[ทดลองอ่าน] จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก บทที่ 5 แรกพบ

จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก
朱颜

 

ชางเย่ว์ เขียน
กอหญ้า แปล

 

— โปรย —

ณ ดินแดนเมฆาอวิ๋นฮวง ซึ่งปกครองโดยตี้จวินแห่งคงซางผู้สืบทอดอำนาจจากทวยเทพ
โดยมีฟานหวังหกเผ่าคือ ไป๋ ชิง จื่อ ชื่อ หลาน และเสวียน ร่วมดูแลหกดินแดนใต้อาณัติ
ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวแห่งวาสนาผูกพันและความขัดแย้งที่โชคชะตาลิขิตไว้…

จูเหยียน จวิ้นจู่เผ่าชื่อในวัยสิบแปด
ถูกส่งตัวไปแต่งงานกับหวังแห่งซูซ่าฮาหลู่แต่นางหลบหนีในคืนส่งตัว
จนเกิดเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต
และได้พบสืออิ่งผู้เป็นอาจารย์ของตนอีกครั้งโดยบังเอิญหลังจากไม่ได้พบกันมาห้าปี

สืออิ่ง รู้ดีว่าตนได้ถูกกำหนดว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือนาง
ทว่าเขามิอาจตัดใจฆ่านางเสียตั้งแต่ยังเด็กเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง
ทั้งยังสอนวิชาอาคมให้นาง

กาลเวลาผันผ่าน ภายใต้สัญญาณแห่งดาราวิถีที่บ่งชี้ว่าคงซางจะล่มสลายโดย “มนุษย์เงือกผู้หนึ่ง”
สืออิ่ง พยายามทุกวิถีทางที่จะตามหาและสังการบุคคลในคำทำนายผู้นั้น
ขณะที่จูเหยียน ยืนหยัดปกป้องมนุษย์เงือกที่นางรัก
นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างศิษย์อาจารย์ และการนองเลือดระหว่างเผ่าพันธุ์

ภายใต้วงล้อแห่งโชคชะตาที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
คำทำนายนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และวาสนารักของทั้งคู่จะได้บรรจบหรือพลัดพราก…

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

5

แรกพบ

 

ย้อนนึกดู ครั้งแรกที่พบสืออิ่ง นางอายุเพียงแปดขวบ

ตอนนั้น ในฐานะจวิ้นจู่เพียงคนเดียวของเผ่าชื่อ นางเดินทางออกจากแดนประจิมเป็นครั้งแรก ติดตามฟู่หวังไปอารามเทพจิ่วอี๋…ก่อนหน้านั้น นางเพิ่งผ่านพ้นเคราะห์ใหญ่ที่ร้ายแรงถึงชีวิต โชคดีรอดชีวิตจากไข้อีดำอีแดง[1]ที่น่ากลัวมาได้ พ่อมดใหญ่ในเผ่าบอกว่าฟู่หวังอธิษฐานบนบานครั้งใหญ่ให้นางต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากหายป่วยแล้ว นางต้องติดตามเขาไปยังอารามเทพจิ่วอี๋เพื่อขอบคุณเทพเจ้าที่คุ้มครอง

พอได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เด็กน้อยก็ตื่นเต้นยินดี ไม่รู้เลยว่าต้องเดินทางเป็นเวลาเดือนกว่าจึงจะถึงจิ่วอี๋

อารามเทพที่ประดิษฐานสองเทพผู้สร้างอวิ๋นฮวงดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ ไม่มีสตรีแม้แต่คนเดียว มีเพียงเสินกวนจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาบำเพ็ญเพียรและข้ารับใช้ แต่ละคนสีหน้าขึงขัง ไม่ยิ้มแย้มไม่พูดจา

อยู่ได้สองวันนางก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก ฉวยโอกาสตอนฟู่หวังนอนกลางวัน ลอบออกไปเดินเล่นที่เชิงเขาจิ่วอี๋ตามลำพัง ได้เห็นเงามายาในศิลาเกิดใหม่ ได้เห็นบาดาลเหลือง[2]ที่ไหลย้อนขึ้นมาจากเหวชางอู๋ เด็กน้อยที่ใจกล้าบ้าบิ่นยังแอบบุกรุกเข้าไปในหุบเขาตี้หวังด้านหลังอารามเทพอันเป็นเขตต้องห้ามด้วย

หุบเขาลึกลับแห่งนั้นฝังศพของตี้โฮ่วทุกยุคทุกสมัยของคงซาง ก้อนอิฐที่ทำจากเหล็กถูกก่อเป็นกำแพงตรงปากทางเข้าหุบเขา ทั้งยังหล่อทับด้วยทองแดง หน้าประตูมีทหารยามเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด หากไม่ได้รับอนุญาตจากต้าเสินกวน ใครก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ทั้งสิ้น นางที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินแอบวิ่งเข้าไป เหลียวมองซ้ายขวา จู่ๆ ก็พบว่าประตูบานนั้นแง้มเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่มีทหารยามเฝ้าอยู่แม้แต่คนเดียว

โอกาสดีที่สวรรค์ประทานให้! เด็กน้อยลิงโลด แทรกตัวผ่านประตูที่เปิดครึ่งหนึ่งเข้าไปโดยไม่เสียเวลาคิด วิ่งพุ่งไปข้างหน้า

หุบเขาตี้หวังว่างเปล่าไร้ผู้คน เส้นทางกว้างขวางราบเรียบในสุสานทอดยาวไปยังส่วนลึกของหุบเขา ทางแยกแต่ละจุดเชื่อมไปยังสุสานแต่ละแห่ง ประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่เจ็ดพันปีก่อนสืบต่อมาจนปัจจุบัน เด็กน้อยใจกล้ายิ่งนัก เห็นหลุมศพเรียงรายอยู่ทั่วกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย เพียงเดินดูไปเรื่อยๆ หมายจะเข้าไปในหุบเขาลึกเพื่อหาสุสานของซิงจุนต้าตี้ที่ว่ากันว่าเป็นบรรพชนแห่งแคว้นคงซาง

พลันนางได้ยินเสียงร้องแหลม…ในส่วนลึกของหุบเขาตี้หวังที่ร้างไร้ผู้คน วิหคขาวขนาดมหึมากระพือปีกบินขึ้นจากป่า ภายใต้แสงตะวัน ขนของมันขาวบริสุทธิ์ เปล่งประกายระยับจับตาดุจหิมะ

วิหคเทพ! นั่นคือวิหคเทพฉงหมิงในตำนานหรือ

เด็กน้อยใจกล้าตื่นเต้นแทบบ้า วิ่งทะยานเข้าไปในหุบเขาตี้หวัง ไม่ตระหนักแม้แต่น้อยว่าตลอดทางเริ่มปรากฏร่องรอยการต่อสู้ ดาบและอาวุธหล่นอยู่ในพงหญ้าข้างทาง สถานที่แห่งนี้น่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมา

นางวิ่งอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงบริเวณที่วิหคขาวตัวนั้นอยู่ในสภาพหอบแฮก ยังไม่ทันเข้าใกล้ วิหคขาวพลันหันหน้ามา ลืมตาจ้องนางเขม็ง…ไม่น่าเชื่อว่าวิหคที่งดงามตัวนั้นจะมีดวงตาซ้ายขวาข้างละสองดวง สีแดงฉานดุจโลหิต ดูประหนึ่งมารปีศาจ!

ในปากมันยังคาบคนผู้หนึ่งไว้ ร่างกายเหลือเพียงครึ่งท่อน เลือดเนื้อเหลวแหลกไปหมด

“กรี๊ด!” เด็กน้อยเพิ่งจะรู้สึกกลัวตอนนี้ ผงะถอยหลังจนสะดุดล้มลงกับพื้น

วิหคเทพตัวนี้เหตุใดจึงกินคนด้วย มัน…มันเป็นปีศาจหรือ

นางหวีดร้อง หันหลังเตรียมวิ่งหนี แต่วิหคขาวตัวนั้นกลับมองมาอย่างดุร้าย ส่งเสียงร้องแหลม กางปีกไล่ตาม ยื่นคอออกมาหมายจะจิกเด็กน้อยที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาที่นี่!

