จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก
朱颜
ชางเย่ว์ เขียน
กอหญ้า แปล
— โปรย —
ณ ดินแดนเมฆาอวิ๋นฮวง ซึ่งปกครองโดยตี้จวินแห่งคงซางผู้สืบทอดอำนาจจากทวยเทพ
โดยมีฟานหวังหกเผ่าคือ ไป๋ ชิง จื่อ ชื่อ หลาน และเสวียน ร่วมดูแลหกดินแดนใต้อาณัติ
ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวแห่งวาสนาผูกพันและความขัดแย้งที่โชคชะตาลิขิตไว้…
จูเหยียน จวิ้นจู่เผ่าชื่อในวัยสิบแปด
ถูกส่งตัวไปแต่งงานกับหวังแห่งซูซ่าฮาหลู่แต่นางหลบหนีในคืนส่งตัว
จนเกิดเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต
และได้พบสืออิ่งผู้เป็นอาจารย์ของตนอีกครั้งโดยบังเอิญหลังจากไม่ได้พบกันมาห้าปี
สืออิ่ง รู้ดีว่าตนได้ถูกกำหนดว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือนาง
ทว่าเขามิอาจตัดใจฆ่านางเสียตั้งแต่ยังเด็กเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง
ทั้งยังสอนวิชาอาคมให้นาง
กาลเวลาผันผ่าน ภายใต้สัญญาณแห่งดาราวิถีที่บ่งชี้ว่าคงซางจะล่มสลายโดย “มนุษย์เงือกผู้หนึ่ง”
สืออิ่ง พยายามทุกวิถีทางที่จะตามหาและสังการบุคคลในคำทำนายผู้นั้น
ขณะที่จูเหยียน ยืนหยัดปกป้องมนุษย์เงือกที่นางรัก
นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างศิษย์อาจารย์ และการนองเลือดระหว่างเผ่าพันธุ์
ภายใต้วงล้อแห่งโชคชะตาที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
คำทำนายนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และวาสนารักของทั้งคู่จะได้บรรจบหรือพลัดพราก…
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
6
ทลายข่ายอาคม
ตลอดทั้งวัน จูเหยียนจวิ้นจู่ไม่ได้ออกมาจากกระโจมทองเลย
ตอนอวี้เฟยกับอวิ๋นม่านยกอาหารเย็นเข้ามาก็เห็นจวิ้นจู่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ อ่านสมุดบันทึกเล่มเล็กนั้นอย่างจดจ่อ แม้กระทั่งท่านั่งยังเหมือนเมื่อตอนกลางวันทุกประการ อาหารกลางวันบนโต๊ะก็ไม่แตะต้อง สองคนอดแลกเปลี่ยนสายตากันมิได้ ลอบรู้สึกประหลาดใจ…แต่เล็กจนโตจวิ้นจู่มีนิสัยอยู่ไม่สุข นั่งนิ่งไม่ได้แม้แต่ขณะเดียวเหมือนมีหนามงอกอยู่บนก้น เคยนั่งอ่านตำราอย่างสงบเสงี่ยมเช่นนี้เสียที่ใด คงมิใช่ได้รับความสะเทือนใจจนนิสัยเปลี่ยนไปกระมัง
สาวใช้ทั้งสองไม่กล้าพูดอะไร รีบวางอาหารไว้แล้วถอยออกไป ทว่าเพิ่งจะถอยออกมานอกกระโจม กลับได้ยินเสียงลมพุ่งผ่านข้างหู ชามใบหนึ่งถูกเขวี้ยงออกมา เกือบกระแทกถูกศีรษะของอวิ๋นม่าน
“จวิ้นจู่ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” พวกนางรีบถาม แต่พอหันไป กลับเห็นจูเหยียนประคองสมุดกระโดดผลุงขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า สายตามองตรงไปนอกประตู ปากร้องตะโกนไม่หยุด “เจ้าดูสิ! เขวี้ยงออกไปแล้ว เขวี้ยงออกไปได้แล้ว! ข้าทำสำเร็จแล้ว…ข้าทำสำเร็จแล้ว! เขวี้ยงออกไปได้แล้ว! ฮ่าๆๆ…”
นางพูดพลางวิ่งออกไปข้างนอก ทะเล่อทะล่าออกไปโดยที่ไม่มีใครคว้าตัวทัน แต่พอพุ่งไปถึงหน้าประตู จู่ๆ กลับซวนเซ คล้ายถูกบางสิ่งต่อยเข้าที่หน้าอย่างจัง เซไปข้างหลัง!
“จวิ้นจู่…จวิ้นจู่!” อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบเข้าไปประคองนางไว้ ถามอย่างร้อนใจ “ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ท่าน…ท่านเลือดออก!”
“…” จูเหยียนไม่พูดอะไร เพียงเช็ดเลือดที่จมูก จ้องประตูกระโจมเขม็ง ใบหน้าเขียวคล้ำสลับซีดขาว พลันกระทืบเท้า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะออกไปไม่ได้จริงๆ! คืนนี้ข้าไม่นอนแล้ว!”
ไฟในกระโจมทองสว่างตลอดคืนจริงๆ
เหล่าสาวใช้เฝ้ามองจวิ้นจู่มุมานะศึกษาตำราใต้แสงตะเกียง ทำไม้ทำมือกับสมุดบันทึก ประเดี๋ยวร้องไห้ประเดี๋ยวหัวเราะ บางครั้งจู่ๆ ก็ร่ายคาถาเสียงดัง ลุกขึ้นแผดเสียงร้องยาว เห็นแล้วชวนให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก อกสั่นขวัญแขวน…เหตุใดจวิ้นจู่จึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ได้ ต้องเป็นเพราะเสียใจจนใกล้เสียสติแล้วแน่ๆ! สวรรค์โปรดคุ้มครอง ให้ชื่อหวังรีบเดินทางมาถึงที่นี่เสียทีเถิด! หาไม่แล้วอาจมีคนตายได้!
พอถึงคืนวันที่สาม จูเหยียนยังคงไม่กินไม่ดื่มไม่นอนไม่พัก เอาแต่พลิกดูสมุดบันทึกในมือ แต่สีหน้ากลับยิ่งย่ำแย่ ร่างกายโงนเงนคล้ายจะล้มลง แม้กระทั่งใครมาพูดด้วย นางก็ไม่ได้ยินแล้ว
อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านกำลังคิดว่าจะบังคับป้อนอาหารให้นางหน่อยดีหรือไม่ กลับเห็นจูเหยียนผุดลุกขึ้นนั่งกะทันหัน สูดหายใจเฮือกหนึ่ง ยกมือขึ้นทำมุทราตรงหน้าอก จากนั้นยื่นนิ้วออกไป วาดไปวาดมาหลายทีโดยชี้ไปทางประตู…ได้ยินเสียงดังฟิ้ว แสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางราตรี ดุจสายอสนีปะทะกัน
มีบางอย่างแตกละเอียดกลางอากาศ กระโจมสั่นสะเทือนทั้งหลัง!
พวกนางยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กลับเห็นร่างของจูเหยียนโน้มไปข้างหน้า กระอักโลหิตลงบนสมุดบันทึกที่วางอยู่ตรงหน้า!
“จวิ้นจู่! จวิ้นจู่!” อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านร้องเรียกด้วยความตระหนก รีบวิ่งเข้าไป
“เร็ว…เร็วเข้า! แบก…แบกข้าออกไป ลองดูว่าทำลายได้หรือยัง” นางอิงกายอยู่ในอ้อมแขนสาวใช้ แต่มือชี้ไปที่นอกประตู เอ่ยคำพูดสุดท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง ก่อนจะหมดสติไป
จูเหยียนไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคืนนั้นตนถูกแบกออกไปได้สำเร็จหรือไม่ ทั้งไม่รู้ว่าตนหมดสติไปนานเพียงใด รู้เพียงตอนฟื้นขึ้นมา ศีรษะปวดร้าวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สายตาพร่าเลือน ร่างกายขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เหมือนใช้พลังมากเกินไป ไร้เรี่ยวแรงและอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว
สิ่งที่ทำให้นางสะดุ้งตื่นคือเสียงคำรามดังลั่นอันคุ้นเคยของฟู่หวัง…
“นี่มันอะไรกัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้! สั่งให้พวกเจ้าดูแลนางให้ดีแล้วแท้ๆ! ไอ้พวกไม่เอาไหน! ลากตัวไปขายทิ้งที่เมืองเยี่ยเฉิงยังดีเสียกว่า! เจ้าพวกสวะ!”
อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านตกใจจนขดตัวร้องไห้กระซิกอยู่ข้างๆ นางอยากฝืนยันกายขึ้นช่วยรับแทนสาวใช้ทั้งสองเหลือเกิน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ขยับนิ้วมือไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว
เกิดอะไรขึ้น…เหตุใดร่างกายข้าอ่อนแอเช่นนี้
“ช่างเถิด ช่างเถิด นิสัยของอาเหยียนท่านก็รู้ดี อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านหรือจะควบคุมนางได้” น้ำเสียงอ่อนโยนพยายามเกลี้ยกล่อมพลางไอโขลก “คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
อา! แม้แต่หมู่เฟยก็มาด้วย ดีเหลือเกิน…นางทั้งประหลาดใจทั้งยินดี พลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ฟู่หวังอารมณ์ร้อนวู่วาม ยอมอ่อนให้แต่กับหมู่เฟยเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้แต่พูดยังไม่กล้าพูดเสียงดัง…ครั้งนี้มีหมู่เฟยคอยปกป้อง โอกาสที่นางจะถูกตีย่อมลดน้อยลงมาก
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้ารู้อยู่แล้วว่านางต้องไม่ยอมแต่งงานโดยดีแน่! ขายหน้า…น่าขายหน้านัก!” ฟู่หวังยังโกรธไม่หาย แผดเสียงตวาดลั่นกระโจมทอง “ตอนนั้นก็คิดจะหนีตามทาสเงือกนั่นไป ตอนนี้ตั้งใจหาสามีให้นาง ยังคิดจะหนีการแต่งงานอีก? ข้าจะตีเจ้าลูกคนนี้ให้ตาย…”
ฟู่หวังรู้เรื่องที่ข้าหนีการแต่งงานรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร อาจารย์ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขานี่นา! หรือว่าจะเป็น…ใช่แล้ว! ต้องเป็นอวี้เฟยกับอวิ๋นม่านเจ้าเด็กขี้ขลาดสมควรตายสองคนนี่แน่ พอตกใจก็สารภาพออกมาหมด!
นางได้ยินเสียงคำรามของฟู่หวังดังอยู่ข้างหู รู้ว่าเขาพุ่งมาข้างกายตนพร้อมกับเงื้อฝ่ามือ อดตกใจจนเกร็งไปทั้งตัวมิได้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจขยับตัวได้
“หยุดนะ! ห้ามตีอาเหยียน!” เสียงของหมู่เฟยพลันดังขึ้นข้างหู น้ำเสียงที่นุ่มนวลเสมอมายามนี้เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ท่านไม่คิดดูบ้างว่าฟูจวินที่เลือกให้อาเหยียนเป็นเช่นไร! เผ่าฮั่วถูมีแผนการชั่วร้ายจนเกือบพัวพันมาถึงเรา! โชคดีที่ไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ หาไม่แล้ว…แค็กๆ หาไม่แล้วชั่วชีวิตนี้ของอาเหยียนมิต้องถูกท่านทำลายจนสิ้นหรือ หากอาเหยียนเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่!”
“…” เสียงคำรามของฟู่หวังหยุดลงฉับพลัน ผ่านไปนานก็มิได้พูดอะไร เอาแต่หอบหายใจหนักๆ
ดีเหลือเกิน พอหมู่เฟยโมโหขึ้นมา ฟู่หวังก็กลัวเหมือนกัน!
