… บอนฮาร์ททำให้ข้าเจ็บกว่านั้นมาก มากเหลือเกิน ข้าละเมอเรื่องนี้ออกมาตอนที่ไข้ขึ้นด้วยหรือเปล่า”

“ใจเย็นก่อน เจ้ายังอ่อนแรงอยู่ พยายามเลี่ยงอารมณ์รุนแรงเข้าไว้ดีกว่า”

“ชื่อของข้าคือซิริ”

“ข้าจะทำวูลฟ์เบนอัดเม็ดให้เจ้าก็แล้วกัน ซิริ”

“เดี๋ยวก่อน… แป๊บนึงสิ ขอกระจกให้ข้าหน่อย”

“ข้าบอกแล้วไง—”

“ขอร้องล่ะ!”

เมื่อเห็นว่าจำเป็นจริง ๆ เมื่อเห็นว่าตนคงไม่อาจประวิงเวลาได้อีกต่อไป ชายชราจึงทำตามที่นางขอ เขาถึงกับนำตะเกียงน้ำมันมาด้วย เพื่อให้นางสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าตนได้

“นั่นสิ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวและผิดแผกไปจากเดิม “นั่นสินะ เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ เกือบจะเป็นแบบที่ข้าคิดไว้เลย”

เขาปลีกตัวจากไปพร้อมกับดึงผ้าม่านสำรองปิดตามหลังมา

นางพยายามสะอื้นไห้ให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เขาได้ยิน

 

ในวันถัดมา วิโซโกตาจึงตัดไหมเย็บออกให้กว่าครึ่ง ซิริสัมผัสแก้มตน ขู่ฟ่อราวกับงู และบ่นถึงเรื่องอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหู รวมไปถึงลำคอบริเวณใกล้สันกรามที่ไวต่อความรู้สึกขึ้นมาก อย่างไรก็ดี นางก็ยังลุกขึ้นแต่งตัวแล้วออกมาข้างนอก โดยที่วิโซโกตาเองก็ไม่ได้แย้งอะไร ชายชราเองก็มากับนางด้วย แต่เขากลับไม่ต้องให้ความช่วยเหลือหรือช่วยพยุงนางเอาไว้เลย เด็กสาวมีสุขภาพแข็งแรงดี ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าที่เขาเคยคาดไว้นัก

มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เด็กสาวตัวเซยามที่อยู่ข้างนอก นางจึงต้องจับกรอบประตูเพื่อพยุงร่างไว้

“ทำไมกัน…” นางกล่าวขณะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด “ทำไมถึงหนาวอย่างนี้! นี่คือหน้าหนาวหรืออย่างไร ฤดูหนาวมาถึงแล้วหรือ ข้านอนอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย หลายสัปดาห์แล้วหรือ”

“หกวันพอดิบพอดี วันนี้คือวันที่ห้าของเดือนตุลาคม แต่ดูเหมือนเดือนตุลาของปีนี้จะหนาวเป็นพิเศษนะ”

“ห้าตุลารึ” นางขมวดคิ้วและขู่ฟ่อด้วยความเจ็บ “เป็นไปได้ยังไง สองอาทิตย์…”

“อะไรนะ สองอาทิตย์อะไร”

“ช่างมันเถอะ” นางยักไหล่ “บางทีข้าอาจจะจำผิด… หรืออาจจะไม่ผิดก็ได้ ช่วยบอกข้าทีสิว่ากลิ่นฉุน ๆ พวกนี้คือกลิ่นอะไร”

“หนังสัตว์น่ะ ข้ามักจะล่าหนูพุก บีเวอร์ นาก และนากหญ้าเพื่อนำมาถลกหนัง นักพรตก็ต้องทำมาหากินเหมือนกันนะ”

“แล้วม้าของข้าอยู่ที่ไหน”

“ในยุ้งฉาง”

เจ้าม้าตัวเมียสีดำทักทายพวกเขาด้วยการร้องฮี้ดังลั่น ตามมาด้วยเสียงร้องแบ๊ะ ๆ ของแพะของวิโซโกตา ซึ่งดูจะขัดใจมิใช่น้อยที่ต้องแบ่งที่พักให้กับผู้ร่วมอาศัยอีกตัว ซิริกอดคอม้าไว้ ก่อนจะตบมันเบา ๆ และลูบแผงคอมัน อาชาเพศเมียพ่นลมหายใจพรืด แล้วจึงยกกีบเท้าขึ้นตะกุยฟาง

“อานม้าของข้าเล่า ผ้ารองอานกับบังเหียนด้วย”

“อยู่นี่”

เขาไม่เอ่ยขัด ออกความเห็น หรือแสดงทัศนคติใด ๆ เพียงเอนกายลงค้ำไม้เท้าและไม่พูดอะไรออกมา เขาไม่แม้แต่จะขยับกายยามที่เด็กสาวส่งเสียงคำรามขณะพยายามยกอานม้าขึ้น ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ตอนที่นางโซเซไปมาตามน้ำหนักของมัน และล้มโครมลงฟาดพื้นคลุมฟางพร้อมด้วยเสียงโอดครวญลั่น เขาไม่แม้แต่จะก้าวเข้ามาหานางหรือช่วยฉุดนางขึ้น เพียงแค่จ้องมองนางอย่างตั้งใจ

“ก็ได้” นางเค้นเสียงลอดไรฟันขณะผลักม้าคู่ใจที่กำลังพยายามดันจมูกมาที่คอเสื้อของนางออก “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้าต้องไปจากที่นี่จริง ๆ นี่นา ให้ตายสิ! ข้าต้องไปแล้วจริง ๆ!”

“เจ้าคิดจะไปที่ไหน” เขาเอ่ยถามเสียงเย็น

เด็กสาวสัมผัสใบหน้าตนทั้งทั่งนั่งอยู่บนกองฟางข้าง ๆ อานม้าที่หล่นลงมากองอยู่กับพื้น

“ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”

เขาพยักหน้า ราวกับว่าพอใจในคำตอบของนาง ราวกับว่าคำตอบของนางทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้น ไม่เหลือข้อสงสัยใด ๆ อีก ซิริยันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก นางไม่แม้แต่จะพยายามก้มลงไปหยิบอานม้าหรือบังเหียนขึ้นมา เพียงแค่ตรวจสอบว่าในรางหญ้ามีหญ้าแห้งและข้าวโอ๊ตอยู่พร้อมแล้ว จากนั้นจึงเริ่มใช้ฟางเส้นหนึ่งถูไถไปตามหลังและสีข้างม้า วิโซโกตาได้แต่ยืนนิ่ง เขาไม่จำเป็นต้องรอนาน เพราะต่อมา ร่างของเด็กสาวก็ซวนเซไปพิงเสาค้ำเพดาน สีหน้าของนางซีดขาวราวกระดาษ เขาจึงส่งไม้เท้าให้นางโดยไม่พูดอะไร

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ก็แค่—”

“เจ้าแค่รู้สึกหน้ามืดเท่านั้น เพราะเจ้ายังป่วย และอ่อนแอเหมือนดั่งลูกแมว กลับกันเถอะ เจ้าต้องนอนพักเสียหน่อย”

 

ซิริออกมาข้างนอกอีกครั้งในยามสายัณห์ หลังจากที่นอนหลับพักผ่อนได้หลายชั่วโมงเต็ม วิโซโกตาที่เพิ่งกลับมาจากแม่น้ำบังเอิญเจอเข้ากับนางที่ริมแนวพุ่มแบรมเบิ้ลพอดี

“อย่าออกห่างจากกระท่อมนักสิ” เขาเอ่ยเสียงห้วน “ก่อนอื่นเลย เจ้ายังอ่อนแอเกินไป—”

“ข้าดีขึ้นแล้วน่า”

“ประการที่สอง ข้างนอกนี่อันตรายยิ่ง รอบ ๆ เรามีแต่บึงน้ำขนาดใหญ่ ไหนจะยังแนวต้นอ้ออยู่เต็มไปหมดจนดูเหมือนไร้ขอบเขต เจ้าไม่รู้ทาง ฉะนั้นจึงอาจหลงทางหรือจมน้ำในบึงตายได้”

“แต่เจ้า” นางกล่าวขณะชี้นิ้วไปยังกระสอบที่เขาลากมาด้วย “ย่อมรู้เส้นทางดี แล้วเจ้าก็ไม่ได้เดินไปไกลขนาดนั้นด้วย แปลว่าบึงน้ำนี่คงไม่ได้ใหญ่นักหรอก เจ้าถลกหนักสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี และม้าของข้าเคลปีก็มีข้าวโอ๊ตกิน แต่ข้ากลับไม่เห็นทุ่งหญ้าใดในบริเวณนี้เลย พวกเรากินไก่กับธัญพืชเป็นอาหาร ไหนจะมีขนมปังอีก ขนมปังจริง ๆ ไม่ใช่แค่ขนมปังแบน ๆ ทั่วไป เจ้าไม่มีทางหาขนมปังแบบนั้นจากคนดักสัตว์ได้แน่ แปลว่าแถวนี้ต้องมีหมู่บ้านอยู่”

“เป็นการอนุมานที่แม่นยำดีทีเดียว” เขายอมรับอย่างใจเย็น “ถูกของเจ้า ข้าได้เสบียงพวกนี้มาจากหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด แต่ถึงจะบอกว่าใกล้ที่สุด ก็ไม่ได้เหมือนความว่ามันอยู่ใกล้ซะทีเดียว หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ขอบหนองน้ำ และตัวหนองน้ำก็มีเขตแดนติดกับแม่น้ำพอดี ข้าจะนำหนังสัตว์ไปแลกกับอาหารที่พวกเขาพายเรือมาส่งให้ข้า ทั้งขนมปัง ข้าวโอ๊ตต้ม แป้ง เหลือ ชีส บางทีก็มีกระต่ายหรือไก่ด้วย ซึ่งบางครั้งก็เป็นของใหม่”

ไม่มีคำถามใดถูกส่งออกมา ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ

“เคยมีกลุ่มทหารม้าที่กำลังตามล่าคนมาเยือนหมู่บ้านถึงสองครั้ง ครั้งแรก พวกเขามาเตือนไม่ให้ผู้คนซ่อนตัวเจ้าไว้ พวกนั้นขู่ชาวบ้านว่าหากจับตัวเจ้าได้ในหมู่บ้าน พวกเขาจะใช้ไฟและดาบสังหารคนเสีย ส่วนครั้งที่สอง พวกนั้นสัญญาว่าจะมอบรางวัลให้หากมีใครหาศพเจ้าพบ แปลว่าฝ่ายที่กำลังตามล่าเจ้าคงคิดว่าเจ้ากลายเป็นศพอยู่ในป่า ในช่องเขา หรือในลำห้วยไปแล้ว”

“พวกนั้นจะไม่ยอมหยุด” นางพึมพำ “จนกว่าจะหาศพพบ พวกนั้นต้องพิสูจน์ว่าข้าตายแล้วจริง ๆ และพวกเขาจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะหาหลักฐานที่ว่าเจอ พวกเขาจะเที่ยวขุดรากถอนโคลนไปทุก ๆ ที่ จนกระทั่งมาถึงที่นี่ในที่สุด…”

“เรื่องนี้คงสำคัญกับคนพวกนั้นมากสินะ” เขาออกความเห็น “ข้าว่ามันออกจะสำคัญผิดหูผิดตาไปหน่อยด้วยซ้ำ…”

เด็กสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากัน

“อย่ากลัวไปเลย ข้าจะไปจากที่นี่ก่อนที่พวกนั้นจะหาข้าเจอ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเสี่ยงอันตราย… เพราะงั้นก็อย่ากลัวไปเลย”

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้ากลัวเล่า” เขายักไหล่ “มีเหตุผลให้ข้าต้องกลัวด้วยหรือ ไม่มีใครหาที่นี่เจอหรอก และจะไม่มีใครสะกดรอยตามเจ้ามาที่นี่ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าหากเจ้ายื่นจมูกออกไปนอกแนวต้นอ้อเมื่อไหร่ เจ้าจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้ที่กำลังตามล่าเจ้าทันที”

“พูดอีกอย่างก็คือ” นางสะบัดศีรษะอย่างทะนง “ข้าต้องอยู่ที่นี่สินะ เจ้าหมายความว่าอย่างนี้ใช่ไหม”

“เจ้าไม่ใช่นักโทษ เจ้าจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ หรือหากจะพูดให้ถูกก็คือ เมื่อใดก็ได้ที่เจ้าไหว หรือเจ้าจะรออยู่กับข้าที่นี่ก็ได้ ในอีกไม่ช้า ฝ่ายที่ตามล่าเจ้าจะถอดใจไปเอง พวกเขามักจะถอดใจเสมอ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่พวกเขาจะถอดใจแน่นอน เชื่อข้าเถอะ ข้ารู้ดีว่ากำลังพูดอะไร”

นัยน์ตาสีเขียวของนางเปล่งประกายยามเมื่อจ้องมองเขา

“แต่ก็เอาเถอะ” เขาพูดรัวเร็วขณะยักไหล่และเบี่ยงหน้าหลบสายตานาง “จะทำอะไรก็ตามใจเถิด ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้คุมตัวเจ้าไว้ในฐานะนักโทษ”

“ข้าคงยังไม่จากไปวันนี้หรอก” นางกล่าว “ข้ายังอ่อนแอเกินไป… และดวงตะวันก็กำลังจะลับขอบฟ้าในอีกไม่นาน… แล้วข้าก็ไม่รู้ทางด้วย เพราะงั้นก็กลับไปที่กระท่อมกันเถอะ ข้าหนาวจนจะแข็งอยู่แล้ว”

 

“เจ้าบอกว่าข้าหลับนอนอยู่ที่นี่มาหกวันแล้ว นั่นเป็นเรื่องจริงใช่ไหม”

“ข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่ออะไร”

“อย่าเพิ่งฉุนสิ ข้าแค่กำลังพยายามนับวันอยู่… ข้าเผ่นหนีมา… และได้รับบาดเจ็บ… ในวันวิษุวัต ซึ่งก็คือวันที่ยี่สิบสามของเดือนกันยายน หรือถ้าหากนับวันเวลาตามแบบฉบับของพวกเอลฟ์ ก็คือวันสุดท้ายของเทศกาลลูก์นาซาดห์พอดี”

“เป็นไปไม่ได้”

“แล้วข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่ออะไรกัน” นางตะโกน จากนั้นจึงส่งเสียงโอดครวญออกมาขณะกุมหน้าตนแน่น วิโซโกตาจ้องมองนางอย่างใจเย็น

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม” เขาเอ่ยเสียงเย็น “แต่ข้าเคยเป็นหมอ ซิริ ถึงจะนานมากแล้ว แต่ข้าก็ยังสามารถจำแนกบาดแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบชั่วโมงที่แล้วกับบาดแผลที่ได้รับมาเมื่อสี่วันก่อนได้ ในเมื่อข้าพบตัวเจ้าในวันที่ยี่สิบเจ็ดกันยา เท่ากับว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บในวันที่ยี่สิบหก หรือก็คือช่วงเวเล็นวันที่สามหากนับตามปฏิทินชาวเอลฟ์ สามวันหลังจากวิษุวัตพอดี”

“แต่ข้าได้รับบาดเจ็บในวันวิษุวัตนะ”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ซิริ เจ้าจำวันผิดแล้ว”

“ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน แผนที่นักพรตของเจ้าต่างหากที่เก่าเกินไป”

“ตามใจเจ้า ว่าแต่วันที่ว่ามีความสำคัญอะไรด้วยหรือ”

“เปล่า ไม่มีหรอก”

 

วิโซโกตาตัดไหมบนบาดแผลแห่งสุดท้ายให้ในอีกสามวันต่อมา และเขาก็มีเหตุผลเพียงพอให้รู้สึกพอใจและภูมิใจกับผลงานตัวเองเสียด้วย – แผลเย็บนั้นเรียบเสมอกันและสะอาดสะอ้านดี ทั้งยังไม่จำเป็นต้องนึกกลัวว่าจะมีฝุ่นผงใดหลุดเข้าไปในแผลด้วย อย่างไรก็ดี ความพอใจของแพทย์เช่นเขากลับถูกทำลายลงด้วยภาพของซิริที่กำลังพิจารณารอยแผลเป็นผ่านกระจกเงาจากมุมต่าง ๆ อย่างเงียบงันโศกเศร้า ทั้งยังกำลังพยายามดึงผมมาปิดแก้ม หมายจะบังรอยแผลนั่นไว้อย่างไร้ผล แผลเป็นดังกล่าวทำให้นางเสียโฉม ความจริงก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ แม้แต่การแสร้งมองข้ามมันไปก็ไม่ช่วยอะไรเช่นกัน ด้วยความที่ยังมีสีแดงสด บวมเป่งเหมือนเส้นเชือก ซ้ำยังรายล้อมด้วยรูเข็มและมีรอยแผลเย็บเป็นตำหนิมากมาย แผลเป็นที่ว่านี้จึงดูน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะเป็นไปได้ว่าอาการของมันอาจค่อย ๆ ดีขึ้นช้า ๆ หรือแม้กระทั่งดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่วิโซโกตาก็รู้ดีว่าบาดแผลบิดเบี้ยวที่ว่านี้ไม่มีทางจางหายไปหมดเป็นอันขาด

ซิริรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ซ้ำยังไม่ได้เอ่ยปากถึงเรื่องการจากไปเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางความตกอกตกใจและความปลื้มปิติของวิโซโกตา นางพาเคลปี หรือเจ้าม้าตัวเมียสีดำของนางออกมาจากยุ้งฉาง วิโซโกตารู้ดีว่าในแดนเหนือนั้น ชื่อเคลปีเป็นชื่อที่มีที่มามาจากภูตน้ำ หรืออสูรทะเลสุดอันตราย ซึ่งหากอ้างอิงตามคำบอกเล่าของเหล่าคนงมงาย อสูรชนิดนี้สามารถแปลงกายเป็นม้าพันธุ์ดี โลมา หรือแม้กระทั่งหญิงสาวแสนสวยได้ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว มันจะมีรูปร่างเหมือนกอสาหร่ายทะเลตลอดเวลาก็ตาม ซิริใส่อานให้ม้าของตน แล้วจึงพามันวิ่งเหยาะ ๆ ไปรอบ ๆ ลานบ้านและกระท่อม กระทั่งเมื่อเคลปีกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแพะในยุ้งฉางแล้ว ซิริจึงกลับมาอยู่เป็นเพื่อนวิโซโกตาที่กระท่อมบ้าง นางถึงกับช่วยเขาจัดการกับหนังสัตว์ – อาจเพราะนางกำลังนึกเบื่อ – และระหว่างที่ชายชรากำลังคัดแยกนากหญ้าออกจากกันตามขนาดและสีของมัน นางเองก็ช่วยแบ่งหนูพุกออกเป็นส่วน ๆ สำหรับอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ทั้งยังช่วยผ่าหนังของมันตามแนวไม้ระแนงที่เสียบอยู่ในตัวมันด้วย นิ้วมือของนางช่างเคลื่อนไหวได้ว่องไวปราดเปรียวเหลือเกิน

ในระหว่างที่กำลังทำงาน ทั้งสองก็พูดคุยกันถึงเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดทีเดียว

 

“เจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้าคงจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำ”

เด็กสาวทวนคำกล่าวคำเดิมนั้นมาสองสามรอบแล้ว และมันก็ชักจะเริ่มทำให้เขารำคาญ แต่แน่นอนว่านักพรตชราย่อมไม่เผยความรำคาญที่ว่าออกไป – เขาจะไม่เผยความรู้สึกตัวเองออกมาต่อหน้าเด็กสาวเช่นนี้เป็นอันขาด ไม่ เขาจะไม่ทำแบบนั้น รวมถึงจะไม่เปิดเผยความสงสัยที่กำลังกลืนกินกายของเขาด้วย

อันที่จริงแล้ว มันก็เป็นเพียงความสงสัยที่ไร้ซึ่งมูลเหตุ เพราะเขาสามารถเดาตัวตนของนางออกได้อย่างไม่ยากเย็น สมัยที่วิโซโกตายังเด็ก กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวนั้นไม่ใช่สิ่งที่หาพบได้ยากเลย อีกทั้งระยะเวลาที่ผ่านพ้นไปก็ไม่อาจทำให้แรงดึงดูดที่วัยรุ่นเหล่านี้ใช้หลอกล่อเด็กคนอื่น ๆ ที่กระหายอยากในความตื่นเต้นและการผจญภัยหายลับไปได้เช่นกัน และเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องพบกับความตายในท้ายที่สุด ส่วนเด็กหนุ่มสาวที่รอดมาได้พร้อมแผลเป็นบนใบหน้านั้นก็นับว่าโชคดีไม่น้อย เพราะสำหรับผู้ที่โชคดีน้อยกว่า พวกเขาย่อมต้องพบกับความทรมาน บ่วงบาศ ตะขอแขวน หรือเสาค้ำสำหรับประหารชีวิต

ตั้งแต่ตอนที่วิโซโกตายังเด็ก มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป – นั่นก็คืออัตราการเลิกทาสที่เพิ่มสูงขึ้น บัดนี้ ไม่เพียงแต่วัยรุ่นหนุ่มเท่านั้น แต่กระทั่งเด็กสาววัยคะนองเองก็อยากได้ม้าสักตัวหรือดาบสักเล่ม รวมถึงปรารถนาในการผจญภัยมากกว่าการถักลูกไม้ การปั่นด้าย และการต้องมานั่งแกร่วรอแม่สื่อ

วิโซโกตาไม่ได้พูดเรื่องทั้งหมดนี้ออกไปตรง ๆ แต่กลับเลือกจะพูดอ้อม ๆ แทน เพื่อจะให้นางได้ทราบว่าเขาเองก็รู้ดี และเพื่อให้นางตระหนักได้ว่าหากจะมีใครสักคนในกระท่อมที่เป็นคนลึกลับ คนผู้นั้นย่อมมิใช่นาง – อันธพาลวัยเยาว์จากกลุ่มวายร้ายอายุต่ำกว่ากำหนดซึ่งเพิ่งจะหนีรอดจากการตามล่ามาได้อย่างปาฏิหาริย์ เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาบิดเบี้ยวที่กำลังพยายามซ่อนเร้นกายท่ามกลางกลิ่นไอแห่งความลึกลับ…

“เจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร แต่อย่าห่วงไปเลย เพราะข้าจะจากไปในอีกไม่ช้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเสี่ยง”

วิโซโกตาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“ข้าไม่ได้กำลังเสี่ยงอยู่สักหน่อย” เขาเอ่ยเสียงแห้ง “มีเหตุอันใดให้ต้องเสี่ยงกัน ต่อให้มีคณะสำรวจโผล่หน้ามาที่นี่ ซึ่งข้าคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ข้าจะต้องเจอกับภัยแบบใดกัน การให้ความช่วยเหลืออาชญากรที่กำลังอยู่ในระหว่างหลบหนีถือเป็นการกระทำที่มีความผิดก็จริง แต่ไม่ใช่สำหรับนักพรต เพราะผู้เป็นนักพรตนั้นย่อมไม่ทราบถึงปัญหาของโลกภายนอก ข้าจึงมีสิทธิ์จะให้ที่หลบภัยแก่ใครก็ตามที่มาเยือนยังที่พักอันสันโดษของข้า เจ้าพูดถูกแล้วล่ะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร นักพรตเช่นข้าจะทราบได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นใคร เคยก่อเรื่องอะไรมาบ้าง ทำไมเจ้าจึงกำลังถูกกฎหมายตามล่า แล้วกฎหมายที่ว่าคือกฎหมายฉบับใด ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดินแดนแห่งนี้ใช้กฎหมายแบบใด และข้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจศาลแบบไหนหรือของผู้ใดกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวล เพราะข้าคือนักพรตอย่างไรเล่า”

แม้จะสัมผัสได้ว่าตนเคยพูดถึงชีวิตแบบนักพรตมาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมหยุด นัยน์ตาสีเขียวขุ่นเคืองของนางทิ่มแทงเข้ามาในตัวเขาราวกับเดือยรองเท้า

“ข้าเป็นเพียงโยคีผู้สิ้นเนื้อประดาตัว เป็นผู้ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกและทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมัน ข้าเป็นแค่ชายธรรมดาไร้การศึกษา ผู้ซึ่งไม่ตระหนักรู้ถึงปัญหาของโลกภายนอก…”

นั่นออกจะเป็นการกล่าวเกินจริงไปหน่อย

“จะเป็นไปได้ยังไง!” นางตะโกนพร้อมกับเหวี่ยงหนังสัตว์และมีดลงบนพื้น “คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือ จงจำเอาไว้เสียว่าข้าไม่ใช่คนโง่ นักพรตรึ โยคีผู้สิ้นเนื้อประดาตัวรึ ข้าเคยลองออกไปสำรวจรอบ ๆ ตอนที่เจ้าไม่อยู่ที่นี่ ข้าเคยมองลอดเข้าไปตรงมุมห้อง เบื้องหลังม่านโสโครก ๆ นั่น ช่วยบอกข้ามาทีสิว่าทำไมหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยความรู้พวกนั้นถึงขึ้นไปอยู่บนชั้นหนังสือได้กัน หา ท่านชายธรรมดาไร้การศึกษาของข้า”

วิโซโกตาโยนหนังนากหญ้าลงไปบนกองหนังสัตว์

“เจ้าหน้าที่สรรพากรคนหนึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “หนังสือพวกนั้นคือทะเบียนที่ดินกับสมุดบัญชีแยกประเภท”

“เจ้าโกหก” ซิริตีหน้าบึ้งพลางนวดแผลเป็นของตน “เจ้ากำลังโกหกอยู่ชัด ๆ!”