นางแผดร้องเสียงหลง จู่ๆ ตัวก็ลอยขึ้นเหมือนขี่เมฆนั่งหมอก

“หยุดนะ!” มีคนทิ้งตัวลงมาจากฟ้าในชั่วขณะคับขัน โอบนางเข้าสู่วงแขน มืออีกข้างยกขึ้น รวบนิ้วสกัดจะงอยยักษ์แหลมคมของวิหคเทพฉงหมิงไว้

วิหคเทพมหึมาตัวนั้นก้มหน้าลงอย่างเชื่องเชื่อในชั่วพริบตา

นางยังตกใจไม่หาย ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนเขา เงยหน้ามองคนผู้นั้น…หากไม่ได้เขา นางคงถูกวิหคสี่ตาตัวโตจิกจนขาดเป็นสองท่อน กลืนกินเป็นขนมไปแล้วกระมัง

นั่นเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบหกสิบเจ็ด ใบหน้าเกลี้ยงเกลา สวมชุดคลุมยาวสีขาว เอวห้อยป้ายหยก เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบง่าย ครอบเกี้ยวสูงแขนเสื้อกว้าง รูปแบบการแต่งกายเหมือนคนสมัยบรรพกาล ดูนิ่งสงบและสูงส่ง ราวกับก้าวออกมาจากสุสานโบราณอย่างไรอย่างนั้น

นางสะดุ้งตกใจ อดโพล่งถามไม่ได้ “เจ้า…เจ้าเป็นคนเป็นหรือคนตายกันแน่”

เด็กหนุ่มคนนั้นมิได้ตอบ เพียงนิ่วหน้ามองเด็กน้อยที่ตัวสั่นงันงกในอ้อมแขน “เจ้าเป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร”

มือของเขาอบอุ่น หัวใจเต้นเบาๆ อยู่ในทรวงอก นางพลันโล่งอก ตอบเสียงค่อย “ข้า…ข้าชื่อจูเหยียน ตามฟู่หวังมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อารามเทพ เห็นประตูบานนั้นเปิดอยู่ก็เลยเข้ามา…”

เด็กหนุ่มมองนาง สายตาตกอยู่ที่ตราประจำตระกูลตรงชายเสื้อนาง เอ่ยเสียงเรียบ “ที่แท้เจ้าเป็นคนของเผ่าชื่อ”

“อื้ม! แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่” นางพยักหน้า ความหวาดกลัวในใจเบาบางลงในที่สุด นางพิจารณาเด็กหนุ่มรูปโฉมคมคายที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวในหุบเขาลึกผู้นี้ด้วยความสงสัย ดวงตาเปล่งประกาย พลันยกมือขึ้นชี้ “อา ตรงนี้ของเจ้ามีเหม่ยเหรินเจียนด้วย!”

“…” ก่อนที่นิ้วมือนางจะจิ้มถูกหน้าผากเขา เขาก็คลายมือโยนนางลงบนพื้นก้นจ้ำเบ้า เด็กน้อยร้องโอ๊ยน้ำตาแทบเล็ด

เด็กหนุ่มโยนนางทิ้งแล้วสะบัดแขนเสื้อผลักหัววิหคยักษ์ที่ยื่นหน้าเข้ามาจะแย่งอาหารอีกครั้งกลับไป ตวาดเสียงเบา “ฉงหมิง ไม่เอา…นางไม่ใช่พวกเดียวกับกลุ่มคนเมื่อครู่ กินไม่ได้!”

หลังจากถูกปราม วิหคขาวสี่ตาก็หมอบลงอย่างขุ่นเคืองพลางจ้องนาง จะงอยปากคมกริบของมันยังมีเลือดหยดอยู่ คนครึ่งท่อนถูกกลืนลงไปแล้ว จูเหยียนอดเปล่งเสียงอุทานมิได้ ถอยหลบไปข้างหลังเด็กหนุ่ม…บริเวณโดยรอบมีอาวุธเกลื่อนกระจาย ต้นไม้ใบหญ้ามีคราบเลือดสาดกระเซ็น เต็มไปด้วยแขนขามนุษย์ คล้ายมีคนจำนวนไม่น้อยถูกสังหาร

“นี่…นี่มันอะไรกัน” เด็กน้อยหวาดผวา ถามตะกุกตะกัก

“ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ “เมื่อครู่มีมือสังหารแฝงตัวเข้ามาในหุบเขา ถูกฉงหมิงจัดการ”

“งั้นหรือ มัน…มันกินคนด้วยหรือ!” นางชะโงกหน้าออกมาจากข้างหลังเขา มองวิหคยักษ์สีขาวราวหิมะตัวนั้นอย่างระมัดระวัง “มันเป็นปีศาจหรือ”

“กินแต่คนชั่วเท่านั้น” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ “เจ้าไม่ต้องกลัว”

วิหคเทพฉงหมิงตวัดสายตาใส่เด็กน้อย แผดเสียงแกว๊กๆ ออกจากลำคอ

“เอ๋ เวลามันร้องเสียงเหมือนโห่ว[3]ขนทองที่ข้าเลี้ยงเลย! มันเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าหรือ” เด็กน้อยไม่คิดอะไรมาก เมื่อความกล้ากลับคืนมาอีกครั้ง ก็ขยับเข้าไปหาวิหคยักษ์เหมือนขนมหนิวผีถัง[4] ลูบปีกสีขาวของมัน “ให้ข้าถอนขนมันสักก้านได้หรือไม่ สวยเหลือเกิน เอามาทำเสื้อผ้าต้องงามมากแน่ๆ!”

วิหคเทพฉงหมิงไม่รอให้นางเข้ามาใกล้ กระพือปีกทีหนึ่ง พายุหมุนก่อตัวจนนางเสียหลักล้มลงทันที

ยามนี้มาย้อนคิดดู นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมภายหลังมันจึงไม่ชอบนางมาโดยตลอด เพราะเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก นางก็อุตริจะถอนขนมันเสียแล้ว

เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้ตอบนาง ปรายตามองเด็กน้อยวัยแปดขวบอย่างเย็นชา พลันมุ่นคิ้วถาม “เจ้าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง”

“แน่นอนว่าเป็นเด็กหญิง! รูปโฉมข้าไม่งามหรือ” นางร้องแหวอย่างไม่พอใจนัก มองวิหคขาวอีกครั้งพลางดึงเสื้อเขา “พี่ชาย มอบขนนกให้ข้าเอาไปทำเสื้อผ้าสักชุดเถอะนะ! ได้หรือไม่”

“เด็กผู้หญิง?” เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่สนใจคำขอของนาง ร่างกายพลันสั่นสะท้าน แววตาดูแปลกไป “ไยจึงเป็นเช่นนี้…หรือคำทำนายจะเป็นจริง”

“คำทำนายอะไรหรือ” นางทำท่างุนงง เพิ่งจะเอ่ยปากถาม พลันรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา…จู่ๆ แววตาของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นชอบกลยิ่งนัก จ้องนางเขม็ง รูม่านตาหม่นแสงลงในพริบตา! แขนเสื้อเขาไม่ขยับ แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อกลับยกขึ้นเงียบๆ กดลงเหนือกระหม่อมนางอย่างช้าๆ

นิ้วมือเขามีประกายแสงคมกริบทอออกมาจางๆ

“เป็นอะไรไป พี่ชาย ทำไม…เจ้าถึงตัวสั่นรุนแรงเช่นนี้เล่า” เด็กน้อยวัยแปดขวบไม่รู้ว่าอันตรายอยู่ตรงหน้า เพียงมองเด็กหนุ่มอย่างงุนงง สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “เจ้าไม่สบายหรือไม่ เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ ข้าไปตามหมอมาให้ดีหรือไม่”

เด็กน้อยมองเขาอย่างห่วงใย ดวงตางามใสกระจ่างสะท้อนก้อนเมฆขาวในหุบเขาเวิ้งว้าง เจิดจ้าจนมิอาจจ้องมองตรงๆ ได้ ชั่วขณะนั้น มือของเด็กหนุ่มกดที่จุดหลิงไถ[5]ของนางแล้ว สั่นเทาครู่หนึ่ง แต่แล้วกลับลดมือลงกะทันหัน สัมผัสเส้นผมยาวนุ่มสลวยของนาง ลูบเบาๆ พลางถอนหายใจยาว

“เป็นอะไรไป เหตุใดจึงถอนหายใจอีกเล่า” นางจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งเฉียดประตูผีกลับมาได้ เอาแต่บ่นว่า “เจ้าตัดใจไม่ได้หรือ วิหคสี่ตานั่นมีขนตั้งมากมาย ข้าขอแค่ก้านเดียวก็ไม่ได้หรือ ขี้งกชะมัด!”

“…” ดวงตาของเด็กหนุ่มคืนสู่ความเย็นชาอีกครั้ง เหลือบมองนาง จากนั้นหิ้วตัวเด็กซุกซนคนนี้ขึ้นมา พูดเบาๆ กับตนเอง “ช่างเถอะ แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น…ไม่ฆ่าทิ้งก็คงไม่เป็นไรกระมัง”

“อะไรนะ” นางสะดุ้งโหยง “เจ้า…เจ้าจะฆ่าข้าหรือ”

เด็กหนุ่มไม่สนใจนาง เพียงหิ้วตัวนางขึ้นมาและโยนออกไปนอกกำแพง ทั้งยังเตือนนางด้วยน้ำเสียงดุดัน “จำไว้ ห้ามบอกผู้ใดเด็ดขาดว่าวันนี้เจ้ามาที่นี่ ยิ่งห้ามบอกใครว่าเจ้าเคยพบข้า! การบุกรุกเข้ามาในหุบเขาตี้หวังอันเป็นเขตหวงห้าม มีโทษถึงประหารชีวิต!”

