[ทดลองอ่าน] กลยุทธ์การเอาตัวรอดของตัวเบี้ยผู้กลับมาเกิดใหม่ บทที่ 6

กลยุทธ์การเอาตัวรอดของตัวเบี้ยผู้กลับมาเกิดใหม่
炮灰重生自救攻略

 

ผูเถาหย่างเล่อตัว เขียน
葡萄养乐多

จิงจิง แปล

 

— โปรย —

ชาติก่อน เย่หนานถูกจับให้แต่งงานเป็นชายารองแทนพี่สาว สุดท้ายสามีสั่งขังและพระชายาเอกก็หยิบยื่นยาพิษให้จนเขาตายในคุก ชาตินี้เขาจึงตั้งใจจะแก้แค้น! เป้าหมายของเขาคือ ฉู่เซียวหรัน ผู้เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง!

ช่างเถอะๆ เขาคงฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้หรอก งั้นต้องหนี! หนีไปให้ไกลจะได้ไม่ต้องพบคนใจทรามผู้นั้นอีก

แต่ยังไม่ทันจะเก็บผ้าผ่อน คนใจทรามที่ว่าก็มาสู่ขอเขาถึงจวนเสียแล้ว เดี๋ยวนะ มาสู่ขอเขา ไม่ใช่พี่สาวของเขาหรอกเหรอ!

เหตุใดชาตินี้เซ่อเจิ้งอ๋องผู้เคยเย็นชาจึงทำตัวแปลกนักเล่า เย่หนาน “ท่านป่วยหรือ”

ฉู่เซียวหรัน “เราป่วยหนัก ไม่เจอพระชายาเพียงหนึ่งเค่อ หัวใจก็เจ็บปวดราวถูกมีดจ้วงแทง พระชายาช่วยรักษาเราได้หรือไม่” เย่หนาน “ฉู่เซียวหรัน ท่านจะทำอะไร! นี่มันห้องหนังสือ หากผู้อื่นมาเห็นเข้าจะทำเช่นไร!”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 6
หนีงานอภิเษกสมรส

 

เพียงชั่วพริบตางานฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านอัครมหาเสนาบดีก็มาถึง เย่หนานเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ เรียบร้อยแล้ว วันนี้ผู้คนมากหน้าหลายตา เหมาะแก่การเผ่นหนียิ่งนัก! ถึงเวลานั้นค่อยลากพี่สี่หนีออกมาพร้อมกัน เมื่อหนีออกไปจากสถานที่เจ้าปัญหาแห่งนี้ได้ เขาก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียที

ยามเช้าตรู่ เย่หนานได้ยินเสียงเคาะประตูหลังจากตื่นนอนไม่นาน “อาหนาน เจ้าตื่นหรือยัง ข้าเอาเสื้อผ้ามาให้เจ้า อาหนาน”

เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงของพี่สี่ เย่หนานก็ผุดลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที

ในมือพี่สี่ถือชุดสีฟ้าอ่อนดุจน้ำทะเลสาบ เย่หนานไม่ชอบเสื้อผ้าสีเข้ม ชอบแต่สีฟ้าอ่อนเช่นนี้หรือสีเขียวอ่อนของต้นถั่วเท่านั้น

“ขอบคุณพี่สี่ ชุดนี้สวยกว่าชุดตัวก่อนของข้ามาก อีกทั้งพี่สี่ยังตัดเย็บให้เองกับมือ งดงามเพียงนี้ข้าคงทำใจสวมใส่ไม่ลงหรอก” เย่หนานมักแสร้งทำตัวเป็นเด็กดีกับเย่เสวียนพี่สาวลำดับที่สี่เสมอ

เขากล่าวชื่นชมชุดนี้อยู่พักหนึ่ง เอ่ยชมทุกอย่างตั้งแต่สีสันจรดเนื้อผ้าแล้วเลยไปถึงฝีมือตัดเย็บ รังสรรค์วาจาสวยหรูที่ตนพอรู้มาใช้จนหมด เย่เสวียนที่ได้ฟังถึงกับหัวเราะยกใหญ่