เขาไม่เอ่ยตอบ แสร้งทำเป็นว่ากำลังประเมินเฉดสีของหนังสัตว์อีกผืน

“เจ้าคงจะคิดสินะว่า” นางเริ่มเอ่ยอีกครั้ง “แค่เพราะเจ้ามีหนวดสีขาว มีรอยย่น และอยู่มานานกว่าหนึ่งร้อยปี เจ้าจะสามารถหลอกสาวน้อยบริสุทธิ์ผู้ไร้เดียงสาได้ งั้นข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอง ว่าเจ้าอาจสามารถหลอกเด็กสาวคนอื่นได้ แต่ข้าไม่ใช่เพียงเด็กสาวธรรมดา ๆ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นโดยไม่พูดอะไร แต่ก็ถือเป็นคำถามที่พอจะยั่วยุฝ่ายตรงข้ามได้ และเขาก็ไม่จำเป็นต้องรอนานเลย

“ท่านนักพรตที่รัก ข้าเคยเล่าเรียนในสถานที่ที่มีหนังสืออยู่มากมาย รวมถึงหนังสือที่มีชื่อแบบเดียวกันกับหนังสือบนชั้นของเจ้าด้วย ข้ารู้จักหนังสือพวกนั้นหลายเล่มทีเดียว”

วิโซโกตาเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก เด็กสาวจ้องสบตากับเขาตรง ๆ

“คงคิดสินะว่าเจ้าเด็กสะเพร่าโสโครก เจ้าเด็กกำพร้าแสนสกปรกคนนี้” นางลากเสียงเนิบ “กำลังพูดถึงเรื่องแปลก ๆ อยู่ นางก็เป็นแค่อันธพาลหรือหัวขโมยหน้าบากที่ถูกพบตัวในพุ่มไม้ แต่รู้ไว้หน่อยก็นะ นักพรตเอ๋ย ว่าข้าเคยอ่านหนังสือประวัติของโรเดอริก เดอ โนเวมเบอร์ มาแล้ว ข้าเคยอ่านหนังสือเครื่องยาผ่านหูผ่านตามาหลายครั้ง และข้าก็รู้จักหนังสือพรรณไม้ที่เจ้ามีอยู่บนชั้นนั่นด้วย นอกจากนี้ ข้ายังรู้ด้วยว่าตรากากบาทขาวบนพื้นแดงที่ประทับอยู่บนสันหนังสือพวกนี้มีความหมายว่าอย่างไร มันมีความหมายว่าหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์โดยมหาวิทยาลัยออกซ์เซนเฟิร์ต”

นางหยุดพูดไปขณะยังเฝ้าสังเกตเขาอย่างตั้งใจ วิโซโกตาได้แต่นิ่งเงียบ พยายามไม่ให้สีหน้าของเขาเผยอารมณ์ใดออกมา

“ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงคิดว่า” นางกล่าวพร้อมกับสะบัดศีรษะอย่างรุนแรงและทะนงตนตามนิสัย “เจ้าต้องไม่ใช่นักพรตธรรมดา ๆ แน่ และเจ้าก็ไม่ได้ถูกตัดขาดจากโลก แต่หนีมาจากมันต่างหาก แล้วเจ้าก็มาหดหัวอยู่ที่นี่ ในป่าดงพงไพรแห่งนี้ คอยตบตาผู้อื่นด้วยรูปกายและกอต้นอ้ออันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต”

“หากมันเป็นเช่นนั้นจริง” วิโซโกตาแย้มยิ้ม “งั้นโชคชะตาของเราทั้งสองก็เกี่ยวพันเข้าหากันอย่างประหลาดเสียแล้วล่ะ ท่านหญิงยอดนักอ่านของข้า โชคชะตาได้ชักนำให้เรามาพบกันอย่างแปลกประหลาดยิ่ง เพราะอย่างไรเสีย เจ้าเองก็กำลังหลบซ่อนตัวอยู่เหมือนกัน ซิริเอ๋ย เจ้าเองก็กำลังนำผ้าคลุมแห่งการหลอกลวงมาพันรอบตัวเองอย่างชำนาญอยู่เช่นกัน แต่เพราะข้าเป็นชายชรา ผู้ที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความเคลือบแคลงใจชวนขมขื่น…”

“เคลือบแคลงในตัวข้าน่ะหรือ”

“เคลือบแคลงในโลกต่างหาก ซิริ โลกที่ผู้คนจะสวมหน้ากากแห่งความจริงเข้าหากันเพื่อปิดบังรูปลักษณ์จอมปลอมไว้ หมายจะตบตาความจริงอีกข้อหนึ่ง – ซึ่งก็บังเอิญเป็นเรื่องหลอกลวงเช่นเดียวกัน โลกที่มีตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยออกซ์เซนเฟิร์ตทาทับไว้บนประตูซ่องนางโลม โลกที่อันธพาลผู้บาดเจ็บอ้างว่าตนคือผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ และอาจจะเป็นสตรีสูงศักดิ์ เป็นปัญญาชน เป็นผู้รอบรู้ที่เคยอ่านหนังสือของโรเดอริก เดอ โนเวมเบอร์มาก่อน ทั้งยังคุ้นเคยกับตราสัญลักษณ์ของสถาบันดี แม้มันจะขัดกับรูปลักษณ์ภายนอก ขัดกับความจริงที่ว่านางมีรอยสักอื่นอยู่บนตัวก็ตาม รอยสักเยี่ยงอันธพาล หรือรอยสักรูปกุหลาบแดงบนขาหนีบเจ้า”

“ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก” นางขบริมฝีปาก สีหน้าพลันแดงเข้มขึ้นจนรอยแผลเป็นเส้นยาวแทบจะกลายเป็นสีดำ “เจ้าเป็นชายแก่ที่ทุกข์ระทมจริง ๆ แถมยังเป็นหมาแก่ ๆ ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นด้วย”

“บนชั้นหนังสือหลังม่านนั่น–” เขาพยักเพยิดไปทางมัน “–มีสำเนาหนังสือเอน น็อก ม้าบ เทดห์’มอร์ก (บทฝึกซ้อมของกวีวัยเยาว์) อยู่ เป็นหนังสือรวมเทพนิยายและนิทานสุภาษิตคล้องจองของพวกเอลฟ์ มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงนกกาเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่และนางแอ่นน้อยตัวหนึ่ง ซึ่งข้าว่ามันช่างเข้ากับสถานการณ์และบทสนทนา ณ ปัจจุบันของเราเสียเหลือเกิน และเพราะข้าเป็นผู้รอบรู้เช่นเดียวกันกับเจ้า ซิริ ข้าจึงจะขอยกข้อความที่เหมาะสมมาสักช่วง เจ้าเองก็คงจะจำได้ว่านกกาตัวนั้นได้กล่าวโทษนกนางแอ่นว่าเป็นพวกใจง่ายและเหลาะแหละอย่างมิถูกมิควร

 

            ‘เฮน เคอร์บิน ดิก’ซ์ แอน น็อก ซิเรียล

            อาร์ค อาร์ค คาล์ม ฟอย์ล เต เวโล เอลล์

            ซิเรียล—

 

เขาเงียบเสียงลง เท้าศอกลงกับโต๊ะ แล้วจึงวางคางลงบนนิ้วมือที่ประสานเข้าด้วยกัน ซิริสะบัดศีรษะ ยืดตัวขึ้นตรง จ้องมองเขาอย่างท้าทาย และต่อโคลงที่ว่าจนจบ

 

‘…ซิเรียล เวโล เควสส์ แอน เอน’ซาน อิร์ช

ม้าบ อ็อก เฮน เคอร์บิน แวน นิ เควิร์ก เควิร์ก!”

 

“ชายชราผู้เคลือบแคลงและขมขื่น” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง วิโซโกตาจึงเอ่ยขึ้นโดยไม่เปลี่ยนตำแหน่ง “ขอกล่าวขอโทษต่อผู้รอบรู้ตัวน้อย เช่นเดียวกับที่นกกาเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสัมผัสถึงกลลวงและอุบายได้จากทั่วทุกหนแห่ง ได้ขอให้เจ้านกนางแอ่นซึ่งมีความผิดเพียงแค่ความเยาว์วัย มีชีวิตชีวา และงดงามยิ่งนักยกโทษให้”

“ทีนี้เป็นตาเจ้าแล้วล่ะที่เป็นฝ่ายพูดเพ้อเจ้อ” เด็กสาวเอ่ยอย่างขัดใจขณะยกมือขึ้นปิดบังรอยแผลบนแก้มโดยไม่รู้ตัว “ลืมคำสรรเสริญพวกนั้นไปเสียเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ทำให้รอยเย็บเบี้ยว ๆ ที่เจ้าทำให้ข้าจางหายไปอยู่ดี แล้วก็อย่าคิดเชียวนะว่าข้าจะยอมเชื่อใจเจ้าเพียงเพราะเจ้ากล่าวขอโทษ ข้ายังไม่ทันรู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคือใคร ทำไมเจ้าถึงโกหกข้าเรื่องวันเวลาเหล่านั้น หรือเพราะเหตุใดเจ้าถึงชอบก้มมองหว่างขาข้าราวกับว่าแผลของข้าลากยาวไปถึงตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่ข้าได้รับบาดเจ็บบนใบหน้าแท้ ๆ”

ครั้งนี้นางทำให้เขาถึงกับหมดความอดทน

“เจ้าเด็กเวรนี่ พูดอะไรของเจ้าน่ะ” เขาคำราม “ข้าอาจเป็นบิดาของเจ้าก็ได้นี่นา!”

“เป็นปู่ต่างหาก” นางแก้คำพูดเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชืด “ไม่ก็อาจจะเป็นท่านทวดของข้า แต่เจ้าไม่ใช่ ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้าต้องไม่ใช่คนแบบที่เจ้าเสแสร้งเป็นอยู่ในตอนนี้แน่”

“ข้าคือคนที่พบตัวเจ้าที่กลางหนองน้ำในสภาพเกือบแข็งตายอยู่บนตะไคร่ บนตำแหน่งที่ควรจะเป็นเครื่องหน้ามีแต่สะเก็ดสีดำอยู่เต็มไปหมด ทั้งเจ้ายังไม่ได้สติและสกปรกโสโครกเสียไม่มี ข้าคือคนที่พาเจ้ากลับมาบ้าน ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร ข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะคิดไปในทางที่แย่ที่สุด ข้าคือคนที่พันแผลให้เจ้าและพาเจ้าเข้านอน คอยช่วยรักษาให้เจ้าขณะที่เจ้าไข้ขึ้นสูง คอยดูแลและล้างตัวให้เจ้าอย่างละเอียด แม้กระทั่งบริเวณรอยสักนั่นก็ด้วย”

นางหน้าแดงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่คิดเปลี่ยนสีหน้าท้าทายหยิ่งผยอง

“ในโลกใบนี้” นางคำรามขรม “บางครั้งบางคราว ผู้คนจะสวมหน้ากากเข้าหากันเพื่อปิดบังความจริงเอาไว้ เจ้าเป็นคนพูดแบบนี้เองมิใช่หรือ ข้าเองก็รู้จักโลกใบนี้อยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ถ้าเจ้าพอจะจินตนาการออกได้น่ะนะ เจ้าเป็นคนช่วยเหลือข้าไว้ ช่วยรักษาบาดแผลและช่วยดูแลข้า ซึ่งข้าก็ต้องขอขอบคุณสำหรับเรื่องพวกนั้น ข้าขอขอบคุณในความ… ความเมตตาของเจ้า แม้ข้าจะรู้ดีว่าความเมตตานั้นย่อมต้องมาคู่กับ—”

“กับผลประโยชน์หรือความคาดหวังในผลกำไรสักนิดสักหน่อยน่ะหรือ” เขาจบประโยคด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ข้ารู้ดี อย่างไรเสีย ข้าก็เป็นคนเจนโลก บางทีข้าอาจจะรู้จักโลกดีพอ ๆ กับเจ้าก็ได้นะ ซิริ เด็กสาวที่ได้รับบาดเจ็บย่อมถูกริบของมีค่าไปจนหมด ยิ่งถ้าหากเจ้าไม่รู้สึกตัวหรืออ่อนแอเกินกว่าจะป้องกันตัวได้ เจ้าก็มักจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับราคะและแรงกระตุ้ยในกายเสมอ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและผิดธรรมชาติเสียด้วย เจ้าว่าไหม”

“บางครั้งสิ่งที่เจ้ามองเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นก็ได้” ซิริเอ่ยตอบ พวงข้างแก้มขึ้นสีเรื่ออีกครั้ง

“เป็นวาจาที่ถูกต้องยิ่งนัก” เขาเอ่ยขณะโยนหนังสัตว์อีกผืนลงไปบนกอง “และมันก็ได้นำพาเราทั้งสองไปยังข้อสรุปที่ว่า พวกเรานั้นช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกันและกันเลย ซิริเอ๋ย เราต่างรู้จักกันเพียงแค่เปลือกนอก และเปลือกนอกที่ว่าก็เป็นแค่เรื่องตบตาเสียด้วย”

เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง แต่ฝ่ายซิริเองก็ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยอะไรออกมา

“แม้ว่าเราทั้งคู่จะมานั่งไต่สวนหาความจริงกันเป็นการชั่วคราวแล้ว แต่เราก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกันและกันอยู่ดี ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นใครเหมือนกัน…”

ครานี้ ชายชราตั้งใจหยุดรอพลางคาดคะเนไว้ในใจ นางจ้องมองเขา ในสายตามีวี่แววของคำถามที่เขากำลังคาดหวังอยู่ ครั้นเมื่อนางเอ่ยถามออกมา ประกายประหลาดบางอย่างก็ฉายวาบขึ้นในนัยน์ตาคู่นั้น

“ใครจะเป็นฝ่ายเริ่มดี”

 

หากมีใครสักคนแอบย่องมาที่กระท่อมอันโดดเดี่ยวพร้อมหลังคามุงจากโหว่ ๆ ซึ่งคลุมครึ้มด้วยตะไคร่ในยามวิกาล หากคนผู้นั้นมองลอดผ่านเข้ามาข้างใน ท่ามกลางแสงไฟและประกายแวววาวจากพื้นเตา พวกเขาจะมองเห็นชายชราหนวดขาวผู้หนึ่งซึ่งกำลังนั่งคู่ตัวอยู่เหนือกองหนังสัตว์ พร้อม ๆ กันกับเด็กสาวผมสีเถ้าถ่านผู้มีแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัวบนข้างแก้ม รอยแผลที่ช่างดูไม่เข้ากับนัยน์ตาสีเขียวกลมโตดั่งนัยน์ตาเด็กเอาเสียเลย

แต่ใครเล่าจะมองเห็นภาพเช่นนี้ได้ ด้วยตัวกระท่อมนั้นตั้งเร้นกายอยู่ท่ามกลางดงต้นอ้อภายในบึงแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งไม่มีใครหน้าไหนกล้าย่างกรายเข้ามาแม้แต่เพียงผู้เดียว

 

“ข้ามีนามว่าวิโซโกตาแห่งคอร์โว ข้าเคยเป็นหมอมาก่อน เป็นศัลยแพทย์ ทั้งยังเคยเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ นักปราชญ์ และนักจริยธรรม ข้าเคยเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยออกซ์เซนเฟิร์ต แต่กลับต้องเผ่นหนีมาหลังจากที่รายงานฉบับหนึ่งที่ข้าตีพิมพ์ออกไปถูกมองว่าเป็นรายงานที่ขาดความศรัทธาในพระเจ้า ในตอนนั้น หรือก็คือห้าสิบปีก่อน ความผิดเช่นนี้มีโทษถึงตาย ข้าจึงต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน แต่ภรรยาของข้าดันไม่อยากอพยพมากับข้าด้วย นางจึงจากข้าไป ส่วนข้าเองก็เพิ่งจะหยุดเดินทางก็ต่อเมื่อมาถึงดินแดนอันห่างไกลทางตอนใต้ หรือก็คือในจักรวรรดินิล์ฟการ์ดเท่านั้น ต่อมา ข้าจึงได้กลายมาเป็นวิทยากรด้านจริยศาสตร์ประจำสถาบันแห่งจักรวรรดิในปราสาทกราวเปียน และข้าก็ได้ครองตำแหน่งนั้นมานานนับสิบปี แต่พอศาสตรนิพนธ์อีกชิ้นหนึ่งถูกตีพิมพ์ออกไป ข้าก็จำต้องเผ่นหนีมาจากที่นั่นอีกครั้ง… อนึ่ง งานที่ข้าพูดถึงนี่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอำนาจการปกครองแบบเผด็จการและลักษณะด้านอาชญากรรมของสงครามจักรวรรดินิยม แต่ที่สุดแล้ว ทั้งตัวข้าและผลงานของข้ากลับถูกตราหน้าว่าเป็นผลงานนอกรีตที่ข้าแต่งขึ้นเอง ทั้งยังเป็นตัวการสร้างความแตกแยกทางศาสนาด้วย ข้าถูกตัดสินว่าเป็นผู้ที่ถูกยุยงโดยกลุ่มนักบวชขนาดใหญ่ที่มีเป้าหมายเป็นการขยายอำนาจ ซ้ำพวกเขาเหล่านี้ยังมีฐานะเป็นผู้ปกครองตัวจริงของราชอาณาจักรทางตอนเหนืออีกต่างหาก ช่างเป็นเรื่องที่น่าหัวร่อสิ้นดี ทั้ง ๆ ที่ข้าเพิ่งจะถูกตัดสินประหารชีวิตในความผิดฐานไม่เชื่อในพระเจ้าไปเมื่อยี่สิบปีก่อนแท้ ๆ! แถมอันที่จริงแล้ว คณะนักบวชจำนวนมหาศาลนี้ยังถูกผู้คนในแดนเหนือลืมเลือนไปแล้วอีกต่างหาก แต่ประชาชนแห่งนิล์ฟการ์ดกลับไม่ทราบเรื่องนี้ และการนำเวทมนตร์หรือความเชื่องมงายมาข้องเกี่ยวกับการเมืองก็ถือเป็นการกระทำที่มีโทษร้ายแรงด้วย

“หากลองมองย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน หากในช่วงนั้น ข้ารู้จักทำตัวอ่อนน้อมและสำนึกผิดเสียบ้าง บางทีเหตุอื้อฉาวทั้งหมดอาจจะจบลงเพียงแค่นั้น และองค์จักรพรรดิก็คงเพียงแค่ไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ได้ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดใด ๆ แต่เพราะข้ารู้สึกเคียดแค้น เพราะมัวแต่มั่นใจว่าคำโต้แย้งของข้าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการเวลา ทั้งยังล้ำเลิศกว่าอำนาจการปกครองหรือการเมืองใด ๆ ข้าจึงรู้สึกว่าตนถูกตราหน้าผิด ๆ ถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม ถูกกดขี่ข่มเหง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงได้ติดต่อไปหาฝ่ายต่อต้านที่กำลังต่อสู้กับระบบทรราชย์อยู่ และกว่าที่ข้าจะรู้ตัว ข้าก็ถูกจับโยนลงไปในคุกใต้ดินพร้อม ๆ กับฝ่ายต่อต้านพวกนั้นเสียแล้ว แถมเมื่อได้เห็นเครื่องมือทรมาน บางคนยังกล่าวหาว่าข้าเป็นผู้นำด้านอุดมการณ์ของการเคลื่อนไหวนี้อีกต่างหาก

“แม้องค์จักรพรรดิจะทรงพระราชทานอภัยโทษให้แก่ข้า แต่ข้าก็ยังถูกตัดสินเนรเทศอยู่ดี ทั้งยังโดนคาดโทษไว้อีกว่าหากข้าหวนกลับมายังเขตแดนของจักรวรรดิอีก ข้าจะถูกประหารชีวิตในทันที

“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงชิงชังโลกทั้งใบยิ่งนัก ชิงชังราชอาณาจักร ชิงชังต่อทั้งจักรวรรดิและมหาวิทยาลัย ข้าชิงชังพวกฝ่ายต่อต้าน ข้าราชการ และเหล่านักกฎหมายยิ่งนัก ทั้งยังชิงชังเพื่อนร่วมงานและสหายของข้าที่จู่ ๆ ก็กลายมาเป็นคนไม่รู้จักกันราวกับต้องมนตร์เสียอย่างนั้น ข้าชิงชังภรรยาคนที่สองของข้าที่คิดว่าความดื้อรั้นของสามีของนางเป็นเหตุผลที่เหมาะสมแก่การหย่าร้างเหมือนภรรยาคนแรกของข้า ข้าชิงชังแม้กระทั่งลูก ๆ ของข้าที่ไม่ยอมรับข้าเป็นพ่อ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงกลายมาเป็นนักพรตอยู่ที่นี่ ในที่ลุ่มพีรีพลูตแห่งแอ็บบิงนี้ ข้าได้รับสืบทอดที่พักอาศัยมาจากโยคีที่ข้ารู้จัก ทว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด นิล์ฟการ์ดดันเข้ายึดครองเอ็บบิงเสียได้ เท่ากับว่าจู่ ๆ ข้าก็ดันได้อยู่ในจักรวรรดิอีกครั้ง แต่ยามนี้ ข้ากลับไม่เหลือพละกำลังหรือแรงใจพอจะออกเดินทางอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องซ่อนตัว คำพิพากษาของจักรวรรดิไม่เคยหมดอายุความ แม้ว่าตัวจักรพรรดิที่เป็นผู้ตัดสินจะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้วก็ตาม และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องนิยมชมชอบหรือมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกับจักรพรรดิองค์ก่อนด้วย แต่ถึงอย่างนั้น โทษประหารก็ยังคงมีผลอยู่ นั่นแหละคือกฎระเบียบและธรรมเนียมปฏิบัติของนิล์ฟการ์ด โทษกบฏนั้นไม่เคยหมดอายุ อีกทั้งการนิรโทษกรรมที่จักรพรรดิทุกองค์ทรงประทานให้หลังพิธีราชาภิเษกก็ไม่ได้ครอบคลุมมาถึงโทษนี้ด้วย หลังจากจักรพรรดิองค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์ นักโทษทุกคนที่ถูกพิพากษาโดยจักรพรรดิองค์ก่อนจะได้รับนิรโทษกรรมกันถ้วนหน้า… เว้นแต่ผู้ที่มีความผิดฐานกบฏ ฉะนั้นแล้ว ใครจะคลองบัลลังก์นิล์ฟการ์ดอยู่ในขณะนี้ก็ไม่สำคัญ หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าข้ายังมีชิวิตอยู่ และกำลังละเมิดคำตัดสินเนรเทศ หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าข้ายังอาศัยอยู่ในอาณาเขตของจักรวรรดิ ข้าคงไม่พ้นถูกจับแขวนคอแหง

“ทีนี้เจ้าก็คงเห็นแล้วใช่ไหม ซิริ ว่าเราทั้งคู่ต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกันเหลือเกิน”

 

“อะไรคือหลักจริยศาสตร์หรือ ข้าเคยรู้นะ แต่ข้าดันลืมมันไปแล้ว”

“ศาสตร์การเรียนรู้เกี่ยวกับหลักศีลธรรมจรรยาน่ะ เป็นการเรียนรู้เรื่องหลักปฏิบัติ อันได้แก่กาลเทศะและการวางตัวอย่างสูงส่ง เหมาะสม และซื่อสัตย์ นอกจากนี้ยังเป็นการเรียนรู้เรื่องคุณธรรม หรือก็คือคุณงามความดีและความซื่อสัตย์อันจะช่วยให้จิตวิญญาณของมนุษย์สูงส่งขึ้น ทั้งยังต้องศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับห้วงแห่งความชั่วร้ายอันถือเป็นศูนย์รวมของความอาฆาตและความเสื่อมทรามทั้งปวง…”

“คุณธรรมรึ!” นางพ่นลมพรืด “คุณความความดีรึ! ความซื่อสัตย์รึ! อย่าทำให้ข้าอยากหัวเราะจะดีกว่า เดี๋ยวแผลบนหน้าข้าจะฉีกเอาได้ เจ้าโชคดีแล้วล่ะที่ไม่ต้องถูกตามล่า ที่พวกนั้นไม่ส่งนักล่าค่าหัวอย่าง… บอนฮาร์ทมาตามล่าเจ้า ไม่งั้นเจ้าคงได้เห็น ว่าแก่นแท้ของความชั่วร้ายนั้นคือสิ่งใดกันแน่ หลักจริยศาสตร์หรือ มีแต่เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น ท่านวิโซโกตาแห่งคอร์โว ผู้ที่ถูกเหวี่ยงตกลงไปในห้วงแห่งความชั่วร้ายนั่นน่ะไม่ใช่พวกคนชั่วหรือพวกที่ทำตัวไม่เหมาะสมหรอก ไม่ใช่เลย! หากแต่เป็นพวกคนชั่วและคนหลอกลวงต่างหากที่จะเหวี่ยงร่างของผู้ที่ทำดี ซื่อสัตย์ และสูงส่ง แต่ทว่างุ่มง่าม ชักช้า และยืดยาดลงไป”

“ขอบใจสำหรับบทเรียน” เขายิ้มเยาะ “อันที่จริง แม้จะเป็นคนที่อยู่มานานกว่าหนึ่งศตวรรษ แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ใช่แล้ว การรับฟังผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์และเจนโลกมามากย่อมเป็นเรื่องดีเสมอ”

“ล้อข้าเข้าไป เอาอีกสิ ล้อข้าอีก” นางสะบัดศีรษะ “หากเจ้ายังทำได้ก็ทำไป ทีนี้ก็ถึงตาของข้าบ้างแล้ว เดี๋ยวข้าจะเล่านิทานสนุก ๆ ให้เจ้าฟัง ข้าจะบอกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า แล้วพอข้าเล่าเสร็จ เราค่อยมาดูกันอีกทีว่าเจ้าจะยังกล้าล้อข้าได้ลงคออยู่อีกไหม”

 

หากมีใครสักคนแอบย่องมาที่กระท่อมอันโดดเดี่ยวพร้อมหลังคามุงจากโหว่ ๆ ซึ่งคลุมครึ้มด้วยตะไคร่ในยามวิกาล หากคนผู้นั้นมองลอดผ่านเข้ามาข้างใน ภายในห้องอาบแสงสลัว พวกเขาจะมองเห็นชายชราหนวดขาวผู้หนึ่งกำลังเฝ้าฟังเรื่องเล่าของเด็กสาวผมสีเถ้าถ่านซึ่งนั่งอยู่บนท่อนไม้ข้างเตาไฟ พวกเขาย่อมสังเกตเห็นว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังกล่าววาจาอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าการจะสรรหาคำมาพูดนั้นเป็นเรื่องยากเสียเต็มประดา ทั้งยังเห็นนางคอยถูแก้มซึ่งดูบิดเบี้ยวด้วยรอยแผลอัปลักษณ์ที่พาดผ่านอย่างประหม่า และเห็นนางคอยสอดแทรกเรื่องเล่าของตนด้วยความเงียบงันอันยาวนาน เรื่องเล่าของนางนั้นเกี่ยวข้องกับบทเรียนต่าง ๆ ที่นางได้เล่าเรียนมาตั้งแต่อย่างแรกจนถึงอย่างสุดท้าย แต่กลายเป็นว่าในท้ายที่สุด บทเรียนทั้งหมดกลับกลายเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงชวนให้เข้าใจผิด นอกจากนี้ นางยังเล่าถึงเรื่องคำสัญญาที่ใครบางคนเคยให้ไว้กับนาง แต่ก็ไม่ได้รักษาเอาไว้ ทั้งยังเล่าถึงเรื่องของโชคชะตาที่นางถูกบังคับให้เชื่อถือ แต่กลับถูกมันทรยศหักหลังอย่างอัปยศและช่วงชิงสมบัติทั้งหมดของนางไป เด็กสาวเล่าว่าทุก ๆ ครั้งที่นางเริ่มเชื่อถือในโชคชาตะ นางกลับต้องพบเจอแต่กับความทุกข์ ความเจ็บปวด ความอยุติธรรม และความอัปยศอดสู เล่าถึงเรื่องที่นางถูกความรักและความเชื่อใจเหล่านั้นหักหลังเข้าให้โดยการไม่มาช่วยเหลือนางในยามที่นางเดือดร้อน หรือในยามที่นางถูกคุกคามโดยความอับอาย ความทุกข์ และความตาย นางเล่าถึงนิทานที่เกี่ยวข้องกับหลักอุดมคติที่นางถูกสั่งสอนให้ยึดถือในมัน แต่ก็ดันถูกมันทรยศหักหลัง ทำให้นางต้องเศร้าโศกเสียใจ และทอดทิ้งนางไปในยามที่นางต้องการมัน ซึ่งพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่ามันมีค่าน้อยนิดเพียงใด นอกจากนี้ นางยังเล่าอีกด้วยว่าในท้ายที่สุดแล้ว นางก็ได้พบกับความช่วยเหลือ ได้พบกับมิตรภาพ – และความรัก – จากกลุ่มคนที่นางไม่ควรจะแสวงหาความช่วยเหลือหรือมิตรภาพใด ๆ ไม่ต้องพูดถึงความรักเลยด้วยซ้ำ

ทว่าใครเล่าจะมองเห็นหรือได้ยินเรื่องดังกล่าว ด้วยความที่กระท่อมพร้อมหลังคอมุงจากโหว่ ๆ ซึ่งคลุมครึ้มด้วยตะไคร่แห่งนี้ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางสายหมอกอย่างมิดชิด ทั้งยังตั้งอยู่ภายในบึงน้ำ ที่ซึ่งไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้ามาแม้แต่เพียงผู้เดียว

 

 

บทที่สอง

ลมตะวันตกหอบพายุมาด้วยในคืนนั้น

เส้นแสงอสนีบาตผ่าท้องฟ้าสีม่วงดำออกเป็นเสี่ยง ๆ ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่ากัมปนาทยาวเหยียด สายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างฉับพลันนั้นส่งหยาดน้ำที่เดือดพล่านราวน้ำมันกระหน่ำซัดลงบนฝุ่นผงบนท้องถนน มันส่งเสียงคำรามมาจากบนหลังคาและละเลงคราบขุ่นลงบนผิวกระจก ทว่าสายลมอันรุนแรงก็พัดพาฝนห่าใหญ่นั้นไปยังที่ไกลแสนไกลอย่างรวดเร็ว ข้ามพ้นเส้นขอบฟ้าซึ่งยังคงเปล่งแสงจ้าด้วยสายฟ้าฟาด

จากนั้น พวกสุนัขจึงเริ่มเห่าหอน กีบม้าเหยียบย่ำลงบนพื้น อาวุธมากมายกระทบเข้าหากัน เสียงโหยหวนและหวีดหวิวอันป่าเถื่อนส่งผลให้เส้นผมบนศีรษะของชาวบ้านที่สะดุ้งตื่นจากนิทราตั้งชันขึ้น และในขณะนี้ ชาวบ้านเหล่านั้นก็กำลังดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างรีบร้อน พากันไปตอกแผ่นไม้บังบานประตูและหน้าต่างไว้จนมิด ฝ่ามือโชกเหงื่อกำแน่นอยู่รอบด้ามขวานและคราด แต่ถึงแม้จะกำมันไว้แน่นแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อยู่ดี

ความหวาดกลัวแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว นี่พวกเขาเป็นฝ่ายตามล่าหรือถูกล่ากัน การกระทำอันโหดร้ายและบ้าคลั่งนี้เกิดขึ้นมาจากความหวาดกลัวโทสะกัน พวกเขาควรจะควบม้าฝ่าออกไปโดยไม่หยุดดีไหม หรือจะรอให้ค่ำคืนนี้สว่างไสวขึ้นด้วยเปลวไฟบนหลังคามุกจากซึ่งกำลังลุกไหม้ดี

            เงียบเสีย เงียบเถิดลูกแม่…

            แม่จ๋า คนพวกนั้นคือปีศาจหรือ หรือจะเป็นพวกไวลด์ฮันท์หรือภูตผีจากนรกกัน แม่จ๋า แม่จ๋า!