เด็กน้อยถูกขู่จนตกใจกลัว ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังอีกจริงๆ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงอดใจไว้ไม่อยู่ ได้แต่พูดจาอ้อมค้อมไปเสียไกล เลียบๆ เคียงๆ ถามจากคนข้างๆ “นี่…เมื่อวานข้าขึ้นไปเที่ยวเล่นบนภูเขา เห็นเงาคนในหุบเขาไกลๆ! เหตุใดในหุบเขาที่มีแต่คนตายนั่น ถึงมีคนเป็นอยู่ด้วยเล่า”

เด็กน้อยช่างสงสัยกลับไปถามข้ารับใช้คนอื่นๆ ในอารามเทพ จึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในหุบเขาลึกผู้นั้นมีชื่อว่าสืออิ่ง เป็นเซ่าเสินกวน[6]ของอารามเทพจิ่วอี๋ ปีนี้เพิ่งอายุครบสิบเจ็ดปี แต่บำเพ็ญเพียรอยู่ในอารามเทพจิ่วอี๋มาแล้วสิบสองปี พลังวิญญาณสูงส่ง เจนจัดวิชาอาคม เป็นที่กล่าวขานว่ามีพรสวรรค์อย่างหาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปีของอวิ๋นฮวง ปกติเขาอาศัยอยู่ในป่าลึกอย่างสันโดษ สวมเสื้อผ้าสามัญและงดเว้นมังสะ มีวิหคเทพฉงหมิงเป็นสหาย นอกจากต้าเสินกวนแล้วไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด

“จำไว้ แค่มองดูไกลๆ ก็พอ อย่าได้เข้าไปรบกวนเขาเป็นอันขาด” ข้ารับใช้ในอารามเทพลูบหัวเด็กน้อยวัยแปดขวบพลางกำชับ “เซ่าเสินกวนไม่ชอบพูดคุยกับใคร ต้าเสินกวนก็ไม่อนุญาตให้เขาพูดคุยกับผู้ใดทั้งสิ้น…ทุกคนที่คุยกับเขาล้วนประสบเคราะห์!”

ทว่านางเป็นคนอยู่ไม่สุขและช่างสงสัย ไหนเลยจะยอมเลิกราเพียงเท่านี้

วันต่อมา จูเหยียนแอบวิ่งไปที่ข้างกำแพงอีกครั้ง ประตูบานนั้นปิดลงแล้ว นางพยายามปีนข้ามไป แต่พอปีนขึ้นไปกลับรู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟจู่โจม ร้อง “โอ๊ย” หล่นตุ้บลงบนพื้น เจ็บเหมือนก้นจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ…นี่มันอะไรกัน ต้องเป็นฝีมือพี่ชายคนนั้นแน่ๆ เขาจะกีดกันไม่ให้ข้าวิ่งเข้าไปถอนขนวิหคสี่ตาตัวนั้นกระมัง

จูเหยียนเดินวนรอบกำแพงอย่างร้อนใจ แต่หาหนทางไม่ได้แม้แต่น้อย สุดท้ายได้แต่ปีนขึ้นไปบนผาอีกด้านของหุบเขา ก้มมองคนที่อยู่ในหุบเขาผู้นั้นและส่งเสียงร้องเรียกโหวกเหวก ทั้งอ้อนวอน ทั้งขอร้องให้เขาพาตนเข้าไปในหุบเขา กระนั้นไม่เพียงวิหคฉงหมิงที่ไม่สนใจเด็กน้อยคนนี้ แม้แต่เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ไม่พูดกับนางอีกแม้แต่คำเดียว…ราวกับเป็นใบ้มาแต่กำเนิดอย่างไรอย่างนั้น

นางตะโกนเรียกอยู่นาน รู้สึกเบื่อหน่าย จึงนั่งลงใต้ต้นไม้มองพวกเขาด้วยสายตาละห้อย

หุบเขาตี้หวังเงียบวังเวงยิ่ง เงียบราวกับความตาย ทอดสายตามองไปในป่าเขียวครึ้มที่มีแต่สุสานนับไม่ถ้วน คล้ายไม่มีกลิ่นอายของคนเป็นอยู่ในสถานที่แห่งนี้

เด็กหนุ่มบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก ไม่ว่าลมพัดหรือแดดออก ทุกวันเขาล้วนต้องนั่งขัดสมาธิอยู่บนศิลาขาว หลับตากำหนดลมหายใจ กินลมดื่มน้ำค้าง นั่งไปนั่งมา บางครั้งเขาจะลอยขึ้นเหนือพื้น กางแขนสองข้าง เหาะเหินอยู่กลางอากาศเหมือนวิหค บางคราเขาจะเรียกสัตว์นานาชนิดมาเบื้องหน้า ให้พวกมันเรียงแถวร่ายรำ เดินหน้าถอยหลังอย่างเป็นระเบียบ บางคราวที่เขาแบมือออก ในมือจะมีดอกบัวแย้มบาน จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นริ้วเมฆหลากสี…

เด็กน้อยได้แต่มองอย่างปากอ้าตาค้าง ในใจใฝ่ฝันยิ่งนัก

“สอนข้าหน่อย!” ในที่สุดวันหนึ่งนางก็อดใจไม่อยู่ เกาะอยู่บนภูเขาพลางร้องบอกเขา “ได้โปรดเถอะ พี่ชาย! สอนข้าได้หรือไม่”

เขามิได้สนใจนาง ทำราวกับเด็กน่ารำคาญคนนี้ไม่มีตัวตนกระนั้น…ธิดาเพียงคนเดียวของชื่อหวังมิอาจล่วงเกิน ถึงอย่างไรอีกไม่กี่วัน นางกับบิดาก็จะกลับที่ดินศักดินาแล้ว

วันนั้นฝนตกหนักมาก มีทูตจากตี้ตูมาจิ่วอี๋ น่าจะนำข่าวไม่ดีมา ฟู่หวังสีหน้าคร่ำเคร่ง ไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ที่อารามเทพ ไปครั้งนี้กินเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทิ้งเด็กน้อยไว้ตามลำพัง พอมีเวลาว่าง นางก็แอบออกไปอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังหุบเขาตี้หวังที่เขาด้านหลัง

ทว่าครั้งนี้นางกลับไม่เห็นเขาบนศิลาขาวก้อนนั้นแล้ว

เด็กน้อยอดประหลาดใจไม่ได้ ปกติต่อให้ฝนตกพายุพัด เขาล้วนตั้งใจบำเพ็ญเพียรฝึกวิชาไม่เคยขาด เหตุใดวันนี้จึงแอบอู้เล่า ข้าอุตส่าห์วิ่งตากฝนมาดูเขาแท้ๆ!

นางหมอบอยู่บนภูเขามองดูอยู่นาน แต่ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ก้มหน้าคอตกกางร่มจากไป

ทว่าจังหวะที่หันหลังนั้นเอง อะไรบางอย่างเกี่ยวชายเสื้อนางไว้ หันกลับไปมอง เด็กน้อยตกใจจนหวีดร้องออกมา…ฝนเหนือศีรษะพลันหายไป ดวงตาใหญ่โตสี่ดวงลอยขึ้นมาจากใต้หน้าผา รูม่านตาแดงฉานปานโลหิตจ้องนางเขม็ง

“อ๊ะ…วิหคสี่ตา!” นางร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ คิดจะวิ่งหนี

ท่ามกลางเสียงหวีดร้อง วิหคเทพฉงหมิงใช้จะงอยยักษ์คาบอกเสื้อของเด็กหญิง หิ้วตัวนางขึ้นมาทั้งตัวและกางปีกโผบิน!

นางร้องเสียงแหลม ดิ้นรนสุดชีวิต เพียงพริบตาก็ร่วงลงบนที่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

นั่นเป็นผาสูงชันแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากศิลาขาวก้อนนั้นนัก ใต้ผามีช่องหินที่ยุบตัวเข้าไป วิหคเทพฉงหมิงคาบตัวนางขึ้นมา วางลงเบาๆ ตรงปากถ้ำ จากนั้นจ้องนาง แล้วเอียงหัวมองเข้าไปข้างใน

“หืม?” นางอดมองตามมิได้ “ข้างในมีอะไรหรือ”

วิหคเทพใช้จะงอยยักษ์ดันตัวเด็กหญิงไปข้างหน้า ส่งเสียงร้องเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าเสียงนั้นจะเจือแวววิงวอนอยู่ด้วย แววตาเต็มไปด้วยความกังวล

จูเหยียนนิ่งงันครู่หนึ่ง “เจ้าอยากให้ข้าเข้าไปข้างในหรือ ทำไมล่ะ”

วิหคเทพส่งเสียงร้องทีหนึ่ง ดวงตาทั้งสี่จ้องนางไม่กะพริบ จู่ๆ ก็หันหัวไปข้างหลัง จิกขนบนปีกออกมาก้านหนึ่ง คลุมลงบนตัวนางอย่างแผ่วเบา จากนั้นมองเข้าไปในถ้ำหินอีกครั้ง

“อา” นางเข้าใจแล้ว “นี่เป็นค่าตอบแทนที่เจ้ามอบให้ข้าหรือ”