“เอาละๆ หยุดป้อยอข้าได้แล้ว เจ้าลองสวมดูเร็วเข้า”

เย่เสวียนช่วยเขาเปลี่ยนสวมชุดใหม่ ชุดนี้เหมาะกับเขามาก บุรุษหนุ่มผิวขาวภายใต้เสื้อผ้าสีอ่อนยิ่งช่วยขับผิวพรรณให้ดูขาวผ่อง ผมสีดำขลับถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง เครื่องหน้างดงามอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนัยน์ตาดอกท้อคู่นั้น เผยแววตาใสเปล่งประกาย อีกทั้งยังมีไฝสีดำเม็ดเล็กๆ ตรงหางตาช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้เขามากขึ้น

“ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยรู้เลยว่าอาหนานของเราหน้าตางดงามบาดใจปานนี้” เย่เสวียนเพ่งมองพินิจใบหน้าเย่หนาน “หากเป็นสตรีอาจได้รับการขนานนามว่าเป็นสตรีงามล่มเมืองโดยแท้ไปแล้ว”

เย่หนานขัดเขินเล็กน้อยเมื่อเย่เสวียนกล่าวชม จริงอยู่ที่ตนรูปโฉมงดงาม กระนั้นคำว่างดงามบาดใจจะใช้เปรียบเปรยบุรุษได้อย่างไร

“พี่สี่ ต่อไปหากมองบุรุษอย่ามองที่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวเชียว บุรุษที่รูปร่างหน้าตาดีชอบหลอกลวงสตรีแสนซื่อแบบท่านเป็นที่สุด”

“เจ้าก็ดีแต่พูด” เย่เสวียนดีดหน้าผากเย่หนานหนึ่งหน ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าว

“ที่ข้าพูดก็เพื่อพี่สี่นะ พี่สี่ยังมาตีข้าอีก ฮือๆๆ” เย่หนานลูบหน้าผากป้อยๆ แล้วดึงแขนเสื้อเย่เสวียนพลางแสร้งทำตัวน่าเอ็นดู

“เอาเถิดๆ รีบไปโถงรับรองส่วนหน้าได้แล้ว อีกประเดี๋ยวแขกเหรื่อคงมากันอุ่นหนาฝาคั่ง หากให้แขกมารอเจ้าบ้านคงดูไม่ดี”

“พี่สี่…ถ้าข้าจะพาท่านออกจากจวนอัครมหาเสนาบดี ท่านอยากไปกับข้าหรือไม่” เย่หนานรั้งเย่เสวียนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเอาไว้

เย่เสวียนเหลียวกลับมามองเขา แย้มยิ้มบางเบางามพริ้ง “อืม…หากอาหนานมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญอันใด ข้าย่อมยินดีไปกับเจ้า”

“หากไปแบบไม่กลับมาเลยเล่า พี่สี่ยังอยากไปอยู่หรือไม่” เย่หนานเผยสีหน้าจริงจัง

“เหตุใดถึงต้องไปหรือ เกิดเรื่องอะไรถึงขั้นต้องหนีลับไม่กลับมา” เย่เสวียนไม่ค่อยเข้าใจคำถามของเย่หนานนัก

“ไม่มีอะไร ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” เย่หนานยิ้มกลบเกลื่อนเล็กน้อย

“วันๆ เอาแต่คิดเลอะเทอะไปเรื่อย ข้าก็นึกว่าเจ้าไปทำผิดร้ายแรงมาเสียอีก! ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด หากเจ้าไปทำความผิดอันใดมาก็ต้องบอกกล่าวพี่ด้วย ถึงพี่จะอ่อนแอ แต่คงพอช่วยเหลือเจ้าได้บ้าง”

“ขอรับ”