“ครั้งนี้นางคิดจะหนีไปกับใครอีก พูดมา!” ฟู่หวังไม่ได้โต้เถียงกับหมู่เฟยอีก หันขวับ เอาโทสะไประบายที่อื่น จ้องอวี้เฟยกับอวิ๋นม่านเขม็ง เงื้อแส้ในมือขึ้น “คางคกโสโครกตัวใดคิดจะกินเนื้อหงส์ ถึงกับกล้าล่อลวงบุตรสาวข้า! หากไม่บอกมาตามตรง ข้าจะตีขาพวกเจ้าให้หักเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าค่ะ…เจ้าค่ะ…” อวี้เฟยขี้ขลาด รีบตอบตัวสั่นงันงก
เดี๋ยว อย่าพูดส่งเดชสิ! ครั้งนี้ข้าแค่ไม่อยากแต่งงานเฉยๆ หนีไปก่อนค่อยว่ากัน มีคนที่คิดจะหนีตามกันไปเสียที่ใด ต่อให้ข้าอยากหนีไปหายวน ก็ต้องรู้เบาะแสของเขาก่อนสิ!
นางร้อนใจมาก แต่กลับไม่อาจอ้าปากอธิบายชี้แจงให้ตนเองได้แม้แต่ครึ่งคำ
ควั่บ! เสียงแส้หวดลงบนพื้น อวี้เฟยตกใจจนร้องไห้โฮออกมา หมอบลงกับพื้นทันที ร้องเสียงดัง “หวังเยียไว้ชีวิตด้วย! เป็น…เป็นต้าเสินกวนแห่งเขาจิ่วอี๋เจ้าค่ะ! ใต้เท้าสืออิ่ง!”
“อะไรนะ” ฟู่หวังตกตะลึง “ต้าเสินกวน?!”
“เจ้าค่ะ!” อวี้เฟยตอบเสียงสั่น “คืนนั้น…คืนนั้นเดิมจวิ้นจู่จะหนีตามเขาไป! แต่ไม่รู้เหตุใดกลับเกิดเหตุวุ่นวายมากมาย สองคนทะเลาะกัน จึงหนีไปไม่สำเร็จ”
“อะไรนะ” ฟู่หวังกับหมู่เฟยอุทานพร้อมกัน ตื่นตะลึงสุดขีด
“ไม่ถูกต้อง! ต้าเสินกวนเป็นคนเขียนจดหมายบอกให้ข้ามารับอาเหยียนที่นี่เองชัดๆ! จะเป็นเขาที่คิดพานางหนีไปได้อย่างไร” ฟู่หวังมีสติดี โต้แย้งคำพูดของอวี้เฟยทันที “พวกเขาสองคนเป็นศิษย์อาจารย์กัน จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร…”
อวี้เฟยกลัวจะถูกแส้เฆี่ยน รีบเอ่ย “บ่าว…บ่าวได้ยินมากับหู จวิ้นจู่บอกว่าเพราะต้าเสินกวน…ทำให้นางไม่เห็นบุรุษคนใดในใต้หล้าอยู่ในสายตาอีก ยัง…ยังขอร้องให้ต้าเสินกวนพานางไปด้วย! หากหวังเยียไม่เชื่อ ถามอวิ๋นม่านดูก็ได้เจ้าค่ะ!”
อวิ๋นม่านที่อยู่ด้านข้างตัวสั่นเทา พยักหน้ารัวๆ “เป็นความจริงเจ้าค่ะ! บ่าวก็ได้ยินเหมือนกัน!”
อะไรกัน เด็กสองคนนี้ ถึงขั้นแอบฟังพวกข้าคุยกัน ทั้งยังฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด! จูเหยียนโมโหจนแทบกระอักเลือด ล้มเลิกความพยายามที่จะตื่นขึ้นมา นอนราบอย่างหดหู่…ใช่ เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว นอนนิ่งแกล้งตายดีที่สุด เวลานี้หากเอ่ยปากออกไป ฟู่หวังไม่เฆี่ยนข้าตายรึ
แต่ที่น่าแปลกคือ ฟู่หวังกับหมู่เฟยกลับไม่ได้พูดอะไรอีกเป็นนาน
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ผ่านไปพักใหญ่ หมู่เฟยจึงเอ่ยปาก
เสียงสวบสาบดังขึ้นในกระโจมทอง บรรดาบ่าวต่างพากันถอยออกไป เพียงพริบตา ในกระโจมก็เงียบกริบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ
“ข้าว่า ครั้งนั้นที่ท่านส่งอาเหยียนไปเขาจิ่วอี๋ ในใจก็คิดไว้อยู่แล้วใช่หรือไม่” หมู่เฟยพลันเอ่ยปากเสียงเนิบ เอ่ยถามคำถามแปลกประหลาด “อันที่จริงสองคนนี้ก็ห่างกันเพียงเก้าปีเท่านั้น”
“พูดเหลวไหล!” ชื่อหวังคำราม
“เหลวไหลอย่างไร ข้าว่าเขาเดินทางมาซูซ่าฮาหลู่ครั้งนี้ อันที่จริงก็เพราะอาเหยียน” หมู่เฟยไอ น้ำเสียงกลับเจือแววยิ้มหัวแปลกๆ “อีกทั้ง ท่าน…ท่านก็รู้ดีว่า แค็กๆ…อวี้กู่ที่เขามอบให้อาเหยียนด้ามนั้น เป็นของที่ไป๋เวยหวงโฮ่วทิ้งไว้ชัดๆ…ของเช่นนี้มอบให้คนอื่นส่งเดชได้รึ”
“พวกเขาเป็นศิษย์อาจารย์กัน!” ชื่อหวังตวาดเสียงเฉียบ “ต้าเสินกวนไม่อาจแต่งภรรยา เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว!”
หมู่เฟยกลับวิเคราะห์เสียงเบาต่อ “ต้าเสินกวนแต่งภรรยาไม่ได้แล้วอย่างไร เดิมชะตาของเขาก็ไม่ควรเป็นเสินกวนอยู่แล้ว! ขอเพียงเขาถอดชุดคลุมขาวนั้นออก หวนคืนสู่…”
ชื่อหวังขัดจังหวะหมู่เฟยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! แม้แต่คิดก็ไม่ต้องคิด!”
ภายในกระโจมทองพลันตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จูเหยียนไม่เห็นสีหน้าของบิดามารดา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้สึกเพียงบรรยากาศแปลกประหลาด กดดันจนหายใจไม่ออก
ผ่านไปพักใหญ่ หมู่เฟยจึงถอนหายใจ “ช่างเถิด ถึงอย่างไรสุดท้ายเขาก็ไม่ได้พาอาเหยียนไป…เรื่องนี้อย่าให้แพร่งพรายออกไปเป็นดี ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน หาไม่แล้ว…แค็กๆ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเผ่าชื่อของเรา มีดวงตาตั้งกี่คู่จับจ้องอยู่”
“นั่นน่ะสิ ข้าก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้แม้แต่คิดก็อย่าได้คิด เป็นความผิดถึงขั้นประหารชีวิตทั้งเผ่า” ชื่อหวังเอ่ยเสียงขรึม “แต่ก่อนที่ข้าส่งอาเหยียนไปจิ่วอี๋ เพียงเพราะอยากให้นางมีความรู้ติดตัวมากหน่อย มีที่พึ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้อยากให้นางก่อเรื่อง”
“เฮ้อ…” หมู่เฟยถอนหายใจ “น่าเสียดาย”
เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ช่วงหนึ่งปีนี้ ท่านอย่าเพิ่งบังคับให้อาเหยียนออกเรือนอีกเลย รอดูไปก่อนเถิด…เรามีบุตรสาวคนนี้เพียงคนเดียว ถึงอย่างไรก็ต้องหาคู่ครองที่ดีให้นาง อย่ารีบร้อนจนเกินไป”
ชื่อหวังนิ่งไม่ตอบอะไร คล้ายยอมรับอย่างเงียบๆ
จูเหยียนนอนอยู่ตรงนั้น ในใจทั้งตกใจทั้งยินดี ที่ยินดีแน่นอนว่าเพราะเรื่องนี้ สถานการณ์จึงคลี่คลายกลายเป็นฟ้าหลังฝนอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครมาเอาผิดกับนางภายหลังอีกแล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานอีกชั่วคราว ดังนั้นย่อมไม่ต้องร้อนใจคิดหนีอีก ช่างเป็นข่าวดีที่สุด…บอกตามตรง หากต้องไปจากฟู่หวังกับหมู่เฟย นางเองก็ตัดใจไม่ลงเช่นกัน
ส่วนที่ตกใจกลับเป็นท่าทีของบิดามารดา เหตุใดแม้แต่ฟู่หวังที่กล้าแผดเสียงใส่คนทั่วหล้า กลับดูหวั่นเกรงอาจารย์อยู่เล็กน้อย
ตกลงอาจารย์ร้ายกาจขนาดไหนกันแน่นะ
ทว่าการแกล้งหมดสติครั้งนี้ กลับกินเวลายาวนานกว่าที่คิดไว้
กระทั่งถูกพาตัวกลับจวนชื่อหวังในเมืองเทียนจี๋เฟิง จูเหยียนก็ยังไม่สามารถลุกจากเตียงได้ ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่ง จนวันที่สามนางจึงลืมตาขึ้นได้ พอจะพูดได้บ้างประโยคสองประโยค วันที่เจ็ดจึงค่อยๆ ขยับนิ้วได้เล็กน้อย แต่ทำอย่างไรก็ไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้น ชื่อหวังเชิญแพทย์เลื่องชื่อทั่วทั้งเมืองเทียนจี๋เฟิงมาตรวจรักษา อาการของบุตรสาวก็ยังไม่ดีขึ้น ด้วยความร้อนใจ จึงไปเชิญเสินกวนจากอารามเทพที่เผ่าชื่อบูชามาดูอาการ
“ไม่มีอะไร เพียงแค่ระยะนี้วิชาอาคมของจวิ้นจู่รุดหน้าไปมาก ทะลุขีดจำกัดในคราวเดียว คาดว่าคงใช้อาคมเกินขีดความสามารถของตนเอง พลังวิญญาณจึงหมดไปชั่วคราว” เสินกวนของเผ่าชื่อนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะสรุปคำวินิจฉัย “กินยาเน่ยตาน[1]สักหน่อย พักผ่อนอย่างสงบสักเดือนก็หายแล้ว…อายุยังน้อย แต่กลับฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นนี้ได้ หายาก หายากยิ่งนัก”
นางที่นอนพักอยู่บนเตียงตะลึงงัน รุดหน้าไปมากหรือ ไม่กระมัง แค่อ่านสมุดบันทึกที่อาจารย์มอบให้ไม่กี่วัน…ใช่แล้ว! เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ นางหันไปถามทันที “อวี้เฟยล่ะ อวิ๋นม่านล่ะ พวกนางหายไปไหน ตกลงคืนนั้นพวกนางได้แบกข้าออกจากกระโจมหรือไม่”
ฟู่หวังขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเสียงเย็น “อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านบกพร่องต่อหน้าที่ ข้าส่งพวกนางไปอยู่เรือนซักล้างแล้ว ลงโทษให้ทำงานหนักหนึ่งปี”
“อย่า!” นางร้องออกมา “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนาง!”
“แค่ให้พวกนางไปลำบากเล็กน้อย จะได้หลาบจำ ผ่านไปสักพักย่อมเรียกตัวพวกนางกลับมา” ฟู่หวังปลอบนางอย่างง่ายๆ เหมือนกล่อมเด็กอย่างไรอย่างนั้น “ถึงเวลาค่อยเรียกพวกนางกลับมาปรนนิบัติเจ้าอีกครั้ง”
“ไม่เอา!” จูเหยียนถลึงตา เอ่ยเสียงขุ่น “เด็กสองคนนี้กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เอะอะก็ทรยศข้า…ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกแล้ว!”