วิหคเทพพยักหน้า มองเข้าไปข้างในอย่างร้อนรน แต่กลับไม่กล้าเข้าไป

“ตกลงมีอะไรกันแน่” จูเหยียนแม้ยังเล็กแต่ขวัญกล้ายิ่งนัก เกาศีรษะพลางเดินเข้าไป

ปากถ้ำเล็กมาก คนผ่านเข้าไปได้เพียงคนเดียว พื้นดินราบเรียบ เห็นชัดว่ามีคนเดินผ่านเป็นประจำ เส้นทางมืดมาก นางคลำผนังหิน เดินสะเปะสะปะอยู่นานทีเดียวกว่าจะถึงด้านในสุดซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง มีห้องศิลาเล็กๆ ห้องหนึ่งจุดไฟให้แสงสว่างไว้ สะอาดสะอ้านเรียบร้อย บนพื้นปูใบไม้แห้งและพรมเก่าผืนหนึ่ง มีหลุมไฟหลุมหนึ่ง เหมือนเป็นที่พำนักของภิกษุบำเพ็ญตบะที่นางเคยเห็นในทะเลทราย

พี่ชายคนนั้นอาศัยอยู่ที่นี่ตามลำพังหรือ อย่างนั้นชีวิตไม่ลำบากแย่หรือ

นางเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นในส่วนลึกของถ้ำ เขานั่งอยู่บนแท่นศิลา หันหน้าเข้าหาผนัง ก้มหน้าเล็กน้อย คล้ายกำลังทำสมาธิกำหนดลมหายใจ ร่างกายไม่ไหวติง

“เอ๋? เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ” นางแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกโล่งอก “วันนี้เหตุใดจึงไม่ออกไปฝึกวิชาเล่า วิหคสี่ตาของเจ้าท่าทางเป็นห่วงเจ้ามาก…นี่?”

เขาหันหน้าเข้าหาผนัง มิได้พูดอะไรเ

คงมิใช่ผล็อยหลับไปกระมัง เด็กหญิงเดินเข้าไป ทำใจกล้าผลักเขาทีหนึ่ง

“อย่าแตะตัวข้า!” เด็กหนุ่มพลันตวาดกร้าว นางตกใจตัวสั่น ถอยกรูดไปก้าวหนึ่งจนเกือบชนผนังหิน

“ใครให้เจ้าเข้ามา” เด็กหนุ่มไม่ได้มองนาง เพียงกดเสียงต่ำ “ออกไปให้พ้น!”

เสียงของเขาดุดันมาก กระนั้นจูเหยียนกลับฟังออกว่าเสียงเขาสั่นเครือ หัวไหล่ก็สั่นเทิ้ม คล้ายกำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอดทนกับความเจ็บปวดยิ่งยวดบางอย่าง จึงขยับเข้าไปใกล้ ถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป…ไม่สบายหรือ”

พอเข้าไปใกล้ นางอดร้องเสียงหลงไม่ได้ “สวรรค์…เจ้า…เจ้าร้องไห้ทำไม”

พี่ชายที่มีเหม่ยเหรินเจียนคนนั้นนั่งหันหน้าเข้าหาผนัง ใบหน้าขาวซีด แต่หางตากลับมีคราบน้ำตา มือที่วางบนหัวเข่ากำเป็นหมัดแน่นและสั่นนิดๆ หลังมือมีเลือดไหลหยดลงมาช้าๆ…บนผนังหินเบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด!

“เจ้า!” เด็กหญิงตะลึงพรึงเพริด ยื่นมือออกไป ถามตะกุกตะกัก “เป็น…เป็นอะไรไป”

“ไสหัวไป!” ราวกับควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป เด็กหนุ่มแผดเสียงคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง จังหวะที่นางแตะถูกตัวเขา เขาก็สะบัดแขนเสื้อกะทันหัน…ชั่วขณะนั้น พลังที่ถาโถมเข้ามาแทบจะเหมือนคลื่นยักษ์ หอบตัวเด็กหญิงขึ้นสูงแล้วเหวี่ยงออกไปทันที!

จูเหยียนยังไม่ทันได้หวีดร้องออกมาด้วยซ้ำ ร่างก็กระแทกกับผนังหินอย่างแรง

ชั่วพริบตานั้น ทุกอย่างเบื้องหน้ามืดสนิท

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดกว่านางจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก ดวงตาพร่าเลือน มีคนอุ้มนางอยู่ ร้องเรียกนางอย่างร้อนใจและเป็นกังวล ทุกครั้งที่นางจะผล็อยหลับ เขาจะเขย่าตัวนาง ท่องคาถาประหลาดข้างหูนางไม่หยุด กดมือลงบนหลังนางตรงตำแหน่งหัวใจ

“อย่าหลับ!” นางได้ยินพี่ชายคนนั้นพูดอยู่ข้างหู “ตื่นขึ้นมา!”

นางค่อยๆ รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว เบื้องหน้าสว่างไสว

ในที่สุดเด็กน้อยก็ฟื้น ลืมตาทั้งสองข้าง สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาคือท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มและก้อนเมฆสีขาวที่อยู่ใกล้แค่ตรงหน้า สายลมพัดปะทะใบหน้า ชั่วเวลานั้น นางอดโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นมิได้ ยื่นมือออกไป หมายจะคว้าก้อนเมฆ “หวา! ข้า…ข้าบินอยู่บนท้องฟ้าหรือ”

“อย่าขยับ” มีเสียงปรามนางอยู่ข้างหู

เด็กน้อยหันไปมองด้วยความตกใจ ถึงพบว่าตนถูกเด็กหนุ่มผู้นั้นกอดไว้ในอ้อมแขน ลมพัดผ่านข้างหู เขานั่งอยู่บนหลังวิหคเทพ กอดร่างเล็กแน่น มือขวากดหลังหัวใจของนางไว้ตลอด ใบหน้าขาวซีดดูอิดโรยยิ่งนัก ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ใช่ เด็กน้อยคนนี้ไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัวเพียงใด

ไร้ข่าวคราวมาสิบกว่าปี จู่ๆ ตี้ตูก็แจ้งข่าวร้ายมา นับแต่นี้ไปคนเพียงคนเดียวที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดจากไปอยู่คนละโลกแล้ว…แม้เขาจะมุมานะบำเพ็ญเพียรมาหลายปี ก็ยังไม่อาจดับความโกรธเกรี้ยวและความเคียดแค้นในใจลงได้ รู้สึกเพียงส่วนลึกของหัวใจมีไฟแห่งกรรมแผดเผารุนแรง ผลาญเผาจิตใจเขาจนเป็นธุลี!

เขาเข้าไปในถ้ำตามลำพังและไล่ฉงหมิงออกไป นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากำแพง พยายามขจัดมารในใจ ภายในหุบเขาเงียบสงัด มีเพียงคนตายอยู่เป็นเพื่อน เขาแผดเสียงร้องอย่างมิอาจควบคุม โหยไห้พลางต่อยกำแพงหิน ระบายความโกรธแค้นและความเจ็บปวดในใจออกมา กระทั่งสองมือถลอกปอกเปิกก็ยังมิอาจสะกดความเคียดแค้นในใจได้

ทว่าเวลานี้เอง เด็กหญิงคนนี้กลับร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า บุกรุกเข้ามาในถ้ำ!

นางเดินเข้ามา พยายามจะปลอบโยนเขา อารามโกรธจัดทำให้เขาขาดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพียงสะบัดแขนเสื้อ ก็เหวี่ยงตัวเด็กน้อยที่เหมือนตุ๊กตาออกไป…ครั้นเขาได้สติคิดจะโผเข้าไปปกป้องนาง ก็สายเกินไปเสียแล้ว

เขาได้แต่มองร่างนางกระแทกผนังหิน เหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่แตกหัก

เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้! ชั่วขณะนั้น เด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่หลายวันร้องเสียงหลงพลางกระโดดขึ้น เหินตัวเข้าไปหานาง อุ้มเด็กน้อยที่ลมหายใจรวยรินพุ่งออกจากถ้ำ กระโดดขึ้นหลังวิหคเทพฉงหมิง บินไปยังยอดเขาเมิ่งหฺวาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ลืมความโกรธแค้นที่กลืนกินจิตวิญญาณเมื่อครู่นี้ไปหมด ทั้งยังลืมคำทำนายที่ห้ามมิให้เขาออกจากหุบเขา

ตลอดทางเขาร่ายอาคมไม่หยุด ประคองชีวิตของนางที่กำลังจะหลุดลอยไปเอาไว้อย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนตะวันตกดิน ในที่สุดเขาก็รุดมาถึงยอดเขาเมิ่งหฺวา ใช้หญ้าคืนชีพช่วยชีวิตนางกลับมาได้

เมื่อเด็กน้อยคนนั้นลืมตาขึ้นอีกครั้งในอ้อมกอดเขา เขาพรูลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก น้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มซูบเซียวอย่างมิอาจสะกดกลั้น รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะใกล้จะพังทลายเต็มที

“อ๊ะ อย่าร้องไห้สิ ตกลง…ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่” จูเหยียนยกมือขึ้น ใช้นิ้วมือเล็กเช็ดใบหน้าเย็นเฉียบของเขา ปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบา “มีใครรังแกเจ้าหรือ ไม่ต้องกลัวนะ…ฟู่หวัง ฟู่หวังของข้าคือชื่อหวัง เขาเก่งกาจมากเลยล่ะ!”