เย่หนานสาบานกับตนเองในใจ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาจะต้องพาเย่เสวียนไปจากสถานที่บ้าบอแห่งนี้ให้จงได้ ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ เย่เสวียนจะหนีไปกับเขาโดยไม่รู้เรื่องเลยก็คงไม่ได้ แต่หากบอกนางไปตามตรงว่าตนกลับมาเกิดใหม่ ตนจึงล่วงรู้อันตรายที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เย่เสวียนจะเชื่อหรือไม่

 

**********

 

เมื่อมาถึงงานเลี้ยง เย่หนานหย่อนกายนั่งในบริเวณที่จัดไว้ให้ ที่นั่งของเขาช่างห่างไกลนัก เขามองดูฮูหยินใหญ่ลากคุณชายใหญ่เย่อี้หยางไปต้อนรับแขกเหรื่อบริเวณหน้าประตู ใบหน้าเจือรอยยิ้มช่างดูจอมปลอมเสียจริง งานเลี้ยงครานี้มีคุณชายใหญ่คอยรับแขก คุณชายสามเป็นฝ่ายรับผิดชอบจัดงาน มีเพียงคุณชายห้าที่นั่งว่างงานหลบมุม ซึ่งก็สบายดีเหมือนกัน

“ใต้เท้าหลี่รองเจ้ากรมอาญามอบถ้วยกระเบื้องเคลือบหนึ่งคู่ รองเจ้ากรมพิธีการมอบไข่มุกราตรีหนึ่งเม็ด แม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือฉินหมิงอวี่มอบหรูอี้หยก[1]หนึ่งชิ้น…” ข้ารับใช้หน้าประตูอ่านต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

เมื่อได้ยินชื่อของฉินหมิงอวี่ เย่หนานถึงกับหันขวับไปมองที่หน้าประตูโดยไม่รู้ตัว ฉินหมิงอวี่ในชุดสีดำปักลายดอกอี้หลาน[2]สีทองสนิม ห้อยจี้หยกสีขาวไว้ข้างเอว ช่างดูเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม

“ท่านแม่ทัพช่างรูปลักษณ์สง่างามและมีจิตใจสูงส่งจริงๆ” อาฉงเอ่ยกระซิบ

“แต่หาได้รูปงามไปกว่าคุณชายของข้าไม่” เสี่ยวเถากล่าว

“ท่านแม่ทัพมาแล้ว!”

“ดูสิๆ” ลูกสาวตระกูลขุนนางด้านข้างจำนวนหนึ่งยกปลายแขนเสื้อขึ้นป้องปากขณะเอ่ย

ฉินหมิงอวี่พยักหน้าเป็นนัยให้เย่หนาน เย่หนานจึงลุกขึ้นรับของขวัญแล้วนั่งลงอีกครั้ง

“ฝ่าบาทกับเซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จแล้ว” คนในห้องโถงพากันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปอีกฝั่ง

“ขอฮ่องเต้มีพระชนมายุยิ่งยืนนานหมื่นๆ ปี”

“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้น้อยในฉลองพระองค์สีเหลืองกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนเยาว์ พระองค์จูงมือองค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนอย่างฉู่เซียวหรันเดินเข้าไป ไม่คิดว่าฉู่เซียวหรันเองก็จะสวมฉลองพระองค์สีฟ้าเช่นกัน เพียงแต่ฝีมือการปักลวดลายประณีตกว่ามาก เพราะอย่างไรก็เป็นถึงท่านอ๋อง

“ฝ่าบาท ท่านอ๋อง เชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอัครมหาเสนาบดีแสดงท่าทีนอบน้อม โค้งตัวเชื้อเชิญเป็นนัยๆ ให้พวกเขาไปนั่งด้านหน้าสุด

ฉู่เซียวหรันชำเลืองมองเย่หนานที่นั่งอยู่มุมห้องแวบหนึ่ง ก่อนจะจูงมือฮ่องเต้ให้ไปนั่งในตำแหน่งด้านหน้าสุด