            เงียบเถิดลูกรัก คนพวกนั่นไม่ใช่ภูตผีปีศาจร้ายหรอก…

            แต่ย่ำแย่กว่านั้นมากต่างหาก

            เพราะพวกเขาคือมนุษย์

เหล่าสุนัขส่งเสียงเห่าหอน สายลมพัดโบก ฝูงม้าร้องฮี้ เกือกม้ากระทบผืนดิน ทั้งคณะยังคงควบม้าข้ามผ่านหมู่บ้านและราตรีกาลไป

 

ฮ็อตสเปิร์นขี่ม้าขึ้นไปบนเนินเขาเล็ก ๆ ก่อนจะชักสายบังเหียนและหมุนม้ากลับมา เขาเป็นคนรอบคอบและระมัดระวัง ทั้งยังไม่นิยมการเสี่ยงภัย โดยเฉพาะตอนที่เขาสามารถระวังตัวได้โดยไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดไป เขาไม่ได้รีบเร่งไปยังที่ทำการไปรษณีย์ริมแม่น้ำขนาดเล็ก แต่กลับเลือกเฝ้ามองรอบด้านให้ดีก่อน

นอกที่ทำการไปรษณีย์นั้นไม่มีม้าหรือพาหนะเทียมม้าอยู่เลยสักคัน จะมีแค่เพียงเกวียนเทียมลาคู่ขนาดเล็กจอดอยู่เล่มเดียวเท่านั้น บนผ้าใบกันน้ำของเกวียนเล่มนั้นมีข้อความบางอย่างที่ฮ็อตสเปิร์นอ่านไม่ออก แต่มันก็ดูไม่ได้อันตรายอะไร ฮ็อตสเปิร์นสามารถสัมผัสถึงภัยอันตรายได้ และเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเสียด้วย

เขาขี่ม้าลงไปที่ริมตลิ่งซึ่งปกคลุมด้วยพุ่มไม้และต้นหวายมากมาย จากนั้นจึงกระตุ้นม้าของตนอย่างเฉียบขาดเพื่อให้มันก้าวลงไปในแม่น้ำ และควบม้าข้ามสายน้ำมายังอีกฟาก ส่งผลให้หยาดน้ำมากมายสาดกระเซ็นขึ้นมาบนอาน เป็ดบางตัวที่ว่ายน้ำอยู่ริมตลิ่งต่างพากันบินหนีไปพร้อมส่งเสียงร้องดังระงม

ฮ็อตสเปิร์นกระตุ้นม้าซ้ำอีกครั้งและควบมันผ่านรั้วกั้นที่เปิดอ้าออก ตรงเข้าไปในลานกว้างหน้าที่ทำการไปรษณีย์ ตอนนี้เขาสามารถอ่านข้อความบนผ้าใบกันน้ำได้แล้ว ข้อความดังกล่าวเขียนเอาไว้ว่า ‘ท่านอัลมาเวรา ช่างสัก’ คำแต่ละคำล้วนถูกทาสีแตกต่างกันออกไป อีกทั้งด้านหน้ายังขึ้นต้นด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่มหึมาซึ่งประดับประดาอย่างฉูดฉาด ส่วนบนกล่องเก็บของเหนือล้อหน้าทางด้านขวานั้นมีลูกศรหัวแฉกย้อมสีม่วงวางอยู่ดอกหนึ่ง

“ลงจากม้าเสีย!” เขาได้ยินสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง “ลงมาที่พื้นเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า! เอามือออกจากด้ามดาบของเจ้าด้วย!”

คนเหล่านั้นต่างพากันก้าวเข้ามาใกล้และล้อมเขาไว้อย่างเงียบเชียบ แอสยืนอยู่ทางด้านขวาในชุดเสื้อนอกหนังสีดำประทับหมุดเงิน ส่วนฟอลกา ผู้ซึ่งอยู่ในชุดหนังกลับรัดรูปไร้แขนสีเขียวสั้นพร้อมหมวกบาเรท์ประดับขนนกนั้นยืนอยู่ทางด้านซ้าย ฮ็อตสเปิร์นดึงหมวกฮู้ดลงจากศีรษะและดึงผ้าพันคอออกจากใบหน้า

“ฮ่า!” แอสลดดาบในมือลง “เป็นเจ้าเองรึ ฮ็อตสเปิร์น ข้าคงจะจำเจ้าได้อยู่หรอก หากมิใช่เพราะเจ้าม้าดำตัวนั้น!”

“ช่างเป็นม้าตัวน้อยที่งดงามเหลือเกิน” ฟอลกาเอ่ยอย่างยินดีพลางเลื่อนหมวกบาเรท์ไปยังหูข้างหนึ่ง “ขนของมันทั้งดำและเปล่งประกายเหมือนถ่านหินไม่มีผิด บนตัวก็ไม่มีขนสีอ่อนอยู่เลยสักเส้น แถมรูปร่างของมันยังดูกำยำดีอีกต่างหาก! โอ ช่างเป็นม้าที่สวยอะไรอย่างนี้!”

“ใช่ไหมเล่า ข้าได้มันมาในราคาไม่ถึงร้อยฟลอรินด้วยซ้ำ” ฮ็อตสเปิร์นแย้มยิ้ม “ว่าแต่จิเซลเฮอร์เล่า อยู่ข้างในรึ”

แอสพยักหน้า ส่วนฟอลกาที่ยังคงจ้องมองเจ้าม้าเพศเมียราวกับต้องมนตร์ยกมือขึ้นลูบคอของมัน

“ตอนที่มันวิ่งข้ามน้ำมา” ฟอลกากล่าวขณะช้อนนัยน์ตาสีเขียวกลมโตขึ้นมองฮ็อตสเปิร์น “มันดูเหมือนเคลปีตัวจริงเสียงจริงไม่มีผิด! หากเจ้าม้าตัวนี้ปรากฏกกายขึ้นมาจากท้องทะเลแทนที่จะเป็นแม่น้ำ ข้าคงเชื่อไปแล้วว่ามันเป็นเคลปีจริง ๆ”

“เจ้าเคยเห็นเคลปีจริง ๆ ด้วยหรือ คุณหนูฟอลกา”

“แค่ในภาพวาดเท่านั้นแหละ” เด็กสาวพลันมีท่าทีจริงจังขึ้น “แต่เรื่องมันก็ยาวใช่ย่อย เข้ามาข้างในเถอะ จิเซลเฮอร์รอเจ้าอยู่พอดี”

 

ที่ริมหน้าต่างซึ่งมีแสงลอดผ่านมาเล็กน้อยนั้นมีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง มิสเซิลกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะตัวนั้นโดยใช้ข้อศอกยันร่างไว้ นางอยู่ในสภาพเกือบเปลือยกายตั้งแต่เอวลงมา ด้วยชุดเสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่ในขณะนี้มีเพียงแค่ถุงน่องยาวคู่หนึ่งเท่านั้น ส่วนตรงกลางหว่างขาที่อ้าออกกว้างอย่างหน้าไม่อายมีบุรุษผมยาวผอมแห้งซึ่งสวมชุดคลุมสีเทาอมน้ำตาลตัวหลวมนั่งคุกเข่าอยู่คนหนึ่ง คนผู้นั้นย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านอัลมาเวรา ช่างสักซึ่งกำลังวาดลวดลายหลากสีลงบนน่องขาของมิสเซิล

“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อยสิ ฮ็อตสเปิร์น” จิเซลเฮอร์เอ่ยชวนขณะลากม้านั่งเดี่ยวตัวหนึ่งมาจากโต๊ะตัวถัดไป ที่ซึ่งเขากำลังนั่งอยู่กับอิสครา เคย์ลีก์ และรีฟ สองคนหลังนั้นอยู่ในชุดหนังลูกวัวสีดำ ทั่วทั้งตัวมีหัวเข็มขัด กระดุมสลัก สายโซ่ และเครื่องเงินสุดประณีตประดับอยู่เช่นเดียวกับแอส ดูท่าคนเหล่านี้คงตบทรัพย์ให้ช่างฝีมือสักคนเป็นจำนวนมากทีเดียว ฮ็อตสเปิร์นคิด เพราะถ้าหากพวกหนูเหล่านี้เกิดนึกอยากแต่งตัวขึ้นมา พวกเขาจะยอมจ่ายค่าตอบแทนให้กับช่างตัดเสื้อ ช่างทำรองเท้า และช่างทำเครื่องหนังอย่างงาม และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะฉกฉวยเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่ต้องตาต้องใจมาจากเหยื่อที่ถูกพวกเขาบุกจู่โจมด้วย

“เจ้าคงพบข้อความที่เราทิ้งไว้ให้ในซากที่ทำการไปรษณีย์เก่าแล้วใช่ไหม” จิเซลเฮอร์เอ่ยขึ้นพลางบิดขี้เกียจ “เอ้อ พูดอะไรของข้าเนี่ย ไม่งั้นเจ้าจะมาที่นี่ได้ยังไง แต่ขอบอกไว้เลยนะว่าเจ้าขี่มามาได้เร็วทีเดียว”

“เป็นเพราะเจ้าม้าแสนงามตัวนี้ต่างหาก” ฟอลกาเอ่ยแทรก “พนันเลยว่ามันจะต้องวิ่งได้เร็วมากเช่นกัน!”

“ข้าเจอข้อความของเจ้าแล้ว” ฮ็อตสเปิร์นไม่ได้ละสายตาจากจิเซลเฮอร์เลย “แล้วข้อความของข้าเล่า มันส่งไปถึงพวกเจ้าไหม”

“ถึง…” หัวหน้ากลุ่มหนูอึกอัก “แต่ว่า… ก็นะ พูดสั้น ๆ ก็คือ… พวกเราไม่มีเวลาเลย แถมต่อจากนั้น พวกเราก็เมาแอ๋กันหมด จึงจำต้องพักผ่อนกันเล็กน้อย แล้วเราก็ดันต้องแยกไปอีกเส้นทางหนึ่ง…”

ไอ้ลูกหมาเวรตะไลเอ๊ย ฮ็อตสเปิร์นคิด

“พูดสั้น ๆ ก็คือ เจ้าทำงานไม่สำเร็จสินะ”

“ก็ใช่ อภัยให้ข้าด้วย ฮ็อตสเปิร์น ข้าทำมันไม่ได้… แต่หากมีครั้งหน้าละก็! รับรองเลยว่าไม่มีพลาดแน่!”

“ไม่พลาดแน่!” เคย์ลีก์กล่าวย้ำซ้ำอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่มีใครขอให้เขาทำเช่นนั้นก็ตาม

ไอ้เจ้าลูกหมาเวรตะไลไร้ความรับผิดชอบเอ๊ย เอาแต่เมาหัวราน้ำกัน จากนั้นก็ดันต้องแยกไปทางรึ… พนันเลยว่าต้องแยกไปหาช่างตัดเสื้อเพื่อให้เขาตัดชุดเก๋ ๆ ให้สักชุดแหง

            “ดื่มสักแก้วไหม”

“ไม่ล่ะ ขอบใจ”

“แล้วถ้าเป็นของพวกนี้เล่า” จิเซลเฮอร์ชี้นิ้วไปยังกล่องเคลือบเงาหรูหราขนาดเล็กซึ่งวางอยู่ท่ามกลางกองขวดหุ้มตะกร้าสานและถ้วยแก้มมากมาย ฮ็อตสเปิร์นจึงตระหนักได้ว่าเหตุใดในนัยน์ตาของพวกหนูจึงมีประกายประหลาดฉายวาบอยู่ หรือเหตุใดท่าทางของพวกเขาจึงดูลุกลี้ลุกลนนัก

“ผงแป้งนี่เป็นของชั้นหนึ่งเลยนะ” จิเซลเฮอร์ให้การรับรอง “ไม่ลองดูสักหน่อยรึ”

“ไม่ล่ะ ขอบใจ” ฮ็อตสเปิร์นชำเลืองมองไปยังคราบสีแดงและริ้วลายสีเลือดบางตาบนพื้นขี้เลื่อยภายในห้องอย่างรู้ทัน มันเป็นหลักฐานซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าศพถูกลากไปยังทิศทางใด และจิเซลเฮอร์ก็สังเกตเห็นสายตาของเขาเข้า

“ข้ารับใช้คนหนึ่งคิดอยากทำตัวเป็นวีรบุรุษ” เขาพ่นลมพรืด “เลยโดนอิสคราเอ็ดเข้าให้”

อิสคราส่งเสียงหัวเราะในคอ เห็นได้ชัดว่ายาเสพติดนั่นทำให้นางตื่นตัวไม่น้อย

“ข้าเอ็ดเขาเสียจนเจ้านั่นถึงกับสำลักเลือดเลยละ” นางคุยโว “พอได้เห็นแบบนั้น คนอื่น ๆ ก็เลยหัวหดกันไปหมด นี่ต่างหากคือสิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัว!”

ทั่วร่างของนางยังคงประดับประดาด้วยเพชรพลอยดังเช่นทุกครั้ง กระทั่งบนจมูกของนางยังมีหมุดเพชรกลัดอยู่ นางมิได้สวมใส่เสื้อหนัง แต่กลับสวมชุดเสื้อนอกสีแดงสดพร้อมลวดลายทอยกดอกแสนวิจิตร รูปลักษณ์ของนางช่างดูล้ำสมัยเสียจนอาจทำให้เหล่าหนุ่มสาวผู้ร่ำรวยในเธิร์นอิจฉาตาร้อนได้เลยทีเดียว เช่นเดียวกับผ้าพันคอไหมที่พันอยู่รอบศีรษะของจิเซลเฮอร์ กระทั่งฮ็อตสเปิร์นยังเคยได้ยินเด็กสาวบางคนขอให้ช่างตัดผมตัดทรง ‘มิสเซิล’ ให้เลย

“นั่นสินะคือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความหวาดกลัว” เขาทวนคำอย่างครุ่นคิดขณะยังจ้องมองคราบเลือดบนพื้น “แล้วนายสถานีเล่า ไหนจะภรรยาและลูกชายของเขาอีก”

“เปล่าสักหน่อย” จิเซลเฮอร์ตีหน้าบึ้ง “คิดหรือว่าเราจะเล่นงานพวกเขาหมดทุกคน ไม่ใช่เลย เราแค่ขังพวกเขาไว้ในห้องเก็บอาหารสักพักต่างหาก และก็อย่างที่เจ้าเห็น ทีนี้ที่ทำการก็ตกเป็นของเราแล้ว”

เคย์ลีก์ล้างปากด้วยไวน์แล้วจึงถ่มมันลงบนพื้น เขาใช้ช้อนขนาดเล็กคันหนึ่งตักฟิสเทคขึ้นมาจากในกล่องเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆโรยมันลงบนปลายนิ้วชี้เปื้อนน้ำลายของตนอย่างพิถีพิกันและปาดสารเสพติดนั้นลงบนบนเหงือก เขาส่งกล่องที่ว่าต่อไปให้ฟอลกาที่ลงมือทำแบบเดียวกัน แล้วค่อยส่งกล่องใบนั้นต่อไปให้รีฟอีกที ทว่าชาวนิล์ฟการ์ดกลับบอกปัดมันไปด้วยความที่ยังคงสาละวนอยู่กับการจับจ้องรายการรอยสักหลากสี เขาจึงส่งมันต่อไปให้อิสคราแทน แต่ฝ่ายเอลฟ์หญิงกลับส่งมันต่อไปให้จิเซลเฮอร์โดยที่ไม่ได้ปาดผงแป้งขึ้นไป

“ความหวาดกลัว!” นางคำรามพร้อมหรี่นัยน์ตาเป็นประกายและสูดจมูก “เราทำให้ทั้งสถานีต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว! จักรพรรดิอีเมียร์ใช้วิธีนี้ยึดโลกได้ แต่เรากลับยึดได้แค่กระต๊อบหลังเล็ก ๆ นี่ ทั้ง ๆ ที่หลักการมันก็เหมือน ๆ กันแท้ ๆ!”

“โอ๊ยยย ให้ตายสิ!” แว่วเสียงตะโกนของมิสเซิลดังมาจากบนโต๊ะ “จิ้มเข็มให้มันถูกตำแหน่งหน่อยสิ! ขืนเจ้าทำแบบนั้นอีก ข้าจะเป็นฝ่ายจิ้มเจ้าแทน! เอาให้ทะลุเลย!”

พวกหนู – เว้นแต่ฟอลกาและจิเซลเฮอร์ – ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“อยากสวยก็ต้องทนเจ็บหน่อยสิ!” อิสคราร้องบอก

“จัดการเลยขอรับ นายท่าน จัดการเลย” เคย์ลีก์กล่าวเสริม “ตรงหว่างขาของนางน่ะตายด้านจะตายชัก!”

ฟอลกาสบถออกมาเสียยืดยาวแล้วโยนถ้วยแก้วใส่เขา เคย์ลีก์ก้มหลบมันได้ทัน พวกหนูจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“สรุปก็คือ” ฮ็อตสเปิร์นตัดสินใจหยุดความสำราญไว้เพียงเท่านี้ “พวกเจ้าใช้ความหวาดกลัวยึดที่ทำการเอาไว้ได้ แต่เพื่ออะไรเล่า นอกเสียจากความพอใจที่ได้จากการคุกคามครอบครัวนายสถานี”

“พวกเรา” จิเซลเฮอร์ตอบขณะปาดฟิสเทคลงบนเหงือก “กำลังรอคอยอยู่ หากใครสักคนแวะมาเปลี่ยนม้าหรือพักผ่อนที่นี่ เขาจะถูกเราปล้นจนหมดตัว แล้วที่นี่ก็สะดวกสบายกว่าที่ทางแยกหรือในพุ่มไม้ริมถนนใหญ่ด้วย แต่ก็อย่างที่อิสคราเพิ่งพูดไปนั่นแหละ หลัการมันก็แบบเดียวกัน”

“ทว่าตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ พวกที่หล่นลงมาในหลุมพรางของเราก็มีแต่เจ้านี่เท่านั้น” รีฟเอ่ยแทรกขณะชี้นิ้วไปยังท่านอัลมาเวราซึ่งศีรษะแทบจะจบหายไปกลางหว่างขาของมิสเซิล “ก็แค่ยาจกคนหนึ่ง เหมือนกับศิลปินคนอื่น ๆ นั่นแหละ เจ้านี่ไม่มีอะไรให้เราปล้นเลย เราก็เลยชิงงานศิลปะของเขามา ดูสิว่าฝีมือการสักรูปของเขาแยบยลแค่ไหน”

เขากางแขนให้อีกฝ่ายเห็นรูปรอยสักอาบเลือด รอยสักที่ว่าเป็นรูปของสตรีเปล่าเปลือยนางหนึ่งซึ่งจะส่ายก้นไปมาทุก ๆ ครั้งที่เขากำหมัด เคย์ลีก์เองก็ยื่นแขนออกมาให้ดูเช่นกัน รอยสักของเขาเป็นรูปงูเขียวตัวหนึ่งพร้อมปากที่อ้ากว้างและลิ้นสองแฉกสีเลือดหมูซึ่งเลื้อยพันอยู่รอบ ๆ แขนของเขา สูงขึ้นไปเหนือกำไลมีหนาม

“เป็นผลงานที่เข้าท่าดีทีเดียว” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวอย่างเฉยชา “แถมยังน่าจะใช้ประโยชน์ได้เวลาต้องระบุตัวตนจากศพด้วย แต่อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าก็ยังปล้นพลาดอยู่ดีนะ เหล่าหนูที่รักของข้า แถมยังต้องจ่ายค่าฝีมือให้กับศิลปินผู้นี้ด้วย ข้าไม่มีเวลามาเตือนพวกเจ้า ทว่านับตั้งแต่วันแรกของเดือนกันยายนยาวไปอีกเจ็ดวัน สัญลักษณ์ได้ถูกเปลี่ยนเป็นลูกศรสองแฉกสีม่วง ชายผู้นี้ก็มีภาพดังกล่าววาดเอาไว้บนเกวียนของเขาเช่นกัน”

รีฟสบถพึมพำแผ่วเบา ส่วนเคย์ลีก์หัวเราะ จิเซลเฮอร์โบกมือไปมาด้วยท่าทีเฉยเมย

“น่าเสียดาย แต่หากจำเป็นจริง ๆ เราจะยอมจ่ายเงินให้เป็นค่าลงเข็มและค่าน้ำหมึกของเขาก็ได้ เจ้าบอกว่าสัญลักษณ์คือลูกศรสีม่วงใช่ไหม เราจำได้น่า หากมีใครสักคนเดินทางมาพร้อมสัญลักษณ์ลูกศรภายในวันนี้ถึงวันพรุ่งนี้ เขาผู้นั้นจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ”

“เจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปจนถึงวันพรุ่งนี้เลยหรือ” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ ซึ่งออกจะดูเกินจริงไปเล็กน้อย “ช่างไม่รอบคอบเอาเสียเลย พวกหนูเอ๋ย แบบนั้นมันอันตรายแล้วก็เสียงมากเลยไม่ใช่รึไง!”

“อะไรนะ”

“ทั้งอันตรายแล้วก็เสี่ยง!”

จิเซลเฮอร์ยักไหล่ อิสคราพ่นลมพรืดและสั่งน้ำมูกลงบนพื้น ส่วนรีฟ เคย์ลีก์ และฟอลกาจ้องมองฮ็อตสเปิร์นราวกับเขาเพิ่งจะประกาศว่าพระอาทิตย์ได้ตกลงไปในแม่น้ำเสียแล้ว จึงจำเป็นต้องตกมันขึ้นมาก่อนที่จะถูกกุ้งนางหนีบเข้าให้ ฮ็อตสเปิร์นเข้าใจได้ในทันทีว่าเรียกร้องให้เจ้าพวกลูกหมาแสนสะเพร่าพวกนี้หัดใช้เหตุผลเสียบ้าง ทว่านั่นกลับเป็นสิ่งที่คนเหล่านี้มีอยู่เพียงน้อยนิด ทั้งยังเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งจะเอ่ยเตือนภัยเด็กอวดดีเหล่านี้ไป ทั้ง ๆ ที่เด็กอวดดี – ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกบุ่มบ่ามบ้าบิ่นนี้ – ต่างก็มีความคิดแปลกประหลาดด้วยกันทั้งสิ้น

“พวกเจ้ากำลังถูกตามล่าอยู่นะ เหล่าหนูเอ๋ย”

“แล้วไง”

ฮ็อตสเปิร์นถอนหายใจ

มิสเซิล – ผู้ที่ไม่แม้แต่จะเสียเวลาแต่งตัว – เดินเข้ามาหาพวกเขาและเอ่ยแทรกบทสนทนาขึ้น นางวางเท้าข้างหนึ่งลงบนม้านั่ง แล้วจึงบิดเอวเพื่ออวดให้ทุกคนได้เห็นผลงานของท่านอัลมาเวรา อันเป็นรอยสักรูปกุหลาบสีแดงสดบนก้านสีเขียวพร้อมใบไม้สองใบซึ่งประดับอยู่บนต้นขาด้านใน ข้าง ๆ ขาหนีบของนางพอดี

“ว่าไงเล่า” นางถามพลางเอามือเท้าเอว กำไลมากมายที่สูงขึ้นมาจนเกือบถึงศอกของนางต่างเปล่งประกายเรืองรอง “เจ้าจะว่าอย่างไร”

“งดงามยิ่ง!” เคย์ลีก์พ่นลมออกจมูกขณะปัดผมไปด้านข้าง ฮ็อตสเปิร์นสังเกตเห็นว่าสมาชิกกลุ่มหนูผู้นั้นมีต่างหูร้อยอยู่บนหูทั้งสองข้าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกไม่นาน ต่างหูลักษณะเดียวกันนี้กลายเป็นเครื่องประดับชิ้นล่าสุดที่เหล่าหนุ่มสาวผู้ร่ำรวยในเธิร์น รวมถึงผู้คนทั้งหมดในเกโซนิยมชมชอบกันแน่นอน – เช่นเดียวกับหนังปักหมุดหรือผ้าพันคอเนื้อไหม

“ตาเจ้าแล้ว ฟอลกา” มิสเซิลกล่าว “เจ้าจะสักรูปอะไร”

ฟอลกาสัมผัสต้นขาสหายของนาง จากนั้นจึงโน้มตัวไปเพื่อที่จะตรวจสอบรอยสักที่ว่าใกล้ ๆ มิสเซิลขยี้เส้นผมสีเทาดั่งเถ้าถ่านของฟอลกาอย่างอ่อนโยน ฟอลกาหัวเราะคิกคัก และเริ่มถอดเสื้อผ้าอย่างไม่รอช้า

“ข้าจะสักรูปกุหลาบแบบเดียวกับเจ้า” นางกล่าว “และจะสักลงบนตำแหน่งเดียวกับเจ้าเช่นกัน ยอดรัก”

 

“ในนี้มีหนูอยู่กี่ตัวกันแน่เนี่ย วิโซโกตา!” ซิริกล่าวขณะหยุดเล่าลงชั่วคราวและจ้องมองลงไปบนพื้น ที่ซึ่งเหล่าหนูตัวจ้อยกำลังจัดละครสัตว์ขึ้นในแสงไฟรูปวงกลมที่ฉายมาจากตะเกียงน้ำมัน ส่วนในความมืดสลัวเบื้องหลังแสงไฟนั้น ใครจะไปรู้เล่าว่ากำลังเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง

“ถ้ามีแมวสักตัวก็คงจะดี หรือถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็สักสองตัว”

“สัตว์ฟันแทะพวกนี้” นักพรตกระแอมไอ “เข้ามาข้างในเพียงเพราะฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามา แล้วข้าก็มีแมวอยู่แล้วด้วย แต่เจ้าตัวไร้ประโยชน์นั่นเผ่นหนีไปที่ไหนสักแห่ง แล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย”

“คงถูกจิ้งจอกไม่ก็หมาไม้คาบไปแล้วมั้ง”

“เจ้าไม่เคยเห็นแมวนั่น ซิริ หากจะมีสัตว์ตัวใดพาเจ้านั่นไปได้ สัตว์ตัวนั้นคงต้องเป็นมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีทางเล็กไปกว่านั้นแน่นอน”

“มันดุถึงขนาดนั้นเลยหรือ ว้า น่าเสียดายจริง ไม่งั้นมันคงไม่ปล่อยให้หนูพวกนี้ขึ้นมาวิ่งเล่นบนเตียงข้าแน่ น่าเสียดายนัก”

“ใช่ น่าเสียดาย แต่ข้าว่าเดี๋ยวมันก็คงกลับมาเอง พวกแมวก็แบบนี้แหละ”

“ข้าจะก่อกองไฟให้ ข้าหนาวแล้ว”

“ก็จริง พักนี้อากาศในช่วงกลางคืนช่างหนาวยิ่งนัก… นี่ขนาดยังไม่ทันพ้นช่วงกลางเดือนตุลาคมเลยนะ… เล่าต่อเถอะ ซิริ”

ซิรินั่งนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง เอาแต่จ้องมองลึกเข้าไปในเตาผิง เปลวไฟลุกโชนขึ้นเมื่อสัมผัสกับไม้ท่อนไม้ มันแตกปะทุ ส่งเสียงคำราม เปล่งแสงสีแทงออกมา และแผ่เงามืดวูบวาบลงบนใบหน้าประดับแผลของเด็กสาว

“เล่าต่อเถอะ”

 

ท่านอัลมาเวราแทงเข็มลงไป ซิริจึงสัมผัสได้ถึงหยดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ตรงบริเวณหางตา แม้ว่านางจะตั้งใจมอมเมาตัวเองอย่างรอบคอบด้วยไวน์และผงสีขาวก่อนการสักแล้ว ทว่าความเจ็บปวดก็ทำเอานางแทบจะทนต่อไปไม่ไหว นางขบฟันแน่น แม้จะไม่ได้ส่งเสียงครางออกมาดังคาด แต่นางก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่สนใจปลายเข็มและไม่รู้สึกรู้สาต่อความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เด็กสาวพยายามทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้โดยการเข้าร่วมวงสนทนาระหว่างพวกหนูและฮ็อตสเปิร์น บุคคลที่ต้องการให้คนอื่น ๆ คิดว่าเขาเป็นพ่อค้า ทั้ง ๆ ที่ – นอกจากเรื่องที่เขามักจะพึ่งพาพวกพ่อค้าอยู่บ่อย ๆ แล้ว – ชายผู้นี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการค้าขายอีกเลย

“พวกเจ้าดูเหมือนกำลังหนักใจเรื่องอะไรบางอย่างอยู่” ฮ็อตสเปิร์นกล่าว นัยน์ตาสีหม่นของเขากวาดมองไปทั่วใบหน้าของเหล่าหนู “แค่โดนเจ้าเมืองอามาริลโลกับตระกูลวาร์นฮาเก็นตามล่ายังไม่แย่พออีกหรือ ไหนจะมีบารอนแห่งคาซาเดย์อีก—”

“หือ” จิเซลเฮอร์ตีหน้าบึ้ง “เรื่องเจ้าเมืองกับตระกูลวาร์นฮาเก็นน่ะข้าก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่พวกคาซาเดย์มีเรื่องข้องใจอะไรกับเรากัน”

“พวกเพราะนั้นคือหมาป่าห่มหนังแกะ” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวพร้อมแย้มยิ้ม “ที่กำลังส่งเสียงแบ๊ะ ๆ อย่างน่าสงสารน่ะสิ แบ๊ะ แบ๊ะ ไม่มีใครชอบข้า ไม่มีใครเข้าใจข้าเลย ไม่ว่าข้าจะไปปรากฏตัวที่ไหน ข้าก็จะโดนคนโยนหินใส่พร้อมตะโกนใส่ข้าว่า ‘ออกไป’ ทำไมกันล่ะ ทำไมกัน เหตุใดข้าจึงต้องพบกับความลำเอียงแสนอยุติธรรมเช่นนี้ด้วย เหล่าหนูที่รักของข้าเอ๋ย ดูเหมือนว่าหลังจากการผจญภัยที่ริมแม่น้ำแว็กเทล บุตรสาวของบารอนแห่งคาซาเดย์จะล้มป่วยเข้าและยิ่งอ่อนแอลงไปอีก…”

“อ๋ออ” จิเซลเฮอร์เพิ่งนึกได้ “รถม้าพร้อมม้าเทียมลายจุดสี่ตัวนั่น เป็นคุณหนูผู้นั้นเองรึ”

“ใช่ คนนั้นแหละ และก็อย่างที่ข้าได้พูดไป ตอนนี้นางกำลังล้มป่วย ทั้งยังสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงหวีดร้องในยามค่ำคืนเมื่อหวนนึกถึงเรื่องของคุณชายเคย์ลีก์อีก… แต่ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งไปกว่านั้นก็คือเรื่องของคุณหนูฟอลกา แล้วก็เรื่องเข็มกลัดอันเป็นของดูต่างหน้าของมารดาผู้ล่วงลับ ที่ซึ่งคุณหนูฟอลกาได้ฉกชิงไปจากชุดกระโปรงของนาง ไหนจะเรื่องคำพูดต่าง ๆ นานาที่นางเอาแต่พูดวนไปมาซ้ำ ๆ อีก”

“เรื่องมันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!” ซิริตะโกนมาจากบนโต๊ะ ถือเป็นการระบายความเจ็บปวดไปด้วยในตัว “หากจะมีการกระทำใดที่เป็นการดูหมิ่นหรือไม่ให้เกียรตินาง ก็คงเป็นเพราะเราปล่อยให้นางรอดกลับไปเท่านั้น! นางแพศยานั่นควรจะถูกข่มขืนด้วยซ้ำไป!”