เขาส่ายหน้าช้าๆ คว้ามือนางออกจากใบหน้า ทว่าเด็กน้อยกลับขยับมือเล็กกลับมาที่หน้าเขาอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็เลิกต่อต้าน ปล่อยให้เด็กน้อยวางมือเล็กอบอุ่นบนหน้าผากเขา

“นี่” เด็กน้อยที่รอดพ้นความตายมาได้จ้องมองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “เจ้ามีเหม่ยเหรินเจียนด้วย…หมู่เฟยของข้าก็มีเหมือนกัน!”

“…” เด็กหนุ่มไม่พูดจา เบือนหน้าไปอีกทางเงียบๆ

“หมู่เฟยบอกว่าคนที่มีเหม่ยเหรินเจียน จึงจะเป็นคนงามอย่างแท้จริง…น่าเสียดายที่ข้าไม่มี ล้วนต้องโทษฟู่หวัง! เขาหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป” เด็กหญิงลูบหน้าผากตนเองด้วยความเสียดาย จากนั้นมองเขา ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรไป เจ้าตัวสั่นมาก…บนฟ้าหนาวมากใช่หรือไม่ เจ้ารีบกลับลงไปบนพื้นดินเถอะ สวมเสื้อเพิ่มอีกตัวแล้วดื่มน้ำแกงร้อนๆ สักหน่อย…ใช่แล้ว มีคนต้มน้ำแกงให้เจ้าหรือไม่ ท่านแม่ของเจ้าไปไหนเสียล่ะ”

นางพูดเจื้อยแจ้ว ยกมือขึ้นอังหน้าผากเขา คิดว่าเขาจับไข้

“…” เด็กหนุ่มเงียบงันไปครู่หนึ่ง พลันหัวไหล่เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เปล่งเสียงสะอื้นออกมาอย่างไม่อาจข่มกลั้นอีกต่อไป

เขากอดกระชับเด็กน้อยตรงหน้าแน่นขึ้น ขดตัวลง ซุกใบหน้ากับอกเสื้อของนาง…เสียการควบคุมไปในฉับพลัน พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด คล้ายกำลังร่ำร้อง แต่ก็คล้ายกำลังสาปแช่ง แต่ละเสียงที่เปล่งออกมาให้ความรู้สึกเชือดเฉือน

“เป็นอะไรไป…เจ้าเป็นอะไร” นางตกใจกลัว ถามไม่หยุด “พี่ชาย เจ้าเป็นอะไรกันแน่”

บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า วิหคเทพสยายปีก เด็กหนุ่มซุกหน้าในอ้อมอกนาง หลั่งน้ำตาร้องไห้เงียบๆ ส่วนนางกลับลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ใช้นิ้วมือเล็กป้อมเช็ดน้ำตาให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดอาการสั่นเทาของเขาได้

ใบหน้าเขาเย็นเยียบ ทว่าน้ำตาเขากลับร้อนผ่าว

ในใจของเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตตามลำพังตัดขาดจากโลกภายนอก ซุกซ่อนโลกแบบใดเอาไว้กันแน่

เมื่อแสงสายัณห์ปกคลุมไปทั่ว เขาก็พานางกลับมาส่งที่อารามเทพจิ่วอี๋

เขาอุ้มเด็กน้อยลงบนพื้น วางนางกลับลงไปที่อีกด้านของกำแพง ยกนิ้วขึ้นจรดตรงหว่างคิ้วนาง คล้ายจะร่ายอาคมบางอย่าง นางเห็นประกายเย็นชาในดวงตาเขา จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว สีหน้าตื่นตกใจ “พี่…พี่ชาย เจ้าจะทำอะไรหรือ”

นิ้วของเด็กหนุ่มชะงัก ตอบเสียงเรียบ “ข้าจะทำให้เจ้าลืมข้า ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้”

“ไม่นะ!” นางกระโดดเหยงทันที “ข้าไม่อยากลืมเจ้า!”

เด็กน้อยบิดตัวไปมาในอ้อมแขนเขา หลบเลี่ยงนิ้วมือเขาสุดชีวิต ใบหน้าเต็มไปด้วยแววหวาดหวั่น เดิมเด็กหนุ่มสามารถกำราบเด็กน้อยคนนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสุดท้ายกลับยั้งมือ ถอนหายใจยาว “ไม่ลืมก็ไม่ลืม…ไม่แน่อาจเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน ต่อให้วันหน้าข้าต้องตายเพราะเจ้าจริงๆ แต่วันนี้ข้าเกือบพลั้งมือฆ่าเจ้า นับว่าเราไม่ติดค้างกันแล้ว”

เด็กน้อยไม่เข้าใจแม้แต่นิดว่าเขาพูดอะไร เพียงมองเขาอย่างประหลาดใจ

“จำไว้ ห้ามเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ใครฟังทั้งสิ้น” สุดท้ายเขาเอ่ยเพียงเท่านี้ “หาไม่แล้ว ไม่เพียงเจ้า แม้แต่เผ่าชื่อทั้งหมดก็ต้องประสบเคราะห์ใหญ่…เข้าใจหรือไม่”

“อื้ม! ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใครทั้งนั้น!” นางสลัดตัวออกจากมือเขา รับคำอย่างรวดเร็ว จากนั้นแหงนหน้ามองเขา ถามอย่างกระตือรือร้น “วันหน้า…วันหน้าเจ้าสอนอาคมให้ข้าบ้างได้หรือไม่”

“…” เด็กหนุ่มมองนางโดยไม่ตอบอะไร เอ่ยเสียงเรียบ “ไว้พบกันคราวหน้าค่อยว่ากัน”

พูดจบ เขาก็จากไปโดยไม่หันกลับมาอีก นางเดินตามไปหลายก้าวด้วยความอาลัย ร้องเรียกพี่ชาย ทว่าเด็กหนุ่มกลับคืนสู่ความสุขุมเยือกเย็นเหมือนยามปกติ ไม่เห็นเค้าความโศกเศร้าเหมือนเมื่อตอนอยู่บนฟ้าก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน

นั่นสิ…เป็นเพียงความฝันจริงๆ

อาจารย์เคยร้องไห้ในอ้อมกอดข้า? นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เฉพาะในฝันกระมัง

เขาบอกว่าพบกันคราวหน้าค่อยสอนวิชาให้นาง แต่นับจากวันนั้น นางก็ไม่ได้พบเด็กหนุ่มคนนั้นอีก ไม่ว่าจะไปที่ศิลาขาวก้อนนั้น หรือไปที่ถ้ำหินแห่งนั้น ล้วนไม่พบเขาอีกเลย…แม้แต่วิหคสี่ตาก็ยังไร้ร่องรอย เขาจิ่วอี๋กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น หากเขาเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญเพียร นางจะหาเจอได้อย่างไร

เขาต้องซ่อนตัวไม่ยอมพบหน้าข้าแน่ ก็แค่ร้องไห้ให้คนอื่นเห็นเท่านั้น ถึงกับต้องเขินอายขนาดนี้เชียวหรือ หรือว่าข้าน่ารังเกียจถึงเพียงนั้น ไม่อยากสอนข้า ก็เลยไปซ่อนตัวเสีย?

เรื่องนี้ช่างเถิด แต่ขนนกที่วิหคสี่ตามอบให้นางในวันนั้นนางลืมเอากลับมาด้วย ขืนเขายังไม่ปรากฏตัวเสียที นางจะไปทวงเอากับใครเล่า

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ถึงกำหนดกลับแล้ว คณะของชื่อหวังเดินทางออกจากอารามเทพจิ่วอี๋ เด็กน้อยสองมือว่างเปล่า ตามฟู่หวังกลับแดนประจิมด้วยความผิดหวัง

พอกลับถึงจวนชื่อหวัง นางก็วิ่งไปหายวน เล่าเรื่องที่พบเจอเด็กหนุ่มคนนั้นในหุบเขาตี้หวังให้เขาฟัง…บอกคนอื่นไม่ได้ แต่บอกยวนน่าจะได้กระมัง แต่เล็กจนโต ความลับของนางไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่รู้

ยวนฟังแล้วยิ้มน้อยๆ “ดูเหมือนอาเหยียนจะชอบพี่ชายคนนั้นมาก ใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่สักหน่อย! เขาใจแคบถึงเพียงนั้น!” นางกระทืบเท้า บ่นงึมงำ “พูดแล้วชัดๆ ว่าจะมอบขนนกให้ข้า! สุดท้ายกลับเบี้ยว น่าโมโหนัก!”