“เซ่อเจิ้งอ๋องมอบช้างหยกสีขาวหนึ่งตัว กระถางธูปแกะสลักนกอินทรีหนึ่งใบ ผ้าไหมเจียงหนานจำนวนหลายพับ เครื่องประดับเงินและทองจำนวนหนึ่ง” ร่ำรวยเสียเหลือเกิน

บรรดาแขกเหรื่อพากันหย่อนตัวลงนั่ง

เย่อวิ๋นข่ายยกจอกสุราขึ้น “วันนี้ฮ่องเต้และท่านอ๋องเสด็จมาถึงจวนอันต่ำต้อยของกระหม่อม รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก กระหม่อมขอถวายสุราจอกนี้แด่ฝ่าบาทและท่านอ๋องเพื่อแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และกระหม่อมขอดื่มหมดจอกเพื่อถวายความเคารพพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากกล่าวจบก็กระดกสุราในจอกดื่มรวดเดียวจนหมด

“วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของใต้เท้า เราควรเป็นฝ่ายดื่มให้ถึงจะถูก ขอให้ท่านอายุยืนยาวดุจดั่งขุนเขาหนานซาน” กล่าวจบฉู่เซียวหรันก็แหงนหน้ากระดกสุราในจอก

“เราไม่สันทัดการดื่มเท่าใดนัก เช่นนั้นจะขอยกน้ำชาแทนสุราให้ใต้เท้าแล้วกัน”

แม้ว่าฮ่องเต้น้อยยังทรงพระเยาว์ กระนั้นก็ยังปฏิบัติตัวได้น่านับถือสมเป็นฮ่องเต้ มองไม่ออกเลยว่าฉู่เซียวหรันจะอบรมสั่งสอนเด็กน้อยได้ดีเพียงนี้

หลังจากอัครมหาเสนาบดียกสุราแสดงความเคารพเรียบร้อย แขกแต่ละคนในงานจึงเริ่มยกสุราให้แก่กัน

เมื่อเย่อี้หยางยกจอกสุราแสดงความเคารพฝ่าบาทกับท่านอ๋องแล้ว ก็มีขุนนางชั้นผู้น้อยจอมสอพลอปรี่เข้ามาหากลุ่มใหญ่

“อี้หยาง เจ้าดื่มให้น้อยๆ หน่อย” ฉินหมิงอวี่แย่งจอกสุรามาจากเย่อี้หยาง

“ส่งมาให้ข้า เจ้าจะกำกับข้ามากมายเพียงนั้นทำไมกัน” เย่อี้หยางเอื้อมมือหมายจะแย่งจอกสุราคืน “ฉินหมิงอวี่ เอาคืนมาให้ข้า”

“อี้หยาง เจ้าคออ่อน ข้าจะดื่มแทนเจ้าเอง” ฉินหมิงอวี่ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด

“เจ้าห้ามดื่มอีก ข้าจะดื่มแทนเจ้าเอง หากเจ้าดื่มเข้าไปมากๆ เดี๋ยวจะไม่สบายและกินข้าวไม่ลงไปหลายวันอีก” ฉินหมิงอวี่เอ่ยกระซิบ

คนที่มายกสุราให้ล้วนโดนเขาขัดขวางทั้งหมด เย่อี้หยางที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยวาจาใดๆ เพียงแจกรอยยิ้มรับแขกเท่านั้น

เห็นทุกคนกำลังรื่นเริงสนุกสนานโดยไม่มีผู้ใดสนใจเขา เย่หนานจึงวางแผนจะหลบหนีออกไป ทว่าขณะลุกขึ้นกลับได้ยินเสียงที่เขาเกลียดแสนเกลียด

“คุณชายน้อยเย่ งานเลี้ยงยังไม่เลิกราจะไปไหนเสียแล้วเล่า” เย่หนานตกใจ ฉู่เซียวหรันมานั่งข้างๆ ตั้งแต่เมื่อใดกัน