“ก็ได้ เช่นนั้นไม่ให้พวกนางกลับมา ส่งไปอยู่ไกลๆ เจ้า” ชื่อหวังเดาได้แต่แรกแล้วว่านางต้องพูดเช่นนี้ อดยิ้มไม่ได้ ถามว่า “ว่าแต่เรื่องที่ให้แบกเจ้าออกจากกระโจมคืออะไร”
จูเหยียนเกาศีรษะ พูดอย่างไม่แน่ใจนัก “คืนนั้นเหมือนข้าจะทำลายข่ายอาคมที่อาจารย์เป็นคนสร้างได้…แต่ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะยังไม่ทันถูกแบกออกไป ข้าก็หมดสติไปเสียก่อน”
“…” ชื่อหวังเงียบไปชั่วขณะ มิได้เอ่ยอะไร
ในฐานะผู้มีพรสวรรค์ด้านอาคมที่อายุเพียงยี่สิบห้าก็ได้เป็นต้าเสินกวนของอารามเทพจิ่วอี๋ พลังวิญญาณของสืออิ่งสูงล้ำ เป็นหนึ่งในอวิ๋นฮวง ไม่มีผู้ใดเทียบได้ พลังฝึกบำเพ็ญเป็นรองเพียงต้าซือมิ่งบนยอดหอคอยขาวเท่านั้น…ข่ายอาคมที่เขาสร้างขึ้น อาเหยียนกลับทำลายได้? เป็นเพราะฝีมือนางรุดหน้าเร็วเกินไป หรือที่ผ่านมาข้าประเมินอาเหยียนต่ำเกินไปกันนะ
ชื่อหวังครุ่นคิดอย่างสับสน พลันเอ่ยว่า “อาเหยียนอยากไปเที่ยวตี้ตูหรือไม่”
“หา?” จูเหยียนตาเป็นประกาย “ไปตี้ตู? จริงหรือเจ้าคะ”
ชื่อหวังพยักหน้า “รอไว้เดือนสาม ลมบูรพาพัดมา ฟู่หวังจะไปจยาหลานตี้ตูเข้าเฝ้าตี้จวิน เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่”
“อยากๆๆ!” นางยิ้มจนหน้าบาน ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ผุดลุกขึ้นจากเตียง “ไปตี้ตูต้องผ่านเยี่ยเฉิงด้วยใช่หรือไม่ ดีเหลือเกิน…ข้าไม่ได้ไปเยี่ยเฉิงหลายปีแล้ว! ข้าจะไปเดินตลาดตะวันออกกับตลาดตะวันตก! จะไปกินอาหารบนเรือที่ทะเลสาบคันฉ่อง! อา ฟู่หวัง ท่านช่างดีเหลือเกิน!”
นางโอบคอชื่อหวัง หอมใบหน้าบิดาที่ครึ้มไปด้วยหนวดเคราจนเกิดเสียงดังจุ๊บ
“ไม่มีสัมมาคารวะ!” หางตาของชื่อหวังกระตุกถี่ แต่กลับไม่ได้บันดาลโทสะใส่บุตรสาว
“หิวจัง!” นางบ่น กวาดตามองรอบด้าน “อาหารเสร็จหรือยัง ข้าอยากกินเห็ดซงหรงตุ๋นนกกระทาไผ่[2]!”
หลังจากถอยออกมา ชื่อหวังก็เจอหวังเฟยยืนอยู่บนระเบียงทางเดินข้างนอกเข้าพอดี สองสามีภรรยาสบตากันเงียบๆ เดินเคียงไหล่ไปตามระเบียงทางเดินยาวในจวนหวัง กระทั่งรอบด้านปลอดคน หวังเฟยจึงถอนหายใจ “สุดท้ายท่านยังคงตัดสินใจเช่นนี้?”
ชื่อหวังพยักหน้า “ใช่ ข้าจะพานางไปตี้ตู”
หวังเฟยไอเล็กน้อย “ท่าน…ท่านไม่อยากให้นางเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาโดยตลอดมิใช่หรือ”
“แต่ก่อนข้าเพียงอยากให้อาเหยียนหาบุรุษที่ดีในแดนประจิม ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัยทั้งชีวิต ห่างไกลจากวังวนแห่งอำนาจในตี้ตู” ชื่อหวังส่ายหน้า “แต่บัดนี้ดูแล้ว อาเหยียนอาจเก่งกาจกว่าที่เราคิด นางอาจไม่ได้เหมาะกับชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้เสมอไป…”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ “เจ้าดูสิ ข้าเคยลองแล้ว…ลากนางออกไปแต่งงานง่ายๆ เหมือนคราวก่อน สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ พานางออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีเหมือนกัน ไม่แน่อยู่ที่นั่นนางอาจได้พบวาสนาที่ดียิ่งขึ้น”
หวังเฟยไอเบาๆ ยิ้มตอบ “ไม่คิดว่าคนที่ดื้อรั้นมาทั้งชีวิตอย่างท่าน จะมีเวลาขบคิดได้อย่างกระจ่างแจ้งเช่นนี้…”
“นี่ก็เป็นการทำเพื่อเผ่าชื่อของเรา” ชื่อหวังหันไปมองเหยี่ยวซ่าหล่าง[3]ที่โบยบินใต้แสงจันทร์ เอ่ยเสียงหนักอย่างทอดถอนใจ “ในหกเผ่า มีเพียงเผ่าชื่อที่ถดถอยลงไม่หยุด บัดนี้ตี้จวินประชวร ถึงเวลาที่บัลลังก์ต้องเปลี่ยนมือ…ในช่วงเวลาเช่นนี้ เราต้องพยายามหน่อย”
“นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างไป๋หวังกับชิงหวังสองคน เกี่ยวอันใดกับเราเล่า” หวังเฟยถอนหายใจ พลันพึมพำว่า “แต่ได้ยินว่าบุตรชายคนโตของไป๋หวังยังมิได้หมั้นหมาย ไม่แน่กับอาเหยียนอาจเป็นไปได้…”
ชื่อหวังหัวเราะออกมา “พวกผู้หญิงนี่นะ คิดถึงแต่เรื่องนี้”
“นี่เป็นเรื่องใหญ่ชั่วชีวิตของอาเหยียน จะไม่ใส่ใจได้อย่างไร หวงโฮ่วของคงซางแต่ไรมาล้วนคัดเลือกจากเผ่าไป๋ อาเหยียนของเราไม่มีวาสนาเช่นนี้ แต่หากเป็นไป๋หวังเฟยคนต่อไป คุณสมบัติของนางก็เหลือเฟือ” หมู่เฟยกลับพูดอย่างจริงจัง ท่านพานางไปเยี่ยเฉิงและตี้ตูครั้งนี้ ถือโอกาสไปพบชายหนุ่มมากความสามารถที่มาจากตระกูลผู้ปกครองทั้งหกเผ่าให้มากๆ หน่อย อย่าให้เสียโอกาสเป็นอันขาด…”
ชื่อหวังเอ่ยเสียงเบา “ครั้งนี้ข้านัดพบไป๋หวังไว้แล้ว”
“ลองหยั่งเชิงเขาดู ได้ยินว่าไป๋เฟิงหลินบุตรชายคนโตของเขาประจำการอยู่ที่เยี่ยเฉิง รูปโฉมและความสามารถล้วนเลิศเลอ ที่ดียิ่งกว่าคือตอนนี้ยังไม่แต่งภรรยา” พอพูดถึงเรื่องออกเรือนของบุตรสาว สีหน้าของหวังเฟยแทบจะเหมือนบิดามารดาที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ดวงตาเปล่งประกาย สะกิดผู้เป็นสามี “ท่านไปถามเขาเป็นการส่วนตัวเถอะ!”
“เรื่องเช่นนี้จะให้ข้าออกปากได้อย่างไร มีใครที่ไหนเป็นฝ่ายเสนอหน้าเข้าไปเจรจาเรื่องการแต่งงานให้บุตรสาวก่อนบ้าง” ชื่อหวังกระแอมหลายทีอย่างกระอักกระอ่วน “อีกทั้งตระกูลผู้ปกครองของหกเผ่าล้วนมีคนมาเจรจาทาบทามบุตรชายคนโตของไป๋หวังไม่น้อย เขาไม่เคยรับปากใครทั้งสิ้น เกรงว่าคงคิดฝันการใหญ่ อยากเลือกสะใภ้ที่ช่วยให้เขาได้รับกำลังสนับสนุนมากที่สุด ตระกูลของเรามิอาจกล่าวได้ว่า…”
“เอ๋ เหตุใดท่านจึงดูแคลนตระกูลตนเองถึงเพียงนี้” หวังเฟยไม่พอใจ “อาเหยียนวาสนาดีมาตั้งแต่เล็ก…ไม่แน่ที่ต้าซือมิ่งพูดอาจเป็นความจริงก็ได้”
“…” สีหน้าของชื่อหวังเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผ่านไปนานจึงเอ่ยเสียงเบา “ที่แท้เจ้ายังจำคำพูดนั้นของต้าซือมิ่งมาโดยตลอด”
“แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องสำคัญเช่นนั้นจะลืมได้อย่างไร ต้าซือมิ่งเคยพูดไว้เมื่อสิบห้าปีก่อนว่า อาเหยียนของเราวันหน้าจะสูงศักดิ์และมีเกียรติยิ่งกว่าหวงโฮ่ว!” หวังเฟยทวนคำทำนายนั้นอย่างเน้นย้ำทีละคำ ดวงตาทอประกาย “ข้ารู้สึกว่าชะตาของนางไม่มีทางด้อยกว่าเสวี่ยอิงแน่นอน!”
“คำทำนายของต้าซือมิ่งใช่ว่าจะแม่นยำเสมอไป” ชื่อหวังกระแอมหลายที เอ่ยเสียงเรียบ “ในอดีตคำพูดเพียงคำเดียวของเขาก็ทำให้สืออิ่งที่ยังแบเบาะถูกส่งไปเขาจิ่วอี๋ แต่ข้ากลับแคลงใจมาโดยตลอด”
“แคลงใจอะไรหรือ” หวังเฟยแปลกใจ
“ข้าสงสัยว่าเขา…” ชื่อหวังลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่พูดดีกว่า”
ชื่อหวังเงียบไปก่อนเอ่ยต่อ “อันที่จริง ปีที่แล้วต้าซือมิ่งยังประกาศกร้าวในราชสำนักว่า หายนะของแคว้นคงซางที่จะทำให้บ้านเมืองล่มสลาย ผู้คนล้มตายจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ได้มาถึงแล้ว ชะตาบ้านเมืองเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยปี…ตอนนั้นเรื่องนี้ทำเอาตี้จวินกริ้วจัด!”