ยวนบีบจมูกนางที่ย่นเข้าด้วยกัน คลี่ยิ้มอ่อนโยน “แค่ขนนกก้านเดียว ไยเจ้าต้องเอาให้ได้ด้วยเล่า”

“ก็ข้าอยากบินได้นี่นา! โบยบินเหมือนวิหคขาวตัวนั้น! ถ้าบินไม่ได้ ได้คลุมกายด้วยขนนกก็ยังดี” นางกอดคอยวนพลางบ่นกระปอดกระแปด “พวกเจ้ามนุษย์เงือกล้วนเคลื่อนไหวใต้น้ำได้อย่างอิสระ พวกเราชาวคงซางกลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง! บินไม่ได้ ว่ายน้ำก็ไม่เป็น!”

“…” ยวนกอดนางไว้ แววตากลับหม่นลง

“ใช่ที่ใดเล่า” เสียงของเขาทุ้มต่ำ เอ่ยราวกับอยู่ในห้วงคิดคำนึง “พวกเจ้าชาวคงซางเอาชนะข้าศึกทั้งหกทิศ แม้แต่แคว้นสมุทรยังกลายเป็นดินแดนของพวกเจ้าไปแล้ว”

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าหลังจากกลับมาถึงเมืองเทียนจี๋เฟิง จูเหยียนมีนิสัยเหมือนเด็ก ร่าเริงลืมง่าย ขลุกอยู่กับยวนทั้งวันจนค่อยๆ ลืมเด็กหนุ่มที่อารามเทพจิ่วอี๋คนนั้นไป

กระนั้น เมื่อถึงฤดูวสันต์ปีต่อมา จวนชื่อหวังกลับได้รับของขวัญจากแดนไกลอย่างคาดไม่ถึง…เป็นกล่องกระบอกยาวห่อด้วยผ้าไหม บนครั่งสีแดงชาดประทับตราของอารามเทพจิ่วอี๋

“นี่คืออะไร” ชื่อหวังประหลาดใจ “ส่งมาจากเขาจิ่วอี๋หรือ”

ข้ารับใช้สองคนก้าวเข้ามาแกะห่อของอย่างระมัดระวัง พอเปิดกล่องทรงกระบอกออก ขนนกสีขาวขนาดใหญ่สองก้านก็ร่วงลงมา เปล่งประกายระยับดุจผ้าไหมเจียวเซียว[7]ชั้นเลิศสองพับ ทำเอาทุกคนตื่นตะลึง

“อา!” นางตกใจจนอ้าปากค้าง

แม้กระทั่งชื่อหวังยังตกตะลึงกับของขวัญที่ถูกส่งมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ “นี่คือ…ขนของวิหคเทพ?”

วิหคเทพฉงหมิงจะผลัดขนทุกๆ หนึ่งวงจรต้นฟ้ากิ่งดิน[8] ขนที่ร่วงลงมาเหล่านี้ล้วนถูกเก็บรักษาไว้ในอารามเทพจิ่วอี๋ ขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ อุ่นนุ่มดุจกำมะหยี่ ไม่กลัวน้ำไม่กลัวไฟ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ เป็นของล้ำค่าที่ถวายให้เชื้อพระวงศ์ในตี้ตูเท่านั้น ฟานหวังคนอื่นๆ เว้นแต่จะได้รับจากเชื้อพระวงศ์ หาไม่แล้วย่อมไม่มีโอกาสได้ใช้ของล้ำค่าเช่นนี้

“เซ่าเสินกวนส่งมาให้เจ้าหรือ” ชื่อหวังรีบมองตราประทับสีแดงตรงบริเวณที่ลงนาม มองบุตรสาวด้วยความฉงน “อาเหยียน เจ้าไปรู้จักกับเซ่าเสินกวนตั้งแต่เมื่อไร เจ้าเคยพบเขาด้วยหรือ”

นางกำลังจะตอบ พลันนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายคนนั้นเคยกำชับว่าห้ามพูดเรื่องในวันนั้นกับใครเด็ดขาด และนางก็รับปากเขาแล้ว จึงรีบส่ายหน้า “ข้า…ข้าไม่เคยพบเขา!”

“ไม่เคยพบก็ดี” ชื่อหวังโล่งอก แต่กลับไม่เข้าใจ “แล้วเหตุใดจู่ๆ เขาจึงส่งของขวัญมา”

“นั่น…นั่นเป็นเพราะ…” หัวสมองเล็กๆ ของนางขบคิดอย่างรวดเร็ว กุเรื่องขึ้นมา “นั่นเป็นเพราะข้ากับฉงหมิงเป็นสหายรักกัน!”

“ฉงหมิง?” ชื่อหวังตะลึงงัน “เจ้าเป็นสหายกับนกตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ”

“อื้ม!” นางพยักหน้าอย่างแรง แต่กลับไม่รู้จะแต่งเรื่องต่ออย่างไรดี ทว่าชื่อหวังมิได้ถามมาก เพียงมองบุตรสาวตัวน้อยด้วยแววตาลึกซึ้ง “เซ่าเสินกวนอาศัยอยู่อย่างสันโดษ ไม่ค่อยปรากฏตัว แม้แต่หวังของหกเผ่ายังมิอาจคบหากับเขาได้ เจ้าร้ายกาจทีเดียว…”

นางกลับเอาแต่กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี “เร็วเข้า! รีบเอามาตัดชุดให้ข้าใส่!”

ฟู่หวังมองบุตรสาวตัวน้อยที่ช่างใสซื่อไม่รู้ความ ไม่รู้เหตุใดแววตาจึงแปลกไปเล็กน้อย ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งพ่อบ้านให้ไปตามช่างตัดเสื้อมา

จวบจนวันที่เสื้อขนนกตัดเย็บเสร็จเรียบร้อย นางสวมใส่มันด้วยความยินดี ส่องดูหน้าคันฉ่อง จู่ๆ ก็เอ่ยปากกับฟู่หวังอย่างจริงจัง “ฟู่หวัง ข้าอยากไปอารามเทพจิ่วอี๋เรียนรู้อาคม! ข้าอยากเหาะได้!”

ครั้งนี้ฟู่หวังที่เข้มงวดมาตลอดกลับมิได้คัดค้าน ขบคิดและเอ่ยว่า “แม้อารามเทพจิ่วอี๋จะมีกฎไม่รับสตรี แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงเด็ก…ข้าจะไปขอร้องต้าเสินกวนเป็นการส่วนตัว ดูว่าสามารถให้เจ้าเข้าเป็นศิษย์ที่ไม่จารึกนามเป็นกรณีพิเศษได้หรือไม่ ขึ้นเขาไปบำเพ็ญเพียรสักสองสามปี”

“ดีเหลือเกิน!” นางโห่ร้องด้วยความยินดี สวมชุดขนนกหมุนตัวไปรอบๆ ดุจนกพิราบที่มีความสุข

ฤดูสารทปีนั้น เมื่อใบไม้บนเขาจิ่วอี๋เปลี่ยนเป็นสีเหลือง นางในวัยเก้าขวบติดตามฟู่หวังไปอารามเทพจิ่วอี๋เป็นครั้งที่สอง ก่อนจากไป นางกอดคอยวนอย่างอาลัยอาวรณ์ หอมแก้มเขาทีหนึ่ง พูดเสียงค่อย “ข้าไปนะ! รอให้ข้าฝึกวิชาจนเหาะได้เมื่อไร ข้าจะรีบกลับมาทันที!”

“อื้ม” ยวนยิ้มน้อยๆ “อาเหยียนเฉลียวฉลาดออกเพียงนี้ จะต้องฝึกสำเร็จในเร็ววันแน่”

“ต้องจากไปนานมาก…ข้าต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ” นางพูดอย่างหดหู่ นิ้วมือพันเส้นผมยาวสีฟ้าน้ำทะเลของยวนเล่น บ่นเบาๆ “ที่นั่นไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว มีแต่ท่านอาท่านลุงกับท่านปู่แก่งั่ก แต่ละคนตีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา ไม่น่าสนุกเลยสักนิด”

ยวนลูบแก้มของนางที่ป่องออกมา ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร เวลาอาเหยียนยิ้ม แม้แต่น้ำแข็งที่แข็งมากก็ยังละลายได้”

“แต่ข้าก็ยังตัดใจจากยวนไม่ได้อยู่ดี” นางพูดเสียงเบา “ข้าจะไม่ได้เจอยวนอีกตั้งนาน!”

“มา ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า” ยวนคิดแล้วห้อยของสิ่งหนึ่งไว้ที่คอนาง เป็นอวี้หวน[9]สีขาวบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าทำจากอะไร คล้ายหยกแต่ก็เหมือนหลิวหลี ข้างในมีริ้วสีแดงลอยอยู่จางๆ “นี่คือโลหิตมังกรบรรพกาล เป็นของล้ำค่ามาก สามารถป้องกันพิษทั้งหลายในใต้หล้าได้…สวมมันไว้ย่อมเหมือนมีข้าอยู่ข้างกายเจ้า”

นางใช้นิ้วโป้งสอดเข้าไปในอวี้หวนนั้นและหมุนไปมา รู้ว่านี่คือของล้ำค่าที่ยวนสวมใส่ติดตัวตลอดเวลา น้ำตาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “ได้! ข้าจะสวมติดตัวไว้ตลอดเลย”

“อย่าให้ใครเห็นเล่า” เขากำชับเบาๆ “รู้หรือไม่”

“รู้แล้ว” นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย เอาอวี้หวนนั้นสอดเก็บไว้ใต้เสื้อตัวใน “ข้าสวมไว้ข้างในสุด ไม่ให้ใครเห็นทั้งนั้น!”