“ก็นั่นแหละ” ซิริสัมผัสได้ถึงสายตาของฮ็อตสเปิร์นที่จ้องมองมาที่ต้นขาเปลือยเปล่าของนาง “การที่พวกเจ้าปล่อยนางไปโดยที่ไม่ทำอะไรนางเลยนี่แหละที่ถือเป็นการหมิ่นเกียรตินาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลคาซาเดย์ที่กำลังขุ่นเคืองหนักจะต้องเฟ้นหาตัวกองกำลังติดอาวุธมาและเสนอรางวัลให้อย่างงามแน่ เขาถึงกับให้คำสาบานต่อหน้าสาธารณชนว่าจะต้องจับพวกเจ้ามาแขวนคอบนคานปีกที่ยื่นออกมาจากกำแพงปราสาทของเขาให้ได้ ทั้งยังให้คำสาบานไว้ด้วยว่าเพราะเข็มกลัดที่เจ้าขโมยมาจากบุตรสาวของเขา คุณหนูฟอลกาจะต้องถูกถลกหนังทั้งเป็น”

ซิริสบถ ส่วนพวกหนูคนอื่น ๆ ต่างส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อิสคราจามออกมาทีหนึ่ง ส่งผลให้น้ำมูกเปื้อนเต็มไปทั่วตัวนาง ดูเหมือนว่าฟิสเทคจะทำให้เยื่อบุเมือกในโพรงจมูกนางระคายเคืองเข้าเสียแล้ว

“ขอดูหมิ่นผู้ล่าของเราทั้งหมด” นางประกาศกร้าวขณะยกมือขึ้นปาดจมูก ปาก คาง และโต๊ะ “ทั้งเจ้าเมือง บารอน แล้วก็ตระกูลวาร์นฮาเก็นนั่น! จะล่าพวกเราก็เชิญ แต่เจ้าพวกนั้นไม่มีทางจับเราได้แน่! เราคือกลุ่มหนู! คือกลุ่มคนที่วิ่งลัดเลาะกลับไปกลับมาบริเวณริมชายฝั่งแม่น้ำเวลดา ตอนนี้เจ้าพวกนั้นคงกำลังหัวหมุนกันอยู่แน่ ไม่ก็กำลังตามรอยเราไปผิดทาง และกว่าเจ้าพวกนั้นจะนึกได้ พวกมันก็คงไปไกลเกินกว่าจะหันกลับแล้ว”

“ลองพวกมันหวนกลับมาดูสิ!” แอสกล่าวอย่างขุ่นเคืองหลังจากกลับมาจากเวรเฝ้ายามได้สักพัก ไม่มีใครไปทำหน้าที่แทนเขาอีก และก็ไม่มีใครคิดจะทำเช่นนั้นด้วย “เราจะฆ่าพวกมันให้เหี้ยนเลย!”

“ใช่แล้ว!” ซิริตะโกนมาจากบนโต๊ะ ดูเหมือนนางจะลืมเรื่องที่พวกนางต้องเผ่นหนีฝ่าหมู่บ้านหลายแห่งริมแม่น้ำเวลดามา รวมถึงเรื่องที่ว่าตัวนางนั้นหวาดกลัวแค่ไหนไปเสียแล้ว

“พอที” จิเซลเฮอร์เหวี่ยงฝ่ามือฟาดลงบนโต๊ะ เป็นการจบบทสนทนาอันโหวกเหวกลงโดยพลัน “พูดมาเถอะน่า ฮ็อตสเปิร์น ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องอยากบอกเรา เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าเรื่องเจ้าเมือง ตระกูลวาร์นฮาเก็น หรือบารอนแห่งคาซาเดย์กับบุตรสาวผู้แสนจะอ่อนไหวของเขาอีก”

“บอนฮาร์ทกำลังตามล่าพวกเจ้าอยู่”

ความเงียบงันโรยตัวลงอย่างยาวนาน กระทั่งท่านอัลมาเวรายังหยุดทำงานไปชั่วครู่หนึ่ง

“บอนฮาร์ท” จิเซลเฮอร์เอ่ยทวนด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ไอ้แก่สารเลวผมขาวนั่นน่ะหรือ เราคงเผลอไปลูบคมใครเข้าสิท่า”

“ต้องเป็นคนที่ร่ำรวยมากด้วย” มิสเซิลเสริม “คนทั่วไปไม่มีทางจ้างบอนฮาร์ทได้แน่”

ซิริกำลังจะเอ่ยถามว่าบอนฮาร์ทผู้นี้เป็นใคร แต่แอสกับรีฟ – ที่เอ่ยขึ้นเกือบจะเป็นเสียงเดียวกันนั้น – กลับเร็วกว่า

“เขาเป็นนักล่าค่าหัว” จิเซลเฮอร์อธิบายอย่างเคร่งขรึม “ว่ากันว่าเมื่อหลายปีก่อน ชายผู้นี้เคยทำงานให้กษัตริย์ แต่แล้วเขาก็กลายมาเป็นพ่อค้าเร่ ก่อนที่สุดท้ายจะเริ่มเข่นฆ่าผู้คนเพื่อแลกเงินค่าหัว ถือเป็นไอ้ชั่วแบบที่ไม่มีใครเทียมเลยละ”

“ว่ากันว่า” เคย์ลีก์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะมักง่ายอยู่บ้าง “หากเจ้าคิดจะฝังศพคนทุกคนที่บอนฮาร์ทเคยฆ่าในสุสานแห่งเดียวกัน สุสานแห่งนั้นจะต้องมีเนื้อที่ถึงครึ่งเอเคอร์เลยทีเดียว”

มิสเซิลเทผงขาวจำนวนหยิบมือหนึ่งลงบนรอยบุ๋มระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ที่ประกบเข้าหากัน จากนั้นจึงสูดมันเข้าไปอย่างแรง

“ผู้ที่จัดการแก๊งของเจ้ายักษ์โลธาร์ก็คือบอนฮาร์ทผู้นี้นี่แหละ” นางว่า “เขาคือคนที่แทงโลธาร์กับน้องชายที่ชื่อว่ามูโชโมเร็คเสียเละ”

“ว่ากันว่าเขาแทงพวกนั้นเข้าให้ที่หลัง” เคย์ลีก์เอ่ยแทรก

“วัลเดซก็โดนเขาฆ่าเหมือนกัน” จิเซลเฮอร์กล่าวเสริม “แถมเมื่อวัลเดซตายจากไป กลุ่มของเขาก็แยกตัวกัน พวกนั้นเป็นคนฝีมือเยี่ยม เป็นคนเก่งกล้ามั่นคง แถมยังเป็นนักสู้ชั้นยอด ข้าเองก็เคยคิดจะไปเข้าร่วมกลุ่มของเขาก่อนที่เราจะรวมกลุ่มกันเหมือนกัน”

“เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง” ฮ็อตสเปิร์นกล่าว “พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่พิเศษไม่เหมือนใคร และก็คงจะไม่มีใครเหมือนอีก ผู้คนมักจะขับร้องบทเพลงรื่นเริงที่เล่าขานถึงวีรกรรมตอนที่พวกเขาเหล่านั้นบุกตะลุยฝ่ากับดักที่ซาร์ดามาได้ ใช่ คนเหล่านั้นเป็นคนกล้า แถมยังเป็นพวกบ้าระห่ำดั่งปีศาจอีกต่างหาก! น้อยคนนักที่จะเทียบชั้นพวกเขาได้”

เหล่าหนูต่างนิ่งเงียบลงโดยพลัน ต่างคนต่างจับจ้องเขาด้วยสายตาคุกรุ่นเดือดพล่าน

“พวกเราทั้งหก” เคย์ลัก์เอ่ยเสียงเนิบหลังจากเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง “ก็เคยบุกฝ่าทัพทหารม้าชาวนิล์ฟการ์ดมาเหมือนกัน!”

“แถมยังเคยช่วยเคย์ลีก์จากพวกนิสซีร์มาแล้วด้วย!” แอสแหวขึ้น

“น้อยคนนักที่จะเทียบชั้นพวกเราได้!” รีฟขู่ฟ่อ

“ตามนั้นแหละ ฮ็อตสเปิร์น” จิเซลเฮอร์ผายอก “กลุ่มหนูเองก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน แม้กระทั่งกลุ่มอันธพาลของวัลเดซ เจ้าบอกว่าพวกนั้นเป็นพวกบ้าระห่ำดั่งปีศาจใช่ไหม งั้นข้าจะเล่าเรื่องปีศาจสาวบางตนให้ฟัง อิสครา มิสเซิล และฟอลกา – หรือสตรีทั้งสามที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเจ้าในขณะนี้ – เคยควบม้าผ่านไปตามถนนสายหลักในดรูยห์ในช่วงกลางวันแสก ๆ และถึงแม้จะได้รู้ว่าพวกวาร์นฮาเก็นกำลังดื่มกินกันอยู่ในโรงเหล้า พวกนางก็ยังคงควบม้าผ่านไปหน้าตาเฉย! ผ่านไปทั้ง ๆ อย่างนั้นเลย! แค่ขี่ม้าผ่านเข้าไปทางด้านหน้าแล้วทะลุออกมาที่ลานกว้าง ทิ้งให้พวกวาร์นฮาเก็นได้แต่อ้าปากค้างขณะจ้องมองเหยือกเบียร์แตกหักและเบียร์ที่หกกระจายไปทั่ว เจ้ากล้าพูดรึเปล่าว่าเรื่องนี้ฟังดูไม่ห้าวหาญเอาเสียเลย”

“เขาไม่กล้าหรอก” มิสเซิลเอ่ยแทรกพลางแย้มยิ้มน่ารังเกียจก่อนที่ฮ็อตสเปิร์นจะทันได้ตอบ “เขาไม่กล้าหรอก เพราะเขารู้ดีว่าเหล่าหนูคือใคร สมาคมของเขาก็เหมือนกัน”

ท่านอัลมาเวราสักรูปเสร็จพอดี ซิริขอบคุณเขาด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง จากนั้นจึงแต่งตัวแล้วนั่งลงร่วมกับสหายที่เหลือ นางพ่นลมออกมาพรืดหนึ่งขณะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกประหลาดจากฮ็อตสเปิร์น มันเป็นแววตาชื่นชม  – และคล้ายจะล้อเลียนในเวลาเดียวกัน เด็กสาวถลึงตาใส่เขาพร้อมกับซุกร่างเข้าหามิสเซิลอย่างโอ้อวด นางเคยได้เรียนรู้มาแล้วว่าพฤติกรรมเช่นนี้มักจะทำให้ความกระตือรือร้นของชายชาตรีที่กำลังคิดจะเกี้ยวพาราสีสาวลดน้อยลงไม่ก็หมดสิ้นไป แต่ในกรณีของฮ็อตสเปิร์นนั้น นางกลับจงใจวางท่าให้เกินจริงกว่าเดิม เนื่องจากพ่อค้าคนนี้แทบจะไม่เคยล่วงล้ำนางในเชิงนั้นเลย

สำหรับซิริแล้ว ฮ็อตสเปิร์นผู้นี้เป็นชายที่ลึกลับยิ่ง นางเคยเห็นเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เหลือ มิสเซิลเป็นคนเล่าให้นางฟัง อีกฝ่ายอธิบายว่าฮ็อตสเปิร์นกับจิเซลเฮอร์นั้นรู้จักและเป็นเพื่อนกันมานาน ทั้งยังมีสัญญาณลับ รหัสลับ และที่นัดพบร่วมกันอีกต่างหาก ในระหว่างการนัดพบของทั้งสอง ฮ็อตสเปิร์นจะนำข้อมูลต่าง ๆ มาส่งให้ – จากนั้นทั้งสองจะเดินทางไปยังถนนตามที่ข้อมูลบ่งชี้ และปล้นชิงทรัพย์พ่อค้า คณะเดินทาง หรือกองคาราวานตามที่ข้อมูลระบุมา หรือในบางครั้งก็ถึงกับลงมือฆ่าใครบางคน นอกจากนี้ คนทั้งสองยังใช้สัญลักษณ์บางอย่างแทนข้อตกลงร่วมกัน และหากพ่อค้าคนใดมีสัญลักษณ์เช่นนั้นติดอยู่บนเกวียน พวกเขาจะไม่ทำร้ายพ่อค้าคนที่ว่าโดยเด็ดขาด

ในตอนแรก ซิริอดรู้สึกทึ่งและผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ เด็กสาวนับถือจิเซลเฮอร์มาก ทั้งยังมองว่าพวกหนูนั้นคือต้นแบบของอิสระและความเป็นเอกเทศน์ นางหลงรักอิสรภาพของพวกเขา หลงรักในพฤติกรรมที่ชอบดูหมิ่นทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในตอนนี้ จู่ ๆ พวกเขาก็ดันต้องมาทำตามสัญญาอย่างไม่คาดฝัน เหมือนดั่งอันธพาลที่ต้องไปกระทืบคนตามที่ได้รับคำสั่ง ทว่าไม่เพียงแค่พวกเขาจะไปกระทืบคนตามที่ผู้อื่นสั่งเท่านั้น พวกเขายังยอมทำตามคำสั่งที่ว่าอย่างว่านอนสอนง่ายอีกต่างหาก

ก็แค่การยื่นหมูยื่นแมวน่า มิสเซิลเพียงยักไหล่ยามเมื่อถูกซิริรัวคำถามใส่ ฮ็อตสเปิร์นเป็นคนออกคำสั่งเราก็จริง แต่เขายังมอบข้อมูลให้กับเราด้วย และก็เพราะข้อมูลเหล่านี้นี่แหละ เราถึงรอดชีวิตมาได้ อิสรภาพและการเหยียดหยามก็มีขีดจำกัดของตัวเองเหมือนกัน ชีวิตก็แบบนี้แหละ เจ้ามักจะตกเป็นเครื่องมือของใครบางคนเสมอ

ชีวิตก็แบบนี้แหละ เจ้าเหยี่ยวน้อย

แม้จะรู้สึกตกใจและผิดหวัง แต่ซิริก็ข้ามผ่านมันมาได้อย่างรวดเร็ว นางกำลังเรียนรู้ และนางก็ได้เรียนรู้แล้วว่าไม่ควรตกใจหรือคาดหวังในสิ่งใดมากเกินไป – เพื่อที่นางจะได้รู้สึกผิดหวังน้อยลงไปด้วย

“เหล่าหนูที่รักของข้า” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวขึ้นในเวลาเดียวกัน “บางทีข้าอาจจะมีทางแก้สำหรับเรื่องยุ่งยากในครั้งนี้ก็ได้ ทั้งเรื่องพวกนิสซีร์ บารอน เจ้าเมือง หรือแม้กระทั่งเรื่องของบอนฮาร์ท และใช่ ต่อให้พวกเจ้าจะกำลังถูกบ่วงบาศรัดคออยู่ ข้าก็อาจจะพอมีวิธีช่วยพวกเจ้าออกมาได้”

อิสคราพ่นลมพรืด ส่วนรีฟส่งเสียงหัวเราะเล็กแหลม ทว่าจิเซลเฮอร์กับพยักเพยิดให้พวกเขาเงียบเพื่อให้ฮ็อตสเปิร์นได้พูดต่อ “มีข่าวแพร่ออกมาว่า” พ่อค้าเอ่ยขึ้นในอีกครูหนึ่ง “อาจมีการประกาศนิรโทษกรรมในเร็ววันนี้ และใครก็ตามที่มีโทษประหาร กระทั่งใครก็ตามที่มีบ่วงบาศห้อยอยู่เหนือศีรษะแล้ว โทษดังกล่าวจะถูกเพิกถอนทันทีหากคนผู้นั้นเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่และยอมรับความผิดเสีย พวกเจ้าเองก็ได้รับสิทธิ์นี้เหมือนกัน”

“เหลวไหลน่า!” เคย์ลีก์ร้อง นัยน์ตาฉ่ำน้ำเล็กน้อยเพราะเพิ่งสูดฟิสเทคเข้าไปหยิบมือหนึ่ง “นี่มันกลลวงของพวกนิล์ฟการ์ดชัด ๆ เป็นแค่อุบาย! มืออาชีพมากประสบการณ์เช่นเราไม่มีทางตกหลุมพรางแบบนี้ง่าย ๆ หรอก!”

“เย็นไว้” จิเซลเฮอร์ปรามอีกฝ่าย “อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจนักสิ เคย์ลีก์ เจ้าก็รู้นี่ว่าปกติแล้ว ฮ็อตสเปิร์นไม่เคยคิดปกปิดหรือผิดคำพูดของเขา เขาย่อมรู้ดีว่าตนกำลังพูดในเรื่องอะไร และเหตุใดจึงพูดเช่นนี้ ฉะนั้นแล้ว เขาจะต้องรู้แน่ ๆ ว่าทำไมจู่ ๆ พวกนิล์ฟการ์ดถึงได้เกิดมีเมตตาขึ้นมา และเขาก็จะต้องยอมบอกพวกเราอย่างแน่นอน”

“จักรพรรดิอีเมียร์” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวอย่างใจเย็น “กำลังจะแต่งภริยา อีกไม่นานเราก็จะมีจักรพรรดินีแห่งนิล์ฟการ์ดกันแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกนั้นจึงประกาศนิรโทษกรรม ตามข่าวที่แพร่สะพัดออกมานั้น องค์จักรพรรดิรู้สึกพอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงหวังอยากให้ผู้อื่นรู้สึกพึงพอใจไปกับเขาด้วยเช่นกัน”

“ใครจะไปสนเรื่องความพึงพอใจของจักรพรรดิกัน” มิสเซิลประกาศด้วยท่าทีถือตัว “แล้วข้าก็ไม่คิดจะมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะความเมตตาของนิล์ฟการ์ดที่ว่านี่มีกลิ่นเหมือนไม้ที่เพิ่งถูกตัดมาใหม่ ๆ ไม่มีผิด อย่างกับมีใครบางคนกำลังเหลาเสาประหารอยู่อย่างไงอย่างงั้นแหละ เหอะ!”

ฮ็อตสเปิร์นยักไหล่ “ข้าว่ามันคงไม่ใช่กลลวงหรอก แต่เป็นปัญหาทางการเมืองต่างหาก แล้วก็เป็นปัญหาที่ใหญ่มากเสียด้วย ยิ่งใหญ่กว่าเหล่าหนูอย่างพวกเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของกลุ่มโจรทั้งหมดรวมกันเสียอีก การเมืองก็แบบนี้แหละ”

“พูดอะไรเนี่ย” จิเซลเฮอร์ขมวดคิ้ว “ข้าไม่เห็นเข้าใจเรื่องที่เจ้าพูดเลยสักนิด”

“การแต่งงานของอีเมียร์เป็นการแต่งงานเพื่อเหตุผลทางการเมือง และปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ เองก็จะถูกคลี่คลายผ่านการแต่งงานในครั้งนี้เช่นเดียวกัน องค์จักรพรรดิคิดจะใช้การแต่งงานในครั้งนี้เป็นการรวมสหภาพ เขาต้องการจะรวมจักรวรรดิให้เป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นำความสงบสุขมา และจบปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนลงเสียที พวกเจ้ารู้ไหมว่าคนที่เขาจะแต่งงานด้วยคือใคร นางก็คือซิริลลา ผู้สืบบัลลังก์หญิงแห่งซินทราอย่างไรเล่า”

“โกหก!” ซิริตวาด “เหลวไหลทั้งเพ!”

“แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาว่าข้าโกหกกัน คุณหนูฟอลกา” ฮ็อตสเปิร์นเบนสายตามาจับจ้องนาง “หรือเจ้ามีข้อมูลที่ดีกว่านี้”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

“เงียบน่า ฟอลกา” จิเซลเฮอร์ตีหน้าบึ้ง “อุตส่าห์ทนเงียบตอนที่โดนเข็มแทงอยู่บนโต๊ะได้ตั้งนาน แต่เจ้ากลับมาแหกปากปาว ๆ เอาตอนนี้หรือ ซินทราที่ว่านี่คืออะไรกัน ฮ็อตสเปิร์น ใครคือซิริลลา แล้วเรื่องนี้สำคัญอะไรนัก”

“ซินทรา” รีฟเอ่ยแทรกขณะเทผงฟิสเทคลงบนนิ้ว “คือรัฐเล็ก ๆ ทางตอนเหนือที่ทางจักรวรรดิเคยต่อสู้แย่งชิงมาจากผู้ปกครองเมืองบางคน เมื่อสามหรือสี่ปีที่แล้ว”

“ถูกต้อง” ฮ็อตสเปิร์นยืนยัน “กองทัพแห่งจักรวรรดิพิชิตซินทรามาได้ และก็ถึงกับข้ามแม่น้ำยาร์รามาแล้ว แต่ต่อมาก็ต้องล่าถอยกลับไป”

“เพราะเจ้าพวกนั้นโดยกระทืบเสียเละที่เนินซอดเดน” ซิริแหว “พวกนั้นเผ่นหนีไปเร็วเสียจนกางเกงเกือบหลุดเลยทีเดียว!”

“ดูเหมือนว่าคุณหนูฟอลกาจะคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์สมัยใหม่ไม่น้อยเลยนะ นับว่าน่าเลื่อมใสจริง ๆ โดยเฉพาะสำหรับคนอายุน้อยเช่นเจ้า ขอข้าถามหน่อยได้ไหมว่าเจ้าเล่าเรียนมาจากที่ใด”

“ไม่!”

“พอที!” จิเซลเฮอร์สั่งให้ทุกคนเงียบอีกครั้ง “ช่วยอธิบายเรื่องซินทรากับการนิรโทษกรรมนี่ให้ข้าฟังทีสิ ฮ็อตสเปิร์น”

“จักรพรรดิอีเมียร์” พ่อค้ากำมะลอกล่าว “ตัดสินใจไว้ว่าจะเปลี่ยนซินทราให้เป็นรัฐกาฝาก”

“รัฐอะไรนะ”

“รัฐกาฝาก ก็เหมือนกับพวกไม้เลื้อยที่ไม่อาจคงอยู่ได้หากไม่มีลำต้นไม้แข็งแรง ๆ ให้เกาะเกี่ยวนั่นแหละ และแน่นอนว่าลำต้นที่ว่าก็คือนิล์ฟการ์ด ตัวอย่างของรัฐกาฝากอื่น ๆ ก็อย่างเช่นเมทินนา แม็คท์ นาเซียร์ ตูซองต์… สถานที่ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครอง หรือแสร้งทำเป็นปกครองของเหล่าราชวงศ์ประจำถิ่น”

“รัฐเช่นนี้มีชื่อเรียกว่ารัฐหุ่นเชิด” รีฟคุยโว “ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน”

“อย่างไรก็ตาม ปัญหาของซินทราก็คือเชื้อสายขัตติยะได้สูญหายไปหมดแล้ว…”

“สูญหายรึ” นัยน์ตาของซิริดูราวกับจะเปล่งประกายสีเขียวออกมาได้ทุกเมื่อ “สูญหายกับผีสิ! พวกนิล์ฟการ์ดนั่นแหละที่เป็นคนฆ่าราชินีคาลานเธ! พวกนั้นลงมือฆ่านางเองกับมือ”

“ข้าขอสารภาพ–” ฮ็อตสเปิร์นทำท่าทางส่งสัญญาณให้จิเซลเฮอร์ที่กำลังจะตำหนิซิริโทษฐานเอ่ยแทรกเงียบปากไปก่อน “–ว่าความรู้ของคุณหนูฟอลกายังคงทำให้ข้างุนงงได้เช่นเคย ราชินีแห่งซินทราจบชีวิตลงในสงครามจริง ซ้ำหลาย ๆ คนยังเชื่อกันว่าซิริลลา หลานของนาง สายเลือดขัตติยะคนสุดท้าย ก็จบชีวิตลงในสงครามครั้งนั้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นอีเมียร์จึงสามารถสร้างรัฐที่มีการปกครองตนเองอย่างเด่นชัด – ดั่งที่คุณชายรีฟได้กล่าวออกมาอย่างชาญฉลาดเมื่อครู่ – ขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใส่ใจอะไรกับมันนัก กระทั่งจู่ ๆ ซิริลลาก็ปรากฏกายขึ้นมาอย่างกะทันหันจากความว่างเปล่านั่นแหละ”

“อย่างกับในนิทานไม่มีผิด” อิสคราพ่นลมพรืดขณะเอนกายไปพิงแขนจิเซลเฮอร์ไว้

“ใช่” ฮ็อตสเปิร์นพยักหน้า “ขอสารภาพว่ามันก็ฟังดูเหมือนนิทานจริง ๆ นั่นแหละ ว่ากันว่าซิริลลาผู้นี้เคยถูกแม่มดชั่วร้ายจับขังไว้ในหอคอยเวทมนตร์ ณ ที่ไหนสักแห่งในแดนเหนือ ทว่าซิริลลาก็หลบหนีออกมาได้ นางจึงมาอ้อนวอนขอลี้ภัยในจักรวรรดิ”

“มีแต่เรื่องเหลวไหลไร้สาระทั้งเพ!” ซิริตวาดพร้อมยื่นมืออันสั่นเทาไปหาตลับบรรจุฟิสเทค

“ในขณะเดียวกัน ข่าวลือก็ได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่าองค์จักรพรรดิอีเมียร์นั้น–” ฮ็อตสเปิร์นพูดต่อโดยไม่ยี่หระ “–ตกหลุมรักนางหัวปักหัวปำตั้งแต่แรกเห็นและอยากแต่งนางเป็นภริยา เขาจึงเสนอให้มีการนิรโทษกรรม”

“เจ้าเหยี่ยวน้อยพูดถูก” มิสเซิลกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขณะทุบหมัดลงบนโต๊ะเป็นการเน้นย้ำคำพูดตน “เหลวไหลทั้งเพ! ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน สิ่งเดียวที่ข้าพอจะรู้ก็คือ การจะหวังพึ่งความเมตตากรุณาจากชาวนิล์ฟการ์ดเพราะเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้น่ะ ดูจะเป็นเรื่องที่ฟังดูเหลวไหลยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”

“ใช่แล้ว!” รีฟเองก็กล่าวสนับสนุนนางด้วยอีกคน “จักรพรรดิจะแต่งงานแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราเล่า ไม่ว่าคนที่จักรพรรดิแต่งงานด้วยจะเป็นใคร คู่หมั้นอีกคนก็ยังคงคอยเฝ้ารอเราอยู่ดี คู่หมั้นที่ชื่อว่าบ่วงห้อยคออย่างไรเล่า!”

“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคอหรือชีวิตของพวกเจ้าหรอก เหล่าหนูที่รักของข้า” ฮ็อตสเปิร์นเอ่ยเตือนพวกเขา “แต่มันคือการเมืองต่างหาก บริเวณชายแดนทางตอนเหนือของจักรวรรดิน่ะมีเหตุกบฏ การปฏิวัติ และความวุ่นวายเกิดขึ้นไม่เคยขาด โดยเฉพาะที่ซินทราและบริเวณโดยรอบ และถ้าหากองค์จักรพรรดิแต่งทายาทหญิงแห่งซินทราเป็นภริยา ซินทราจะต้องสงบลงอย่างแน่นอน พิธีนิรโทษกรรมจะถูกจัดขึ้นอย่างเคร่งครัด และกลุ่มกบฏมากหน้าหลายตาก็จะพากันเดินทางลงมาจากภูเขาโดยไม่ก่อเรื่องหรือรบกวนกองทัพหลวงแห่งจักรวรรดิอีก ทำไมน่ะหรือ เพราะถ้าหากผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์จักรวรรดิคือชาวซินทรา บางทีพวกกบฏอาจจะยอมเข้าร่วมทัพจักรวรรดิด้วยก็ได้! มิหนำซ้ำ พวกเจ้าก็น่าจะรู้นี่ว่าทางตอนเหนือที่อีกฝั่งของแม่น้ำยาร์รานั้นยังมีสงครามอยู่ ทหารทุกคนล้วนแล้วแต่มีความหมายด้วยกันทั้งสิ้น”

“อะฮ่า” เคย์ลีก์เบ้ปาก “ข้าเข้าใจแล้ว! นี่สินะคือการนิรโทษกรรมในแบบฉบับของพวกเขา! พวกมันมอบทางเลือกให้กับเรา หากอยู่ที่นี่ก็ต้องเจอกับเสาแหลม ๆ แต่หากไปที่นั่นก็ต้องสวมใส่เครื่องแบบของจักรวรรดิ เจ้าจะเลือกโดนเสาเสียบตูด หรือจะเลือกสวมเครื่องแบบที่ว่าแล้วออกไปสู้ตายเพื่อจักรวรรดิก็ได้!”

