[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 3 บทที่ 75 : เสน่ห์ของหญิงสาว

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 75 เสน่ห์ของหญิงสาว

 

ถ้าในทีมมีสมาชิกหญิงมักช่วยกระตุ้นความกระตือรือร้นให้สมาชิกคนอื่นๆ ได้

 

นอกจากประสิทธิภาพของฉนวนกันเสียงแล้ว ประการที่สองที่พวกเขาเลือกปูพื้นด้วยโลหะ เพราะโลหะนำความร้อนได้ดีและเร็วกว่าพื้นไม้ เพียงแค่อุณหภูมิของน้ำใต้พื้นอุ่นขึ้นเล็กน้อย ก็สามารถส่งความร้อนไปทั่วทั้งห้องได้อย่างรวดเร็ว ช่วยประหยัดพลังงานได้สูงสุด ซึ่งเป็นข้อดีที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน หลังจากพวกหลี่เถี่ยได้รู้เรื่องนี้ก็รู้สึกเสียใจทีหลังที่พวกตนดันใจร้อนรีบปูพื้นด้วยไม้

ประการที่สาม โลหะควบคุมการใช้งานได้ง่ายมาก ในเมื่อพวกเขามีเหยียนเฟยผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะอยู่ทั้งคน ถ้าพื้นโลหะเกิดมีปัญหาอะไร หรือต้องการเปลี่ยนแปลงของบางอย่าง ก็ให้เหยียนเฟยจัดการแก้ไขเฉพาะจุดนั้นได้โดยตรง แต่ตอนนี้ถ้าห้องพวกหลี่เถี่ยมีปัญหา พวกเขาอาจต้องถึงขั้นทุบพื้นเลยทีเดียว

ทว่า เมื่อมีข้อดีก็ย่อมต้องมีข้อเสียด้วยเหมือนกัน เช่นบริเวณที่ทำความร้อนจะร้อนกว่าจุดอื่น ถ้าไม่ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม เมื่อเหยียบลงไปบนพื้นก็จะร้อนเกินไป อีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องสีของโลหะที่พวกเขาหามาได้ดูเรียบทึบแปลกๆ ภายในห้องถ้าไม่มืดทึมไปเลย ก็วับวาวเจิดจ้า ถ้าไม่สะท้อนแสงจนกวนสายตาก็มืดมิดจนน่ากลัว เป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากมากจริงๆ

แต่สำหรับหลัวซวินที่ตั้งใจใช้ห้อง 1603 เป็นห้องควบคุมความร้อนแบบเรือนกระจกไว้แต่แรก เรื่องความสวยงามไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ส่วนประเด็นเรื่องจุดกำเนิดความร้อนมีอุณหภูมิสูงมาก หลัวซวินก็ดัดแปลงเพื่อแก้ปัญหานี้แล้ว โดยการติดตั้งอุปกรณ์ทำความร้อนไว้บนพื้นแทน แล้วปล่อยให้น้ำอุ่นไหลผ่านเข้าไปในท่อต่างๆ ที่อยู่ใต้พื้น จากนั้นก็ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิเข้าไป เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงห้อง 1603 ยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์แบบ เนื่องจากถึงจางซู่จะยกโลหะที่เหลือจากห้องตัวเองให้พวกหลัวซวินเป็นการตอบแทน แต่โลหะพวกนั้นก็ยังไม่มากพอจะใช้ติดตั้งระบบทำความร้อนใต้พื้นและปูพื้นห้องได้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ดังนั้นห้องฝั่งนี้ของพวกหลัวซวินจึงเหลือห้องนอนสองห้องที่ยังไม่ได้ปูพื้น พวกเขาวางแผนว่าออกไปนอกฐานที่มั่นครั้งนี้จะไปขนวัสดุโลหะจากข้างนอกกลับมาเพิ่มอีก

เพียงแต่ช่วงนี้หลัวซวินได้เพาะเมล็ดพืชผักผลไม้ที่เหมาะสำหรับปลูกในฤดูใบไม้ผลิไว้ล่วงหน้าบ้างแล้ว รวมถึงนำไปไว้ในห้องควบคุมความร้อน ซึ่งพืชพวกนั้นก็เริ่มแตกใบอ่อนแล้ว

เมื่อพืชผักเริ่มงอกใบแตกยอดแล้วใช่ว่าจะนำไปปลูกลงแปลงได้ทันที หากต้องการผลผลิตที่ดีและป้องกันไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ขึ้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการเพาะ แยกหน่อแยกกล้า และสังเกตลักษณะการเติบโตก่อน

รอหลังจากจัดการงานจิปาถะทั้งหมดในบ้านเหล่านี้เสร็จแล้ว พวกเขาก็พร้อมออกไปข้างนอกได้ทันที

 

ระหว่างรอวันที่ได้หยุดตรงกันกับพวกหลี่เถี่ย วันที่ 27 หลัวซวินกับเหยียนเฟยจึงพักผ่อนเอาแรงอยู่บ้านทั้งวัน วันรุ่งขึ้นช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 28 เหยียนเฟย หลัวซวิน จางซู่ หวังตั๋ว หลี่เถี่ย หานลี่ เหอเฉียนคุน และอู๋ซิน ทั้งแปดคนบนชั้นสิบหกต่างลุกจากเตียงมารวมตัวตรงโถงทางเดินกันอย่างพร้อมเพรียง