ได้ยินประโยคนี้ของฉู่เซียวหรัน ทั่วทั้งห้องโถงต่างเพ่งมองมายังเย่หนานเป็นตาเดียว เย่หนานทำได้เพียงยิ้มเจื่อนแล้วนั่งลง

“ไม่ทราบว่าคุณชายเย่จะคืนเงินค่าอาหารที่ยืมเราไปได้เมื่อใด” ฉู่เซียวหรันยกจอกสุราขึ้นจิบ จากนั้นมองจ้องเย่หนานด้วยใบหน้าที่ผุดรอยยิ้มร้ายกาจ

“ข้าไปยืมเงินท่านตั้งแต่เมื่อใด” เย่หนานทำสีหน้างุนงง

“คุณชายจวนอัครมหาเสนาบดีชอบชักดาบแบบนี้เป็นปกติหรือ คราวที่แล้วเจ้าไปกินอาหารที่หอจุ้ยเซียนของเราแล้วยังไม่จ่ายเงิน ตอนนี้จะไม่ยอมรับเช่นนั้นหรือ”

ฟังมาถึงตรงนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีก็ดีดตัวลุกขึ้นทันที “บุตรชายกระหม่อมล่วงเกินท่านอ๋องโดยไม่รู้ตัว ขอท่านอ๋องโปรดประทานอภัย เงินที่ลูกชายกระหม่อมยืมท่านไป กระหม่อมจะชดใช้ให้สองเท่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านไม่ต้องคืนหรอก เราต้องการให้เขาคืนด้วยตนเอง เบี้ยเลี้ยงประจำเดือนของคุณชายจวนอัครมหาเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่มีไม่ถึงสิบตำลึง ขนาดค่าอาหารก็ยังจ่ายไม่ได้ ผู้ใดไม่รู้คงนึกว่าท่านปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม”

“จิ่นเซวียน หมายความว่าอย่างไร” เย่จิ่นเซวียนรับหน้าที่จ่ายเบี้ยประจำเดือนภายในจวน ทุกครั้งที่ถึงเวลาจ่ายเบี้ยนางมักอ้างเหตุผลลดเบี้ยเสมอ

“ด้วยต้องฉลองวันคล้ายวันเกิดท่านพ่อ ลูกก็เลยตัดสินใจโดยพลการ หักเบี้ยประจำเดือนของข้ารับใช้ในจวนเพื่อนำมาจัดงานเลี้ยงวันเกิดเจ้าค่ะ” เย่จิ่นเซวียนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาเย่อวิ๋นข่าย

“เหลวไหลสิ้นดี จวนอัครมหาเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่ของข้าจัดงานเลี้ยงทั้งที จำเป็นต้องหักเบี้ยประจำเดือนข้ารับใช้ด้วยหรือ แล้วอีกอย่างเย่หนานก็เป็นถึงคุณชายในจวนนี้”

เย่หนานที่ได้ยินประโยคนี้ของเย่อวิ๋นข่ายก็นึกขบขัน ความเป็นจริง บรรดาสมาชิกน้อยใหญ่ในจวน นอกจากพี่สี่กับอาฉงแล้ว มีผู้ใดบ้างที่เห็นเขาเป็นคุณชาย!

“ลูกผิดไปแล้ว ประเดี๋ยวลูกจะรีบคืนเบี้ยประจำเดือนให้เขาตามจำนวนเจ้าค่ะ”

“เจ้าไม่คิดขอบคุณเราสักคำหรือ เราช่วยเจ้าเอาเงินก้อนโตกลับมาทั้งที คาดว่าต่อไปนางผู้นั้นคงไม่กล้าหักเบี้ยประจำเดือนของเจ้าอีกแล้ว” ฉู่เซียวหรันยักคิ้วกระซิบขณะเขยิบเข้ามาใกล้เย่หนาน

มีคนที่ร้องขอคำขอบคุณเองด้วยหรือนี่ “เย่หนานขอบคุณท่านอ๋อง”