“ปากไม่มีหูรูดแท้ๆ” หวังเฟยอดตกใจมิได้
ตอนนี้เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์เมิ่งหฺวาที่มีอายุมาสองร้อยปี เจ็ดทะเลสันติ หกทิศสงบสุข แม้กระทั่งเผ่าน้ำแข็งยังถอยหนีไปไกล คำพูดที่ว่าบ้านเมืองจะล่มสลาย ผู้คนจะล้มตายจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์เช่นนี้ ไม่แตกต่างจากอสนีที่ฟาดเปรี้ยงลงบนผืนดิน สร้างความตื่นตระหนกให้ทุกคนจนคางแทบหลุด หากไม่เพราะตี้จวินเห็นต้าซือมิ่งเป็นเหมือนอาจารย์และสหายมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งรู้ว่ายามเขาดื่มสุราจนเมามายมักเอ่ยวาจาน่าตกใจ ด้วยโทสะป่านนี้คงลากตัวเขาไปประหารนานแล้ว
“ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้บอกว่า แม้จะเป็นคำพูดของต้าซือมิ่ง แต่เรื่องบางอย่างแค่ฟังไว้ก็พอ” ชื่อหวังยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า “หากเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังทั้งหมด น่ากลัวว่าคงเป็นการหาเรื่องปวดหัวให้ตนเอง”
“นั่นสินะ” หวังเฟยอดปิดปากหัวเราะเบาๆ มิได้ “หากคำทำนายของต้าซือมิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนั้นจริง เหตุใดจึงมิอาจมองเห็นล่วงหน้าว่าตนจะดื่มจนเมาและพลัดตกจากหอคอยขาวจยาหลาน ทำให้ต้องขาเป๋ไปข้างหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ…” ชื่อหวังเปล่งเสียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่
“ข้าว่า ครั้งนี้ท่านพบไป๋หวัง ก็ลองดูสักหน่อยเถิด” หวังเฟยผลักเขาทีหนึ่ง ขึงตามองสามี “เพื่อเรื่องใหญ่ในชีวิตของอาเหยียน ใบหน้าชรานี้ของท่านไม่นับว่าสำคัญอะไรนักหรอก ลองดูหน่อยเถิดนะ!”
“ก็ได้ๆ” ชื่อหวังยิ้มขื่น “ไว้ข้าได้พบไป๋หวังแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กับเขา”
สองสามีภรรยานั่งอยู่ในลานเรือนของจวนหวัง พูดคุยเรื่อยเปื่อยใต้แสงจันทร์
“สาวใช้สองคนที่ปรนนิบัติอาเหยียน ท่านจัดการอย่างไรกับพวกนาง” เงียบไปครู่หนึ่ง หวังเฟยจึงถามเสียงค่อย “ทั่วทั้งจวนล้วนไม่พบร่องรอยของพวกนาง หรือว่าท่าน…”
“อย่าถามอีกเลย” เสียงของชื่อหวังพลันเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “พวกนางรู้มากเกินไป”
“…” หวังเฟยสูดหายใจด้วยความตระหนก กดเสียงเบาลงเช่นกัน “หากอาเหยียนถามถึงอีกจะทำเช่นไร”
“ไม่หรอกน่า ยายหนูลืมง่ายจะตาย เจออะไรใหม่ๆ ความสนใจก็เปลี่ยนแล้ว แค่หันหน้าไปก็ลืมสิ้นทุกสิ่ง อีกทั้งเดือนหน้าข้าจะพานางไปตี้ตูมิใช่หรือ” ชื่อหวังเงยหน้า ทอดสายตาไปไกล มองหอคอยขาวสูงเทียมเมฆที่ตั้งอยู่สุดปลายอีกฟากของผืนแผ่นดิน “จากไปครั้งนี้ วันหน้านางยังจะได้กลับมาที่จวนหวังอีกหรือไม่ ยังบอกไม่ได้เลย…”
ใต้แสงจันทร์ เงาสีขาวซีดจางตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน
นั่นคือหอคอยขาวจยาหลานที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบคันฉ่อง เป็นหัวใจของอวิ๋นฮวง
เจ็ดพันปีก่อน ตี้หวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คงซาง…ซิงจุนตี้หลางกานฟังคำต้าซือมิ่ง เกณฑ์คนสามแสน ใช้เวลาเจ็ดสิบปีสร้างหอคอยขาวสูงเสียดฟ้าถึงหกหมื่นสี่พันฉื่อแห่งนี้ขึ้นในจยาหลานตี้ตู ก่อตั้งอารามเทพและตำหนักจื่อเฉินบนหอคอย นับแต่นั้นมาก็อาศัยอยู่ตามลำพังบนยอดหอคอย สิ้นชีพไปอย่างหม่นหมอง ชั่วชีวิตมิได้เหยียบย่างบนพื้นดินอีก
ผ่านมากี่ปีแล้ว วีรบุรุษกี่คนที่ตายจากไป กี่ราชวงศ์ที่ล่มสลาย มีเพียงหอคอยนี้ที่ยังคงตั้งตระหง่าน ทอดสายตามองสรรพสิ่งอย่างเย็นชา…ดุจองค์เทพที่เงียบงันไร้วาจา
ชื่อหวังมองหอคอยขาวนั้น ยกมือขึ้นชี้ไปไกล “วาสนาของอาเหยียน ไม่แน่อาจอยู่ที่นั่น”
ชื่อหวังชี้ไปที่หอคอยขาวแห่งนั้น ตอนเอ่ยคำพูดที่แฝงความหมายลึกซึ้งนั้นออกมา คงคาดไม่ถึงว่าบนยอดหอคอยขาวจยาหลาน มีเสียงหนึ่งกำลังเอ่ยถึงเขาอยู่เช่นกัน
“วันนี้ชื่อหวังถวายฎีกาต่อราชสำนัก”
เสียงนั้นพูดกับคันฉ่องวารีบานหนึ่ง ผู้พูดเป็นบุรุษวัยสี่สิบกว่า สวมชุดคลุมเช่นโหรหลวงของแคว้นคงซาง ดูฉลาดปราดเปรื่องและรอบคอบ
อีกด้านของคันฉ่องวารีมีบุรุษในชุดคลุมยาวสีดำนั่งอยู่ เป็นชิงหวังที่อยู่ไกลถึงเมืองจื่อไถ เอ่ยถามเสียงเย็น “เรื่องของซูซ่าฮาหลู่หรือ”
โหรหลวงค้อมกายตอบ “ขอรับ ข่าวของท่านไวยิ่งนัก”
ชิงหวังหัวเราะ “เท่าที่ข้ารู้มา น่าจะเป็นฝีมือของสืออิ่งกระมัง หึ กลับปล่อยให้ชื่อหวังชิงถวายฎีกาเอาความดีความชอบไปได้”
“ต้าเสินกวนไม่สนใจในลาภยศมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยมีใจอยากแก่งแย่งชิงดีกับใครอยู่แล้ว” โหรหลวงตอบ “ชื่อหวังยังช่วยชมเชยต้าเสินกวนในฎีกาด้วย แทบจะยกผลงานทั้งหมดให้เขา ตำหนิตนเองว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ปกครองแดนประจิมได้ไม่ดี บอกว่าอีกไม่นานจะเดินทางมาตี้ตูน้อมรับผิดด้วยตนเอง”
“น้อมรับผิด?” ชิงหวังเลิกคิ้ว แววเยาะหยันวาบขึ้นในดวงตา “เขาไหวตัวไวทีเดียวนี่…เรื่องนี้หากไม่จัดการโดยเร็ว ตัวเขาเองก็มิอาจปัดความรับผิดชอบได้ จูเหยียนบุตรสาวของเขาผู้นั้น มิใช่ยกให้บุตรชายของต้าเฟยไปแล้วหรือ”
“ขอรับ ได้ยินว่าเคอเอ่อร์เค่อชินหวังยังไม่ทันเข้าหอก็ตายเสียแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ธิดาของชื่อหวังก็กลายเป็นม่ายทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานน่ะสิ” ชิงหวังอึ้งไป จากนั้นก็อดหัวเราะหยันมิได้ รู้สึกสะใจยิ่งนัก “พวกเขาประคบประหงมธิดาคนนี้ดุจสมบัติล้ำค่า สามปีก่อนข้าไปเจรจาสู่ขอนางให้หลานชายยังถูกปฏิเสธกลับมา…ครานี้ข้าจะรอดู หกเผ่ายังมีตระกูลใดยินดีเก็บของมือสองชิ้นนี้ขึ้นมาอีก”
โหรหลวงเอ่ยอย่างพินอบพิเทา “ชิงหวังกล่าวถูกแล้ว”
ชิงหวังนิ่วหน้า ถามต่อ “มีข่าวของสืออิ่งบ้างหรือไม่”
“ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ” โหรหลวงตอบ “หลังออกจากซูซ่าฮาหลู่ ร่องรอยของต้าเสินกวนก็ขาดหายไป ส่งสายสืบออกไปแล้ว ทั้งใช้คันฉ่องวารีส่องดูทั่วทั้งอวิ๋นฮวง ทำอย่างไรก็ไม่พบเบาะแสของเขา”
“ไม่ได้ความ!” ชิงหวังเอ่ยเสียงขุ่น “ข้าสั่งให้เจ้าจับตาดูเจ้าคนผู้นี้ไว้ให้ดีตั้งแต่แรกแล้ว!”
“หวังเยียสร้างความลำบากใจให้ข้าน้อยยิ่งนัก พลังวิญญาณของต้าเสินกวนสูงล้ำ ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของข้าน้อย จะจับตาดูเขาทุกฝีก้าวได้อย่างไร” โหรหลวงยิ้มเฝื่อน ส่ายหน้าเอ่ย “ทั่วทั้งอวิ๋นฮวง คาดว่าคงมีเพียงต้าซือมิ่งคนเดียวที่สามารถทำได้กระมัง”
“ก็เพราะเจ้าหนุ่มนั่นร้ายกาจ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ หาไม่แล้ว เขาจะยังมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงวันนี้รึ” ชิงหวังเอ่ยอย่างโมโห “ตัดหญ้าไม่ถอนโคน ลมวสันต์พัดมาย่อมหวนคืนแท้ๆ!”
โหรหลวงมิกล้าตอบคำ
ชิงหวังคล้ายตระหนักว่าตนออกจะเสียอาการไปหน่อย จึงผ่อนน้ำเสียงลง เอ่ยถาม “หวงไท่จื่อ[4]เป็นเช่นไรบ้าง”
“ยังคงเหมือนแต่ก่อน ชอบออกไปเที่ยวเล่นเป็นประจำ วันทั้งวันล้วนไม่อยู่ในตี้ตู” โหรหลวงถอนใจส่ายหน้า “ตี้จวินท้อพระทัยนานแล้ว คร้านจะบังคับควบคุม ส่วนชิงเฟยก็รักใคร่ตามใจบุตรชายคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร ด่าไม่ได้ตีไม่ได้ ได้แต่รอปีหน้าให้มีการแต่งตั้งไท่จื่อเฟยอย่างเป็นทางการ คิดว่าน่าจะมีคนดูแลเขาอย่างเข้มงวดมากขึ้น”
“เฮ้อ เด็กคนนี้ช่างทำให้คนเป็นกังวลนัก” ชิงหวังเอ่ยอย่างไม่ได้ดั่งใจ “อายุยี่สิบสองแล้ว ยังไม่แต่งตั้งชายาอีก! สมัยที่ตี้จวินอายุเท่าเขาก็มีโอรสองค์โตแล้ว!”