หลัวซวินนำหน้าไม้ขนาดกลางพร้อมลูกธนูและกระสุนลูกดอกที่ใช้เข้าชุดกันซึ่งเหยียนเฟยทำสำรองไว้มาด้วย เมื่อทุกคนตรวจสอบอาวุธในมือแล้ว บ้างก็คาดกระสุนลูกดอกไว้ที่เอว บ้างก็สะพายลูกธนูไว้ที่ด้านหลังกันไปอย่างครบเครื่อง

สำหรับเหยียนเฟยผู้ซึ่งฝึกฝนพลังพิเศษของตัวเองด้วยการทำท่อนำความร้อนกองโต แถมยังต้องถักมุ้งลวดเล็กบางตาถี่แบบนี้เป็นประจำทุกวัน พอต้องกลับมาทำหน้าไม้ ลูกธนูกับกระสุนลูกดอกเหล่านี้จึงนับเป็นงานหมูๆ ใช้เวลาแค่อ้าปากหาวหวอดเดียวก็เสกออกมาได้เป็นกองแล้ว

นอกจากนี้ พวกหลี่เถี่ยยังเหน็บกระบองเหล็กไว้ตรงเอวอีกคนละอัน พวกเขาเตรียมไว้ซัดซอมบี้ที่เข้ามาใกล้ในระยะประชิดโดยเฉพาะ… แน่นอนว่าไว้หลังจากพวกเขาออกจากฐานที่มั่นแล้ว ค่อยให้เหยียนเฟยช่วยดัดแปลงกระบองเหล็กพวกนี้เป็นดาบเล่มใหญ่ให้ตามความต้องการของแต่ละคนอีกทีก็ยังได้

หลัวซวินถือกระบองเขี้ยวหมาป่าที่เขาดัดแปลงเองจากอันแรกเริ่มนั้น ส่วนเหยียนเฟยก็พกแท่งโลหะติดตัวไปด้วย แต่เมื่อถึงเวลาหน้างานเขาจะเปลี่ยนให้มันมีรูปร่างเป็นแบบไหน นั่นก็ต้องดูการใช้งานในตอนนั้นของเขาอีกที

มีเพียงจางซู่ที่ติว่ายุ่งยาก จึงพกมีดทหารที่ค่อนข้างยาวไปแค่เล่มเดียว ทีแรกเขาคิดจะใช้มีดผ่าตัดที่นำมาจากโรงพยาบาล แต่น่าเสียดายที่สิ่งนั้นดันสั้นเกินไป พลังโจมตีของมันดูน้อยนิดเสียจนคนอื่นพากันคัดค้าน ตอนหลังเขาจึงยอมเปลี่ยนเป็นพกมีดทหารติดตัวมาแทน และเพราะจางซู่เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุลม ปกติเขาชอบความคล่องตัวสบายๆ จึงไม่ชอบใช้อาวุธที่หนักเกินไปเพราะจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเขาได้

“โอเค ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางได้” หลังจากหลัวซวินตรวจสอบอุปกรณ์และความพร้อมของแต่ละคนเรียบร้อยแล้วก็ยืนอยู่ข้างหน้าหลี่เถี่ยและคนอื่นๆ เขาสวมหมวกกันน็อกของตัวเอง ส่วนพวกหลี่เถี่ยก็ยกหมวกกันน็อกมอเตอร์ไซค์ที่พวกเขาไปหาซื้อมาจากในฐานที่มั่นเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นสวม แม้กระทั่งเหยียนเฟยที่ยังคงคาดผ้าปิดปาก และจางซู่ต่างก็สวมหมวกกันน็อกคนละใบด้วยเหมือนกัน

หลังจากสวมหมวกกันน็อกและล็อกประตูใหญ่เสร็จเรียบร้อย คนทั้งกลุ่มก็พากันเดินลงบันได เมื่อเดินลงมาผ่านชั้นสิบห้าก็พบสวีเหมยที่กำลังยืนรอพวกเขาอยู่ ครั้นหญิงสาวเห็นคนกลุ่มนี้สวมหมวกกันน็อก ใส่เสื้อหนังหนาเตอะ เหน็บกระบองเหล็กท่อนยาวไว้ที่เอว ถือหน้าไม้ไว้ในมือ และมีกระเป๋าเป้สะพายอยู่ด้านหลัง (ในกระเป๋าทุกคนพกเสื้อกันฝนเตรียมไว้ใส่หลังออกไปนอกฐานที่มั่นแล้ว) เธอถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง ฝ่ายหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างหลังเธอยิ่งตกใจหนักจนแข้งขาอ่อน เซถอยไปพิงประตูที่อยู่ข้างหลัง

“พะ…พวกคุณเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม” ที่จริงมีคนแต่งตัวสไตล์นี้เพื่อเตรียมออกไปปฏิบัติภารกิจนอกฐานที่มั่นกันอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นคนแต่งตัวแบบนี้ทั้งที่ยังอยู่ในฐานที่มั่น แถมยังแต่งเหมือนกันเปี๊ยบทุกคน จึงทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกราวกับมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากะทันหัน

คนแรกที่ตอบรับคือหลัวซวิน เขาพยักหน้าให้เธอก่อนเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังสวีเหมยคนนั้น…ดูคุ้นตาอยู่นิดๆ “คนนี้คือ…”

“น้องชื่อซ่งหลิงหลิง ฉันรู้จักกับเธอตอนออกไปปฏิบัติภารกิจ” สวีเหมยไม่ได้อธิบายฐานะตัวตนของซ่งหลิงหลิงอย่างละเอียด เพียงชี้ไปที่ประตูเหล็กบานใหญ่ด้านหลัง “ตอนนี้เธอย้ายมาอยู่กับฉันแล้ว”

ซ่งหลิงหลิง ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย แต่หลัวซวินพิจารณารูปลักษณ์ของซ่งหลิงหลิงอย่างละเอียดแล้ว รู้สึกว่าเธอดูน่ารักใสซื่อดี ทั้งยังมีความสวยหวานแบบสาวน้อยที่ยังไม่พ้นวัยเรียน เพียงแต่เธอมีสีหน้าแบบเดียวกับสวีเหมย คงเป็นเพราะความมืดมนและความเหนื่อยล้าจากแรงกดดันมากมายในชีวิต ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นว่าที่สมาชิกของกองกำลังโรสในอนาคต และมีระดับชั้นสูงพอสมควร ไม่อย่างนั้นหลัวซวินจะรู้สึกคุ้นหน้าเธอได้อย่างไร

หลัวซวินพยักหน้า พวกเหยียนเฟยก็ไม่คัดค้าน ผู้หญิงอย่างสวีเหมยคงไม่ได้เป็นพวกที่เพิ่งถูกผู้ชายขายและล่วงละเมิดมา แล้วจะไร้สติหาคนที่พึ่งพาไม่ได้มาอยู่ด้วยหรอก เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขาไปหาสวีเหมยเพราะต้องการทดสอบประสิทธิภาพของฉนวนกันเสียง จึงถือโอกาสช่วยดัดแปลงประตูใหญ่ให้เธอด้วยเลยทีเดียว ในตอนนั้นพวกเขาได้เอ่ยเรื่องตั้งทีมขึ้นมา และจนป่านนี้สวีเหมยก็ยังหาทีมที่เหมาะสมอยู่ไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งเธอเลยต้องไปรอตรงประตูฐานที่มั่นอยู่นานมาก แถมบางครั้งยังถูกพวกผู้ชายใช้สายตาแทะโลมทั้งวันก็ยังหาทีมที่น่าไว้ใจพอจะออกไปข้างนอกด้วยไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินว่าพวกหลัวซวินจะออกไปนอกฐาน และยังขาดสมาชิกตามจำนวนขั้นต่ำสุดของการตั้งทีมไปนอกฐานที่มั่น เธอจึงยินดีจะร่วมทีมออกไปกับพวกเขา และยังชวนคนที่ไว้ใจได้ว่าจะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น รวมถึงไม่แว้งกัดมาร่วมเป็นสมาชิกทีมด้วยอีกคน เมื่อทุกคนต่างบรรลุเป้าหมายตรงกัน จึงนัดหมายออกมาปฏิบัติการด้วยกันในเช้านี้

สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงขับรถตัวเองไป พวกหลี่เถี่ยก็แบ่งเป็นสองกลุ่มขับรถไปกลุ่มละคัน

เมื่อคืนหลัวซวินกับเหยียนเฟยได้ปรึกษากันแล้ว ดังนั้นเช้านี้พวกเขาจึงตรงไปที่รถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก แล้วจอดรถจินเปยทิ้งไว้ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มันบอบบางเกินไปล่ะ แถมมีขนาดเล็กกว่ารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ตั้งเยอะ

ขบวนของพวกเขามีทั้งหมดสี่คันต่างขับรถมุ่งไปทางประตูฐานที่มั่น หลัวซวินขับรถเข้าไปลงทะเบียนเป็นคันแรก เขายังคงใช้ชื่อ ‘ทีมโอตาคุ’ ที่ฟังดูแสนเห่ยในการลงทะเบียน หลังจากได้รับภารกิจที่กำหนดให้ทีมต้องทำเมื่อออกจากฐานที่มั่นมาเปิดดู ก็เห็นข้อความที่เขียนระบุสิ่งของและจำนวนที่ต้องส่งให้ทางการว่า ‘คริสตัลซอมบี้หนึ่งร้อยก้อน’

หลัวซวินเหยียบคันเร่งพร้อมบ่นให้เหยียนเฟยฟัง “ถ้ารู้แบบนี้สู้ฉันพยายามหาหนทางออกไปนอกฐานที่มั่นตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนก็ดี ตอนนั้นมีคำสั่งว่าต้องหาคริสตัลมาให้กองทัพเยอะขนาดนี้ที่ไหนกัน”

เหยียนเฟยยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อครึ่งเดือนก่อนพวกเขางานยุ่งมาก แล้วจะมีเวลาออกไปนอกฐานที่มั่นได้อย่างไร ต่อให้อยากลาหยุด แต่พวกหัวหน้าหน่วยคงไม่ยอมอนุมัติ แค่ยอมอนุญาตให้พวกเขากลับบ้านไปพักผ่อนได้เร็วหน่อยก็ถือว่าเมตตามากแล้ว