“แล้วเจ้าจะตอบแทนเราอย่างไรหรือ” ฉู่เซียวหรันเขยิบมาชิดใกล้มากขึ้น

“เอ่อ…เลี้ยงอาหารท่านอ๋องเป็นอย่างไร” เย่หนานเบี่ยงกายถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่าง

ฉู่เซียวหรันส่ายหน้า “เรามิได้อดอยากเสียหน่อย ติดไว้ก่อนแล้วกัน เมื่อเรามีความจำเป็นค่อยมาทวงจากเจ้าอีกที”

“ก็ได้” เย่หนานตกปากรับคำ เขาจะหนีวันนี้อยู่แล้ว ยังจะมีภายภาคหน้าที่ไหนกันเล่า หลังจากนี้ทุกคนก็ทางใครทางมันแล้วกัน

“ข้ามีธุระ คงอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องต่อไม่ได้ ท่านอ๋องเสวยให้เต็มที่เถิด” เย่หนานลุกขึ้นเดินจากไป โดยมีเสี่ยวเถากับอาฉงเดินตามออกมาติดๆ

“อาฉง หากข้าจะออกไปจากจวน เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”

“ข้าย่อมติดตามท่านไปแน่นอน ท่านไปแล้วข้าจะอยู่ทำไมเล่า คุณชายวางแผนจะไปจากที่นี่หรือขอรับ” อาฉงตอบแล้วเอ่ยถามต่อ

“หากคุณชายจะไป ได้โปรดพาเสี่ยวเถาไปด้วยนะเจ้าคะ คุณชายช่วยชีวิตเสี่ยวเถาไว้ ไม่ว่าคุณชายจะไปที่แห่งใด เสี่ยวเถาก็จะขอติดตามไปด้วย” เสี่ยวเถาคุกเข่าลงบนพื้นดังตุบ

เย่หนานรีบประคองเสี่ยวเถาให้ลุกขึ้น “ข้าย่อมพาเจ้าไปด้วยอยู่แล้ว ข้าวางแผนจะหนีไปจริงๆ โดยตั้งใจว่าจะไปคืนนี้ แต่จะไปที่ใดนั้นข้าเองก็ยังไม่รู้ เอาเป็นว่าออกจากจวนให้ได้ก่อน ส่วนเหตุผลข้าบอกไปพวกเจ้าก็คงไม่เชื่อ ไร้ประโยชน์เสียเปล่าๆ”

“คุณชาย เช่นนั้นตอนนี้เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” เสี่ยวเถาเอ่ยถาม

“พวกเจ้าไปเก็บเสื้อผ้ากันก่อน พยายามเอาของใส่ห่อสัมภาระไปให้น้อยที่สุด อาฉงเก็บของเสร็จแล้วมาหาข้าที่ห้องเพื่อนำจดหมายไปให้พี่สี่”

 

**********

 

เย่หนานกลับไปที่ห้อง หยิบกระดาษและพู่กันออกมา เขียนเรื่องราวที่ตนกลับมาเกิดใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ “เรื่องก็เป็นเช่นนี้ จะเชื่อหรือไม่คงขึ้นอยู่กับพี่สี่แล้ว ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่สี่จะไปกับข้าด้วย หากพี่สี่เชื่อข้า ให้ไปที่ลานบ้านด้านหลังจวนยามซวี[3]

เย่หนานไม่มั่นใจนักว่าพี่สี่จะมาหรือไม่ ทว่าเขาก็อยากเดิมพันดูสักตั้ง

เย่หนานให้อาฉงนำจดหมายไปส่งก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มเก็บข้าวของบ้าง วันนี้ฉู่เซียวหรันช่วยเขาเอาเงินคืนมาได้ก้อนใหญ่ เป็นความช่วยเหลือในยามคับขันที่ประเสริฐโดยแท้ เย่หนานนำสิ่งของมีค่าทั้งหลายของตนใส่ลงไปในห่อสัมภาระ ก่อนเปิดกล่องใบเล็กซึ่งวางอยู่บนหัวเตียง หยิบยาที่ฉินหมิงอวี่มอบให้ ค่อยๆ ซ่อนไว้ในอกเสื้อ