โหรหลวงยิ้มปลอบ “ชิงหวังอย่าได้ร้อนใจเลย เสวี่ยอิงจวิ้นจู่ก็ยังเด็กมิใช่หรือ”
“สิบแปดแล้ว ไม่เด็กแล้วล่ะ” ชิงหวังส่ายหน้าอย่างหนักอกหนักใจ “ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่กำหนดให้แน่นอน ข้าก็ไม่อาจวางใจ ถึงอย่างไรหวงไท่จื่อก็มิได้เกิดจากหวงโฮ่ว มิได้เป็นทายาทสายตรง ทั้งมิได้เป็นทายาทคนโต ยามอยู่ในราชสำนักย่อมได้รับแรงกดดันไม่น้อย…หากได้แต่งกับเสวี่ยอิงจวิ้นจู่ในเร็ววัน เกี่ยวดองกับเผ่าไป๋ หัวใจข้าจึงจะนับว่าวางลงได้ แต่ตอนนี้ท่าทีของไป๋หวังคลุมเครือไม่ชัดเจน…เฮ้อ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาสนับสนุนการแต่งงานครั้งนี้จริงหรือไม่”
“ชิงหวังมิต้องกังวลเกินไป หวงไท่จื่อกับเสวี่ยอิงจวิ้นจู่รักใคร่กันดี! น่ากลัวว่าป่านนี้ข้าวสารคงกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว…” โหรหลวงพลันกดเสียงเบาลง ยิ้มเอ่ย “เดือนก่อนหวงไท่จื่อลอบพาจวิ้นจู่ไปเยี่ยเฉิง เที่ยวเล่นกันสองวันสองคืนยังไม่กลับมา สุดท้ายด้วยความโมโห กุ้ยเฟย[5]สั่งให้แม่ทัพชิงกังส่งทหารม้ารักษาพระองค์ออกไป จึงจับตัวพวกเขากลับมาได้…”
“เจ้าเด็กคนนี้!” ชิงหวังส่ายหน้าหัวร่อ “เรื่องสตรีนี่เก่งนัก”
โหรหลวงยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหลานชายของใต้เท้านี่นา”
“เอาล่ะ เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ” ในที่สุดชิงหวังก็อารมณ์ดีขึ้น โบกมือเอ่ย “รออีกสักพักให้ข้ามีเวลา จะเดินทางไปตี้ตูเพื่อพบไป๋หวัง”
“ขอรับ” โหรหลวงปิดคันฉ่องวารี ภายในห้องพลันมืดลง
ปีหน้าจึงจะมีการแต่งตั้งไท่จื่อเฟย ทว่าเวลานี้ขั้วอำนาจต่างๆ ในราชสำนักเริ่มแก่งแย่งชิงดีกันแล้ว เขาโคลงศีรษะถอนใจ เหลือบมองออกไปข้างนอก
บนยอดหอคอยขาว ลมราตรีพัดโหมรุนแรง พาให้ผืนธงที่ปักลวดลายคาถาโบกสะบัดพึ่บพั่บ ลานกว้างหน้าอารามเทพว่างเปล่า มีเพียงวงแหวนดาราวิถี[6]หมุนอย่างเชื่องช้าบนหอดูดาว คอยสอดส่องดวงดาวทั่วทั้งผืนฟ้า
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง…ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่สุดลานกว้างอันว่างเปล่า คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบกริบ
ชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ที่มา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนหอคอยขาวจยาหลาน ใต้ท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว ชุดสีขาวพลิ้วสะบัด เขากำลังเพ่งมองการเปลี่ยนแปลงของหมู่ดาวเหนือศีรษะผ่านวงแหวนดาราวิถี
นั่น…นั่นต้าเสินกวนนี่?!
โหรหลวงตกใจจนอดลุกขึ้นไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไป กลับเห็นคนผู้หนึ่งถือไม้เท้า เดินกะโผลกกะเผลกขึ้นมาบนหอดูดาว หยุดยืนข้างหลังต้าเสินกวนพลางตบไหล่เขา นั่นคือชายชราอายุราวเจ็ดสิบ เส้นผมและหนวดเคราขาวโพลนปลิวตามลม ในมือถืออวี้เจี่ยน…ไม่คาดว่าจะเป็นต้าซือมิ่งแห่งแคว้นคงซางที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษไม่ค่อยพบปะผู้ใด ทั้งไม่เผยโฉมเป็นเวลานานแล้ว!
เหตุใดจู่ๆ สองคนนี้จึงปรากฏตัวที่นี่ยามวิกาล
โหรหลวงรีบขยับตัวไปตรงหน้าต่าง พยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งคู่ กระนั้นหนึ่งผู้เฒ่ากับหนึ่งผู้เยาว์เพียงยืนอยู่บนยอดหอคอยขาวจยาหลาน เอามือไพล่หลังกลางสายลม มิได้เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว เพียงมองกลุ่มดาวเป๋ยโต่ว[7]ที่กำลังเปลี่ยนตำแหน่งเหนือศีรษะอย่างเงียบงัน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดต้าซือมิ่งก็เอ่ยปาก “เป็นเช่นไร เจ้าก็เห็นแล้วกระมัง”
“ขอรับ” สืออิ่งตอบเสียงเบา “เห็นแล้ว”
“คงซางจะล่มสลาย หายนะครั้งใหญ่จะมาเยือน…โลหิตจะไหลนองเป็นสายน้ำ!” ต้าซือมิ่งใช้อวี้เจี่ยนในมือชี้ไปยังกุยเสีย[8]กลุ่มนั้นที่รางเลือนจนแทบมองไม่เห็น พลางถอนหายใจ “วันสิ้นโลกของชาวคงซางใกล้มาถึงแล้ว! ทว่าตอนนี้ผู้คนในตี้ตูยังเอาแต่แก่งแย่งชิงดีกัน! ราชวงศ์เมิ่งหฺวา? ฮ่าๆ ยังคงฝันกันไม่เลิก[9]!”
อะไรนะ! นี่ต้าซือมิ่งดื่มจนเมาอีกแล้วหรือ โหรหลวงหัวใจกระตุกวูบ
เขาเขย่งปลายเท้า มองจากหน้าต่างไปยังทิศทางที่ต้าซือมิ่งชี้ ผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแปรเปลี่ยน มองเห็นหมู่ดาวชัดเจน แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมใดบนผืนฟ้า กระทั่งเขาอดรนทนไม่ไหวชะโงกหน้ามองออกไปอีกครั้ง ตรงหน้าพลันมืดมิด…ปีกใหญ่มหึมาร่อนลงจากท้องฟ้า กวาดเบาๆ ก็กระแทกจนคนที่กำลังแอบมองสลบเหมือด จะงอยปากแหลมคมจิกหนึ่งที คาบเอาร่างอ่อนปวกเปียกออกมา
“ฉงหมิง ห้ามกิน!” สืออิ่งมุ่นคิ้วน้อยๆ ตวาดสั่งโดยไม่หันไปมอง “วางกลับไป”
วิหคเทพตีปีก คายโหรหลวงที่คาบไว้ในปากออกมาอย่างไม่เต็มใจ โยนกลับเข้าไปทางช่องหน้าต่างพลางส่งเสียงประท้วงกรู๊ๆ
สืออิ่งมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอีกครั้ง พยักหน้ากับต้าซือมิ่ง “ใช่ ผู้น้อยเห็นแล้ว…คำทำนายของท่านแม้จะโหดร้าย แต่กลับแม่นยำโดยมิต้องสงสัย”
ถูกต้อง ในหมู่ดาวเหล่านั้นมีกุยเสียที่ยังคงมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดุจไอหมอกบางเบากลุ่มหนึ่ง แผ่กระจายออกไปอย่างเงียบงัน กุยเสียนี้จะเคลื่อนตัวมาอยู่ระหว่างดาวจักรพรรดิ[10]และดาวเป๋ยโต่วภายในเวลาห้าสิบปี เมื่อกุยเสียอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ตายคืนชีพ ผู้จากหวนคืนปกคลุมผืนแผ่นดิน อวิ๋นฮวงจะตกสู่กลียุคอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์!
“น่าเสียดาย นอกจากต้าเสินกวนแห่งอารามเทพจิ่วอี๋ ทั่วทั้งอวิ๋นฮวงกลับไม่มีคนที่สองที่เห็นด้วยกับข้า” ต้าซือมิ่งแห่งแคว้นคงซางส่ายหน้าหัวเราะ “หึๆ…ทุกคนต่างคิดว่าข้าพูดจาสร้างความตื่นตระหนก แต่ละคนล้วนโง่เขลามืดบอด!”
“อย่าถือสามนุษย์สามัญเหล่านั้นเลย” สืออิ่งค้อมกายจนสุด เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ท่านทุ่มเทความพยายามมาครึ่งชีวิตทำนายผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา ที่เหลือ ให้ข้าเป็นคนจัดการเถิด…”
“เจ้า? เจ้าคิดจะทำอะไร เจ้าจะทำอะไรได้!” ต้าซือมิ่งเหลือบมองผู้เยาว์ตรงหน้า คลี่ยิ้มเย็นชา “หรือเจ้าคิดว่าตนเองสามารถเปลี่ยนวิถีโคจรของดวงดาวได้? น่าขัน! พลังแห่งธรรมชาติและกฎการเวียนว่ายตายเกิดดุจท้องฟ้าอันไพศาล ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถต้านทานได้!”
สืออิ่งค้อมกายเล็กน้อย “ทำให้เต็มที่ ฟังลิขิตสวรรค์ ก็เท่านั้นเอง”
“มั่นใจถึงเพียงนั้นเชียว” ต้าซือมิ่งหัวเราะทีหนึ่งแล้วส่ายหน้า “เช่นนั้นบอกข้าที เจ้าไปซูซ่าฮาหลู่ครั้งนี้ หา ‘คนผู้นั้น’ พบหรือไม่”
สืออิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจตอบ “ไม่พบ”
นิ่งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ข้าสังหารมนุษย์เงือกในซูซ่าฮาหลู่หมดแล้ว แต่กุยเสียกลุ่มนั้นยังคงไม่เลือนหายไป…ดังนั้นจึงได้แต่กลับมาที่หอคอยขาวจยาหลาน ใช้วงแหวนดาราวิถีพยากรณ์ตำแหน่งของเขาในตอนนี้”
“เจ้าหาไม่พบหรอก ลิขิตสวรรค์กำหนดไว้แล้วว่าเขาจะรอดชีวิตอยู่ต่อไป!” ต้าซือมิ่งส่ายหน้า หนวดเคราปลิวไสวท่ามกลางสายลม “ ‘คนผู้นั้น’ คือคนที่สวรรค์เบื้องบนส่งมาแก้แค้นคงซาง เป็นคนที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นผู้ทำลายล้างหกเผ่า นำพาความโกลาหลถึงขั้นบ้านเมืองล่มสลายมาให้…เจ้ากับข้าล้วนมิอาจขัดขวาง!”
“อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ข้าก็จะหาพบแล้ว” เสินกวนกลับมีน้ำเสียงราบเรียบ “ยังมีเวลาอีกหลายสิบปีก่อนที่เหตุการณ์ในคำทำนายจะเกิดขึ้น…ข้าต้องหาพบจนได้”
ต้าซือมิ่งมองเขาเงียบๆ จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
“เจ้า!” เขาเอาอวี้เจี่ยนตบลงบนไหล่สืออิ่ง “เจ้าไม่รู้หรือว่าในตี้ตูแห่งนี้ ทุกคนต่างยื้อแย่งผลประโยชน์ตรงหน้ากันดุจสุนัขบ้า เหตุใดสายตาเจ้ากลับมองไปยังอนาคตที่ยาวไกลถึงเพียงนั้น ใครจะสนใจเหตุการณ์ในอีกหลายสิบปีข้างหน้าที่ยังไม่เกิดขึ้น”
“ข้า” สืออิ่งมิได้ยิ้ม เพียงตอบอย่างสุขุม “หากข้าเป็นเหมือนคนอื่นๆ เอาแต่เสพสุขกับความรุ่งเรืองในยามนี้ เช่นนั้นโลกนี้ยังจะมีเสินกวนและซือมิ่งอย่างพวกเราไปทำไม”
“…” รอยยิ้มบนใบหน้าต้าซือมิ่งแข็งค้าง มองคนหนุ่มผู้นี้อยู่นาน พลันถอนหายใจ “ยี่สิบกว่าปีก่อน ข้าบอกให้ตี้จวินส่งเจ้าไปเขาจิ่วอี๋ เห็นทีจะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง…ข้าเหลือเวลาอีกไม่มาก เมื่อข้าตายไป ทั่วทั้งอวิ๋นฮวงย่อมมีเพียงเจ้าที่สามารถสืบทอดตำแหน่งของข้าได้”
สืออิ่งค้อมกายน้อยๆ “มิกล้า”
ต้าซือมิ่งมุ่นคิ้ว “มีสิ่งใดไม่กล้า ข้าเสนอชื่อเจ้ากับตี้จวินแล้ว”
สืออิ่งหลุบตาลง มองผืนแผ่นดินไกลออกไปเบื้องล่าง จู่ๆ ก็ถอนใจแผ่วเบา “ข้าขอขอบคุณในความเมตตาของต้าซือมิ่ง ไม่ปิดบังท่าน หากการใหญ่นี้ยุติลงได้อย่างราบรื่นปลอดภัย ผู้น้อยอยากเปลื้องชุดคลุมขาวนี้ออก”
“อะไรนะ” ต้าซือมิ่งตกตะลึง “เจ้า..เจ้าไม่คิดจะเป็นเสินกวนแล้วหรือ”
“ขอรับ” สืออิ่งยิ้ม น้ำเสียงแฝงความหมายลึกซึ้ง
สีหน้าของต้าซือมิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าบอกเรื่องนี้กับตี้จวินหรือยัง”
สืออิ่งส่ายหน้า “ยัง ตอนนี้ยังเร็วเกินไป”
“ตี้จวินอาจไม่เห็นด้วย” สีหน้าของต้าซือมิ่งขรึมลง เป็นกังวลอยู่บ้าง “เขาส่งเจ้าไปอารามเทพจิ่วอี๋ตั้งแต่เจ้ายังเด็ก อันที่จริงก็หวังให้เจ้าเป็นเสินกวนที่คอยรับใช้เทพเจ้าไปชั่วชีวิต ไม่หวนคืนสู่ทางโลกอีก…หากเจ้าจะเปลื้องชุดคลุมขาวนี้ออก เกรงว่าเขาคงมีโทสะไม่เบา”
“เขาจะมีโทสะเรื่องใด” สืออิ่งหัวเราะหยัน น้ำเสียงเผยแววเสียดสีที่บาดลึกถึงกระดูก นั่นเป็นสีหน้าท่าทียามที่เขาโกรธจริงซึ่งยากจะแสดงออกมาให้เห็น “ต่อให้ถอดชุดคลุมขาวนี้ออก ข้าก็ไม่มีทางกลับมาชิงบัลลังก์กับน้องชาย…เขาไม่จำเป็นต้องกลัว”
ต้าซือมิ่งหมดคำพูดไปชั่วขณะ
“อีกทั้ง ชีวิตข้าตอนนี้ก็มิใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมบงการได้” น้ำเสียงของสืออิ่งเก็บกลั้นอารมณ์อีกครั้ง เอ่ยอย่างราบเรียบ “เมื่อใดที่ข้าอยากไป ใครก็ขวางไม่อยู่”
ต้าซือมิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “เช่นนั้น…เจ้าไม่เป็นต้าเสินกวนแล้ว คิดจะไปทำอะไร”
“ยังไม่ได้คิดให้แน่นอน” สืออิ่งตอบเสียงเรียบ “ไว้คิดได้เมื่อใด ก็คงถึงเวลาที่ต้องจากไป”
ต้าซือมิ่งเห็นเขาพูดอย่างจริงจัง ก็อดเคร่งขรึมขึ้นไม่ได้ “เมื่อสวมชุดคลุมขาวนี้แล้ว ย่อมไม่อาจเปลื้องออกอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น คิดไปจากเบื้องหน้าองค์เทพ ทำลายสัตย์สาบานที่จะอยู่รับใช้ชั่วชีวิต เจ้าเองก็รู้ว่าต้องแลกกับอะไร! เจ้าตัดสินใจว่าจะรับทัณฑ์สวรรค์อสนีเพลิง พลังวิญญาณสูญสิ้น ทำลายพลังที่ฝึกปรือมาทั้งชีวิตอย่างยากลำบาก กลับไปเป็นปุถุชนทั่วไปอีกครั้งจริงๆ หรือ ธุลีแดง[11]และโลกิยะแห่งนี้มีสิ่งใดควรค่าให้เจ้าทำเช่นนี้!”
เสียงของชายชราแข็งกร้าว แทบจะเป็นตวาด กระนั้นสีหน้าของเสินกวนหนุ่มกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ใต้เท้า ท่านรู้นิสัยข้าดี” สืออิ่งเพียงตอบเสียงเรียบ น้ำเสียงไร้อารมณ์ “เมื่อข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเดินเส้นทางนี้ ต่อให้เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิง ต้องร่างแหลกกระดูกสลาย จะน่ากลัวอันใดเล่า”
“…” ต้าซือมิ่งไม่พูดอะไรอีก มองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันเอ่ยถาม “อิ่ง เจ้าเกิดกิเลสทางโลกใช่หรือไม่”
สีหน้าของสืออิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำถามนี้
“เป็นเช่นนี้จริงๆ!” ต้าซือมิ่งตกใจ แหงนหน้ามองดวงดาวเต็มท้องฟ้า ใบหน้าชราเผยสีหน้ายากจะบรรยายภายใต้แสงดาว “เจ้าช่างเหมือนมารดาของเจ้าเหลือเกิน…เฮ้อ เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ส่งเจ้าไปจิ่วอี๋!”
สืออิ่งมองต้าซือมิ่งอย่างงงงัน ไม่เข้าใจที่เขาพูด
เขารู้ว่าที่ตนถูกตี้จวินส่งไปบำเพ็ญเพียรบนเขาจิ่วอี๋อันห่างไกลตั้งแต่เล็ก อันที่จริงเป็นคำชี้แนะของต้าซือมิ่ง แต่ผ่านมาหลายปี เขาไม่เคยถามชายชราที่เป็นทั้งอาจารย์และสหายผู้นี้เลยว่า คำทำนายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาทั้งชีวิตนี้ ตกลงแล้วเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่
“ช่างเถิด…” ต้าซือมิ่งมองผืนฟ้าที่เกลื่อนไปด้วยดวงดารา ครู่ใหญ่จึงถอนหายใจออกมา “แต่การเป็นเสินกวนก็มิใช่ชะตาของเจ้าจริงๆ…ดวงชะตาของเจ้าไม่ควรเป็นเช่นนี้”
สืออิ่งตัวสั่นสะท้าน มือกำเข้าด้วยกันน้อยๆ
ดวงชะตาของข้า?
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด แม้จะสามารถเห็นอดีตและปัจจุบันได้ทะลุปรุโปร่ง แต่กลับไม่อาจมองเห็นดวงชะตาของตนเองได้…และในอวิ๋นฮวงนี้ ผู้ที่พลังบำเพ็ญเหนือกว่าเขา บุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถเห็นวิถีดวงชะตาของเขาได้ ก็มีเพียงต้าซือมิ่งบนยอดหอคอยขาวผู้นี้เท่านั้น
ชั่วขณะนั้น เขาอยากถามชายชราคนนี้เหลือเกินว่าดวงชะตาของเขาเป็นเช่นไร กระนั้นสุดท้ายเขากลับเงียบ
“อันที่จริงข้าก็เหมือนเจ้า อยากกอบกู้แคว้นคงซางจากหายนะครั้งนี้” ต้าซือมิ่งถอนหายใจ น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง แววตาลุ่มลึกทว่าเหนื่อยล้า “แต่ข้าตรวจดูกระดานดาวทั้งหมดอย่างละเอียด เส้นชะตาเหล่านั้นเกี่ยวพันโยงใยซับซ้อน พัวพันยากจะแก้ได้…หากข้าแตะต้องเส้นชะตาสักเส้น บางทีอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มองไม่เห็น ถึงเวลาจะเป็นลาภหรือเป็นเคราะห์ของคงซาง แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่มั่นใจ…”
เขาหันไปมองสืออิ่ง “เจ้าอยากยื่นมือเข้ามากอบกู้ดวงชะตาของคงซาง แต่รู้หรือไม่ว่าหากล้มเหลว ใต้หล้าจะวุ่นวาย กระดานดาวทั้งหมดจะล่มสลาย?”
“ข้าทราบดี” สืออิ่งหลุบตา “แต่ถึงอย่างไรก็ย่อมดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
“เกรงก็แต่จะไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น” ต้าซือมิ่งส่ายหน้า “เจ้าคิดอะไรง่ายดายเกินไป”
“เช่นนั้น เหตุใดเราไม่ใช้วิธีการของตัวเองลองดูเล่า” สืออิ่งเอามือไพล่หลังมองท้องฟ้า เอ่ยเสียงเรียบ “อุตส่าห์มีพลังฝึกบำเพ็ญทั้งที ย่อมต้องทำคุณประโยชน์ต่อคงซางบ้าง”
“หึ ก็ใช่ เจ้ามีปณิธานสูงส่งถึงเพียงนั้น จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร” ต้าซือมิ่งหัวเราะ น้ำเสียงเรียบเฉย ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือเสียดาย “เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจแบกใต้หล้ามาตั้งแต่เด็ก…”
บนยอดหอคอยขาวจยาหลาน ภายใต้ดวงดาวเต็มท้องฟ้า มีเพียงหนึ่งผู้เฒ่ากับหนึ่งผู้เยาว์ยืนเคียงไหล่กันกลางสายลม แหงนมองท้องฟ้าที่แต่งแต้มด้วยดวงดารา ต่างคนต่างเงียบ ความคิดในใจปั่นป่วนดุจกระแสน้ำถาโถม
“ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปพบตี้จวินสักครั้งเถอะ ระยะนี้ร่างกายเขาไม่ค่อยดีนัก” ผ่านไปนาน ต้าซือมิ่งจึงถอนหายใจออกมา กดเสียงเบาลง “แม้ปากจะไม่พูด แต่ข้ารู้ว่าใจเขาอยากพบเจ้ามาโดยตลอด…พวกเจ้าพ่อลูกไม่ได้พูดคุยกันตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว”
มุมปากของสืออิ่งขยับ ทว่าสุดท้ายยังคงเม้มแน่น
“ไม่จำเป็น” เขาหันไปมองตำหนักจื่อเฉินใต้หอคอยขาว น้ำเสียงนิ่งสงบ “ตอนส่งข้าไปอารามเทพจิ่วอี๋ ในใจเขาน่าจะรู้ดีว่า นับแต่นั้นก็ไม่มีบุตรชายคนนี้อีกแล้ว…เรื่องมาถึงบัดนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่เขาปรารถนา ไยต้องเติมขาให้งู[12]ด้วยเล่า”
เขายกมือขึ้น อวี้เจี่ยนในมือแปรเปลี่ยนเป็นร่ม วิหคเทพฉงหมิงกระพือปีกบินขึ้นมา
ต้าซือมิ่งไม่ได้รั้งเขาไว้ เพียงถาม “เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไรจากวงแหวนดาราวิถี”
“ทิศทางการเคลื่อนที่ของกุยเสีย” สืออิ่งหันหน้าไป ทอดสายตาไปยังเมืองที่ไม่เคยหลับใหลซึ่งตั้งอยู่อีกฟากฝั่งของทะเลสาบคันฉ่อง ใช่แล้ว พลังที่จะส่งผลต่อชะตาบ้านเมืองของคงซางในอนาคตนั้น ตอนนี้กำลังไปก่อตัวรวมกันที่เมืองเยี่ยเฉิง…หากครั้งนี้ไปทัน จะต้องหาตัวเขาพบได้ที่นั่นแน่ๆ
“อยู่ที่เยี่ยเฉิง?” ต้าซือมิ่งส่ายหน้า “ทว่ากระทั่งอีกฝ่ายเป็นชายหรือหญิงเจ้ายังไม่รู้ จะตามหาอย่างไร หรือเจ้าคิดจะสังหารมนุษย์เงือกในเยี่ยเฉิงทั้งหมด?”