พวกเขาขับรถไปตามทางที่กำหนด สองข้างทางล้วนเป็นกำแพงสูง รถของพวกหลัวซวินเลี้ยวเข้าไปในลานใหญ่ รวมรถของพวกเขาสี่คันนี้เข้าไปก็สามารถเปิดประตูด่านนี้ออกไปได้แล้ว

จังหวะที่ประตูทางออกซึ่งปิดสนิทมาตลอดค่อยๆ ขยับเปิด ทหารก็ประกาศผ่านลำโพงที่อยู่บนกำแพงลงมา “รถทุกคันโปรดฟังทางนี้ ประตูกำลังจะเปิด เราจะนับถอยหลังสิบวินาที สิบ เก้า แปด…หนึ่ง เปิดได้!”

เมื่อสิ้นเสียงประกาศ ประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าก็ถูกดึงยกขึ้นทีละนิดๆ หลังจากประตูเหล็กบานใหญ่เปิดขึ้น ก็ยังเห็นรั้วเหล็กที่สามารถเก็บลงไปใต้ดินกั้นไว้อีกชั้น ด้านหลังรั้วเหล็กนั่นเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ เมื่อพวกมันได้กลิ่นมนุษย์อย่างชัดเจนต่างโบกแขนตะกุยตะกายและร้องคำรามกันด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ

“รู้สึกเหมือนพวกมันจะหิวโหยมานานเลย” หลัวซวินจุดยิ้มมุมปาก นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นรอคอย หัวใจเต้นโครมคราม พวกมันดูต่างจากซอมบี้ที่รุมล้อมอยู่ใต้กำแพงเขตก่อสร้าง เวลานี้เขาจะได้ออกนอกฐานที่มั่นแล้ว

ผู้ชายทุกคนล้วนมีใจรักการผจญภัย ถึงแม้เขาจะเป็นโอตาคุตัวพ่อ หรือต่อให้เขาจะเป็นพวกขี้เกียจออกไปนอกฐานที่มั่นมากก็ตาม แต่บางครั้งหลัวซวินก็เลือดร้อนอยากจะออกไปฆ่าซอมบี้กับคนอื่นเขาเหมือนกัน ชีวิตปัจจุบันของเขาปลอดภัยกว่าเมื่อชาติก่อนเยอะมาก เขาได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ มีเพื่อนร่วมทีมเป็นผู้มีพลังพิเศษหลายคน แถมสมาชิกทีมก็มีความแน่นแฟ้นไม่ขัดแข้งขัดขาต่อต้านกันเอง เมื่อเทียบกับชีวิตในชาติก่อนแล้ว ดีกว่ากันตั้งไม่รู้กี่เท่า

เสียงเร่งเครื่องดังกระหึ่ม รถที่อยู่ในลานนั้นรีบบึ่งออกไปทันทีที่ประตูเปิดจนสุด

ด้านหน้าขบวนมีรถดัดแปลงหลายคันขับพุ่งชนฝูงซอมบี้ที่ขวางประตูออกไปโดยตรง รถของพวกหลัวซวินอยู่รั้งท้าย ไม่ได้เร่งแซงขึ้นไปบนถนน พวกเขารอให้รถคันหน้าขับออกไปก่อนแล้วถึงจะเร่งเครื่องตามไปติดๆ ทว่ารถคันหน้าบางคันขับเร็วเกินไป พอพ้นประตูล้อรถจึงแฉลบลงข้างทาง ต้องบังคับรถอยู่นานกว่าจะหักพวงมาลัยกลับสู่ถนนได้ใหม่อีกครั้ง

รถของพวกหลี่เถี่ยขับตามหลังรถของเหยียนเฟยกับหลัวซวินไม่ทิ้งห่าง มุ่งหน้าไปทางเขตย่านร้านค้าที่อยู่ชายขอบของเขตเมือง

ในขณะนี้ซอมบี้ที่อยู่ใกล้ฐานที่มั่นต่างมากระจุกตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อน จุดที่มีซอมบี้ชุมนุมฝูงใหญ่ที่สุดอยู่ในเขตใจกลางเมือง ดังนั้นจึงมีเพียงย่านชานเมืองบางพื้นที่เท่านั้นที่มีซอมบี้แค่ประปราย ซึ่งเป้าหมายของพวกหลัวซวินก็คือสถานที่แบบนั้น

แม้พวกเขาจะมีอาวุธที่โจมตีจากระยะไกลได้ แต่ก็โจมตีพร้อมกันหลายๆ ตัวไม่ได้ ดังนั้นความสามารถในการเคลียร์พื้นที่กำจัดซอมบี้จึงค่อนข้างน้อย ถ้าเกิดพลาดตกอยู่ในวงล้อมซอมบี้ขึ้นมา ก็ได้แต่พึ่งพลังพิเศษธาตุไฟของสวีเหมยและพลังพิเศษธาตุลมของจางซู่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ แม้สวีเหมยจะมีพลังพิเศษธาตุไฟ ทว่าพลังของเธอยังด้อยกว่าของจางซู่และเหยียนเฟยหลายเท่า ดังนั้นถ้าเธอปล่อยพลังพิเศษโจมตีลูกใหญ่ก็จะต้องสูญพลังไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