“คุณชายอยู่หรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเถายกชามโจ๊กมาเคาะประตูเรียก

เย่หนานเปิดประตู “มีเรื่องอะไรหรือเสี่ยวเถา”

เสี่ยวเถาก้าวเข้ามาในห้องแล้ววางโจ๊กลงบนโต๊ะ “เมื่อครู่ข้าเห็นคุณชายไม่ได้กินอะไรในงานเลี้ยงเลย จึงเข้าครัวไปทำโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้ามาให้เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณชายหรือไม่”

“ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า” เย่หนานนั่งลงแล้วตักเข้าปากหนึ่งช้อน “อร่อย หอมเค็มกำลังดี ข้านึกว่าข้าชอบแค่รสหวานเสียอีก ไม่คิดเลยว่าโจ๊กเค็มนิดๆ แบบนี้ก็อร่อยเหมือนกัน ฝีมือเสี่ยวเถาเยี่ยมจริงๆ” เย่หนานปากหวานกับคนที่ถูกชะตาเสมอ

 

**********

 

ท้องนภาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด ผู้คนที่มาร่วมงานเลี้ยงทยอยกลับกันไปมากแล้ว เย่หนานพาอาฉงกับเสี่ยวเถามายังลานด้านหลังจวน เนื่องจากที่แห่งนี้มีผู้คนบางตาและแค่ข้ามกำแพงไปก็ถึงนอกจวน เพียงแต่กำแพงนี้ค่อนข้างสูงสักหน่อย

ท้องฟ้ามืดลงช้าๆ “คุณหนูสี่ยังไม่มาเสียที หรือว่าจะไม่มาแล้วขอรับ” อาฉงกระซิบถาม

เย่หนานไม่เอ่ยตอบ จ้องมองต้นไม้เบื้องหน้าไม่ไหวติง ต้นท้อเริ่มออกผล เมื่อก่อนในช่วงฤดูร้อนเขาชอบมาเก็บลูกท้อกินมาก

“อาหนาน เจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่” ใครบางคนส่งเสียงเรียกแผ่วเบามาจากไกลๆ

“พี่สี่ ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว” เย่หนานก้าวออกไปรับ เพราะพอตกค่ำ สายตาพี่สี่จะแย่ลงมองไม่ค่อยชัดเจน

“กำแพงสูงเยี่ยงนี้จะขึ้นไปอย่างไรไหวเจ้าคะ” เสี่ยวเถาเอ่ยถาม

“คุณชายขึ้นไปก่อนแล้วค่อยดึงคุณหนูขึ้นไปแล้วกันขอรับ” อาฉงคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อให้เย่หนานเหยียบเขา ในที่สุดก็ขึ้นไปบนกำแพงได้อย่างทุลักทุเล หากแต่ใครจะรู้ว่าหลังจากขึ้นไปได้ เขากลับเสียหลักหงายหลังร่วงลงมา

“อาหนาน”

“คุณชาย” ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ในรั้วกำแพงร้องลั่นด้วยความตกใจ

เย่หนานได้แต่หลับตาปี๋ พลางคิดว่าตกลงไปครานี้คงเจ็บหนักเป็นแน่ ทว่าใครบางคนรับเขาไว้ทันท่วงที เขาจึงร่วงสู่อ้อมกอดของคนผู้นั้นอย่างนุ่มนวล

เย่หนานค่อยๆ ปรือตาขึ้น “ฉู่เซียวหรัน!”

 

[1] คฑาโค้งมนทำจากหยก สื่อถึงความเป็นมงคล มีความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งพลังและความโชคดี

[2] ดอกแมกโนเลีย

[3] เวลาประมาณ 19.00-20.59 น.

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า