“ใช่แล้ว” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวอ้อยอิ่ง “ในศึกสงครามน่ะ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะต้องต่อสู้ เหล่าหนูที่รักของข้า เป็นไปได้ว่าหลังจากที่พวกเจ้ายอมรับข้อตกลงการนิรโทษกรรม หลังจากที่พวกเจ้ายอมเปิดเผยและยอมรับในความผิดของตนเองแล้ว เราอาจจะพอ… ส่งหมายด้วยวิธีอื่นได้”

“หมายความว่าไง”

“ข้าพอจะเข้าใจความหมายอยู่” ซี่ฟันของจิเซลเฮอร์เปล่งประกายวาบมาจากบนใบหน้ากร้านคล้ำที่มีหนวดขึ้นเขียวเป็นช่วงสั้น “มันหมายความว่าสมาคมพ่อค้ายินดีจะรับเราไปเป็นพวกน่ะสิ เหล่าหนูตัวจ้อยของข้า พวกเขายินดีจะรับเราไปดูแล เหมือนดั่งมารดาแสนเอาอกเอาใจคนหนึ่ง”

“เหมือนมารดาที่เป็นหญิงแพศยาละสิไม่ว่า” อิสคราส่งเสียงคำรามแผ่ว ฮ็อตสเปิร์นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงคำรามนั้น

“เจ้าเข้าใจถูกแล้วละ จิเซลเฮอร์” เขาเอ่ยเสียงเย็น “หากพวกเจ้าต้องการ ทางสมาคมก็ยินดีจ้างพวกเจ้า ไม่ว่าจะจ้างอย่างเป็นทางการหรือไม่ และแน่นอนว่าพวกเราจะยอมรับเจ้าเข้าเป็นพวกและให้การคุ้มครองพวกเจ้าด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม”

เคย์ลีก์ทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่าง มิสเซิลเองก็เช่นกัน แต่สายตาที่ตวัดมองมาอย่างฉับไวของจิเซลเฮอร์กลับทำให้ทั้งสองเงียบไปเสียก่อน

“กลับไปบอกทางสมาคมเสีย ฮ็อตสเปิร์น” หัวหน้ากลุ่มหนูเอ่ยเสียงเย็น “ว่าพวกเราขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอ เราจะลองคิดดูให้ดี จะลองไตร่ตรองและปรึกษากันดูอีกทีก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไป”

ฮ็อตสเปิร์นผุดลุกขึ้น

“งั้นข้าขอตัว”

“ตอนนี้เลยหรือ มืดค่ำอย่างนี้น่ะรึ”

“ข้าจะไปค้างแรมในหมู่บ้าน อยู่ที่นี่แล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรชอบกล และในวันรุ่งขึ้น ข้าจะมุ่งหน้าไปที่ชายแดนติดกับเมทินนา จากนั้นค่อยเดินทางเลียบไปตามถนนใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปที่ฟอร์จแฮม แล้วหยุดพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงวันวิษุวัต ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่นานกว่านั้นก็ได้ ข้าจะรอคอยใครก็ตามที่ได้ลองไตร่ตรองดูให้ดีแล้วอยู่ที่นั่น คนที่พร้อมจะเข้ามอบตัวและเฝ้าคอยนิรโทษกรรมอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากข้า และข้าก็ขอแนะนำให้พวกเจ้าเลิกผลาญเวลาไปกับการตัดสินใจและใคร่ครวญเสียที เพราะดูเหมือนทางบอนฮาร์ทเองจะแซงหน้าการนิรโทษกรรมมาเสียแล้ว”

“เอาแต่ยกเรื่องบอนฮาร์ทมาขู่พวกเราอยู่ได้” จิเซลเฮอร์เอ่ยอย่างเชื่องช้าขณะผุดลุกขึ้นเช่นเดียวกัน “เดี๋ยวก็มีใครเข้าใจไปว่าเขาแอบหลบอยู่แถวนี้แล้วหรอก… ทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาอาจจะยังอยู่บนเทือกเขาอันห่างไกล ไม่ก็อยู่…”

“…ในหมู่บ้านริษยา” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวจบประโยคอย่างใจเย็น “ในโรงแรมที่ชื่อว่าศีรษะไคมีรา ห่างจากที่นี่ประมาณสามสิบไมล์ หากมิใช่เพราะพวกเจ้าเลือกจะเดินทางคดเคี้ยวไปมาตามแม่น้ำเวลดา พวกเจ้าคงเจอเขาเข้าให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ข้ารู้ว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมไม่สามารถทำให้พวกเจ้ากังวลได้ ลาก่อน จิเซลเฮอร์ ลาก่อน เหล่าหนู ส่วนท่านอัลมาเวรา ข้ากำลังจะขี่ม้าไปที่เมทินนา และข้าจะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งหากมีเพื่อนร่วมทางไปด้วย… ท่านจะว่าอย่างไร สนใจไปด้วยกันไหม ว่าแล้วเชียว งั้นก็ลงมือเก็บของเถิด พวกเจ้าเองก็อย่าลืมจ่ายเงินให้กับเขาเป็นค่าฝีมือด้วยล่ะ พวกหนู”

 

ทั่วทั้งที่ทำการไปรษณีย์ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นของหอมทอดและซุปมันฝรั่ง ผู้ที่ทำอาหารให้กับพวกเขาก็คือภรรยาของนายสถานี ผู้ซึ่งถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องเก็บอาหารเป็นการชั่วคราว แท่งเทียนบนโต๊ะสาดแสงสว่างไปทั่ว เปลวเทียนเส้นเล็กสั่นระริกและกระเพื่อมไหวไปมาเป็นจังหวะ เหล่าหนูทุกคนต่างเอนกายแนบชิดลงกับพื้นโต๊ะ ใกล้เสียจนศีรษะที่เกือบจะแนบชิดกันของพวกเขาสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากเปลวไฟ

“หมอนั่นอยู่ในหมู่บ้านริษยา” จิเซลเฮอร์เอ่ยเสียงเบา “ในโรมแรมศีรษะไคมีรา ขี่ม้าจากที่นี่แค่วันเดียวก็ถึง พวกเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”

“เหมือนกับเจ้านั่นแหละ” เคย์ลีก์คำราม “ขี่ม้าไปฆ่าไอ้เลวนั่นกันดีกว่า”

“ไปแก้แค้นให้วัลเดซ” รีฟกล่าว “กับมูโชโมเร็คกัน”

“เราจะได้ไม่โดนฮ็อตสเปิร์นหรือคนประเภทเดียวกับเขา” อิสคราขู่ฟ่อ “นำกิตติศัพท์หรือวีรกรรมอันห้าวหาญของผู้อื่นมายัดเยียดให้เราอีกต่อไป เราจะฆ่าเจ้าคนเก็บขยะหรือเจ้ามนุษย์หมาป่านามบอนฮาร์ทนั่นทิ้งเสีย แล้วเราจะนำหัวของมันมาตอกติดไว้บนประตูโรงแรมให้สมกับชื่อโรงแรม! ทุก ๆ คนจะได้เห็นกันเสียทีว่าเขาไม่ใช่ยอดมนุษย์ แต่เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเหมือนพวกเราทุกคน เป็นคนที่กล้าหาเรื่องกับผู้ที่อยู่เหนือกว่า ผู้คนทั้งหลายตั้งแต่โคราธจรดพีรีพลูตจะได้เห็นกันเสียทีว่ากลุ่มโจรกลุ่มไหนกันแน่ที่เป็นอันดับหนึ่ง!”

“แล้วพวกเขาก็จะนำเรื่องของเราไปแต่งเป็นลำนำขับร้องในท้องตลาด!” เคย์ลีก์กล่าวอย่างฉุนเฉียว “กระทั่งในปราสาทก็ไม่เว้น!”

“รีบควบม้าไปกันเถอะ!” แอสฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างจัง “รีบขี่ม้าไปจัดการเจ้าบ้านั่นกันดีกว่า”

“แล้วหลังจากนั้น” จิเซลเฮอร์ครุ่นคิด “เราค่อยมาตัดสินใจกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไรดีกับเรื่องการนิรโทษกรรม… กับเรื่องสมาคมนั่น… ทำไมเจ้าถึงตีหน้าบึ้งอย่างกับเผลอกัดลิ้นตัวเองแบบนั้นเล่า เคย์ลีก์ พวกนั้นตามหลังเรามาติด ๆ แล้วฤดูหนาวก็ใกล้เข้ามาทุกที เหล่าหนูตัวน้อย นี่คือความคิดเห็นของข้า เรามาใช้เวลาในช่วงฤดูหนาวไปกับการนั่งผิงไฟในเตาผิงกันดีกว่า การนิรโทษกรรมจะคอยปกป้องพวกเราจากลมหนาว และมอบเหล้าองุ่นให้เราได้ดื่มกันอย่างเต็มอิ่ม เราจะเข้ารับการนิรโทษกรรมอย่างสุภาพนอบน้อม… ไม่มากก็น้อย… จนกระทั่งถึงฤดูใบไม้ผลิ และเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง… ยามเมื่อต้นหญ้าโผล่พ้นขึ้นมาจากใต้หิมะ…”

เหล่าหนูต่างส่งเสียงหัวเราะที่ทั้งแผ่วเบาและชั่วร้ายออกมาเป็นเสียงเดียวกัน นัยน์ตาของพวกเขาเปล่งกระกายวาบดั่งหนูจริง ๆ ซึ่งกำลังคืบคลานเข้าไปใกล้ชายบาดเจ็บผู้ไม่อาจป้องกันตัวได้ภายในตรอกอันมืดมิดในยามค่ำคืน

“มาร่วมดื่มให้กับ” จิเซลเฮอร์กล่าว “ความสับสนของบอนฮาร์ทกันดีกว่า! รีบทานซุปนั่นให้หมดแล้วเข้านอนเสีย พวกเจ้าต้องพักผ่อนเอาแรง เพราะพวกเราจะออกเดินทางกันอีกครั้งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น”

“ใช่แล้ว” อิสคราพ่นลมพรืด “เราควรเอามิสเซิลและฟอลกาเป็นเยี่ยงอย่าง พวกนั้นเข้านอนไปได้ชั่วโมงกว่าแล้ว”

ภรรยาของนายสถานีได้แต่ตัวสั่นระริกอยู่ข้างหม้อต้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาแสนชั่วร้ายดังแว่วมาอีกครั้ง

 

ซิริเงยศีรษะขึ้น นางไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน เอาแต่จับจ้องนัยน์ตาไปที่เปลวไฟในตะเกียงซึ่งแทบจะไม่พริ้วไหวไปมาเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับน้ำมันปลาชุดสุดท้ายที่ค่อย ๆ มอดดับไปทุกที ๆ

“จากนั้น ก่อนที่รุ่งเช้าจะมาเยือน” นางเล่าต่อ “ข้าก็ลอบออกมาจากที่ทำการไปรษณีย์นั่นท่ามกลางความมืดมิดราวกับโจร… แต่ข้ากลับไม่อาจหลบหนีไปโดยไม่ถูกพบเห็นได้ มิสเซิลคงจะตื่นขึ้นมาตอนที่ข้าลุกออกจากเตียง นางตามไปพบข้าที่คอกม้า ตอนที่ข้ากำลังใส่อานให้ม้าพอดี แต่นางกลับไม่แสดงท่าทีตกใจใด ๆ ไม่แม้แต่จะพยายามห้ามข้า ทั้ง ๆ ที่ดวงอาทิตย์เริ่มจะโผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้วแท้ ๆ…”

“อีกไม่นาน ทางฝั่งเราเองก็คงจะเช้าแล้วเหมือนกัน” วิโซโกตาหาวหวอด “ถึงเวลาเข้านอนแล้ว ซิริ ไว้ค่อยเล่าต่อพรุ่งนี้ก็ได้”

“ก็อาจใช่” เด็กสาวเองก็เปิดปากหาวออกมาเช่นกัน นางผุดลุกขึ้นแล้วยืดเหยียดกายอย่างกระฉับกระเฉง “หนังตาข้าเองก็หนักเต็มแก่แล้ว แต่นักพรตเอ๋ย หากยังเล่าด้วยความเร็วประมาณนี้ล่ะก็ ข้าคงไม่มีวันเล่าจบแน่ นี่เราอยู่ด้วยกันมากี่วันแล้วเนี่ย อย่างน้อย ๆ ก็สิบวันได้ เกรงว่าหากจะเล่าให้จบ เรื่องทั้งหมดคงกินเวลาอย่างน้อย ๆ หนึ่งพันกับอีกหนึ่งวันได้”

“เรายังมีเวลาน่า ซิริ เรายังพอมีเวลาอยู่”

 

“เจ้าคิดจะหนีไปจากใครกัน เจ้าเหยี่ยวน้อย จากข้าหรือ หรือจากตัวเจ้าเอง”

“ข้าจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข้าต้องไล่ตามบางอย่างให้ทัน เพราะงั้นข้าจึงต้องหวนกลับไป… กลับไปยังที่ที่ทุก ๆ อย่างเริ่มต้นขึ้น ข้าต้องกลับไปจริง ๆ ช่วยเข้าใจข้าด้วย มิสเซิล”

“เพราะแบบนี้เองสินะ… วันนี้เจ้าถึงดีกับข้าเหลือเกิน เป็นการทำดีครั้งแรก ๆ ในรอบหลายวัน… และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยก็ได้ เพื่อที่เจ้าจะได้บอกลาข้าและลืมข้าไปหรือ”

“ข้าไม่มีวันลืมเจ้าได้ลงคอหรอก มิสเซิล”

“เจ้าลืมแน่”

“ไม่ลืมหรอก ข้าสาบาน แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย ข้าจะตามหาเจ้า และข้าจะมาหาเจ้า… พร้อม ๆ กับรถม้าสีทองเทียมม้าหกตัวและข้าราชบริพารมากมาย คอยดูเถอะ อีกไม่นาน ข้าจะได้พบกับ… ความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่มากมาย ข้าจะเปลี่ยนชะตากรรมของเจ้า… คอยดูเถอะ เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ว่าข้าคนนี้สามารถทำสิ่งใดหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง”

“หากจะทำเช่นนั้น เจ้าก็ต้องมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่” มิสเซิลถอนหายใจ “และพลังเวทมนตร์จำนวนมหาศาลเสียก่อน…”

“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยนี่” ซิริเลียริมฝีปาก “เรื่องเวทมนตร์เองก็เหมือนกัน… ข้าสามารถ… ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเคยสูญเสียไปล้วนแล้วแต่สามารถกอบกู้คืนมาได้ และพวกมันจะกลับมาเป็นของข้าอีกครั้ง ข้าขอรับปากกับเจ้าไว้เลยว่าหากเราได้พบกันอีกครั้ง เจ้าจะต้องไม่เชื่อสายตาตัวเองแน่

มิสเซิลพลิกศีรษะที่ตัดผมเสียสั้นกุดไปอีกทาง นัยน์ตาทั้งสองจับจ้องอยู่ที่เส้นสายสีชมพูและน้ำเงินที่ยามอรุณรุ่งระบายลงบนเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก

“ถูกต้อง” นางเอ่ยเสียงค่อย “ข้าคงจะไม่เชื่อสายตาตัวเองแน่หากเราได้พบกันอีกครั้ง หากข้าได้เห็นเจ้าอีกครั้ง เจ้าตัวน้อย ไปเถอะ อย่ามัวยืดเยื้ออยู่เลย”

“รอข้าด้วยนะ” ซิริสูดจมูก “แล้วก็อย่าถูกใครฆ่าเสียก่อนเล่า ลองคิดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมที่ฮ็อตสเปิร์นพูดถึงให้ดี แม้ว่าจิเซลเฮอร์กับคนอื่น ๆ จะไม่อยากเข้ารับการนิรโทษกรรมก็ตาม… แต่ก็ลองคิดไตร่ตรองให้ดีเถอะ มิสเซิล บางทีมันอาจช่วยให้เจ้ารอดได้… เพราะข้าจะกลับมาหาเจ้าแน่ ๆ ข้าสาบาน”

“จูบข้าทีสิ”

อรุณเบิกฟ้า แสงสว่างสาดส่องลงมา เช่นเดียวกับอากาศที่ยิ่งทวีความหนาวขึ้นเรื่อย ๆ

“ข้ารักเจ้านะ เจ้านกปีกเพลิง”

“ข้าเองก็รักเจ้า เจ้าเหยี่ยวน้อย ทีนี้ก็ไปเสีย”

 

“แน่นอนว่านางย่อมไม่เชื่อข้า ด้วยมั่นใจว่าข้าคงนึกกลัวขึ้นมา ก็เลยรีบเผ่นไปหาฮ็อตสเปิร์นเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา เพื่ออ้อนวอนขอเข้ารับการนิรโทษกรรมอันแสนจะเย้ายวนนั่น นางจะไปรู้ได้ยังไงว่าข้ารู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่ได้ยินฮ็อตสเปิร์นพูดถึงซินทราและท่านยายคาลานเธของข้า ไหนจะเรื่องที่ ‘ซิริลลา’ จะต้องกลายเป็นภริยาของจักรพรรดิแห่งนิล์ฟการ์ด คน ๆ เดียวกับที่เคยสังหารท่านยายของข้า คน ๆ เดียวกับที่เคยส่งอัศวินเกราะดำพร้อมหมวกเกราะติดขนนกมาตามล่าข้า ข้าเคยบอกเจ้าแล้วนี่ ยังจำได้อยู่ใช่ไหม ตอนที่ยังอยู่บนเกาะเธเน็ดด์ ตอนที่เขายื่นมือมาหาข้า ข้าถึงกับทำให้เขาหลั่งเลือดได้เชียวนะ! ข้าควรจะฆ่าเขาด้วยซ้ำ… แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้ากลับไม่อาจทำเช่นนั้นได้… ข้านี่มันโง่จริง ๆ! แต่ช่างเถอะ บางทีเขาอาจจะเสียเลือดตายไปตั้งแต่ที่เธเน็ดด์แล้วก็ได้… ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมองข้าแบบนั้นเล่า”

“เล่าต่อเถอะ เล่าถึงตอนที่เจ้าขี่ม้าตามฮ็อตสเปิร์นไปเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของเจ้าคืน เพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ควรจะเป็นของเจ้า”

“ไม่ต้องมาล้อเลียนหรือเยาะเย้ยกันเลย ใช่ ข้ารู้ว่ามันเป็นการกระทำที่โง่มาก ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ตอนนั้นข้าก็รู้เหมือนกัน… แต่ตอนที่ยังอยู่ในแคร์มอเรห์นและในวิหารเมลิเทเล ข้าเคยฉลาดกว่านี้มาก ซ้ำยังรู้ด้วยว่าเราย่อมไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่เจ้าหญิงแห่งซินทราอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นคนอีกคนที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้งเชิง เป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์สืบทอดใด ๆ อีกต่อไป ข้าสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปหมดแล้ว และข้าก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ เคยมีคนอธิบายให้ข้าฟังอย่างจริงจังและรอบรู้ และข้าก็ยอมรับมันได้อย่างใจเย็นแล้ว แต่จู่ ๆ เรื่องพวกนี้ก็ดันย้อนกลับมาหาข้า ในยามแรก ตอนที่พวกนั้นยกตำแหน่งบุตรสาวของบารอนแห่งคาซาเดย์มาขู่ข้า… ข้าไม่เคยนึกสนใจเรื่องพรรค์นั้นมาก่อน แต่จู่ ๆ ข้าก็ดันรู้สึกโมโหขึ้นมา ก็เลยทำท่าวางโตและตะโกนออกไปว่าข้าสูงศักดิ์กว่านาง ทั้งยังมีต้นกำเนิดที่สูงส่งกว่านางเยอะ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ และข้าก็สัมผัสได้ถึงโทสะที่กำลังก่อตัวขึ้นในกายข้า เจ้าเองก็พอจะเข้าใจใช่ไหม วิโซโกตา”

“ใช่”

“เรื่องเล่าของฮ็อตสเปิร์นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายสำหรับข้า ข้าโมโหเสียจนแทบคลั่ง… เคยมีคนพูดถึงเรื่องโชคชะตาให้ข้าฟังมานักต่อนัก… แต่มาตอนนี้ ใครบางคนกลับกำลังจะใช้กลลวงธรรมดา ๆ เพื่อหาผลประโยชน์จากโชคชะตาของข้า มีใครบางคนอ้างตัวเป็นข้า เป็นซิริแห่งซินทราผู้นี้ และกำลังจะได้ทุกอย่างไปครอง ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางความหรูรา… เพียงแค่นั้น ข้าก็คิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป… แล้วจู่ ๆ ข้าก็ดันตระหนักได้ว่าข้ากำลังหิวโหย หนาวสั่น ต้องพักค้างแรมกลางแจ้ง ต้องทนอาบน้ำในลำธารเย็นยะเยือก… ข้าคนนี้เนี่ยนะ! ทั้ง ๆ ที่ข้าควรจะได้อาบน้ำในอ่างทองคำ! ได้แช่ในน้ำที่แต่งกลิ่นด้วยกุหลาบและโกฐชฎามังสี! ไหนจะยังมีผ้าเช็ดตัวอุ่น ๆ และเตียงผ้าลินินสะอาดสะอ้านอีก! เจ้าเข้าใจใช่ไหม วิโซโกตา”

“ใช่”

“ตอนนั้น จู่ ๆ ข้าก็ดันรู้สึกอยากขี่ม้าไปที่ศาลากลางหรือป้อมปราการที่ใกล้ที่สุด ขี่ม้าไปหาทหารชุดดำชาวนิล์ฟการ์ดที่ข้าทั้งเกลียดทั้งกลัว… ทั้งยังพร้อมจะตะโกนใส่หน้าพวกเขาว่า ‘ข้าต่างหากคือซิริ เจ้าพวกนิล์ฟการ์ดหน้าโง่ องค์จักรพรรดิผู้โง่เขลาของพวกเจ้าควรจะแต่งข้าเป็นภรรยาต่างหาก คนที่ถูกผลักเข้าสู่อ้อมแขนจักรพรรดิของพวกเจ้าน่ะเป็นตัวปลอมจอมยโส และเจ้าจักรพรรดิโง่นั้นก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังถูกหลอกอยู่’ ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าหากมีโอกาส ข้าจะทำเช่นนั้นแน่ จะทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลย เจ้าเองก็เข้าใจใช่ไหม วิโซโกตา”

“ใช่”

“เคราะห์ดีที่ข้าดันใจเย็นลงเสียก่อน”

“ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว” เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “การแต่งงานขององค์จักรพรรดินั้นมีความเกี่ยวพันกับทั้งประเด็นอื้อฉาวทางการเมืองและศึกการต่อสู้ระหว่างฝ่ายหรือกลุ่มต่าง ๆ หากเจ้าเผยตัวออกไป หากเจ้าโผล่เข้าไปขัดขวางอำนาจของผู้มีอิทธิพลเข้า เจ้าคงไม่พ้นต้องโดนกริชแทงหรือโดนวางยาพิษแน่”

“ข้าเองก็พอจะเข้าใจและจำเรื่องนั้นได้เหมือนกัน จำได้ดีเลยละ หากข้าเผยตัวจริงออกไป นั่นย่อมหมายถึงความตาย ข้ายังพอมีโอกาสเปลี่ยนใจตัวเองอยู่ แต่ข้ายังเล่าไม่ถึงตรงจุดนั้น”

ทั้งสองนิ่งเงียบกันไปชั่วครู่ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างสาละวนอยู่กับหนังสัตว์ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พวกเขาสามารถจับสัตว์ได้ดีเกินคาด มีหนูพุกนากหญ้ามาติดกับดักและบ่วงดักสัตว์เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีตัวนากอีกสองตัวและบีเวอร์อีกหนึ่ง ดังนั้นพวกเขามีงานให้ทำเยอะทีเดียว

“แล้วเจ้าตามฮ็อตสเปิร์นทันไหม” วิโซโกตาเอ่ยถามขึ้นในที่สุด

“ทัน” ซิริใช้แขนเสื้อปาดหน้าผาก “จริง ๆ ก็ค่อนข้างไวด้วย เพราะเขาไม่ได้รีบอะไรมาก แถมตอนที่เจอข้า เขายังดูไม่ตกใจอะไรเลยด้วย!”