ส่วนเหยียนเฟยแม้จะโจมตีแบบเป็นกลุ่มได้ แต่ถ้าอยากได้ประสิทธิภาพที่แม่นยำ ทางที่ดีคืออย่าควบคุมลูกศรโลหะจำนวนมากเกินไปพร้อมกันในคราวเดียว ไม่อย่างนั้นอาจเล็งถูกเป้าหมายได้ไม่แม่นยำนัก

ดังนั้นเมื่อทุกคนหารือกันแล้วจึงตัดสินใจทำตามความคิดก่อนหน้านี้ คือหาสถานที่ที่มีซอมบี้ไม่มาก ทุกคนสามารถช่วยกันรับมือและกำจัดซอมบี้แบบตัวต่อตัวได้ ในยามคับขันก็สามารถดึงดูดพวกมันให้มาอยู่รวมกันเป็นกระจุกแล้วให้เหยียนเฟยกับจางซู่ใช้พลังพิเศษกวาดล้างพวกมันให้สิ้นซาก

แม้ในปัจจุบันทางฐานที่มั่นจะสนับสนุนให้ผู้รอดชีวิตออกไปกำจัดซอมบี้ โดยนำคูปองสะสมมาใช้แลกอาวุธได้ แต่ก็มีอาวุธให้เลือกแค่ไม่กี่ชนิด แถมมีพลังทำลายล้างน้อยมาก เช่น ปืนพก และปืนลูกซอง มิหนำซ้ำยังราคาแพงแต่ประสิทธิภาพต่ำ หากใช้ของเหล่านั้นฆ่าซอมบี้ สู้ให้พวกเขาพกหน้าไม้มาเองยังดีกว่า ดังนั้นพวกหลัวซวินจึงไม่แลกอาวุธอย่างอื่น แลกเพียงกระสุนปืนพกของเหยียนเฟยที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกเก็บสำรองไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาแค่ต้องการตัวอย่างมาถอดชิ้นส่วนดูเพื่อลองผลิตเอง แม้ว่าจะต้องการศึกษาแค่ส่วนถ่วงน้ำหนักหัวกระสุน แต่ขอเพียงใช้ฆ่าซอมบี้ได้ผลก็พอแล้ว จะได้พกปืนไว้ใช้ป้องกันตัวได้สะดวก

เสียงเครื่องยนต์ดังก้อง พวกเขาขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หมายตาไว้ หลัวซวินขับรถไปพร้อมกวาดตามองสำรวจรอบๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกทางแยกสายหนึ่ง

“ข้างหน้านั่นเป็นไง มีธนาคารสองชั้นใช้เป็นที่พักผ่อนได้ แถวนี้มีซอมบี้ไม่เยอะเกินไปด้วย” หลัวซวินพยักพเยิดไปยังอาคารที่ค่อนข้างสะดุดตาซึ่งตั้งอยู่ตรงทางแยกข้างหน้า

เหยียนเฟยพยักหน้าเล็กน้อย พวกเขามั่นใจว่าต้องหาโลหะจากที่นี่ได้แน่

ครั้นเห็นรถหลัวซวินกะพริบไฟส่งสัญญาณข้างซ้าย พวกหลี่เถี่ยที่อยู่ข้างหลังก็รีบขับตาม รวมถึงอีกสองคันข้างหลังก็ไล่ตามมาติดๆ

กระทั่งรถทั้งสี่คันขับมาถึงหน้าประตูธนาคาร ทุกคนต่างมองไปยังประตูกระจกที่ไม่รู้ว่าถูกใครทุบแตกละเอียดไปตั้งแต่เมื่อไร แล้วต่างรู้สึกกังขาในใจ… แบบนี้ประตูนี่จะขวางซอมบี้ไว้ได้ยังไง เปลี่ยนไปจอดรถที่อื่นดีกว่าไหม

ทว่าพวกเขากลับเห็นรถหลัวซวินที่อยู่คันหน้าสุดเร่งเครื่องบึ่งขึ้นบันได แล้วขับตรงเข้าไปในโถงของธนาคาร!

“เฮ้ย! ต้องขับรถไต่บันไดด้วยเหรอเนี่ย” หลี่เถี่ย หานลี่ และเหอเฉียนคุนที่อยู่บนรถคันหลังต่างสบถออกมา พวกหลี่เถี่ยนึกขึ้นได้ว่า ตอนไปขนของที่จินหลงเมื่อคราวก่อน หลัวซวินเคยพูดเรื่องการขับรถขึ้นบันได แบบนี้ดูท่าว่าเขาคงมีเทคนิคขับขึ้นไปได้จริง แต่พวกตนนี่สิ…

ในระหว่างที่พวกเขากำลังชั่งใจว่าจะหาอะไรมาพาดบันไดเพื่อให้ขับรถขึ้นไปได้สะดวกอยู่นั้น พลันเห็นรถเก๋งคันเล็กของสวีเหมยซึ่งมีสองสาวนั่งอยู่ จากเดิมที่ขับตามมาข้างหลัง แต่แล้วจู่ๆ ก็เร่งเครื่องขับตีขนาบข้างขึ้นมา