แต่ว่าเพราะอะไรเล่า ตอนนั้นนางที่ยังเป็นเด็กกลับไม่ได้คิดมาก

ในส่วนลึกของอารามเทพจิ่วอี๋ นางได้พบเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง

ครั้งนี้เขาไม่ได้สวมชุดสามัญแล้ว เปลี่ยนมาสวมชุดพิธีการที่งดงามอลังการ ชุดคลุมขาวยาวลากพื้น คาดเข็มขัดหยก เกล้ามวยครอบเกี้ยว มือถืออวี้เจี่ยน ยืนอยู่ข้างหลังต้าเสินกวนเงียบๆ ดูหล่อเหลาสูงสง่าดุจเทพเจ้าผู้ทรงศักดิ์ ยืนอยู่บนที่สูงของวิหารมองนางเดินเข้ามา ใบหน้าซ่อนอยู่หลังหมอกควันที่ม้วนตัวขึ้นมาจากติ่ง[10]ศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาแต่โบราณ ดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด

“อิ่ง นี่ก็คือธิดาของชื่อหวังที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟัง จูเหยียนจวิ้นจู่ ปีนี้อายุเก้าขวบ มีความตั้งใจอยากเล่าเรียนวิชาอาคม” ต้าเสินกวนจูงมือเล็กของนางมาจากชื่อหวัง พาไปตรงหน้าศิษย์ของตน “เจ้าเองก็อายุครบสิบแปด พลังคำทำนายหายไปแล้ว สามารถออกจากหุบเขาและรับศิษย์ได้…หากมีเวลาก็สอนวิชาให้นางบ้างเถิด ให้นางเป็นศิษย์ที่ไม่จารึกนามก็แล้วกัน”

นางมองเขาอย่างหวาดหวั่น กลัวเหลือเกินว่าเขาจะเอ่ยว่าไม่ต้องการตน หากเขาปฏิเสธจริง นางต้องเตือนความจำเขาแน่ว่าครั้งก่อนเขารับปากนางแล้วชัดๆ ว่าพบกันอีกครั้งจะสอนวิชาอาคมนาง!

ทว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นหลุบตามองนางครู่หนึ่ง เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามิใช่อาจารย์ที่ดี…เรียนวิชาอาคมกับข้าจะลำบากมาก”

“ข้าไม่กลัวความลำบาก!” นางร้องออกมาทันใด “ข้าอาศัยอยู่กับท่านในถ้ำได้!”

เขาเงียบไป ก่อนเอ่ยต่อ “และจะเหงามาก”

“ไม่หรอก ไม่หรอก” นางกลับคลี่ยิ้มเต็มหน้า ก้าวเข้าไปจับมือเขา แทบจะขยับเข้าไปชิดข้างกาย “แต่ก่อนหุบเขาแห่งนั้นมีแต่คนตาย ท่านอยู่คนเดียวย่อมต้องเหงาอยู่แล้ว…ทว่านับจากนี้ไปจะมีข้าอยู่เป็นเพื่อนท่าน! ท่านจะไม่เหงาอีกแล้ว!”

มือของเขาเย็นเฉียบ ทว่าในดวงตาของเด็กหนุ่มกลับเจือความอบอุ่นนิดๆ เป็นครั้งแรก

เขาพูด “นับจากนี้ต้องเชื่อฟังข้า ห้ามโกหกข้า”

“ได้!” นางพยักหน้ารัวๆ

“หากไม่เชื่อฟังจะต้องถูกตี!” ในที่สุดเด็กหนุ่มก็กุมมือนุ่มนิ่มของเด็กหญิง ย้ำกับนางทีละคำด้วยสีหน้าขึงขัง “ถึงเวลาจะร้องไห้คร่ำครวญไม่ได้นะ”

 

เรื่องราวในอดีตดุจหมอกควัน กระจายตัวและรวมตัวกันอีกครั้งเบื้องหน้า

จะว่าไป เขาบอกชัดเจนตั้งแต่ทีแรกแล้ว ในฐานะอาจารย์เขามีสิทธิ์ตีลูกศิษย์ที่ไม่เชื่อฟัง…วันนี้ตนถูกตี ดูเหมือนจะมิอาจกล่าวโทษผู้ใดได้

จูเหยียนอยู่ในกระโจมทองมองอาจารย์พาวิหคเทพฉงหมิงจากไป ความรู้สึกในใจผสมปนเป แผ่นหลังปวดแสบปวดร้อน อยากลุกขึ้นดื่มน้ำสักอึก แต่กลับร้อง “โอ๊ย” และนั่งลงอีกครั้ง

“จวิ้นจู่ ท่านไม่เป็นไรกระมัง” อวี้เฟยเข้ามาเห็นก็รีบถาม

“เร็ว…รีบไปเอายาแก้ฟกช้ำมาทาให้ข้าที!” นางกุมก้น สบถด่าไม่หยุด “ต้องถูกตีจนช้ำหมดแล้วแน่ๆ ให้ตายเถอะ…โอ๊ย เขากล้าลงมือจริงๆ หรือนี่”

อวี้เฟยถามด้วยความตระหนก “คนเมื่อครู่นี้เป็นใครหรือเจ้าคะ”

“ยังจะเป็นใครได้เล่า” จูเหยียนไม่สบอารมณ์ “อาจารย์ของข้าน่ะสิ!”

“หา? เขา…เขาคือต้าเสินกวน? แต่ก่อนท่านไปเขาจิ่วอี๋เล่าเรียนวิชาอาคมกับเขาหรือ” สาวใช้ตกใจระคนสงสัย มองบุรุษสง่างามที่เหินลมจากไป พลันอุทานออกมาเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง “จวิ้นจู่ หรือว่าที่ท่านหนีการแต่งงานเมื่อคืนเป็นเพราะเขา?”

“หา?” จูเหยียนอ้าปากหวอ ตะลึงงันชั่วขณะ

แต่อวี้เฟยกลับทำหน้าราวกับเข้าใจปรุโปร่ง พูดเองเออเองต่อ “หากทำเพื่อบุรุษเช่นนี้ก็นับว่าคุ้มนะเจ้าคะ! เขาหล่อเหลากว่าเคอเอ่อร์เค่อชินหวังตั้งเยอะ…แต่ว่าตอนนี้เหตุใดเขาจึงตีท่านและจากไปคนเดียวเล่า หรือจู่ๆ เขาก็พลิกหน้าไม่รู้จักคน[11] ไม่ต้องการท่านแล้ว?”

พูดอยู่คนเดียวจนถึงตรงนี้ อวี้เฟยก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง “แต่ความรักระหว่างศิษย์อาจารย์ เดิมก็เป็นเรื่องต้องห้ามอยู่แล้ว…เฮ้อ…”

“…” จูเหยียนเพิ่งดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง ได้ยินแล้วแทบจะพ่นออกมา

เด็กสาวพวกนี้ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าแท้ๆ แต่จินตนาการกลับบรรเจิดนัก แต่…เดี๋ยวก่อน! ฟังนางพูดเช่นนี้ หากใช้เหตุผลนี้อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ก็ดูสมเหตุสมผลทีเดียว หากฟู่หวังโกรธจัดจะลงโทษข้า ข้ายกข้ออ้างนี้มาผลักเรือตามน้ำ[12]ไปดีหรือไม่ ถึงอย่างไรฟู่หวังก็ไม่กล้าล่วงเกินอาจารย์อยู่แล้ว…

เพ้ยๆๆ! คิดบ้าอะไรของเจ้า ถูกตีเมื่อครู่ยังไม่เข็ดอีกหรือ

นางพลิกตัวอยู่บนที่นอนขนจิ้งจอกขาวอย่างซึมกระทือ งึมงำสั่งให้อวี้เฟยมาทายาแก้ฟกช้ำให้ อวี้เฟยยกสุรายากับยาขี้ผึ้งเข้ามาจากข้างนอก เลิกเสื้อผ้านางขึ้นอย่างระมัดระวัง อดเปล่งเสียงอุทานมิได้…ผิวพรรณของจวิ้นจู่ขาวเนียนดุจหิมะดุจหยก เอวบางคอดกิ่ว ทว่าตั้งแต่แผ่นหลังลงไปจนถึงต้นขากลับแดงเถือก บวมขึ้นมาครึ่งนิ้วมือ รอยถูกตีแต่ละรอยมองเห็นเด่นชัด

“คนผู้นั้นใจร้ายเกินไปแล้วกระมัง” อวี้เฟยเอ่ยด้วยความโมโห “โชคดีที่จวิ้นจู่ไม่ได้หนีตามเขาไป!”