 

“คุณหนูฟอลกา!” ฮ็อตสเปิร์นกระตุกสายบังเหียน หักหมุนเจ้าม้าสีดำกลับมาอย่างสง่างาม “ช่างน่าตกใจเสียนี่กระไร! แม้จะต้องขอยอมรับว่ามันมิใช่เรื่องที่น่าตกใจมากนักก็ตาม ข้าคาดหวังเรื่องเช่นนี้ไว้อยู่แล้ว และข้าก็ไม่อาจปิดบังความคาดหวังนั้นไว้ได้ ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องตัดสินใจได้ถูกต้อง คุณหนู เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดดีทีเดียว มิน่าเล่า ข้าถึงได้สังเกตเห็นประกายความฉลาดในแววตาอันน่ารักทรงเสน่ห์ของเจ้า”

ซิริขี่ม้าเข้ามาให้จนโกลนของทั้งสองเกือบจะแตะสัมผัสกัน จากนั้นนางจึงขากเสลดเสียยืดยาว โน้มตัวลงไป และถ่มมันลงบนพื้นทรายของถนนใหญ่ แม้วิธีการขากเสลดที่นางได้เรียนรู้มานี้จะดูหยาบคายไม่น้อย แต่มันก็เป็นใช้ได้ผลชะงัดนักยามเมื่อต้องการทำให้ความกระตือรือร้นของใครบางคนลดน้อยลงไป

“ข้าเข้าใจว่า” ฮ็อตสเปิร์นแย้มยิ้มเล็กน้อย “เจ้าคงอยากจะใช้ประโยชน์จากการนิรโทษกรรมสินะ”

“ไม่ใช่”

“งั้นก็ช่วยบอกให้ข้าฟังทีได้ไหม ว่าด้วยเหตุผลอันใด ข้าจึงได้รู้สึกปิติยินดียามที่ได้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าเช่นนี้”

“ต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” นางแหวกลับ “เจ้าบอกเองนี่ว่าอยากมีเพื่อนร่วมทางไปด้วย”

“ก็ใช่ เรื่องนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนไปหรอก” รอยยิ้มของเขาขยายกว้างขึ้น “แต่ถ้าหากข้าเข้าใจผิดไปว่าเจ้าต้องการเข้ารับนิรโทษกรรม งั้นข้าก็คงไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเราควรจะร่วมเดินทางไปด้วยกันเสียเท่าไร อย่างที่เห็น ตอนนี้เราต่างอยู่ท่ามกลางทางแยก ท่ามกลางชุมทางอันหลากหลาย บนหน้าปัดเข็มทิศที่แยกตัวออกจากกันเป็นสี่ทิศทาง ทั้งยังอยู่ในจุดที่ต้องเลือก… เป็นทางแยกเชิงนัยยะดั่งที่ตำนานอันโด่งดังเคยกล่าวเอาไว้ หากเจ้าเดินทางไปทางทิศตะวันออก เจ้าจะไม่ได้กลับมาอีก… หรือหากเจ้าเดินทางไปทางทิศตะวันตก เจ้าก็จะไม่ได้กลับมาอีกเช่นเดียวกัน… แต่ถ้าหากเจ้าเดินทางไปทางเหนือ… อืมม… ทางตอนเหนือของที่ทำการแห่งนี้มีการจัดนิรโทษกรรมขึ้นพอดีเสียด้วย—”

“เชิญเอาไอ้การนิรโทษกรรมนั่นไปยัดตูดตัวเองเถอะ”

“ตามใจเจ้าเลย คุณหนู ถ้าเช่นนี้ ขออนุญาตถามได้ไหมว่าเจ้าตั้งใจจะไปที่ไหน เจ้าจะเลือกเดินทางไปตามทางแยกเชิงนัยยะทางใด ท่านอัลมาเวรา ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงเข็ม ได้เลือกบังคับลาตรงไปทางทิศตะวันตก มุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าฟาโน ส่วนถนนใหญ่ทางทิศตะวันออกนั้นจะทอดตรงไปยังหมู่บ้านริษยา แต่ขอแนะนำว่าอย่าไปทางนั้นเลยจะดีกว่า”

“แม่น้ำยาร์รา” ซิริเอ่ยช้า ๆ “เป็นชื่อในภาษานิล์ฟการ์ดของแม่น้ำยารูกาใช่หรือไม่”

“ทั้งที่เป็นสาวงามผู้รอบรู้แท้ ๆ–” อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาสบตากับนาง “–แต่กลับไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ”

“เวลามีใครถามเจ้าด้วยภาษามนุษย์ เจ้าก็ช่วยตอบด้วยภาษามนุษย์ทีได้ไหม”

“ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง! ไยจึงต้องโมโหด้วยเล่า ใช่ มันก็คือแม่น้ำเดียวกันนั่นแหละ ชาวเอลฟ์และชาวนิล์ฟการ์ดเรียกมันว่ายาร์รา แต่สำหรับแดนเหนือ มันจะมีชื่อว่าแม่น้ำยารูกา”

“แล้วบริเวณปากน้ำของแม่น้ำที่ว่า” ซิริเอ่ยต่อ “ก็คือที่ตั้งของซินทราใช่ไหม”

“ใช่แล้ว คือซินทราไม่ผิดแน่”

“แล้วจากจุดที่เรายืนอยู่ในตอนนี้ อีกไกลแค่ไหนถึงจะถึงซินทรากัน ต้องเดินทางไปอีกกี่ไมล์หรือ”

“อีกไกลทีเดียว ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะใช้วัดระยะทางด้วยหน่วยใดด้วย แต่ละประเทศต่างก็มีหน่วยวัดเป็นของตนเอง ดังนั้นความผิดพลาดจึงเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ฉะนั้นแล้ว การคำนวนระยะทางโดยใช้หน่วยเป็นวันตามวิธีที่เหล่าพ่อค้าเร่มักใช้กันจึงสะดวกกว่ากันเยอะ การจะเดินทางไปยังซินทราคงต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบห้าถึงสามสิบวันได้”

“แล้วต้องไปทางไหน ทางเหนือรึ”

“รู้สึกว่าคุณหนูฟอลกาจะสนใจซินทราเหลือเกินนะ เพราะอะไรกัน”

“ข้าจะไปขึ้นครองบัลลังก์ที่นั่น”

“อย่างนี้นี่เอง” ฮ็อตสเปิร์นชูมือขึ้นเป็นการตั้งรับ “ข้าเข้าใจดีว่าท่านกำลังพยายามเบี่ยงประเด็นอย่างสุภาพอยู่ ฉะนั้นข้าจะไม่ถามเพิ่มอีกก็แล้วกัน แม้จะฟังดูขัดแย้งกัน แต่เส้นทางไปยังซินทราที่ตรงที่สุดนั้นมิใช่เส้นทางที่ทอดนำไปทางทิษเหนือหรอก เพราะป่าดงพงไพรและที่ลุ่มแม่น้ำมากมายจะทำให้เจ้าเดินทางได้ช้าลง ขั้นแรก เจ้าควรจะมุ่งหน้าไปที่เมืองฟอร์จแฮม แล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปยังเมทินนา เมืองหลวงประจำประเทศที่มีชื่อแบบเดียวกับมัน จากนั้น เจ้าควรจะควบม้าไปตามถนนที่พวกพ่อค้านิยมใช้กัน ข้ามผ่านที่ราบแม็ก เดย์ราไปยังเมืองที่มีชื่อว่านอยน์รอยธ์ และจากที่นั่น เจ้าก็ควรจะมุ่งหน้าต่อไปยังถนนทางทิศเหนือซึ่งทอดยาวไปตามหุบเขาริมแม่น้ำเยเลนา ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรยากแล้ว – ขนาดกองทหารและขบวนขนส่งยังสามารถเดินทางผ่านไปได้ไม่หยุดหย่อนโดยใช้เส้นทางที่ทอดผ่านนาแซร์และขั้นบันไดมาร์นาดัล หรือช่องเขาที่ทอดขึ้นเหนือไปยังหุบเขามาร์นาดัลอีกที ซึ่งหุบเขามาร์นาดัลที่ว่าก็คือซินทรานั่นแหละ”

“อืมม…” ดวงตาของซิริจับจ้องนิ่งอยู่ที่เส้นขอบฟ้าครึ้มหมอก บริเวณเส้นขอบอันเลือนรางของแนวเขาสีดำ “ไปที่ฟอร์จแฮม แล้วค่อยเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ… เจ้าหมายถึง… ทางไหนนะ”

“เอาแบบนี้ดีไหม คุณหนู” ฮ็อตสเปิร์นแย้มยิ้มจาง “ข้าเองก็กำลังจะเดินทางไปที่ฟอร์จแฮมแล้วก็เมทินนาเช่นเดียวกัน นี่ไง แค่ตามเส้นทางนี้ไป เห็นแนวพื้นทรายสีเหลืองระหว่างต้นสนไพน์เล็ก ๆ พวกนั้นใช่ไหม หากเจ้าขี่ม้าไปทางนั้นด้วยกันกับข้า รับรองเลยว่าเจ้าจะไม่หลงทางแน่ ต่อให้เจ้าจะเข้ารับการนิรโทษกรรมหรือไม่ การมีหญิงงามทรงเสน่ห์ร่วมเดินทางไปด้วยก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ดี”

ซิริจ้องประเมินเขาด้วยสายตาเยียบเย็นเท่าที่นางจะทำได้ ฮ็อตสเปิร์นขบริมฝีปากตัวเองพลางแย้มยิ้มซุกซน

“ตกลงว่าไง”

“ไปกันเถอะ”

“เยี่ยมเลย คุณหนูฟอลกา เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก ว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องฉลาดพอ ๆ กับความสวยของเจ้า แล้วข้าก็คิดถูกเสียด้วย”

“เลิกเรียกข้าว่า ‘คุณหนู’ เสียทีน่า ฮ็อตสเปิร์น พอมาจากปากของเจ้าแล้วมันฟังดูเหมือนคำพูดถากถางไม่มีผิด แล้วข้าก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดถากถางโดยไม่ตอบโต้ด้วย”

“ตามที่เจ้าปรารถนาเลย คุณหนู”

 

ยามรุ่งอรุณของวันนั้นไม่อาจทำให้คำสัญญาอันแสนสวยงามที่มันเคยให้ไวเป็นจริงขึ้นมาได้ วันนั้นเป็นวันที่ทั้งมืดครึ้มและเปียกปอน สายหมอกชื้นแฉะทำให้ใบไม้หนาในฤดูบนใบไม้ร่วงบนต้นไม้ที่เอนลู่ลงมาเหนือท้องถนนยิ่งดูมัวสลัวลงไปอีก ขณะเดียวกันก็สาดสีสันสีเหลืองแกมน้ำตาล แดง และเหลืองออกมาอีกนับพันเฉดสี

ในอากาศอันชื้นแฉะเต็มไปด้วยกลิ่นของเห็ดและเปลือกไม้

ทั้งสองขี่ม้าย่ำไปเหนือพรมใบไม้อันร่วงโรย ทว่าฮ็อตสเปิร์นมักจะกระตุ้นม้าสีดำของเขาให้ออกวิ่งเหยาะ ๆ หรือออกวิ่งตรงไปอย่างช้า ๆ บ่อยครั้ง และในช่วงเวลาเหล่านั้น ซิริก็เอาแต่มองตามไปอย่างปิติยินดี

“นางมีชื่อไหม”

“ไม่” ฮ็อตสเปิร์นฉีกยิ้มยิงฟัน “ข้าจะปฏิบัติต่อพาหนะของข้าดั่งพันธมิตรที่ใช้งานได้ ข้ามักจะนำมันไปเปลี่ยนอยู่บ่อย ๆ จึงไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับมันนัก และข้าก็คิดว่าการตั้งชื่อให้ม้าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เจ้าของคอกม้านั้นถือเป็นการกระทำที่ดูอวดเบ่งใช่ย่อย เจ้าเห็นด้วยกับข้าไหม ทั้งเจ้าม้าแบล็คกี้ เจ้าสุนัขฟิโด เจ้าแมวเฟลิกซ์ เฮอะ ฟังดูอวดเบ่งสิ้นดี!”

 

ซิริไม่ชอบสายตาหรือรอยยิ้มกำกวมของอีกฝ่ายเลย โดยเฉพาะโทนเสียงเชิงล้อเลียนเล็กน้อยที่อีกฝ่ายมักจะใช้ในการพูดหรือตอบคำถามต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงคิดกลยุทธ์ง่าย ๆ ออกมาหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการนิ่งเงียบเอาไว้ ตอบรับด้วยคำพยางค์เดียว และไม่ยั่วยุปลุกปั่นเขา บางครั้งนางก็ทำได้ แต่ก็มิใช่เสมอไป โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายยกเรื่องการนิรโทษกรรมขึ้นมาพูด กระทั่งเมื่อแสดงท่าทีต่อต้าน – ที่ค่อนข้างจะขึงขัง – ออกมาอีกครั้ง ฮ็อตสเปิร์นจึงเปลี่ยนท่าทีของเขาไปอย่างน่าประหลาดใจ จู่ ๆ เขาก็เริ่มยืนกรานว่าในกรณีของนางนั้น การนิรโทษกรรมอาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นนัก ทั้งยังไม่ใช่ทางออกที่เหมาะกับนางเลย เขากล่าวว่าการนิรโทษกรรมนั้นเหมาะจะนำไปใช้กับอาชญากร มิใช่เหยื่อของคดีอาชญากรรม แต่ฝ่ายซิริกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“เจ้าเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกันนี่นา ฮ็อตสเปิร์น!”

“ข้าจริงจังนะ” เขายืนกราน “ข้าไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อกระตุ้นความร่าเริงในฐานะเด็กสาวของเจ้า แต่กำลังพยายามแนะนำหนทางให้เจ้าต่างหาก เผื่อว่าหากถูกจับเข้า เจ้าจะได้พอช่วยตัวเองได้ แต่วิธีการเช่นนี้ย่อมใช้ไม่ได้กับบารอนแห่งคาซาเดย์ แล้วเจ้าก็ไม่อาจคาดหวังให้พวกวาร์นฮาเก็นปราณีเจ้าได้เช่นกัน ผลลัพท์ที่เบาที่สุดก็คือพวกนั้นอาจจะจับเจ้าแขวนคอคาที่ ทำให้เจ้าหมดลมหายใจไปอย่างรวดเร็ว ไม่เจ็บปวด และครบสามสิบสอง แต่หากเจ้าพลัดตกไปอยู่ในมือของเจ้าเมืองและต้องเผชิญหน้ากับกฎหมายอันแสนเคร่งครัดทว่ายุติธรรมของจักรวรรดิ… เช่นนั้นข้าก็ขอแนะนำให้เจ้าปฏิบัติตามแนวทางป้องกันตัวต่อไปนี้เสีย จงร่ำไห้ออกมา และประกาศออกไปว่าเจ้าเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ที่บังเอิญตกเป็นเหยื่อโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น”

“จะมีใครยอมเชื่อด้วยหรือ”

“ทุก ๆ คนจะเชื่อเจ้า” ฮ็อตสเปิร์นโน้มตัวลงมาจากในอานและจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตานาง “เพราะนั่นคือความจริง เจ้าเป็นเหยื่อที่ไร้ความผิดจริง ๆ ฟอลกา เจ้ายังอายุไม่ครบสิบหกดีด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าจึงยังถือเป็นผู้เยาว์ตามกฎหมายแห่งจักรวรรดิอยู่ เจ้าก็แค่ต้องไปอยู่กับพวกหนูโดยบังเอิญ และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยที่มิสเซิล หนึ่งในกลุ่มโจรเหล่านั้น ผู้ที่ทุก ๆ คนต่างก็รู้ดีว่ามีรสนิยมผิดธรรมชาติ ดันมาต้องตาต้องใจเจ้าเข้า เจ้าถูกครอบงำโดยมิสเซิล ทั้งยังโดนล่วงละเมิดทางเพศและบังคับให้—”

“ชัดแล้ว” ซิริเอ่ยแทรกขึ้นพลางอดนึกแปลกใจไปกับความใจเย็นของตนไม่ได้ “ในที่สุดก็เห็นชัดกันเสียทีว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ฮ็อตสเปิร์น ข้าเคยพบบุรุษแบบเจ้ามามากทีเดียว”

“จริงหรือ”

“เจ้าก็เหมือนกับเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ นั่นแหละ” นางกล่าว ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้ “หงอนของเจ้าจะตั้งชันขึ้นทุกครั้งที่คิดถึงข้ากับมิสเซิล เจ้าเองก็เหมือนกับเสือผู้หญิงคนอื่น ๆ เจ้ามักจะคิดไตร่ตองอยู่ในหัวตุ่น ๆ นั่นตลอดว่าอยากจะรักษาข้าให้หายจากโรคที่ผิดธรรมชาตินี้ อยากจะเปลี่ยนให้คนพิลึกเช่นข้ากลับมาเดินอยู่บนท้องถนนแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง แต่รู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่น่าขยะแขยงและผิดธรรมชาติทั้งหมดในที่นี้ ความคิดของเจ้าอย่างไรเล่า!”

ฮ็อตสเปิร์นเฝ้าจับสังเกตนางอย่างเงียบงัน รอยยิ้มลึกลับปรากฏขึ้นบนริมฝีปากคู่บางของเขา

“ฟอลกาที่รัก ความคิดของข้า” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง “อาจจะไม่ใช่เรื่องที่สมควรหรือเป็นความคิดที่ดีนัก และแน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่ความคิดที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง… แต่พระเจ้าช่วย ถึงอย่างไรมันก็ยังสอดคล้องกับธรรมชาติอยู่ดีน่า โดยเฉพาะธรรมชาติของตัวข้าเอง เจ้ากำลังสบประมาทข้าอยู่นะ หากคิดว่าความสนใจที่ข้ามีต่อเจ้านั้นเกิดจาก… ความอยากรู้อยากเห็นในเชิงลามก นอกจากนี้ เจ้ายังสบประมาทตนเองอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะกระทั่งเจ้ายังไม่รู้ตัว – หรือไม่อยากตระหนักถึงมัน – เลยว่ารูปโฉมอันมีเสน่ห์และความงดงามเกินธรรมดาของตัวเจ้านั้นสามารถทำให้บุรุษทุกคนถึงกับเข่าอ่อนได้ ไหนจะยังมีสายตาอันทรงเสน่ห์นั่น—”

“ฟังนะ ฮ็อตสเปิร์น” นางเอ่ยขัด “เจ้าอยากร่วมเตียงกับข้าไหม”

“ฉลาดจริง” เขาเอ่ยพลางกางแขนทั้งสองข้างออก “ทำเอาข้าถึงกับพูดไม่ออกเลย”

“งั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง” นางกระตุ้นม้าของตนเล็กน้อยเพื่อที่จะได้มองข้ามไหล่มายังเขา “เพราะข้านึกคำออกได้เยอะทีเดียว ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และถ้าหากเราอยู่ในสถานการณ์อื่น… ใครจะไปรู้เล่า…หรือถ้าหากเจ้าเป็นคนอื่นก็คงจะพอไหวกระมัง เหอะ! แต่เจ้าน่ะ ฮ็อตสเปิร์น เจ้าไม่ใช่คนที่น่าดึงดูดสำหรับข้าเลยสักนิด เจ้าไม่มีสิ่งใดเลยที่ดูน่าดึงดูดสำหรับข้า ไม่มีเลยแม้แต่อย่างเดียว และเจ้าก็ต้องยอมรับนะว่าในสถานการณ์แบบนี้ การร่วมประเวณีก็ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักธรรมชาติเช่นเดียวกัน”

ฮ็อตสเปิร์นหัวเราะขณะกระตุ้นม้าตามนางไป เจ้าอาชาเพศเมียสีดำร่ายรำอยู่บนถนนหนทางพลางยกศีรษะได้รูปของมันขึ้นอย่างสง่างาม ซิริได้แต่นึกฉุนอยู่บนอาน พยายามต่อสู้กับความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในกายนาง ภายในส่วนลึกในช่องท้อง ทว่าความรู้สึกดังกล่าวกลับพยายามตะเกียกตะกายออกมาภายนอก ออกมาอยู่บนผิวกายที่กำลังระคายจากสัมผัสของเสื้อผ้าอย่างว่องไวและดื้อรั้น ข้าบอกความจริงกับเขาไปแล้ว นางคิด ข้าไม่ชอบเขาเลยจริง ๆ ให้ตายสิ สิ่งที่ข้าชอบคือเจ้าม้าเพศเมียสีดำของเขาต่างหาก ไม่ใช่เขา แต่เป็นม้าของเขา… นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย! ไม่ ไม่ ไม่! ต่อให้ข้าไม่ได้กำลังคิดถึงมิสเซิล การยอมอ่อนข้อให้เขาเพียงเพราะเจ้าม้าสีดำที่กำลังร่ายรำอยู่บนถนนอย่างชวนตื่นเต้นนั้นก็ยังฟังดูน่าขันอยู่ดี

ฮ็อตสเปิร์นปล่อยให้นางขี่ม้าเข้ามาใกล้ ๆ ขณะที่เขาเองก็จ้องสบตานางพร้อมรอยยิ้มประหลาด ต่อจากนั้น เขาจึงกระตุกสายบังเหียนอีกครั้ง ส่งผลให้เจ้าม้าเหยาะย่างไปข้างหน้าเป็นช่วงสั้น ๆ หมุนวนไปมา แล้วจึงก้าวเบี่ยงไปด้านข้างอย่างงดงาม เขารู้ ซิริคิด เจ้าคนชั่วนี่รู้ดีว่าข้ารู้สึกยังไง

บ้าเอ๊ย ข้าก็แค่อยากรู้เท่านั้นเอง!

            “บนผมของเจ้า” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวอย่างอ่อนโยนขณะขี่ม้าเข้ามาจนแทบประชิดแล้วยื่นมือออกมา “มีเข็มสนติดอยู่ด้วยแน่ะ ข้าจะเอาออกให้เจ้าเองหากเจ้าอนุญาต แล้วก็ขอบอกไว้ก่อนนะว่าท่าทีเช่นนี้ของข้าเกิดมาจากความหวังดี มิใช่เพราะกามตัณหา”

สัมผัส  – ที่ไม่ได้ทำให้นางตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อยนั้น – ยังความรู้สึกสุขสมมาให้ นางคงยังไม่ตัดสินใจในเร็ว ๆ นี้ แต่เพื่อความมั่นใจ เด็กสาวจึงลองคำนวณดูว่านางมีระดูครั้งสุดท้ายเมื่อไร เยนเนเฟอร์เคยสอนให้นางนับวันล่วงหน้าและทำใจเย็น ๆ เข้าไว้ เพราะหลังจากนั้น หากอะไร ๆ เกิดร้อนระอุขึ้นมา นางอาจจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่นับวันได้ และอาจทำให้นางลืมคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นได้เช่นกัน

ฮ็อตสเปิร์นจ้องสบตากับนางแล้วแย้มยิ้ม ราวกับรู้ดีว่าการคำนวณของนางจะส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวเขา ถ้าเขาไม่อายุมากถึงขนาดนี้ก็ดีสิ! ซิริถอนหายใจ เขาน่าจะมีอายุอย่างน้อย ๆ สามสิบปีได้แล้วมั้ง…

“พลอยสามสี” ฮ็อตสเปิร์นกล่าวขณะแตะนิ้วสัมผัสใบหูและต่างหูของนางอย่างอ่อนโยน “แม้จะดูสวย แต่สุดท้ายก็ยังเป็นแค่พลอยสามสี หากเป็นข้าล่ะก็ ข้าคงยินดีจะมอบมรกตให้กับเจ้า มันเป็นอัญมณีมีค่าและมีสีเขียวเข้ม เหมาะกับรูปลักษณ์และสีตาของเจ้ามากกว่าพลอยชนิดนี้มาก”

“นี่แน่ะ” นางลากเสียงเนิบขณะจ้องมองเขาอย่างอวดดี “หากเวลานั้นมาถึงจริง ๆ ไว้ข้าจะเรียกเก็บมรกตจากเจ้าล่วงหน้าอีกทีแล้วกัน แต่ดูเหมือนผู้ที่เจ้าปฏิบัติด้วยเยี่ยงผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันจะไม่ใช่แค่ม้าของเจ้าเสียแล้วล่ะ ฮ็อตสเปิร์น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากผ่านค่ำคืนอันเร่าร้อนไปแล้ว เจ้าก็คงคิดว่าการเรียกข้าด้วยชื่อต้นก็เป็นการกระทำที่ฟังดูโอ้อวดเช่นเดียวกัน เหมือนอย่างเจ้าหมาฟิโดหรือเจ้าแมวเฟลิกซ์นั่นแหละ แค่เปลี่ยนเป็นหญิงสาวนามแมรี่เจนแทน!”

“พูดตามตรงนะ” ฝ่ายชายหนุ่มแสร้งส่งเสียงหัวเราะออกมา “แม้กระทั่งความปรารถนาที่ร้อนรุ่มที่สุด เจ้ายังทำให้มันเย็นลงได้เลย สมกับเป็นราชินีหิมะจริง ๆ”

“พอดีข้ามีครูดีน่ะ”

 

สายหมอกแผ้วจางลงเล็กน้อย แต่รอบด้านก็ยังคงมืดสลัวและชวนง่วงเป็นอย่างยิ่ง แต่แล้ว บรรยากาศช่วยง่วงเหงาหาวนอนนั้นก็ถูกทำลายราบคาบโดยเสียงตะโกนและเสียงกีบเท้าม้าย่ำพื้นดังสนั่น ทหารม้าบางคนโผล่พรวดออกมาจากเบื้องหลังแนวต้นโอ๊กที่ทั้งสองเพิ่งเคลื่อนผ่านไป

ชายหญิงทั้งสองตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างว่องไวและลื่นไหลราวกับได้ฝึกฝนมาเป็นอาทิตย์แล้ว ทั้งคู่ถองเดือยตอกใส่ม้าและชักพวกมันหมุนกลับไป ก่อนจะเริ่มห้อตะบึงพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดือดดาลพลางแนบร่างลงกับแผงคอม้า คอยเร่งพวกมันด้วยเสียงตะโกนและแรงถีบจากส้นเท้า ฝนลูกดอกพุ่งโฉบผ่านเหนือศีรษะทั้งสองไป ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกน เสียงโลหะกระทบกัน และเสียงฝีเท้าทึบทื่อ

“เข้าไปในป่า!” ฮ็อตสเปิร์นตะโกนบอก “รีบหักเลี้ยวเข้าไปในป่า! เข้าไปหลบในพุ่มไม้กัน”

ทั้งสองจึงเลี้ยวเข้าป่าไปโดยไม่ชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ซิริแนบร่างลงชิดอานมากขึ้น ก่อนจะก้มหัวลงไปยังแผงคอม้าเพราะเกือบจะโดนกิ่งไม้ฟาดเข้าให้จนกระเด็นร่วงหล่นจากอานระหว่างที่ควบม้าผ่านมันไป นางมองเห็นลูกดอกหน้าไม้ดอกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ลำต้นของต้นอัลเดอร์ที่พวกนางเพิ่งเคลื่อนผ่านไปจนแตกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เด็กสาวตะโกนเร่งม้าของตนให้วิ่งไวขึ้น ด้วยกลัวว่าอาจจะถูกลูกดอกปักหลังได้ทุกเมื่อ ทว่าทันใดนั้นเอง ฮ็อตสเปิร์นที่ควบม้านำอยู่ข้างหน้านางก็ส่งเสียงร้องครางแปลกประหลาดออกมาโดยพลัน ทั้งสองข้ามผ่านแอ่งลึกแห่งหนึ่งไป จากนั้นจึงควบม้าบึ่งลงไปตามหน้าผาที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้มีหนาวอย่างบ้าระห่ำ เจ้าม้าสีดำส่งเสียงร้องฮี้ เตะขา สะบัดพวงหางไปมาและพุ่งฉิวไปด้านหน้า ซิริเองก็ไม่คิดหน้าคิดหลังอีกต่อไปแล้ว นางกระโดดลงจากม้าแล้วตบสะโพกของมัน กระทั่งมันออกวิ่งตามหลังเจ้าม้าสีดำไปแล้ว นางจึงหันมาช่วยฉุดฮ็อตสเปิร์นให้ลุกขึ้นยืน ทั้งสองแหวกฝ่าพุ่มไม้ ตรงเข้าไปในป่าต้นอัลเดอร์ แต่แล้วก็สะดุดล้มกลิ้งลงมาตามพื้นที่ลาดเอียง ร่วงเข้าไปในแนวต้นเฟิร์นสูงเสียดที่ก้นเหว ยังดีที่มีตะไคร่น้ำช่วยดูดซับแรงกระแทกให้

เสียงกีบเท้าม้าของเหล่าผู้ไล่ล่ายังคงดังแว่วมาจากบนยอดผา เคราะห์ดีที่พวกเขาเลือกจะห้อตะบึงตามม้าทั้งสองที่เผ่นหนีหายเข้าไปในป่าแทน ดูเหมือนพวกนั้นจะไม่ทันสังเกตเห็นว่าชายหญิงทั้งสองได้หายตัวไปท่ามกลางดงต้นเฟิร์นเสียแล้ว

“พวกเขาเป็นใครกัน” ซิริขู่ฟ่อพลางดึงเห็ดตะไคลแหลกเละออกมาจากใต้ร่างของฮ็อตสเปิร์นและสลัดบางส่วนออกจากเส้นผมตน “คนของเจ้าเมืองรึ หรือจะเป็นพวกวาร์นฮาเก็น”

“ก็แค่โจรธรรมดาน่ะ…” ฮ็อตสเปิร์นถ่มน้ำลายลงบนกองใบไม้ “แค่พวกอันธพาลทั่วไป…”

“เอาเรื่องการนิรโทษกรรมไปบอกพวกเขาบ้างสิ” นางกล่าวพลางบ้วนทรายออกจากปาก “ทำไมไม่ลองรับปากพวกเขาว่า—”

“เงียบน่า เดี๋ยวพวกนั้นก็ได้ยินเข้าหรอก”

“นี่! นี่! ทางนี้!” เสียงดังกล่าวดังแว่วมาจากเบื้องบน “ทางด้านซ้ายยย! ด้านซ้ายยย!”

“ฮ็อตสเปิร์น”

“อะไร”

“หลังเจ้ามีเลือดออก”

“ข้ารู้” ชายหนุ่มตอบเสียงเย็นพลางดึงห่อผ้าลินินออกมาจากเสื้อนอกแล้วพลิกตะแคงกายไปด้านข้าง “ยัดเจ้านี่เข้ามาใต้เสื้อให้ข้าที ตรงแถว ๆ สะบักไหล่ทางด้านซ้าย…”

“เจ้าต้องศรที่ตรงไหน ข้ามองไม่เห็นลูกดอกเลย…”

“มันเป็นลูกศร… หัวเหล็ก น่าจะเป็นลูกศรที่สร้างขึ้นจากตะปูเกือกม้า ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ อย่าไปแตะต้องมันเชียว มันปักอยู่ข้าง ๆ กระดูกสันหลังของข้าพอดี”

“เวรเอ๊ย มีอะไรที่ข้าพอทำได้บ้างไหม”

“แค่เงียบไว้ก็พอ พวกมันกำลังกลับมาทางนี้”

แว่วเสียงเกือกม้าย่ำพื้นและเสียงใครบางคนผิวปากแหลมลั่น ตามมาด้วยเสียงตะโกนของใครบางคน เสียงร้องเรียก และเสียงออกคำสั่งให้ใครอีกคนหวนกลับไป ซิริตั้งใจฟังเสียงเหล่านั้นอย่างตั้งใจ

“พวกนั้นกำลังควบม้าจากไป” นางพึมพำ “คงจะเลิกไล่ล่าต่อแล้ว พวกนั้นจับม้าของเรายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

“ก็ดี”

“แต่เราเองก็คงจับพวกมันไม่ได้เหมือนกัน เจ้าพอจะเดินไหวไหม”

“ไม่จำเป็นหรอก” อีกฝ่ายแย้มยิ้มพร้อมกับยื่นกำไลรอบข้อมือที่หน้าตาเหมือนกำไลราคาถูกให้นางดู “ข้าซื้อเจ้าเครื่องประดับชิ้นนี้มาพร้อมกับม้านั่นด้วย มันเป็นกำไลเวทมนตร์ และเจ้าม้าตัวเมียนั่นก็มีเจ้านี่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาข้าถูมันแบบนี้ มันจะมีปฏิกิริยาราวกับข้ากำลังส่งเสียงเรียกนาง ราวกับว่านางสามารถได้ยินเสียงข้าได้ เดี๋ยวนางจะวิ่งตรงไปมาที่นี่เอง อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่นางจะต้องมาแน่ และถ้าหากเรายังพอมีโชคอยู่บ้าง เจ้าสีสวาดของเจ้าก็จะตามนางมาด้วย”

“แต่ถ้าหากเราโชคร้าย เจ้าก็จะขี่ม้าจากไปด้วยตัวคนเดียวสินะ”

“ฟอลกา” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก ข้าหวังพึ่งเจ้าอยู่นะ เพราะข้าต้องมีคนช่วยประคองยามที่นั่งอยู่บนอาง หัวแม่เท้าข้าชาไปหมดแล้ว และข้าก็อาจหมดสติไปได้ ฟังนะ ลำห้วยแห่งนี้จะพาเจ้าไปยังหุบเขาแคบ ๆ พร้อมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เจ้าต้องขี่ม้าทวนกระแสน้ำขึ้นเข้าไปทางเหนือ เจ้าต้องพาข้าไปยังสถานที่ที่ชื่อว่าเทกาโม แล้วพอถึงที่นั่นเมื่อไหร่ เจ้าจะต้องตามหาใครบางคนที่รู้ว่าจะนำลูกธนูเหล็กนี่ออกจากหลังข้าได้ยังไงโดยที่ข้าไม่ตายหรือเป็นอัมพาตไปเสียก่อน”

“นั่นคือชื่อของหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือ”

“ไม่ใช่ หมู่บ้านริษยาอยู่ใกล้กว่า มันอยู่ในหุบเขาในทิศทางตรงกันข้าม หรือก็คือตามกระแสน้ำไป ห่างจากที่นี่ราว ๆ ยี่สิบไมล์ได้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อย่าได้ไปที่นั่นโดยเด็ดขาด”

“ทำไมเล่า”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” เขาย้ำพร้อมขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้า แต่มันเกี่ยวกับเจ้า สำหรับเจ้าแล้ว หมู่บ้านริษยาย่อมหมายถึงความตาย”

“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“ไม่จำเป็นหรอก แค่เชื่อข้าก็พอ”

“แต่เจ้าบอกจิเซลเฮอร์ว่า—”

“ลืมจิเซลเฮอร์ไปเสีย หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ก็จงลืมคนพวกนั้นไปให้หมด”

“ทำไมกัน”

“อยู่กับข้า ข้าจะรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเจ้า ราชินีหิมะเอ๋ย ข้าจะหามรกตมาให้เจ้าเยอะ ๆ… จนเจ้าสามารถใช้มันอาบแทนน้ำได้…”

“นี่มันใช่เวลามานั่งล้อเล่นกันไหมเนี่ย”

“เวลาล้อเล่นน่ะมีอยู่ตลอดนั่นแหละ”

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ฮ็อตสเปิร์นก็ฉวยตัวนางไว้ ดึงนางเข้ามาใกล้ แล้วเริ่มแก้เสื้อครึ่งตัวของนางอย่างไม่เร่งรีบทว่าไร้พิธีรีตอง ซิริจึงผลักอีกฝ่ายออกไป

“เอาอีกแล้วนะ!” นางแหว “นี่มันใช่เวลามานั่งทำแบบนี้ไหมเนี่ย!”