สีหน้าของสืออิ่งกลับไม่แปรเปลี่ยน ตอบอย่างเรียบเฉย “หากจำเป็น ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
“…” ต้าซือมิ่งชะงัก พลันหัวเราะเสียงขื่น “นั่นสินะ ข้าลืมไปได้อย่างไร เจ้าไม่ชอบมนุษย์เงือกมาแต่ไหนแต่ไร ถึงขั้นเรียกได้ว่าจงเกลียดจงชังกระมัง สาเหตุเป็นเพราะมารดาเจ้าหรือ”
นิ้วมือที่กำคันร่มบีบแน่นเล็กน้อย สืออิ่งก้มหน้าลง ใช้ร่มบดบังแววตา น้ำเสียงไร้คลื่นอารมณ์ “ขอตัวก่อน ไว้จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับไปยังอารามเทพจิ่วอี๋…ถึงเวลานั้นขอต้าซือมิ่งโปรดบอกตี้จวินให้ลดตัวเสด็จมายังจิ่วอี๋ ช่วยถอดข้าออกจากตำแหน่งเสินกวนด้วย”
“…” ต้าซือมิ่งเงียบงัน ถอนหายใจ “เจ้าไม่คิดจะเป็นเสินกวนอีกแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ช่างเถิด…เฮ้อ เจ้าเตรียมตัวรับความลำบากได้เลย”
“ขอบคุณใต้เท้า” สืออิ่งค้อมกายเล็กน้อย น้ำเสียงนอบน้อม “ผู้น้อยทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว”
“เจ้ามีชีวิตของเจ้า ข้าหรือจะบงการได้ ไปเถิด ไปไขว่คว้าดวงชะตาของเจ้า…” ต้าซือมิ่งถอนหายใจ ใช้อวี้เจี่ยนเคาะไหล่เขาเบาๆ ชี้ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ใต้หอคอยขาว “ลมบูรพาพัดมาแล้ว อีกไม่ไกลแล้วล่ะ”
“น้อมรับคำชี้แนะ” เสินกวนหนุ่มค้อมศีรษะ ร่มขาวในมือหมุนเล็กน้อย
ฉับพลัน ลมสวรรค์พัดกระโชก หมุนวนรอบยอดหอคอยขาว ท่ามกลางลมแรง วิหคขาวสยายปีก โฉบลงมาจากท้องนภาสูงหมื่นจั้ง
หลังจากทั้งสองแยกย้าย บนยอดหอคอยขาวจยาหลาน คนผู้หนึ่งลืมตาขึ้น
โหรหลวงที่แสร้งหมดสติมาโดยตลอดลุกขึ้นอย่างซวนเซ คลึงศีรษะที่เจ็บแปลบ แค่นเสียงฮึดฮัดด้วยความโมโห…วิหคสี่ตาบัดซบนั่นเกือบจะกินข้าเข้าไปแล้ว! เห็นชัดว่าเป็นสัตว์อสูร ไม่รู้ว่าเหตุใดอารามเทพบนเขาจิ่วอี๋ถึงเลี้ยงมันไว้
ทว่าพอคิดถึงคำพูดที่ได้ยินแว่วๆ เมื่อครู่ โหรหลวงก็ไม่สนใจอะไรอีก วิ่งตุปัดตุเป๋กลับห้องของตน เปิดคันฉ่องวารีอย่างสั่นเทา ร้องเรียกชิงหวังที่อยู่อีกด้านและหลับไปแล้ว
“อะไรนะ” ชิงหวังซึ่งอยู่ไกลออกไปหมื่นหลี่ตาสว่างทันใด “สืออิ่งจะออกจากตำแหน่งเสินกวน?”
“ขอรับ! ข้าน้อยได้ยินมากับหู” โหรหลวงพูดเสียงสั่น เล่าความลับอันน่าตกใจที่ได้ยินมาเมื่อครู่ให้อีกฝ่ายฟัง “เขา…เขามีท่าทียืนกราน ถึงขั้นพูดว่าแม้ต้องแลกด้วยทุกสิ่งก็จะออกจากตำแหน่งเสินกวน หวนคืนสู่ทางโลก!”
“จริงรึ” ชิงหวังตะลึงงัน อดสั่นสะท้านมิได้ แววตาเปลี่ยนเป็นดุดัน
โหรหลวงคิดแล้วเอ่ยเสริมว่า “แต่เขาก็บอกต้าซือมิ่งว่า ตนมิได้มีใจช่วงชิงใต้หล้า”
“เขาบอกไม่ช่วงชิงเจ้าก็เชื่อรึ” ชิงหวังแค่นหัวเราะ เอ่ยเสียงกร้าว “เขายอมแลกด้วยราคามหาศาลถึงเพียงนั้นเพื่อถอดชุดคลุมเทพ ไม่เสียดายหากกายทิพย์ต้องถูกทำลายสิ้น บั่นอนาคตตนเอง หากมิใช่เพื่อตำแหน่งสูงสุดทางโลก จะทำไปเพื่ออะไรเล่า! เจ้าหนุ่มนั่นอุบายล้ำลึก จะพูดความจริงกับผู้อื่นรึ น่าขัน!”
โหรหลวงนิ่งงัน ก้มหน้าลง “ขอรับ ข้าน้อยความคิดตื้นเขิน”
“น่าโมโห…น่าโมโหนัก!” ชิงหวังพึมพำอย่างเข่นเขี้ยว “สุดท้ายเขายังคงจะกลับมา!”
ผ่านมายี่สิบกว่าปี ในที่สุดเรื่องที่เขากังวลมากที่สุดก็เกิดขึ้น…คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและเร้นกายไม่ข้องแวะทางโลก ในที่สุดยังคงหวนกลับมา!
ในฐานะบุตรคนโตสายตรงของไป๋เยียนหวงโฮ่ว ไม่ว่าด้วยสายเลือด ด้วยความสามารถ หรือขุมกำลังของวงศ์ตระกูลเบื้องหลัง สืออิ่งแทบไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ เหนือกว่าสืออวี่ที่ถือกำเนิดจากชิงเฟยเป็นร้อยเท่า หากมิใช่เพราะการตายของนางขับร้องชิวสุ่ยในอดีตทำให้ตี้จวินพานโกรธไปถึงเขา บัดนี้ผู้สืบทอดแผ่นดินอวิ๋นฮวงทั้งหกทิศต้องเป็นคนผู้นี้อย่างแน่นอน
ในฐานะบุตรคนโตสายตรงที่สูญเสียความรักใคร่จากบิดา สืออิ่งถือกำเนิดได้ไม่นานก็ถูกส่งไปเขาจิ่วอี๋ ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏตัวในสายตาของเหล่าราชสกุลและหกหวังเลย นับตั้งแต่ไป๋เยียนหวงโฮ่วจากไป เขาก็ยิ่งห่างไกลจากทางโลก ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ค่อยพูดจา ส่งผลให้ผู้สูงศักดิ์หลายคนในหกเผ่าค่อยๆ ลืมเลือนตัวตนของเขาไปทีละน้อย…รวมถึงตนด้วย นี่มิเท่ากับประมาทคนผู้นี้มาโดยตลอดหรือ
แต่ใครเล่าจะคิดว่า คนที่ถูกขับออกจากศูนย์กลางอำนาจตั้งแต่เล็กผู้นี้ เมื่อเขาไม่อยากอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกของอารามเทพอย่างเดียวดายไปจนตาย เมื่อเขาคิดจะหวนคืนสู่ตำหนักจื่อเฉินเพื่อกุมอำนาจ จะก่อให้เกิดลมมรสุมลูกใหญ่เพียงใด!
“เฮ้อ…ตัดหญ้าไม่ถอนโคน ลมวสันต์พัดมาย่อมหวนคืน” ชิงหวังคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกยุ่งยากใจเหลือเกิน “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ควรฆ่าเจ้าเด็กนี่ให้ตายตั้งแต่ตอนอยู่ที่เหวชางอู๋!”
“หวังเยียโปรดบรรเทาโทสะ” โหรหลวงเอ่ยเสียงเบา “ครั้งนั้นเราก็ทำสุดกำลังแล้ว…แต่เด็กคนนี้ดวงแข็งนัก”
“ตอนนี้ก็ยังทันอยู่” ชิงหวังพึมพำ พลันเอ่ยว่า “ตอนนี้เขายังอยู่ตี้ตูหรือไม่”
“ดูเหมือนบอกว่าจะไปเยี่ยเฉิง จากนั้นค่อยกลับไปที่จิ่วอี๋” โหรหลวงส่ายหน้า “ใช่แล้ว เขาบอกว่าจะเตรียมพิธีพ้นจากตำแหน่งเสินกวนอย่างเป็นทางการที่อารามเทพจิ่วอี๋”
“อะไรนะ เขาจะออกจากตำแหน่งต้าเสินกวนเร็วถึงเพียงนี้เชียว” แววตาของชิงหวังคมกริบ คลี่ยิ้มเย็นเยียบ “หึ บทจะเลิกก็เลิกทันที คิดจะย้อนกลับมาตี้ตูเช่นนั้นรึ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเด็กนี่สมใจเป็นอันขาด!”
“ขอรับ” โหรหลวงรับคำเสียงค่อยอย่างหนักอกหนักใจเช่นกัน “หากต้าเสินกวนกลับมา สถานการณ์ย่อมยุ่งยาก…อีกทั้งระยะนี้พระวรกายของตี้จวินก็ไม่สู้ดีนัก”
“ถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว หากไม่ระวัง ความพยายามตลอดหลายปีของเราย่อมสูญเปล่าทั้งหมด” ชิงหวังกดเสียงเบาลง น้ำเสียงจริงจัง “บอกให้ชิงเฟยจับตาดูตี้จวินไว้ให้ดี คอยดูต้าซือมิ่งไว้ด้วย หากเกิดการเปลี่ยนแปลงให้รีบแจ้งข้าทันที…บุตรชายข้าชิงกังกำลังนำทหารม้าไปปราบกบฏที่เยี่ยเฉิง กองกำลังกู้แคว้นนั้นไม่เท่าไร แต่ไป๋หวังท่าทีคลุมเครือไม่ชัดเจน เจ้าบอกให้เขาระวังเจ้าหนุ่มปากหวานใจคดไป๋เฟิงหลินนั่นให้ดี!”
โหรหลวงรับคำสั่ง “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา”
“อีกอย่าง รีบตามตัวหวงไท่จื่อกลับมาโดยเร็ว ไฟจะลามขนคิ้วอยู่แล้ว ยังเอาแต่หาความสำราญอยู่ข้างนอก!” ชิงหวังขุ่นขึ้ง “หากเขามิใช่หลานชายแท้ๆ ของข้า คนไม่เอาถ่านเช่นนี้ ข้าไม่อยากสนับสนุนเลยจริงๆ!”