ขนาดพวกสาวๆ ยังขับรถขึ้นบันไดได้เลย แล้วฉันจะยังมัวกลัวอะไรอยู่

ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายกระตุ้นให้พวกหลี่เถี่ยและรถทีมโอตาคุที่ขับตามกันมาอีกคันต่างเหยียบคันเร่งลุยขึ้นไป

ขลุกขลักๆ ในที่สุดรถสองคันก็ขับขึ้นบันไดไปได้อย่างราบรื่น ส่วนรถของหลัวซวินและสวีเหมยแล่นมาจอดอยู่ในโถงใหญ่ของธนาคารคู่กันแล้ว

“พระเจ้า ตื่นเต้นสุดๆ” เหอเฉียนคุนที่อยู่บนรถคันหลังตบอกอวบๆ ของตัวเองแล้วถอนหายใจดังเฮือก

หานลี่ที่อยู่ข้างๆ ตบหัวของเพื่อนทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เลิกถอนหายใจได้แล้ว ลงไปฆ่าซอมบี้กันเถอะ”

ในโถงธนาคารมีซอมบี้เดินเพ่นพ่านอยู่ไม่กี่ตัว เมื่อรถของหลัวซวินและสวีเหมยขับบุกเข้าไปก่อน เวลานี้พวกเขาจึงกำลังช่วยกันกำจัดซอมบี้ พวกหลี่เถี่ยรีบตามไปพลางควงกระบองเหล็กในมือ เพียงไม่นานก็กำจัดซอมบี้ที่นี่ได้หมดเกลี้ยง

“รวบรวมคริสตัลจากสมองพวกมันมาไว้ด้วยกันนะ แต่ต้องระวังหน่อย เช็กดูให้แน่ใจก่อนว่าพวกมันตายสนิทแล้วจริงๆ ค่อยเข้าไปควักมา ป้องกันไว้เผื่อพวกมันแกล้งตาย” หลัวซวินกำชับแล้วเดินไปหาซากศพซอมบี้ที่อยู่ใกล้เขาที่สุดจากนั้นก็ลงมือควักคริสตัล

ในปัจจุบันซอมบี้ยังไม่มีไอคิว ตายแล้วก็ตายเลย โดยทั่วไปแล้วยังแกล้งตายไม่เป็น แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ อาจมีซอมบี้บางตัวที่พัฒนาจนมีสติปัญญาแล้วแสร้งทำเป็นล้มคว่ำลงกับพื้นไม่ลุกขึ้นมา รอจนคนเข้าไปใกล้เพื่อควักคริสตัลจากหัว พวกมันค่อยจู่โจมทำร้ายผู้คน

คำพูดของหลัวซวินทำให้สวีเหมยและซ่งหลิงหลิงที่ระยะนี้ต่างออกไปปฏิบัติภารกิจนอกฐานต่างตกใจกันทั้งคู่ ก่อนหน้านี้พวกเธอโชคดีมากที่ไม่เจอซอมบี้วางกับดักแกล้งตายแบบนั้น ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกเธอจึงชักมีดออกมาแล้วเดินไปข้างศพซอมบี้ จากนั้น…ฟันลงไป จัดการบั่นคอพวกมันก่อนแล้วค่อยควักคริสตัล!

พวกหลี่เถี่ยรู้สึกว่าการต้องมาคุ้ยหาคริสตัลจากสมองของซอมบี้เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงมาก พวกเขาสบตากันและต่างมีสีหน้าเขียวคล้ำไปตามๆ กัน…เขาจะแพ้ผู้หญิงไม่ได้ กะอีแค่ควักคริสตัลเอง แค่แหวกๆ คุ้ยๆ มันสมองของพวกมัน แล้วแงะเอาคริสตัลออกมาแค่นี้เอง

เหยียนเฟยมองพวกหลี่เถี่ยคุกเข่าลงไปคุ้ยหาคริสตัลแม้จะด้วยอาการหน้าซีดพะอืดพะอมอย่างพึงพอใจ ก่อนหันไปสบตาจางซู่ที่เหมือนจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มอยู่ข้างๆ ทีหนึ่ง ดูเหมือนการมีสมาชิกหญิงสองคนนี้เพิ่มเข้ามาในทีมของพวกเขาก็ถือว่าไม่เลว โดยเฉพาะผู้หญิงสองคนนี้ที่มีความแข็งแกร่งและกระตือรือร้นดีเยี่ยม พอมีพวกเธอสองคนเป็นแบบอย่าง พวกเขาก็ไม่ต้องคอยพร่ำสอนพวกหลี่เถี่ยให้เปลืองแรง เด็กหนุ่มทั้งห้าคนสามารถปรับตัว เรียนรู้ทำตามได้เองโดยอัตโนมัติ

หลังจากควักคริสตัลจากหัวซอมบี้เสร็จแล้ว หลี่เถี่ยและเพื่อนๆ ต่างวิ่งไปหามุมแอบแหวะกันอย่างเงียบๆ พวกเขาอาเจียนกันถึงห้านาทีเต็มๆ กว่าจะข่มอาการสะอิดสะเอียนลงได้ จากนั้นก็ปั้นสีหน้าขาวซีดให้ดูนิ่งสงบเหมือนไม่เป็นอะไรเพื่อกลับไปสมทบยังจุดที่พวกหลัวซวินรออยู่ ซึ่งก็คือสำนักงานบนชั้นสอง

“เสียงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ดึงดูดซอมบี้ที่อยู่ใกล้ๆ บางส่วนมา ตอนที่พวกเราอยู่ในโถงชั้นหนึ่ง ฉันเลยจงใจโยนผ้าขนหนูที่ซับเหงื่อทิ้งไว้ที่นั่น อีกเดี๋ยวเราจะไปขวางตรงบันไดแล้วฆ่าพวกซอมบี้ที่ตามเข้ามา” หลัวซวินยืนอยู่กลางวงแล้วอธิบายแผนการปฏิบัติงานให้สมาชิกในทีมฟัง

นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของเขา หลังจากที่เขาได้รู้จักคลุกคลีกับพวกหลี่เถี่ยและคนอื่นๆ ในที่นี้ซึ่งมีประสบการณ์ในการออกมานอกฐานเพียงไม่กี่ครั้ง หลัวซวินจึงนำประสบการณ์และความเคยชินในชาติที่แล้วมาใช้โดยอัตโนมัติ

โชคดีที่ปกติเขาค่อนข้างเป็นคนพิถีพิถันจริงจังกับระเบียบแบบแผน ดังนั้นพฤติกรรมแบบนี้ของเขาจึงทำให้ไม่มีสมาชิกคนไหนเอ่ยคัดค้าน ส่วนสุภาพสตรีทั้งสองอย่างสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงก็ยังไม่สนิทกับเขา เลยไม่กล้าแสดงความสงสัยอะไรเป็นธรรมดา และที่สำคัญ หลัวซวินและเหยียนเฟยได้แสดงให้เห็นถึง ‘ความเก่งกาจ’ สร้างความประทับใจให้กับพวกเธอทั้งสองมาตลอด ดังนั้นไม่ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการบังคับบัญชาหรือเป็นผู้นำก็ตาม พวกเธอทั้งสองต่างไม่รู้สึกแปลกใจหรือข้องใจอะไรทั้งสิ้น

หลังจากนัดแนะเตรียมการแล้ว หลัวซวินก็พาทุกคนไปที่หน้าบันได ก่อนจะลงมือจัดการพวกซอมบี้ที่พยายามขึ้นบันไดมาด้วยความทุลักทุเล กระทั่งมีบางตัวล้มกลิ้งหลุนๆ ตกบันไดลงไป

“เป็นอย่างที่พี่หลัวบอกไว้เป๊ะ! พวกซอมบี้มันขึ้นบันไดไม่ได้จริงๆ ด้วย” ทันทีที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้ พวกหลี่เถี่ยต่างยกหน้าไม้ในมือขึ้นด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็เริ่มยิงใส่ซอมบี้ที่อยู่ตรงบันไดชั้นล่าง

ฝ่ายพวกหลัวซวินไม่ได้ลงมือ เพียงเฝ้าดูพวกหลี่เถี่ยจัดการกับซอมบี้น้อยทั้งหลายด้วยสีหน้ายิ้มๆ ท่าทางเหมือนผู้ปกครองที่เห็น ‘ลูกๆ บ้านฉันเพิ่งหัดออกล่าครั้งแรก’

จางซู่และเหยียนเฟยคอยระวังอยู่ด้านหลังสุด เผื่อมีซอมบี้โผล่มาจากทางอื่นแบบกะทันหัน หรือบุกโจมตีเข้ามาจากทางหน้าต่าง

ส่วนสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงอยู่ข้างหลังหลัวซวิน ซึ่งก็คือใจกลางวงของทีม มีหน้าที่รับช่วงต่อจากพวกหลี่เถี่ยที่อยู่ด้านหน้า ถ้าพวกเขาสกัดไว้ไม่อยู่ พวกเธอจะได้เป็นกำลังเสริมคอยเข้าไปช่วยได้ทันท่วงที

หลังจากนั้นไม่นาน ตรงจุดที่ทุกคนรวมตัวกันก็เริ่มมีซอมบี้ละแวกนั้นแห่กันมาเพราะเสียงความเคลื่อนไหวและกลิ่นของมนุษย์ที่เข้มข้น เมื่อฝูงหนึ่งถูกพวกหลี่เถี่ยใช้หน้าไม้ยิงปลิดชีพหมดแล้ว ก็มีฝูงใหม่ตามมารวมตัวกันอีกรอบ

พวกเขาใช้ธนาคารแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นในการสู้รบ ปักหลักอยู่กับที่ดึงดูดซอมบี้ให้มารวมตัวกันในโถงชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ทยอยกำจัดพวกมัน

 

ตั้งแต่ต้นจนจบหลัวซวินไม่คิดจะเข้าไปในเขตใจกลางเมืองลึกๆ เลย หลังจากที่คนทั้งกลุ่มฆ่าซอมบี้จนหมดก็กลับลงไปที่โถงชั้นหนึ่ง พวกเขาควักคริสตัลออกมาก่อนจะขนซากของพวกมันไปกองไว้ตรงมุมหนึ่ง จากนั้นให้พวกหลี่เถี่ยขนเฟอร์นิเจอร์ และข้าวของอื่นๆ ไปสุมกองไว้ตรงประตูทางเข้าเพื่อใช้ทำเป็นรั้วป้องกัน โดยเหยียนเฟยช่วยหลอมส่วนประกอบโลหะของสิ่งเหล่านั้นเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทนทาน

ตอนที่พวกหลี่เถี่ยยิงซอมบี้จนลูกธนูและกระสุนลูกดอกหมด เหยียนเฟยก็เพียงโบกมือพาวัตถุเล็กๆ เหล่านั้นลอย ‘ฟึ่บฟั่บๆ’ ออกมาได้ดังใจ จากนั้นก็ควบคุมให้ไปหลอมรวมอยู่ตรงหน้าทุกคน ก่อนจะแยกส่วน ‘บิดปั้น’ เปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นลูกธนูและกระสุนลูกดอกตามรุ่นที่แต่ละคนใช้ขึ้นมาใหม่…

เหยียนเฟยใช้วิธีนี้คัดแยกโลหะออกมาได้ ส่วนของเหลวจากร่างซอมบี้ เลือดในร่างกายมนุษย์หรืออะไรก็ตามที่ติดอยู่บนโลหะจะถูก ‘กรอง’ ออกไป

แม้จะไม่รู้ว่าหลักการที่เฉพาะเจาะจงคืออะไร แต่เนื่องจากเหยียนเฟยสามารถควบคุมได้เฉพาะโลหะ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีนี้ในการกำจัดสิ่งอื่นที่ไม่ใช่โลหะ แม้ว่าพวกมันจะแห้งกรังติดอยู่บนโลหะก็ตาม

หลังจากที่ทุกคนจัดการเรื่องการป้องกันเรียบร้อยแล้ว หลัวซวินก็นำถุงผ้าที่ห่อซ้อนไว้ชั้นแล้วชั้นเล่าออกจากกระเป๋าเป้ เมื่อเปิดออกก็เผยให้เห็นถุงพลาสติกใสที่ปิดปากไว้อย่างแน่นหนา ตัวถุงด้านในเปื้อนสีแดงเลือด นั่นเพราะเลือดที่บรรจุอยู่ภาย… ถุงเลือด!

ของสิ่งนี้จางซู่ใช้ตำแหน่งหน้าที่นำออกมาจากโรงพยาบาล หลังจากที่ทีมพวกเขากำหนดวันออกนอกฐานที่มั่นได้ หลัวซวินก็กำชับให้จางซู่นำถุงเลือดนี้ออกมาจากโรงพยาบาลก่อนเดินทางหนึ่งวัน ทำแบบนี้แล้วจะช่วยให้ทุกคนไม่ต้องสร้างแผลและสละเลือดของตัวเอง เพราะแม้ว่าบาดแผลนั้นจะไม่ได้เกิดจากการถูกซอมบี้ทำร้าย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็จะไม่ติดเชื้อไวรัสซอมบี้ก็จริง แต่ถ้ามีใครสักคนไม่ระวัง ปล่อยให้บาดแผลสัมผัสสิ่งสกปรก แล้วรู้ตัวช้าจนกลายร่างเป็นซอมบี้ขึ้นมา แบบนั้นทุกคนก็จะพลอยซวยไปด้วย

ทุกคนมองหลัวซวินหยิบถุงเลือดออกมาแล้วยื่นมือไปทางเหยียนเฟย พริบตานั้นไม่รู้ว่าเหยียนเฟยดึงเหล็กออกมาจากตรงไหน เขาทำให้มันเป็นแท่งเรียวยาวก่อนจะส่งให้หลัวซวิน หลัวซวินเปิดถุงเลือดเล็กน้อยก่อนจะบีบเลือดหยดลงบนแนวร่องของแท่งเหล็กที่เหยียนเฟยเตรียมให้ จากนั้นก็โยนเหล็กออกไปนอกเขตแนวป้องกันไกลประมาณหนึ่งเมตร เสร็จแล้วหลัวซวินก็ปิดปากถุงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเช็ดเลือดที่เปื้อนปากถุงออกให้เกลี้ยง แล้วจึงโยนกระดาษที่ใช้เช็ดเลือดนั้นออกไปด้วยเช่นกัน สุดท้ายเขาก็ห่อถุงเลือดไว้อย่างแน่นหนาหลายต่อหลายชั้นตามเดิม

ทางด้านเหยียนเฟยได้ผนึกแท่งเหล็กกักเก็บเลือดไว้ข้างในทันทีที่หลัวซวินหยดเลือดลงไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อหลัวซวินโยนมันออกไป เหยียนเฟยจึงควบคุมให้มันเปิดออกและปล่อยให้เลือดไหลลงสู่พื้น

“พะ…พี่หลัว เลือดแค่นี้จะพอเหรอ” หวังตั๋วหันไปมองหลัวซวินที่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังด้วยความกังวล

หลัวซวินเก็บถุงเลือดแล้วเงยหน้าหันไปส่งยิ้มให้เขา พลางชี้ไปทางหนึ่ง “ฟัง”

ทุกคนรีบกลั้นลมหายใจเงี่ยหูฟังอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงร้องคำรามดังขึ้นรางๆ จริงๆ

ซอมบี้! มันคือซอมบี้!

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า