“เวลาสำหรับทำเช่นนี้น่ะก็มีอยู่เสมอเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะสำหรับข้าในตอนนี้ ข้าบอกเจ้าแล้วไง ว่าข้าได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ เราอาจต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากยิ่งกว่าเดิมก็ได้…”

“ทำอะไรของเจ้าเนี่ย โอ๊ย ให้ตายสิ…”

ครั้งนี้นางออกแรงผลักเอาออกมากกว่าเดิม มากจนเกินไป ฮ็อตสเปิร์นหน้าซีดเผือด ขบริมฝีปาก และร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด

“ข้าขอโทษ แต่ถ้ามีใครได้รับบาดเจ็บ เขาก็ควรต้องนอนนิ่ง ๆ สิ”

“แต่การได้อยู่ใกล้เจ้าทำให้ข้าลืมความเจ็บปวดไปได้นี่”

“หยุดเลยนะ!”

“ฟอลกา… ช่วยใจดีกับชายที่กำลังทนทุกข์ทรมานหน่อยเถอะ”

“เจ้าจะได้พบกับความทรมานของจริงแน่หากยังไม่เอามือออกไปตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย!”

“เงียบหน่อยสิ… เดี๋ยวพวกโจรนั่นก็ได้ยินเราเข้าหรอก… ผิวเจ้านุ่มอย่างกับผ้าไหมแน่ะ… อย่าดิ้นสิ”

โอ๊ย ให้ตายสิวะ ซิริคิด จะปล่อยไปดีไหมนะ ถึงอย่างไรมันก็คงไม่ได้ต่างอะไรอยู่ดี ข้าก็แค่นึกสงสัย และข้าก็มีสิทธิ์สงสัย ข้าไม่ได้จริงจังกับมันเลยสักนิด ข้าจะทำเหมือนเขาเป็นคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับข้า เรื่องมันก็แค่นั้น จากนั้นข้าก็จะลืมเขาไปโดยไม่ต้องมานั่งหาข้ออ้างใด ๆ อีก

เด็กสาวจึงยอมจำนวนให้กับสัมผัสของเขาและความสุขสมที่มันนำพามาให้ นางหันหน้าหนีไป แต่ก็คิดได้ว่าท่าทีเช่นนั้นคงดูเหมือนการเจียมเนื้อเจียมตัวจนเกินไป ทั้งยังดูเหมือนคนที่ขี้กังวลอย่างไม่น่าเชื่อ และนางก็ไม่อยากถูกมองว่าเป็นเด็กหงิม ๆ ที่กำลังถูกชายอื่นล่อลวงอยู่เสียด้วย นางจึงจ้องสบตาเขาตรง ๆ แต่นั่นก็ดูกล้าบ้าบิ่นและกวนโทสะจนเกินไป และนางก็ไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนแบบที่ว่าอีกเช่นกัน ฉะนั้นแล้ว เด็กสาวจึงเพียงแค่หลับตาลง กอดคอเขาเอาไว้ และช่วยเขาแกะกระดุมด้วยอีกแรง เพราะดูเหมือนเขาจะปลดกระดุมได้อย่างยากลำบากและกำลังทำให้ทั้งสองเสียเวลาโดยใช่เหตุ ปลายนิ้วของทั้งสองแตะสัมผัสเข้าหากัน ตามมาด้วยการสัมผัสของริมฝีปาก นางเกือบจะลืมโลกทั้งใบไปเสียแล้ว ทว่าจู่ ๆ ร่างของฮ็อตสเปิร์นก็พลันแข็งทื่อขึ้นมา เด็กสาวยังคงนอนนิ่งอยู่อีกชั่วครู่อย่างใจเย็น ด้วยยังจำอาการบาดเจ็บและบาดแผลที่คงจะกวนใจเขาอยู่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับแข็งทื่อไปนานเกินไป นานเสียจนน้ำลายที่เปื้อนยอดทรวงของนางอยู่เย็นชืดไปหมด

“นี่ ฮ็อตสเปิร์น หลับไปแล้วหรือ”

บางสิ่งบางอย่างไหลซึมลงมาบนทรวงอกและสีข้างนาง เด็กสาวยกนิ้วขึ้นสัมผัสมัน เลือดนั่นเอง

“ฮ็อตสเปิร์น!” นางรีบผลักเขาออกไป “ฮ็อตสเปิร์น ตายรึยังน่ะ”

เป็นคำถามที่โง่ดีชะมัด นางคิด ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ นี่

เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาตายแล้ว

 

“หมอนั่นหมดลมไปทั้ง ๆ ที่หัวยังซบอกข้าอยู่เลย” ซิริหันหน้าหนีไปอีกทาง แสงสลัวจากเตาไฟฉายแสงสีแดงทาบลงบนพวงแก้มอันบิดเบี้ยวของนาง บางทีบนแก้มนั่นอาจจะเจือสีแดงเรื่ออยู่ด้วยเช่นกัน แต่วิโซโกตาไม่มั่นใจ

“สิ่งเดียวที่ข้ารู้สึกในตอนนั้น” นางเอ่ยเสริมทั้งที่ยังหันหน้าหนี “คือความผิดหวัง ฟังแบบนี้แล้ว เจ้าจะรู้สึกตกใจบ้างรึเปล่า”

“ไม่ ไม่เลย”

“ข้าเข้าใจ ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะใส่สีตีไข่ แก้ไขเรื่องราว หรือปิดบังอะไรไว้หรอก แม้ว่าในบางครั้ง ข้าจะอยากทำแบบนั้นมากก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงท้าย ๆ” นางสูดจมูกพลางถูข้อนิ้วลงบนหัวตา

“ข้านำกิ่งไม้และก้อนหินมาคลุมกายเขาไว้ จริง ๆ ก็คือทุก ๆ อย่างที่หาได้นั่นแหละ แถมรอบด้านก็มืดค่ำเสียแล้ว ข้าจึงต้องนอนค้างคืนมันตรงนั้น พวกโจรเองก็ยังคงป้วนเปี้ยนไปมาอยู่รอบ ๆ เช่นกัน เพราะข้ายังได้ยินตะโกนของพวกเขา และข้าก็มั่นใจด้วยว่าพวกเขาจะต้องไม่ใช่โจรธรรมดา ๆ แน่ ข้าแค่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังตามล่าใคร ข้า หรือเขา แต่ข้าต้องปิดปากเงียบเอาไว้ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งฟ้าสาง ข้าง ๆ ศพคนตาย บรื๋อออ”

“เมื่อถึงยามฟ้าสาง” นางเริ่มเอ่ยอีกครั้งหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “สุ้มเสียงของผู้ที่กำลังตามล่าเราก็หายวับไปหมดแล้ว ข้าจึงสามารถออกเดินทางต่อได้อีกครั้ง และข้าก็มีม้าไว้ขี่แล้วด้วย กำไลเวทที่ข้าถอดมาจากแขนของฮ็อตสเปิร์นใช้งานได้จริง เจ้าม้าตัวเมียสีดำนั่นย้อนกลับมาจริง ๆ ตอนนี้นางจึงตกเป็นของข้า มันกลายเป็นของขวัญของข้าตามธรรมเนียมแห่งหมู่เกาะสเกลลิเกอ เจ้าเองก็รู้จักธรรมเนียมนี้ดีใช่ไหม เด็กสาวทุกคนจะได้รับของขวัญราคาแพงจากคนรักคนแรกเสมอ แล้วถ้าเกิดชายคนรักของข้าดันตายจากไปก่อนที่จะได้เป็นคนรักของข้าจริง ๆ เล่า”

 

เจ้าม้าตัวเมียกระทืบเท้าหน้าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องฮี้ และหันซีกหน้าด้านข้างมาราวกับจะสั่งให้ซิริชื่นชมมัน ฝ่ายซิริเองก็ไม่อาจกลั้นเสียงถอนหายใจอย่างชื่นชมเอาไว้ได้เมื่อได้เห็นช่วงคอยาวระหงดั่งโลมาของมัน ซึ่งถึงแม้จะตรงและเพรียวบาง ทว่าก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทรงพลัง นอกจากนี้ยังมีส่วนหัวเล็ก ๆ ได้รูปพร้อมหน้าผากเว้าโค้ง โหนกคอสูง และเรือนร่างที่สมส่วนอย่างน่าปลื้มใจอีก

นางค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้มันอย่างระมัดระวังพร้อมกับชูกำไลบนข้อมือขึ้นให้เจ้าม้าเห็น เจ้าม้าเพศเมียพ่นลมผ่านรูจมูกเสียยืดยาวและหลุบใบหูที่กำลังกระดิกไปมาลง ทว่าก็ยังยินยอมให้เด็กสาวจับสายบังเหียนและลูบจมูกที่นุ่มลื่นดั่งกำมะหยี่ของมัน

“เคลปี” ซิริกล่าว “เจ้ามีสีดำและว่องไวดั่งเคลปีทะเล แถมยังดูงดงามน่าหลงใหลเหมือนเคยปีไม่มีผิด ดังนั้นเจ้าจะได้ชื่อว่า ‘เคลปี’ และข้าก็ไม่สนด้วยว่ามันจะเป็นการกระทำที่ดูอวดเบ่งหรือไม่”

เจ้าม้าพ่นลมออกจมูก ชูใบหูตั้งขึ้น และส่ายหางอันนุ่มลื่นคล้ายเส้นไหมซึ่งยาวถึงข้อเท้าไปมา ซิริ – ที่ชอบนั่งบนอางสูง ๆ  – ผูกสายหนังบริเวณโกลนให้สั้นลง แล้วจึงยกมือขึ้นสัมผัสอานที่แบนราบผิดปกติ อานม้าที่ว่าไม่มีโครงอานหรือปุ่มอานม้าอยู่เลย เด็กสาวจึงสอดเท้าเข้าไปในโกลนและฉวยจับแผงคอม้าเอาไว้

“นิ่งไว้เล่า เคลปี”

แม้จะมีรูปร่างเช่นดังว่า แต่อานม้าดั่งกล่าวกลับนั่งสบายทีเดียว แถมยังเบากว่าอานม้าธรรมดา ๆ ของพวกทหารม้าทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดด้วย

“เอาละ” ซิริกล่าวพลางลูบแผงคอร้อนระอุของเจ้าม้า “ทีนี้มาดูกันว่าเจ้าจะวิ่งได้ไวเหมือนดั่งความงดงามของเจ้าหรือเปล่า เจ้าเป็นนักวิ่งตัวจริง หรือเป็นแค่ม้าพันทางกัน ลองออกวิ่งไปสักยี่สิบไมล์ดูดีไหม เคลปี”

 

หากมีใครสักคนแอบย่องมาที่กระท่อมอันโดดเดี่ยวพร้อมหลังคามุงจากโหว่ ๆ ซึ่งคลุมครึ้มด้วยตะไคร่ท่ามกลางหนองบึงในยามวิกาล หากคนผู้นั้นลองจ้องมองผ่านรอยแตกเป็นทางยาวบนบานเกล็ดหน้าต่างเข้าไปข้างใน พวกเขาจะมองเห็นชายชราหนวดขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งฟังเรื่องเล่าของเด็กสาววัยรุ่นอีกคน ผู้ที่มีดวงตาสีเขียวและเส้นผมสีเถ้าถ่าน

นอกจากนี้ พวกเขาจะมองเห็นแสงไฟสลัวในเตาไฟที่กำลังมอดดับลงพลันลุกโชนสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับสามารถสัมผัสถึงเรื่องราวที่กำลังจะถูกเอื้อนเอ่ยออกมาได้

แต่เรื่องเช่นนี้ย่อนไม่อาจเป็นไปได้ ใครเล่าจะมองเห็นภาพเหล่านี้ ด้วยกระท่อมของนักพรตเฒ่าวิโซโกตานั้นเร้นกายอยู่อย่างมิดชิดท่ามกลางต้นอ้อในลุ่มน้ำ ภายในป่าดงพงไพรที่มีหมอกห่อหุ้มอยู่ตลอดกาล ที่ซึ่งไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาแม้แต่คนเดียว

 

“ด้วยความที่หุบเขาริมลำธารนั้นราบเรียวเสมอกันดี เหมาะแก่การควบขี่ม้า เคลปีจึงสามารถห้อตะบึงได้ราวกับสายลม แน่นอนว่าข้าย่อมขี่มันขึ้นเนินไปแทนที่จะเลียบตามสายน้ำไป ข้ายังจำชื่อหมู่บ้านริษยา หมู่บ้านอันแสนน่าสงสัยนั่นได้ ทั้งยังจำคำพูดที่ฮ็อตสเปิร์นเคยพูดกับจิเซลเฮอร์ที่ที่ทำการไปรษณีย์ได้อีกด้วย ข้าเข้าใจดีว่าทำไมเขาจึงยกเรื่องหมู่บ้านนั่นมาเตือนข้า จะต้องเกิดการซุ่มโจมตีขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนั้นแน่ ๆ แถมพอจิเซลเฮอร์ทำเหมือนข้อเสนอเรื่องการนิรโทษกรรมและการทำงานให้ทางสมาคมเป็นเพียงเรื่องเล่น ๆ ฮ็อตสเปิร์นก็ยกเรื่องนักล่าค่าหัวที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าวขึ้นมาพูดอย่างจงใจในทันที เขารู้ดีว่าเหล่าหนูจะต้องตกหลุมพราง ดังนั้นข้าจงต้องไปถึงหมู่บ้านริษยาให้ได้ก่อนพวกเขา เพื่อที่จะได้ขวางพวกเขาไว้และเตือนให้พวกเขารู้ รวมถึงกล่อมให้พวกเขาทุกคนหันหลังกลับไป หรืออย่างน้อย ๆ แค่มิสเซิลก็ยังดี”

“ขอสรุปว่า” วิโซโกตาพึมพำ “สุดท้ายเจ้าก็ทำไม่สำเร็จสินะ”

“ตอนนั้น” นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าคิดว่าจะมีกองทัพขนาดใหญ่พร้อมอาวุธครบมือรออยู่ที่หมู่บ้านริษยาเสียอีก ทว่าแม้แต่ในฝันที่บ้าคลั่งที่สุดของข้า ข้าก็ยังนึกไม่ถึงเลยว่ากับดักที่ว่าจะเป็นแค่ชายเพียงคนเดียว…”

นางนิ่งเงียบไป สายตาจ้องมองเข้าไปภายในความมืดสลัว

“ทั้งยังไม่รู้เลยว่าชายคนนั้นเป็นคนแบบนั้น”

 

เมื่อครั้งอดีต เบียร์กาเคยเป็นหมู่บ้านอันแสนมั่งคั่ง มีเสน่ห์ และตั้งอยู่บนตำแหน่งที่มีความสวยงามในเชิงภูมิศาสตร์ – กล่าวคือ ทั้งหลังคามุงจากสีเหลืองและกระเบื้องสีแดงมากมายล้วนอัดแน่นอยู่ด้วยกันภายในหุบเขาซึ่งขนาบข้างด้วยพื้นที่ลาดเอียงอันอุดมไปด้วยป่าไม้ ซึ่งจะเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ตามฤดูการ โดยเฉพาะในยามฤดูใบไม้ร่วงนั้น เบียร์กาแห่งนี้จะดูงดงามจนทำให้ผู้ที่มีใจรักในศิลปะและผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวรู้สึกชื่นใจได้เลยทีเดียว

มันยังคงเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งชุมชนแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อของมันไป ต่อไปนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น

พ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งจากอาณาจักรเอลฟ์ใกล้เคียงดันเกิดตกหลุมรักบุตรสาวของเจ้าของโรงสีในเบียร์กาเข้าให้อย่างจัง ทว่าบุตรสาวแสนกะล่อนของเจ้าของโรงสีกลับหัวเราะเยาะการเกี้ยวพาราสีของเอลฟ์หนุ่ม และยังคงเที่ยวไปหลับนอนกับเพื่อนบ้าน มิตรสหาย หรือแม้กระทั่งญาติสนิทอยู่เรื่อยไป ผู้คนจึงเริ่มนำเอลฟ์ตนนั้นและความรักอันมืดบอดของเขามาล้อเลียน ฝ่ายเอลฟ์จึงระเบิดโทสะและความอาฆาตแค้นของตนออกมารุนแรง – แม้จะดูไม่สมกับเผ่าพันธุ์ของเขาเอาเสียเลย – คืนหนึ่ง ยามเมื่อสายลมแรงพัดหวนไปถูกทาง เอลฟ์ตนนั้นจึงจุดไฟเผาหมู่บ้านเบียร์กาเสียวอด

เหยื่อของหมู่บ้านที่เหลือเพียงซากปรักหักพังแห่งนั้นต่างสูญเสียพลังใจไปจนสิ้น บ้างจึงเริ่มออกเดินทางท่องโลกกว้าง บ้างก็กลายเป็นคนเกียจคร้านและขี้เหล้าเมายา กระทั่งเงินที่ถูกรวบรวมมาเพื่อบูรณะหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ยังมักจะถูกฉ้อโกงและนำไปจับจ่ายใช้สอยกับเครื่องดื่มมึนเมา ที่สุดแล้ว ชุมชนแห่งนี้จึงกลายมาเป็นภาพจำแลงแห่งความโศกเศร้าและความสิ้นหวัง  เป็นเพียงแค่กระท่อมสภาพชวนเขย่าขวัญที่กองสุมอยู่รวมกันภายใต้เนินเขาที่ทั้งเตียนโล่งและดำไหม้เป็นตอตะโก ก่อนที่จะเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นนั้น เบียร์กายังมีสภาพเป็นหมู่บ้านรูปวงรีซึ่งมีจุดศูนย์กลางเป็นพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทว่าบัดนี้ บ้านเรือน ยุ้งฉาง และโรงกลั่นสุราที่อัดแน่นอยู่ด้วยกันนั้นกลับกลายสภาพเป็นเหมือนถนนสายหลักเหยียดยาวเส้นหนึ่ง จากนั้น ทั้งชุมชนก็ได้ร่วมกันสร้างโรงแรมศีรษะไคมีร่าขึ้นมาที่ท้ายถนน และให้แม่ม่ายโกลูเป็นผู้ดูแลโรงแรมอีกที

เป็นเวลานับเจ็ดปีแล้วที่ไม่มีใครเอ่ยชื่อ ‘เบียร์กา’ ออกมาอีก ผู้คนมักจะเอ่ยเรียกมันว่า ‘ความริษยาอันเร่าร้อน’ หรือย่อสั้น ๆ ว่า ‘ริษยา’ แทน

พวกหนูพากันขี่ม้าเลียบไปตามถนนสายหลัก เช้าวันนั้นเป็นเช้าที่ทั้งหนาวเย็น มีเมฆมาก และมืดครึ้มยิ่งนัก

ผู้คนทั้งหลายต่างพากันหลบหนีเข้าไปในบ้าน บ้างก็ซ่อนตัวอยู่ในเพิงหรือกระท่อมซอมซ่อที่สร้างขึ้นจากดินโคลนหรือกิ่งไม้ของพวกเขา บ้านไหนที่มีหน้าต่างก็จะหุบปิดมันดังปัง บ้านไหนที่มีประตูก็จะลงกลอนไว้ ส่วนใครที่ยังมีว็อดกาเก็บไว้อยู่ก็จะดื่มมันเข้าไปเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ แต่พวกหนูก็ยังคงขี่ม้าเหยาะย่างต่อไปอย่างเชื่องช้าโอ้อวด โกลนแนบชิดกับโกลน สีหน้าดูถูกดูแคลนฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขา ทว่านัยน์ตาเรียวหรี่ของพวกเขากลับเฝ้าสังเกตบานหน้าต่าง ชานบ้าน และตรอกซอกซอยต่าง ๆ อย่างละเอียด

“หากมีลูกดอกหน้าไม้พุ่งออกมาสักดอก!” จิเซลเฮอร์ส่งเสียงเตือนลั่น “หรือหากเราได้ยินเสียงสะบัดของสายธนูแม้แต่เพียงครั้งเดียว ที่นี่จะเกิดเหตุนองเลือดขึ้นทันที!”

“เช่นเดียวกับเปลวไฟสีแดงฉานที่จะลามเลียไปทั่ว!” อิสครากล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแหลมสูงและไพเราะยิ่งนัก “สิ่งที่เหลืออยู่จะมีเพียงแค่ผืนดินและน้ำเท่านั้น!”

ชาวบ้านบางคนย่อมมีหน้าไม้อยู่แน่นอน แต่ก็ไม่มีใครกล้าลองดีว่าเหล่าหนูกำลังพูดจริงอยู่หรือไม่

พวกหนูพากันลงจากหลังม้า จากนั้นจึงก้าวเดินผ่านระยะทางอีกประมาณ 220 หลาสุดท้ายที่แบ่งแยกพวกเขาออกจากโรงแรมศีรษะไคมีรา ต่างฝ่ายต่างก้าวเดินไปเคียงข้างกัน ทั้งเดือยรองเท้า เครื่องประดับ และเพชรพลอยมากมายต่างสั่นไหวกระทบกันและส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งออกมาเป็นจังหวะ

เมื่อได้เห็นพวกเขา ชาวบ้านประจำหมู่บ้านริษยาจำนวนสามคนซึ่งกำลังดื่มเบียร์เพื่อรักษาอาการเมาค้างจากวันก่อนอยู่ ต่างก็รีบพุ่งตัวออกไปจากขั้นบันไดหน้าโรงแรมในทันใด

“หวังว่าเขาจะยังอยู่ที่นี่นะ” เคย์ลีก์พึมพำ “เราเสียเวลามามากพอแล้ว อันที่จริง เราไม่จำเป็นต้องพักผ่อนกันเสียด้วยซ้ำ เราน่าจะตรงมาที่นี่ตั้งแต่แรก ถึงจะต้องเดินทางข้ามคืนก็เถอะ…”

“เจ้าโง่” อิสคราแยกเขี้ยวเล็ก ๆ ของนาง “หากเราอยากให้พวกนักกวีนำเรื่องนี้ไปขับร้อง เราจะลงมือทำมันในความมืดหรือในตอนกลางคืนได้ยังไง เราต้องให้คนอื่นเห็นด้วยสิ! ตอนเช้าที่ทุกคนยังตื่นอยู่นี่แหละดีที่สุดแล้ว เจ้าว่าไหม จิเซลเฮอร์”

จิเซลเฮอร์ไม่เอ่ยตอบ เพียงหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง แกว้งมันไปมา แล้วโยนมันไปกระทบเข้ากับประตูโรงแรม

“ออกมาเสีย บอนฮาร์ท!”

“ออกมาเสีย บอนฮาร์ท!” เหล่าหนูต่างตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “จงออกมาซะดี ๆ บอนฮาร์ท!”

แว่วเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน เป็นเสียงฝีเท้าที่ทั้งหนักแน่นและเชื่องช้า มิสเซิลรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วต้นคอและลาดไหล่ของนาง บอนฮาร์ทยืนจังก้าอยู่ในกรอบประตู

เหล่าหนูพากันก้าวถอยหลังไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ส้นเท้าของรองเท้าบู๊ตทรงสูงของพวกเขาปักลึกลงไปในดิน เช่นเดียวกับฝ่ามือที่พุ่งขึ้นกุมด้ามดาบไว้ในทันที ฝ่ายนักล่าค่าหัวหนีบดาบไว้ใต้วงแขนข้างหนึ่ง ส่งผลให้มือทั้งสองข้างของเขายังว่างดี และในมือข้างที่ว่างนั้นก็ถือไข่ต้มปอกเปลือกไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือขนมปังก้อนใหญ่ไว้

เขาค่อย ๆ ก้าวเดินมาที่ราวบันไดอย่างเชื่องช้าและก้มหน้าลงมองอีกฝ่ายจากเบื้องสูง เขาหยุดยืนอยู่ตรงชานหน้าโรงแรม เผยให้เห็นรูปกายอันใหญ่โตมโหฬาร ทว่ากลับผอมซูบราวกับผีกินซาก

นักล่าค่าหัวจ้องมองมาทางพวกเขา สายตาฉ่ำน้ำคู่นั้นกวาดมองผ่านพวกหนูทีละคน จากนั้น เขาจึงกัดไข่ต้มเข้าไปคำหนึ่ง ก่อนจะกัดขนมปังตามเข้าไปอีกคำ

“ฟอลกาอยู่ไหน” เขาเอ่ยถามอ้อมแอ้ม ไข่แดงจำนวนหนึ่งไหลย้อยลงมาจากหนวดและริมฝีปากของเขา

 

“วิ่ง เคลปี! วิ่งเข้า โฉมงามของข้า! วิ่งให้ไวที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้!”

เจ้าม้าเพศเมียสีดำส่งเสียงร้องฮี้ลั่นพลางยื่นคอออกไปด้านหน้าเพื่อเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ก้อนกรวดจำนวนมากพุ่งฉิวมาจากใต้เกือกม้า ทว่าเท้าของมันกลับดูเหมือนกับไม่ได้แตะพื้นเลยแม้แต่น้อย

 

บอนฮาร์ทบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน ส่งผลให้เสื้อหนังรัดรูปบนร่างส่งเสียงลั่นเอี๊ยด เขาค่อย ๆ ดึงถุงมือหนังกวางเอลก์ลงมาอย่างเชื่องข้าและจัดแต่งมันให้เข้ารูปเข้าทรง

“นี่มันอะไรกัน” เขาตีหน้าบึ้ง “คิดจะฆ่าข้าหรือ เพื่ออะไรกัน”

“อย่างแรกเลยนะ เพื่อแก้แค้นให้มูโชโมเร็คอย่างไรเล่า” เคย์ลีก์เอ่ยตอบ

“แล้วก็เพื่อความสนุกของเรา” อิสครากล่าว

“เจ้าจะได้เลิกตามเรามาซะทีด้วย” รีฟเอ่ยแทรก

“อ้อออ” บอนฮาร์ทพูดเนิบช้า “อย่างนี้นี่เอง! แล้วถ้าข้าสาบานว่าจะปล่อยพวกเจ้าไปเล่า พวกเจ้าจะยอมปล่อยข้าไปบ้างไหม”

“ไม่มีทาง เจ้าหนวดขาว” มิสเซิลแย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “เรารู้จักเจ้าดี เราจึงรู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางยอมรามือแน่ เจ้าจะสะกดรอยตามพวกเราไปและรอคอยโอกาสแทงพวกเราจากด้านหลัง เพราะงั้นก็ลงมานี่เดี๋ยวนี้เลย!”

“ใจเย็นสิ” บอนฮาร์ทเองก็เผยยิ้มออกมาเช่นกัน เป็นรอยยิ้มที่ขยายออกกว้างภายใต้เคราสีขาวอย่างมุ่งร้าย “เวลาสำหรับร่ายน่ะมีอยู่ถมเถไป ไยจึงต้องรีบเร่งด้วยเล่า เอางี้ไหม พวกหนูเอ๋ย ข้าจะมอบข้อเสนอบางอย่างให้พวกเจ้า และข้าก็อนุญาตให้พวกเจ้าตัดสินใจเลือกได้”

“เอาแต่พึมพำอะไรอยู่ได้หา ไอ้แก่โง่เง่า” เคย์ลีก์ตะคอกขณะย่อตัวลง “พูดให้มันชัด ๆ หน่อยเซ่!”