“ขอรับ” โหรหลวงรีบรับคำ “ชิงเฟยส่งคนออกไปตามหาตั้งนานแล้ว น่าจะเหมือนครั้งก่อนๆ หนีออกไปเที่ยวเล่นสักสิบวันครึ่งเดือนก็กลับมาเอง”
“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน!” ชิงหวังเอ่ยด้วยน้ำเสียงแค้นที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า[13] “ตี้จวินประชวรหนัก อันตรายรอบด้าน ไหนเลยยังปล่อยให้เขาเที่ยวเล่นไปทั่วได้อีก”
เขาทิ้งคำพูดไว้ก่อนปิดคันฉ่องวารี “ทางต้าเสินกวน ข้าจะคิดหาวิธีเอง”
เมื่อบทสนทนากับคันฉ่องวารียุติลง ชิงหวังเงยหน้าขึ้นในจวนหวัง
ที่แห่งนี้คือดินแดนศักดินาของเผ่าชิง กลางดึก ณ เมืองจื่อไถอันเป็นเมืองเอกของเขตจิ่วอี๋ ในจวนชิงหวังเงียบสงัด เงาไม้นอกหน้าต่างส่ายไหว ดวงจันทร์เย็นเยียบลอยอยู่เหนือยอดเขาสูงๆ ต่ำๆ ไกลออกไป เขาจิ่วอี๋ราวกับภาพวาดน้ำหมึกสีขาวดำ ดูสูงตระหง่านโดดเด่นภายใต้ผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นแสงไฟในอารามเทพบนยอดเขาได้เลือนราง
ชิงหวังอยู่ในคฤหาสน์ ทอดสายตาไปไกลมองอารามเทพที่ตั้งอยู่บนยอดเขาจิ่วอี๋ ไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ แววตาค่อยๆ เปลี่ยนไป ถอนหายใจแผ่วเบา “เจ้าหนุ่มสืออิ่งผู้นั้นถึงขั้นจะเปลื้องชุดคลุมเทพหวนคืนสู่ตี้ตูอย่างนั้นรึ เลี้ยงพยัคฆ์เป็นภัยแท้ๆ”
“ชิงหวังนึกเสียใจภายหลังแล้วหรือ” พลันมีเสียงหนึ่งเอ่ยถามเบาๆ
“ใคร” ชิงหวังหันขวับ เห็นเงาคนปรากฏในห้องตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้
“องครักษ์จวนชิงหวังช่างหละหลวมนัก…ชาวคงซางมีความสามารถเพียงแค่นี้เองหรือ” คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำ นัยน์ตาสีฟ้าทอประกายในเงามืด น้ำเสียงและรูปลักษณ์ชัดเจนว่ามิใช่ชาวคงซาง เขาหัวเราะเบาๆ “ข้าทะลุผ่านเรือนสามชั้น[14]มาได้อย่างราบรื่น ไม่มีองครักษ์รู้ตัวเลยสักคน”
“อูหลี่?” ชิงหวังอึ้งไป พลันจำผู้ที่มาได้
ผู้สวมชุดคลุมดำลึกลับที่มาเยือนยามวิกาลผู้นี้ คือคนของเผ่าน้ำแข็งแห่งทะเลประจิม! ชนเผ่าที่ถูกซิงจุนตี้ขับไล่ออกจากผืนแผ่นดินใหญ่เมื่อเจ็ดพันปีก่อน เขาแฝงกายเข้ามาในอวิ๋นฮวงอย่างลับๆ ตั้งแต่เมื่อไร
“ไม่พบกันนาน” คนผู้นั้นดึงหมวกกันลมที่ติดกับชุดคลุมดำออก เขามีเรือนผมสีทองเข้มโดดเด่น รูปลักษณ์แตกต่างจากชาวคงซางโดยสิ้นเชิง “ห้าปีก่อนหลังจากภารกิจแรกล้มเหลว เราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย”
“…” ชิงหวังมิได้ตอบ เพียงมองผู้มาอย่างระแวดระวัง เอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นวันนี้เหตุใดจู่ๆ เจ้าจึงปรากฏตัวที่นี่ แคว้นชางหลิวคิดจะทำอะไร”
“ข้า?” อูหลี่หัวเราะ หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือเป็นป้ายคำสั่ง บนนั้นมีตรารูปครุฑสองหัว เปล่งประกายวาววับใต้แสงจันทร์ “ข้าได้รับมอบหมายจากสภาอาวุโสให้มาช่วยท่าน”
“ป้ายคำสั่งครุฑสองหัว?” ชิงหวังรู้ว่านั่นคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดของแคว้นชางหลิว ดวงตาหรี่ลง “นับตั้งแต่ภารกิจครั้งนั้นเมื่อห้าปีก่อน ข้ากับสภาอาวุโสก็ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว”
“ใช่” เสียงของอูหลี่ราบเรียบยิ่ง “แต่ตอนนี้สถานการณ์ของคงซางกำลังเปลี่ยนไป ด้วยกำลังของท่านเพียงคนเดียว เกรงว่าคงมิอาจควบคุมสถานการณ์ได้ หรือท่านไม่อยากให้มีคนช่วยอีกแรง”
“ใครบอกกัน” ชิงหวังคลี่ยิ้มเย็นชา “น้องสาวข้ายังคงกุมอำนาจฝ่ายใน สืออวี่ยังคงเป็นหวงไท่จื่อ…แผ่นดินอวิ๋นฮวงนี้กำลังจะเป็นของเผ่าชิงแล้ว!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านต้องทอดถอนใจว่าเลี้ยงพยัคฆ์เป็นภัยด้วยเล่า” อูหลี่เอ่ยเสียงเรียบ “สืออวี่ยังมีพี่ชายอีกคนมิใช่หรือ ระยะนี้ดวงดาวของเขาสุกสว่างมากขึ้นทุกที อยู่บนทะเลประจิมยังเห็นรัศมีของเขาได้…ข้ามาก็ด้วยเหตุนี้”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงสืออิ่ง ชิงหวังพลันเงียบ
“หากพวกเจ้าช่วยข้าได้ เด็กนั่นควรตายไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว” ผ่านไปครู่ใหญ่ ชิงหวังก็พึมพำพลางส่ายหน้า “ตอนที่เขายังเป็นเพียงเซ่าเสินกวน เราเคยร่วมมือกันซุ่มโจมตีเขาในป่าแห่งฝันร้าย…พวกเจ้าส่งอูเผิงออกมา แต่ยังคงปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้!”
“ใครจะคิดว่าเด็กนั่นตกลงไปในเหวชางอู๋แล้วกลับไม่ตาย” อูหลี่เอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงเย็นเยียบ “ตอนนั้นหากลงมืออีกครั้งก็คงดี…แต่พอเราจะลงมืออีกครั้ง ท่านกลับห้ามไว้”
“ตอนนั้นจู่โจมครั้งแรกไม่สำเร็จ ข้าเกรงว่าลงมืออีกครั้งจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้ไป๋หวังรู้ตัว” ชิงหวังนิ่วหน้า “อีกประการ ช่วงที่เขาตกลงไปในเหวชางอู๋และหายสาบสูญไปนั้น ตี้จวินก็ฟังคำของน้องสาวข้า แต่งตั้งสืออวี่เป็นหวงไท่จื่อแล้ว สถานการณ์ถูกกำหนดแน่นอน แผนการลุล่วง…กอปรกับเจ้าหนุ่มผู้นี้ทำตัวเป็นผู้อยู่พ้นโลก ดังนั้นข้าจึงเกิดเมตตาชั่วขณะ ไว้ชีวิตเขา”
“ยามนี้เสียใจภายหลังแล้วกระมัง” อูหลี่หัวเราะ เผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะ “พึงรู้ว่าความสามารถของสืออิ่ง เหนือกว่าหลานชายไม่เอาไหนคนนั้นของท่านมาก!”
ชิงหวังมิได้ปฏิเสธคำวิจารณ์ทิ่มแทงเช่นนี้ เพียงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เรื่องมาถึงบัดนี้ แคว้นชางหลิวส่งเจ้าเดินทางไกลนับพันหลี่มาเยาะหยันข้าอย่างนั้นรึ”
“แน่นอนว่ามิใช่” อูหลี่เก็บรอยยิ้มทันที เอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “เผ่าน้ำแข็งยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับท่าน หวังจะได้เห็นท่านครองใต้หล้า…ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีใจอยากฟื้นฟูมิตรภาพระหว่างเราหรือไม่”
“…” ชิงหวังสูดหายใจ เงียบงันไป ไม่ประสงค์จะพูดอะไรกับทูตต่างเผ่าผู้นี้ไปมากกว่านี้ เอ่ยเพียง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ให้ข้าใคร่ครวญดูก่อนค่อยให้คำตอบเจ้าแล้วกัน”
“ได้” อูหลี่ไม่ได้ฝืนใจโน้มน้าวเขาต่อ ทิ้งป้ายคำสั่งครุฑสองหัวในมือไว้ “ข้าจะอยู่ที่เดิมที่ริมบึงอวิ๋นเมิ่งสามเดือน รอฟังข่าวจากท่าน หากท่านตัดสินใจได้แล้ว ก็นำป้ายคำสั่งนี้มาแจ้งข้า”
“ไม่ส่ง” ชิงหวังเอ่ยเสียงเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
รอจนผู้มาจากไป เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง โยนป้ายคำสั่งครุฑสองหัวนั่นเข้าไปในส่วนลึกของลิ้นชัก ไม่เหลือบแลอีก
พวกเผ่าน้ำแข็งเหิมเกริมเหล่านี้ ไม่รู้ไปได้ข่าวมาจากที่ใด รู้ว่าอำนาจการปกครองในคงซางกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงกับเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ข้า! ตอนนี้แม้ทางสืออิ่งจะมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ แต่เผ่าชิงยังกุมอำนาจไว้ในมือ จะรับปากข้อเรียกร้องพิลึกพิลั่นของพวกนั้นง่ายๆ ได้อย่างไร
[1] “เน่ยตาน” เกี่ยวข้องกับการเล่นแร่แปรธาตุภายในเพื่อการฝึกบำเพ็ญ ตามแนวติดของลัทธิเต๋า
[2] เห็ดซงหรงคือ เห็ดมัตสึทาเกะ นกกระทาไผ่คือ Chinese Bamboo Partridge
[3] เหยี่ยวพันธุ์หนึ่งของชนกลุ่มน้อย มีร่างกายแข็งแรงที่สุดและบินได้ไกลที่สุด
[4] คำเรียกโอรสของกษัตริย์ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท
[5] ลำดับศักดิ์ของสตรีในวังสมัยโบราณ รองจากหวงโฮ่วและหวงกุ้ยเฟย
[6] Armillary sphere เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการพยากรณ์ท้องฟ้าในสมัยโบราณ ลักษณะเป็นวงแหวนจำลองตำแหน่งดวงดาว ใช้กำหนดทิศทาง ทั้งเส้นระนาบและเส้นศูนย์สูตรของเทหวัตถุต่างๆ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาว และดาวเคราะห์ ทั้งยังเป็นเหมือนนาฬิกาบอกเวลาของดาวต่างๆ เป็นวัตถุโบราณทรงคุณค่าทั้งทางวัฒนธรรมจีนโบราณ และทางวิทยาศาสตร์
[7] กลุ่มดาวคันไถ ชาวจีนมองว่ามีลักษณะเหมือนกระบวยขนาดใหญ่
[8] ชื่อลักษณะทางดาราศาสตร์ ตามตำราดาราศาสตร์จีนกล่าวว่า “คล้ายดาวแต่มิใช่ คล้ายเมฆแต่มิเชิง มีชื่อว่ากุยเสีย กุยเสียปรากฏขึ้นเมื่อใด ย่อมมีผู้หวนคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน”
[9] คำว่า “เมิ่งหฺวา” แปลว่า ความฝันอันสวยหรู
[10] ดาวจักรพรรดิ หรือ “ตี้ซิง” มีอีกชื่อว่าดาวจื่อเวย เป็นตัวแทนของโชคลาภหรือเคราะห์ภัยของกษัตริย์
[11] ธุลีแดง หมายถึงโลกมนุษย์ที่ยังข้องเกี่ยวกับทางโลก
[12] หมายถึง การทำสิ่งเกินจำเป็น มีแต่จะก่อให้เกิดผลเสีย
[13] หมายถึงคนที่คาดหวังไว้ไม่ก้าวหน้าหรือไม่ได้ดั่งใจ จึงร้อนใจอยากให้อีกฝ่ายพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น