บอนฮาร์ทพยักหน้า ก่อนจะเกาต้นขาของตน

“พวกเจ้ามีค่าหัวอยู่นะ พวกหนูเอ๋ย เป็นค่าหัวที่มูลค่าสูงใช้ได้ด้วย และชีวิตเราก็ย่อมต้องดำเนินต่อไป”

อิสคราพ่นลมพรืดแล้วเบิกนัยน์ตาออกกว้างคล้ายแมวป่า บอนฮาร์ทยกแขนขึ้นกอดอกขณะหนีบดาบไว้ใต้รักแร้

“และรางวัลที่มูลค่าสูงถึงเพียงนั้น” เขาเอ่ยย้ำ “ก็ต้องแลกมากับความตายของพวกเจ้า หรือถ้าหากจับพวกเจ้าไปได้แบบเป็น ๆ มูลค่าของมันก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก แต่บอกตามตรงนะ สำหรับข้ามันก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ และข้าก็ไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกับพวกเจ้าด้วย เมื่อวานข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะจัดการพวกเจ้าเพื่อความสนุกและความบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ ดีไหม แต่พวกเจ้าดันมาหาข้าด้วยตนเอง ซึ่งก็ช่วยลดภาระให้ข้าได้มากทีเดียว และก็ด้วยเหตุผลนี้ พวกเจ้าจึงสามารถเอาชนะใจข้าได้ ข้าจึงจะให้ทางเลือกแก่พวกเจ้า ว่าพวกเจ้าอยากให้ข้าสังหารพวกเจ้าด้วยวิธีไหน แบบที่สนุกสนานเพลิดเพลินใจ หรือแบบที่เจ็บปวดดี”

กล้ามเนื้อบนสันกรามของเคย์ลีก์กระตุกหงึก ส่วนมิสเซิลโน้มตัวไปด้านหน้า พร้อมที่จะกระโจนออกไปทุกเมื่อ ทว่าจิเซลเฮอร์กลับฉวยแขนนางเอาไว้

“เขากำลังยั่วโมโหเราอยู่” เขาขู่ฟ่อ “ปล่อยเจ้าบ้านั่นพล่ามต่อไปเถอะ”

บอนฮาร์ทพ่นลมออกจมูก

“เอ้า ว่าอย่างไร” เขาเอ่ยย้ำ “จะเลือกไม้แข็ง หรือไม้อ่อนดี ข้าขอแนะนำอย่างหลังจะดีกว่านะ เพราะก็อย่างที่รู้ ๆ กันดี ว่าไม้อ่อนน่ะเจ็บน้อยกว่าเยอะเลย”

เหล่าหนูต่างชักอาวุธออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน จิเซลเฮอร์ควงดาบตัดขวางไปมา แล้วจึงหยุดอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเยี่ยงนักดาบ มิสเซิลถ่มน้ำลายลงบนพื้นคำโต

“ลงมานี่เลยมา ไอ้แก่ผอมแห้ง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด “ลงมานี่เดี๋ยวนี้เลยนะ เจ้าคนชั่ว เราจะได้ปลิดชีพเจ้าเหมือนหมาแก่ ๆ ตัวหนึ่ง”

“แปลว่าเลือกไม้แข็งกันสินะ” บอนฮาร์ทกล่าวขณะเงยหน้าขึ้นมองบนหลังคา เขาค่อย ๆ ดึงดาบออกมาพร้อมเหวี่ยงฝักดาบลงพื้น จากนั้นจึงก้าวลงจากชานหน้าโรงแรมมาอย่างไม่เร่งรีบนัก เดือยรองเท้าส่งเสียงกระทบไม่หยุด

เหล่าหนูรีบแยกตัวออกจากกันไปยังจุดต่าง ๆ บนท้องถนน  เคย์ลีห์แยกตัวไปยังถนนฝั่งซ้ายส่วนที่ไกลที่สุด เกือบจะชิดกับผนังโรงกลั่นสุรา อิสครายืนอยู่ข้าง ๆ เขา ริมฝีปากของเอลฟ์สาวบิดงอเป็นรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัวเหมือนในยามปกติ ส่วนมิสเซิล แอส และรีฟแยกตัวไปยังถนนฝั่งขวา มีเพียงจิเซลเฮอร์เท่านั้นที่ยังยืนอยู่ตรงกลาง สายตาจ้องมองนักล่าหัวจากข้างใต้เปลือกตาที่หรี่เล็กลง

“ย่อมได้ เหล่าหนูเอ๋ย” บอนฮาร์ทกวาดสายตามองสลับไปมา แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ชูดาบของตนขึ้น แล้วถ่มน้ำลายลงบนใบดาบ “หากอยากร่ายรำนัก งั้นก็มาร่ายรำกัน เริ่มบรรเลงดนตรีได้!”

ทั้งสองฝ่ายต่างโถมร่างเข้าหากันราวกับสุนัขป่า ราวกับสายฟ้าที่ทั้งเงียบเชียบและไร้ซึ่งคำเตือน คมดาบมากมายร่ำร้องอยู่กลางอากาศ เติมเต็มถนนหนทางอันคับแคบด้วยเสียงเหล็กที่กระทบกันอย่างเศร้าโศก ในยามแรกนั้น เสียงที่ดังให้ได้ยินยังมีเพียงแค่เสียงกระทบกันของด้ามดาบ เสียงหอบหายใจ เสียงครวญคราง และเสียงหายใจกระชั้นถี่

ทว่าต่อมา เหล่าหนูก็เริ่มส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างกะทันหันและไม่มีใครคาดคิด จากนั้นจึงล้มตายกันไป

รีฟเซถลาออกมาจากการต่อสู้เป็นคนแรก แผ่นหลังของเขากระแทกเข้ากับผนัง หยาดเลือดสาดกระเซ็นลงบนผนังปูนขาวแสนสกปรก แอสล่าถอยตามหลังเขามาในสภาพซวนเซเจียนล้ม ชายหนุ่มม้วนตัวเข้าหากัน และล้มฟาดลงในท่าตะแคงข้าง ข้อเข่าหดงอและเหยียดออกสลับกันไป

บอนฮาร์ทหมุนตัวและโผนทะยานราวกับคนบ้า รอบกายรายล้อมด้วยแสงวูบวาบและเสียงหวีดหวิวของคมดาบ พวกหนูต่างพากันถอยร่อนออกมาจากเขา ก่อนจะพุ่งตรงไปข้างหน้าพลางวาดดาบไปมาและกระโดดเบี่ยงตัวไปด้านข้าง ทั้งด้วยความโกรธเกรี้ยว บ้าคลั่ง ไร้ซึ่งความเมตตา และไม่ก่อให้เกิดผลอันใด บอนฮาร์ทปัดดาบ ทิ่มแทง ปัดดาบ ทิ่มแทง และโจมตี เป็นการโจมตีที่ไร้ซึ่งความปราณี ไร้ซึ่งการผ่อนผัน ทั้งยังเป็นการฟาดฟันดาบตามจังหวะ พวกหนูต่างถอยร่นและล้มตายจากไป

อิสคราที่ถูกฟันใส่ช่วงคอล้มฟาดลงสู่กองโคลนขณะหดตัวเข้าหากันคล้ายลูกแมว หยาดเลือดจากหลอดเลือดแดงพุ่งกระจายเข้าใส่น่องและเข่าของบอนฮาร์ทที่กำลังก้าวผ่านนางไป นักล่าค่าหัวเหวี่ยงดาบเป็นวงกว้างเพื่อปัดป้องการโจมตีของมิสเซิลและจิเซลเฮอร์ จากนั้นจึงหมุนตัวและใช้ปลายดาบผ่าแยกร่างของเคย์ลีก์ด้วยการโจมตีที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ลากยาวตั้งแต่กระดูกไหปลาร้าลงมาจรดกับสะโพก เคย์ลีก์ปล่อยมือออกจากดาบ ทว่ากลับไปล้มลงไป เพียงแค่งอตัวเข้าหากันและใช้สองมือกุมอกและท้องของตนไว้ระหว่างที่เลือดมากมายไหลรินผ่านนิ้วของเขา บอนฮาร์ทหมุนตัวหนีคมดาบที่จิเซลเฮอร์แทงเข้าใส่อีกครั้ง ปัดป้องการจู่โจมของมิสเซิล และตวัดดาบฟันเข้าใส่เคย์ลีก์อีกที แปรสภาพศีรษะด้านข้างของชายหนุ่มให้กลายเป็นก้อนเนื้อสีแดงสด ชาวหนูผมแดงเซล้มลง เลือดข้น ๆ พุ่งกระจายออกมาเป็นกอง ผสมปนเปไปกับโคลนตม

มิสเซิลกับจิเซลเฮอร์ถึงกับลังเลไปชั่วครู่ แต่แทนที่จะเผ่นหนีไป ทั้งสองกลับร้องตะโกนออกมาพร้อม ๆ กันอย่างโกรธเกรี้ยวและป่าเถื่อน จากนั้นจึงกระโจนเข้าใส่บอนฮาร์ท

และได้พบกับความตาย

 

บอนฮาร์ทยกส้นเท้าขึ้นยันร่างของจิเซลเฮอร์ที่นอนแน่นิ่งอยู่ริมกำแพง หัวหน้ากลุ่มหนูไม่ส่งสัญญาณชีวิตใดออกมาอีก บนกะโหลกศีรษะที่แตกละเอียดเองก็ไม่มีเลือดไหลทะลักออกมาแล้วเช่นกัน

มิสเซิลที่นั่งคุกเข่าอยู่พยายามใช้สองมือควานหาดาบของนางไปทั่วท่ามกลางโคลนตมและมูลสัตว์ โดยที่ไม่ทันเห็นเลยว่านางกำลังคุกเข่าอยู่เหนือแอ่งเลือดสีชาดที่กำลังขยายกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว บอนฮาร์ทค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหานางอย่างเชื่องช้า

“ม่ายยยยยยย!”

นักล่าค่าหัวเงยหน้าขึ้น

ซิริกระโจนวูบลงจากม้าที่วิ่งรี่ตรงมาอย่างว่องไว นางซวนเซ และทรุดคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

บอนฮาร์ทแย้มยิ้ม

“แม่หนูสาว” เขาเอ่ย “สมาชิกกลุ่มหนูคนที่เจ็ด ดีจริง ๆ ที่เจ้ามาที่นี่ ขาดแค่เจ้าคนเดียวก็จะครบชุดแล้ว”

มิสเซิลหาดาบของนางเจอจนได้ ทว่าก็ไม่อาจยกมันขึ้น นางส่งเสียงหายใจหอบ และโถมร่างเข้าใส่เท้าของบอนฮาร์ท นิ้วมืออันสั่นเทาของนางจิกฝังลงไปในท่อนขาหุ้มรองเท้าบู๊ตของเขา นางอ้าปากหมายจะกรีดร้อง ทว่าสิ่งที่พ่นทะลักออกมากลับเป็นของเหลวสีแดงสดเป็นประกายแทน บอนฮาร์ทเตะร่างนางอย่างแรงจนร่างนางล้มลงใส่มูลสัตว์ ทว่ามิสเซิลที่บัดนี้กำลังกุมสองมือไว้เหนือช่องท้องพิกลพิการของตนกลับหยัดร่างลุกขึ้นมาได้อีก

“ไม่นะ!” ซิริตะโกนลั่น “มิสสสเซิล!”

นักล่าค่าหัวไม่สนใจเสียงตะโกนของนางเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะหันหน้ามา เขาเพียงหมุนควงดาบ และตวัดมันลงมาเต็มแรงราวกับเคียว เป็นการโจมตีที่ทรงพลังเสียจนร่างของมิสเซิลกระเด็นขึ้นจากพื้น ก่อนจะปลิวไปกระแทกกับกำแพงในสภาพไร้สิ้นเรี่ยวแรงราวกับตุ๊กตาผ้า ราวกับผ้าขี้ริ้วที่เปื้อนเต็มไปด้วยเลือด

เสียงหวีดร้องในคอของซิริหยุดลงทันใด เด็กสาวเอื้อมมือลงไปหาด้ามดาบทั้งที่มือทั้งสองข้างยังสั่นไหวไม่หยุด

“ฆาตกร” นางกล่าว แล้วก็ต้องรู้สึกตกใจไปกับน้ำเสียงอันแปลกประหลาดของนาง เช่นเดียวกับริมฝีปากของนางที่จู่ ๆ ก็พลันแห้งผากอย่างน่ากลัว

“ฆาตกร! ไอ้สารเลว!”

บอนฮาร์ทเฝ้ามองนางอย่างสนใจใครรู่พร้อมเอียงคอไปด้านข้างเล็กน้อย

“เจ้าเองก็อยากตายด้วยหรือ” เขาถาม

ซิริก้าวเข้าไปใกล้เขาแล้วตีวงโอบล้อมเขาไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม ดาบในมือของเขาถูกยกชูขึ้น เช่นเดียวกับมือที่กางออกกว้างและวาดไปมาในท่วงท่าที่ดูหลอกลวงตบตายิ่ง

นักล่าค่าหัวแผดเสียงหัวเราะดังสนั่น

“อยากตายหรือ!” เขาเอ่ยย้ำ “แม่หนูสาวเองก็อยากตายเช่นกันหรือนี่!”

เขาพลิกหันร่างทั้งที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมหลงกลไปกับกลลวงรูปครึ่งวงกลมของซิริ แต่สำหรับตัวซิริแล้ว มันก็ไม่ได้เหมือน ๆ กันไปเสียหมด ทั่วร่างของนางกำลังเดือดพล่านด้วยความบ้าคลั่งและความเกลียดชัง ทั้งยังไหวระริกด้วยความกระหายในการสังหาร นางอยากฟันดาบใส่เจ้าเฒ่าผอมซูบนั่น อยากสัมผัสถึงคมดาบที่กำลังผ่าร่างของคู่ต่อสู้ อยากจะเห็นหยาดเลือดของเขาพุ่งกระเซ็นออกมาจากหลอดเลือดแดงที่ถูกตัดขาดยามที่หัวใจของเขาสั่นไหวเป็นครั้งสุดท้าย

“แต่ก่อนอื่น เจ้าหนูตัวน้อย” บอนฮาร์ทยกดาบเปื้อนเลือดของตนขึ้นและถ่มน้ำลายใส่มัน “ก่อนที่เจ้าจะตาย ลองแสดงให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้ามีดีอะไรบ้าง! เริ่มบรรเลงดนตรีได้!”

 

“พูดตามตรงนะขอรับ ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าทำไมสองคนนั้นจึงไม่ฆ่ากันตายตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรก” นิกคลาร์ บุตรชายของคนทำโลงศพเอ่ยขึ้นในอีกหกวันให้หลัง “เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าสองคนนั้นอยากจะฆ่ากันตายเต็มแก่ นางอยากฆ่าเขา เขาเองก็อยากฆ่านางเช่นกัน ทั้งสองโถมร่างเข้าปะทะกันในชั่วเสี้ยววิ ตามมาด้วยเสียงของคมดาบที่ฟาดกระทบกันอย่างจัง พวกเขาแลกดาบกันไม่สองก็สามครั้ง แต่ถึงจะได้เห็นภาพหรือได้ยินเสียงของมัน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสามารถนับจำนวนครั้งที่ทั้งสองแลกดาบกันได้อยู่ดี การโจมตีของทั้งสองรวดเร็วมากขอรับ นายท่าน เร็วเสียจนไม่อาจฟังหรือมองตามได้เลย แถมสองคนนั้นยังร่ายรำและกระโดดไปมารอบ ๆ กันอย่างกับพังพอนสองตัวอีก!”

สเตฟาน สเกลเล็น หรือในอีกชื่อหนึ่งว่านกฮูกน้ำตาล นิ่งฟังคำพูดของเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจขณะเล่นกับพวงแส้ในมือไปด้วย

“แล้วพวกเขาก็กระโจนห่างออกจากกัน” เด็กชายเล่าต่อ “แต่กลับไม่มีใครได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลยขอรับ หนูสาวคนนั้นกำลังโมโหถึงขีดสุดจนดูเหมือนปีศาจร้าย แถมยังเอาแต่ขู่ฟ่อเหมือนแมวตัวผู้ที่กำลังจะโดนแย่งหนูไปไม่มีผิด แต่คุณชายบอนฮาร์ทกลับยังมีท่าทีเยือกเย็นไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย”

 

“ฟอลกา” บอนฮาร์ทกล่าวขณะแย้มยิ้มยิงฟันราวกับผีกินซากตัวจริงเสียงจริง “เจ้าร่ายรำและควงดาบเป็นจริง ๆ ด้วย! ข้าชักจะสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิ สาวน้อยเอ๋ย เจ้าเป็นใครกันแน่ บอกข้ามาเสีย ก่อนที่เจ้าจะหมดลมหายใจ”

ซิริหอบฮั่ก พลางสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่เริ่มจะบีบหัวใจของนาง ตอนนี้นางรู้แล้วว่านางกำลังเผชิญหน้ากับอะไร

“บอกข้ามาเสียว่าเจ้าเป็นใคร แล้วข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้”

นางกุมด้ามดาบของตนแน่นขึ้น นางจำเป็น จำเป็นต้องฝ่าการปัดป้องของเขาไปและฟันเขาให้ได้ก่อนที่เขาจะทันป้องกันตัว จะให้เขาปัดป้องคมดาบของนางไม่ได้อีก เพราะนางคงไม่อาจทนยกดาบขึ้นรับการโจมตีของเขาได้อีกต่อไป และนางก็ไม่อยากเสี่ยงต้องสัมผัสถึงความเจ็บปวดและอาการชาหนึบที่แทงทะลุและแผ่ขยายไปทั่วข้อศอกและท้องแขนของนางตอนที่นางยกดาบขึ้นตั้งรับอีก – แม้แต่เพียงครั้งเดียว – นางไม่อาจผลาญพลังงานไปกับการหลบหลีกคมดาบที่เฉียดเส้นผมของนางไปเพียงเล็กน้อยได้อีกต่อไป ข้าต้องฝ่าการป้องกันของเขาไปให้ได้ นางคิด ตอนนี้เลย ในการปะทะครั้งนี้แหละ ไม่งั้นข้าตายแน่

            “เจ้าไม่รอดแน่ แม่หนูสาว” เขาว่าขณะเคลื่อนเข้ามาใกล้นางพร้อมใบดาบที่ชี้กางออกมาด้านหน้า “เจ้าไม่กลัวเลยหรือ แปลว่าเจ้าคงรู้แล้วใช่ไหมว่าความตายมีหน้าตาเป็นอย่างไร”

แคร์มอเรห์น นางคิดขณะดีดร่างผึง แลมเบิร์ต รวงผึ้ง การตีลังกา

เด็กสาวก้าวเท้าไปสามก้าวแล้วหมุนตัวครึ่งรอบ และเมื่ออีกฝ่ายจู่โจมเขามา นางก็เมินเฉยต่อการโจมตีหลอกนั้นไป ซิริตีลังหากลับหลังแล้วยันร่างลงพื้นในท่าหมอบอย่างปราดเปรียว จากนั้น นางจึงพุ่งตัวเข้าใส่เขา ก้มหลบคมดาบเขา และบิดข้อมือตนหมายจะฟันดาบ หมายจะจู่โจมเผด็จศึกโดยอาศัยแรงส่งจากการบิดเอวอย่างรุนแรง ความรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจแล่นพล่านไปทั่วร่างนางโดยพลัน ด้วยนางกำลังจะได้สัมผัสความรู้สึกยามที่คมดาบตัดผ่านร่างของเขาแล้ว

แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเกิดเสียงโลหะปะทะเข้ากับโลหะอย่างแรงแทน แสงสว่างวาบพลันวาบขึ้นในนัยน์ตานาง เช่นเดียวกับศีรษะนางที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและสภาวะตื่นตกใจ นางรู้สึกได้ว่าตนกำลังเซล้มลง รู้สึกได้ถึงร่างกายตนที่ล้มฟาดลงกับดิน เขาปัดป้องดาบและหมุนข้อมือ นางคิด ข้ากำลังจะตาย นางคิด บอนฮาร์ทเตะนางเข้าให้ที่ท้อง ส่วนลูกเตะครั้งที่สองเล็งตรงเข้าใส่ข้อศอกของนางอย่างแม่นยำและรวดร้าว ส่งผลให้ดายหลุดออกจากมือนางในทันที ซิริยกมือขึ้นกุมหัวเอาไว้ พลางสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอันทึบทื่อ ทว่าใต้นิ้วของนางกลับไม่มีบาดแผลหรือเลือดอยู่เลย เขาโจมตีข้าด้วยหมัด นางคิดอย่างตื่นกลัว ข้าแค่ถูกชกเท่านั้น ไม่ก็ถูกฟาดด้วยหัวด้ามดาบของเขา เขาไม่ได้จะฆ่าข้า แค่โบยข้าเหมือนเด็กเกเรคนหนึ่งเท่านั้น

นางจึงลืมตาขึ้น

นักล่าค่าหัวยืนอยู่เหนือร่างนาง ทั้งดูน่าเกรงขามและผอมซูบราวโครงกระดูก ร่างนั้นค้ำอยู่เหนือร่างนางราวกับต้นไม้ป่วยไร้ใบ ทั้งยังมีกลิ่นเหงื่อและเลือดโชยออกมา

เขาจิกผมนางขึ้นอย่างแรง บังคับให้นางลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเอง เขาก็ออกแรงกระชากร่างนางจนร่างสะดุดล้ม จากนั้นจึงลากนางที่ยังคงหวีดร้องเสียงแหลมราวกับถูกสาปไปหามิสเซิล ผู้ที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่ตีนกำแพง

“เจ้าคงจะไม่กลัวความตายเลยสินะ” เขาคำรามขณะกดหัวนางให้งอลง “งั้นก็จงดูเสีย แม่หนูสาว นั่นแหละคือความตาย นั่นแหละคือวิธีการตายของเจ้า จงดู นั่นคือเครื่องใน นั่นคือเลือด ส่วนนั่นคืออุจจาระ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเรา”

ซิริตัวเกร็ง คู้ร่างลงทั้งที่ยังโดนอีกฝ่ายจับไว้ แล้วจึงอาเจียนแห้ง ๆ ออกมาด้วยน้ำเสียงแหบห้าว มิสเซิลยังมีชีวิตอยู่ แต่ดวงตาของนางกลับดูมัวหมองและเป็นมันวาวราวกับนัยน์ตาปลา ฝ่ามือของนางที่เป็นดั่งกรงเล็บของนกเหยี่ยวนั้นกำแน่นและคลายออกจากกัน ครูดไปตามโคลนตมและมูลสัตว์ ซิริได้กลิ่นเหม็นฉุนแสบจมูกของปัสสาวะ ส่วนบอนฮาร์ทหัวเราะเสียงแหลม

“นั่นแหละคือวิธีการตายของเจ้า แม่หนูน้อย ตายทั้ง ๆ ที่ฉี่ราดนี่แหละ!”

เขาปล่อยเส้นผมนาง ซิริจึงเซล้มลงไปในท่าหมอบคลานทั้งที่ยังสะอื้นแห้ง ๆ จนตัวโยน มิสเซิลอยู่เคียงข้างนาง ฝ่ามือที่ทั้งผอมบาง ละเอียดอ่อน และอ่อนนุ่มของนาง ฝ่ามือของมิสเซิล…

ไม่ขยับอีกต่อไป

 

“เขาไม่ได้ข้าแค่ เพียงแค่จับข้าไปมัดมือไว้กับเสาผูกม้า”

วิโซโกตาได้แต่นั่งนิ่ง เขานั่งนิ่งอยู่อย่างนี้มานานมากแล้ว กระทั่งลมหายใจยังถูกกลั้นเอาไว้ในคอ ซิริยังคงเล่าเรื่องต่อไป ทว่าน้ำเสียงของนางกลับเบาบางลง แปร่งขึ้น และฟังดูไม่ราบรื่นขึ้นทุกที ๆ

“เขาสั่งให้ผู้คนที่มามุงดูอยู่รอบ ๆ นำถุงเกลือ ไหน้ำส้มสายชู แล้วก็เลื่อยมาให้เขา ข้าไม่รู้เลย… ข้าไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร… และข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง ข้าถูกจับ… มัดติดไว้กับเสาผูกม้า… แล้วเขาก็เรียกคนรับใช้มาสองสามคน สั่งให้พวกนั้นจับยึดผมข้า… กับเปิดเปลือกตาข้าไว้ เขาเป็นคนสาธิตวิธีให้ดูด้วยตนเอง เพื่อที่ข้าจะได้หันหน้าหรือหลับตาหนีไม่ได้… เพื่อที่ข้าจะได้มองเห็นในสิ่งที่เขากำลังจะทำ ‘เจ้าต้องระมัดระวังไม่ให้สินค้าเสียหาย’ เขาบอกแบบนั้น ‘และไม่เน่าเสียไปเสียก่อนด้วย…’”

น้ำเสียงของซิริแตกพร่าและเหือดหายไปในคอ วิโซโกตาที่จู่ ๆ ก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางกำลังพูดอะไร พลันสัมผัสได้ถึงน้ำลายที่เอ่อล้นขึ้นมาในปากราวกับสายน้ำหลาก

“เขาใช้เลื่อย” ซิริเอ่ยด้วยน้ำเสียงมัวหมอง “ตัดหัวเพื่อน ๆ ของข้า ทั้งจิเซลเฮอร์ เคย์ลีก์ แอส รีฟ อิสครา… และมิสเซิล ชายคนนั้นหั่นหัวพวกเขาออก… ต่อหน้าต่อตาข้าทีละคน”

 

หากมีใครสักคนแอบย่องมาที่กระท่อมอันโดดเดี่ยวพร้อมหลังคามุงจากโหว่ ๆ ซึ่งคลุมครึ้มด้วยตะไคร่ท่ามกลางหนองบึงในยามวิกาล หากคนผู้นั้นจ้องมองผ่านรอยแตกเป็นทางยาวบนบานเกล็ดหน้าต่างเข้าไปข้างใน พวกเขาจะมองเห็นชายชราหนวดขาวสวมชุดคลุมหนังแกะและเด็กสาวผมสีเถ้าถ่าน ผู้มีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยรอยแผลเป็นบนแก้มภายในห้องที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยนั้น พวกเขาย่อมเห็นภาพเด็กสาวที่กำลังสะอื้นไห้จนตัวโยน และกำลังสำลักน้ำตาตนเองอยู่ภายในอ้อมแขนของชายชราที่พยายามปลอมโยนนางด้วยการลูบไล้ไหล่อันสั่นเทาของเด็กสาว แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะดูงุ่มง่ามและไม่ต่างอะไรจากเครื่องจักรเลยก็ได้

แต่เรื่องเช่นนี้ย่อนไม่อาจเป็นไปได้ ใครเล่าจะมองเห็นเหตุการณ์นี้ ด้วยกระท่อมนั้นเร้นกายอยู่อย่างมิดชิดท่ามกลางลุ่มน้ำ ภายในป่าดงพงไพรที่มีหมอกห่อหุ้มอยู่ตลอดกาล ที่ซึ่งไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาแม้แต่คนเดียว

 

 

ข้ามักจะถูกถามอยู่บ่อย ๆ ว่าสิ่งใดกันที่ทำให้ข้าตัดสินใจเขียนบันทึกประจำวัน ดูเหมือนใครหลาย ๆ คนจะสนใจกันเสียเหลือเกินว่าบันทึกของข้ามีที่มาจากสิ่งใด ทั้งความเป็นจริง เหตุการณ์ หรือเรื่องราวใดกันที่ทำให้ข้าตัดสินใจลงมือเขียน ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าจะยกคำอธิบายต่าง ๆ มาบอกกล่าวสารพัด และมักจะโกหกโป้ปดอยู่บ่อย ๆ ทว่าในตอนนี้ ข้าจะขอยอมรับความจริงโดยไม่บ่ายเบี่ยงอีก เพราะในวันนี้ ยามที่เส้นผมของข้าบางลงและกำลังกลายเป็นสีขาว ข้าจึงได้รู้แล้วว่าความเป็นจริงนั้นเป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่แสนมีค่า ในขณะที่วาจาเท็จนั้นเป็นได้แค่เปลือกข้าวไร้ค่าน่ารังเกียจ

            และความเป็นจริงก็คือ เหตุการณ์ที่เป็นตัวจุดชนวนทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงเป็นเหตุการณ์ที่ข้าจนบันทึกลงไปเป็นเหตุการณ์แรก และเป็นต้นกำเนิดของผลงานชิ้นเอกของข้าในเวลาต่อมา ก็คือการที่ข้าได้ค้นพบกระดาษและดินสอโดยบังเอิญท่ามกลางข้าวของที่ข้าและสหายของข้าขโมยมาจากขบวนเดินทัพแห่งลิเรีย เรื่องราวนี้เกิดขึ้นใน…

บทกวีนานนับครึ่งศตวรรษ โดย แดนดิไลออน

 

ติดตามเรื่อวราวต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม เร็วๆ นี้ 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า