เหลวไหล ด้วยพลังวิชาของอาจารย์ ตีครั้งเดียวให้จิตวิญญาณนางกระเจิดกระเจิงออกจากร่างก็เป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือแล้ว ไหนเลยจะมีแค่แผลถลอกภายนอกเช่นนี้ ทว่านางคร้านจะอธิบาย จึงเพียงตีขากับเตียงเป็นการเร่ง “รีบๆ ทายา! จะพูดพล่ามทำไมมากมาย ห้ามพูดถึงคนคนนี้อีก ได้ยินหรือไม่”

“เจ้าค่ะๆ” อวี้เฟยกลัวจวิ้นจู่จะเสียใจจึงรีบหุบปาก

หลังจากทายาแก้ฟกช้ำแล้ว แผ่นหลังพลันรู้สึกเย็นสบาย นางไม่กล้าคลุมเสื้อผ้าทันที ได้แต่นอนคว่ำอยู่เช่นนั้น รอให้ยาแห้งก่อน ระหว่างเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ คิดได้ว่าฟู่หวังกำลังเดินทางมาจับตัวนางกลับไป ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งหงุดหงิดอัดอั้น อดร้องเสียงดังออกมามิได้ คว้าถ้วยทองตรงหน้าเขวี้ยงออกไป

ข้าอายุสิบแปด เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงไม่สามารถเลือกชีวิตตามใจตนได้ เพียงเพราะเป็นจวิ้นจู่ของเผ่าชื่อ อิสระของข้า การแต่งงานของข้า ความสุขชั่วชีวิตของข้า จึงต้องเสียสละไปเปล่าๆ เช่นนี้หรือ เทียบกันแล้ว ข้ากับทาสเงือกเหล่านั้นแตกต่างกันที่ใด

ฝันไปเถอะ! ข้าไม่ยอมจำนนจริงๆ หรอก!

ถ้วยทองใบนั้นลอยละลิ่วออกจากกระโจม แต่กลับชะงักกลางอากาศทันควัน คล้ายถูกตาข่ายที่มองไม่เห็นขวางไว้ ก่อนจะดีดตัวกลับมา เกือบกระแทกถูกหน้านาง จูเหยียนนอนเปลือยหลังอยู่บนฟูกขนจิ้งจอกขาว ถูกน้ำสาดใส่เต็มหน้า นิ่งงันไปครู่ใหญ่ เมื่อตั้งสติได้ก็โกรธจนสบถออกมา

ใช่ อาจารย์คงกลัวว่านางจะใช้อาคมจำพวกนกกระเรียนกระดาษส่งสารไปขอกำลังให้ช่วยพาหนี จึงสร้างข่ายอาคมขึ้นที่นี่เสีย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนางล้วนถูกกักขังอยู่ข้างใน แม้กระทั่งถ้วยใบหนึ่งที่ผ่านมือนาง!

“ไอ้คนน่าโมโห!” นางเก็บถ้วยทองขึ้นมาด้วยความเดือดดาลและเขวี้ยงออกไปอีกครั้ง การเขวี้ยงครั้งนี้นางใช้อาคมแหวกอากาศด้วย ทว่าถ้วยยังคงส่งเสียงดังเคล้ง แล้วดีดตัวกลับมา หมุนคว้างอยู่เบื้องหน้านาง จูเหยียนทุบกำปั้นลงบนเตียง แค้นจนกัดฟันกรอด ให้ตาย คิดว่าสร้างข่ายอาคมขึ้นมาแล้วข้าจะเป็นปลาในแหอย่างนั้นหรือ คอยดูเถอะ ข้าต้องฝ่าออกไปให้ได้!

ตลอดช่วงบ่ายของนางล้วนหมดไปกับการทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ วุ่นวายกับถ้วยในมือ เขวี้ยงออกไปแล้วเก็บขึ้นมา เก็บขึ้นมาแล้วเขวี้ยงออกไปใหม่ ใช้ทุกวิธีที่นางรู้…ทว่าแม้กระทั่งถ้วยทองใบเล็กๆ เช่นนี้ ก็ยังไม่อาจฝ่าทำลายข่ายอาคมที่มองไม่เห็นที่อาจารย์สร้างขึ้นมาได้

สุดท้ายอวี้เฟยกับอวิ๋นม่านต่างมองอย่างอึ้งงัน

“น่าสงสารเหลือเกิน…จวิ้นจู่กำลังทำอะไรของนาง”

“ต้องเป็นเพราะได้รับความสะเทือนใจมากเกินไป เสียใจจนฟั่นเฟือนแล้วเป็นแน่!”

“นั่นสิ…ฟูจวินที่เพิ่งแต่งงานด้วยก่อความผิดมหันต์ข้อหากบฏ ถูกประหารทั้งตระกูล บุรุษที่ตนพึงใจและนัดแนะว่าจะหนีไปด้วยกันทอดทิ้งนางไม่พอ ยังเปลี่ยนใจและทำร้ายนางจนมีสภาพเช่นนี้! เฮ้อ หากเปลี่ยนเป็นข้า เดาว่าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เช่นกัน”

“ช่างน่าสงสารนัก เหตุใดป่านนี้ชื่อหวังยังไม่มาอีก ข้ากลัวเหลือเกินว่าจวิ้นจู่จะคิดสั้น…”

พวกสาวใช้ขดตัวอยู่นอกกระโจม กระซิบกระซาบกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ

“คุยอะไรกัน คุยอะไรกัน! หุบปาก! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! ไสหัวไปให้หมด!” นางโมโหจนแทบคลั่ง เขวี้ยงถ้วยทองออกจากกระโจม ทำเอาพวกนางตกใจ รีบหลบออกไป ทว่าคิดดูอีกที จูเหยียนพลันชะงัก ประหลาด เหตุใดแม้แต่ถ้วยใบเดียวข้ายังเขวี้ยงออกไปไม่ได้ แต่อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านกลับเข้าออกได้อย่างอิสระ เป็นเพราะตอนอาจารย์สร้างข่ายอาคมได้อนุญาตให้สาวใช้ประจำตัวทั้งสองคนเข้าออกได้อย่างนั้นหรือ

เขาคิดการณ์รอบคอบทีเดียวนี่! กลัวข้าจะหิวตายหรือไร

นางใช้กำปั้นทุบพื้นด้วยความโมโห…มือพลันกระแทกถูกบางสิ่ง ก้มลงมอง พบว่าเป็นสมุดบันทึกที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้

จูเหยียนชะงัก หยิบขึ้นมาพลิกเปิดดู

หน้าปกไม่ได้เขียนอะไรไว้ เปิดออกดู หน้าที่สองก็ว่างเปล่า เพียงเขียนตรงมุมล่างขวาด้วยอักษรตัวเล็กว่า ‘บันทึกจูเหยียน’ ข้างในเต็มไปด้วยอักษรข่ายซู[13]ตัวเล็กเรียงชิดกันแน่น เขียนด้วยตัวอักษรในยุคบรรพกาลของแคว้นคงซาง โชคดีที่นางอยู่กับอาจารย์ที่อารามเทพจิ่วอี๋เป็นเวลาสี่ปี เคยคัดอักษรตามศิลาจารึกและเรียนรู้อักขระโบราณ จึงพออ่านรู้เรื่องบ้าง

ลายมือของสืออิ่งดูโบราณและเป็นธรรมชาติ ลายเส้นอ่อนโยนสำรวม ให้ความรู้สึกสง่างามองอาจ ดูแล้วเจริญตาเจริญใจมากทีเดียว

จูเหยียนนอนคว่ำอยู่ในกระโจมทอง พลิกดูทีละหน้า พบว่าทุกหน้าล้วนเป็นคาถาอาคมที่ล้ำเลิศลึกซึ้ง ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงขั้นบรรลุวิชา เนื้อหามีแต่เคล็ดลับสำคัญ สามารถศึกษาทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ส่วนที่ซับซ้อนหรือน่าเบื่อยังมีภาพประกอบด้วย เห็นชัดว่าเขียนขึ้นเพื่อให้เข้ากับนางโดยเฉพาะ

“คนตัวเล็กที่นั่งสมาธิอยู่วาดได้ไม่เลวเลย…มวยผมเกล้าได้สวยงาม” นางเท้าคาง จ้องภาพคนนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจภาพหนึ่ง พลางพึมพำกับตัวเอง “เอ๋? นี่คืออวี้กู่หรือ ดูเหมือนคนในภาพจะเป็นข้า?”

นางใช้นิ้วมือจิ้มปิ่นหยกบนศีรษะของคนตัวเล็กในภาพ อดฉีกยิ้มมิได้ “เหมือนทีเดียว”

เคล็ดวิชาที่ต้าเสินกวนแห่งจิ่วอี๋เขียนขึ้นเองกับมือ ไม่ว่าผู้ฝึกวิชาอาคมคนใดในอวิ๋นฮวง เกรงว่าคงยินดีเอาทั้งชีวิตของตนเองแลกกับกระดาษเพียงแผ่นเดียวของสมุดบันทึกนี้ แต่สำหรับจูเหยียนที่หลังจากเรียนรู้วิชาจนเหาะเหินได้ ตลอดห้าปีที่อยู่บ้านก็ไม่เคยฝึกฝนอาคมอย่างจริงจัง ยามนี้ดูแล้วกลับรู้สึกเวียนหัว ฝืนใจอ่านไปได้สองสามหน้าก็โยนสมุดไปด้านข้าง

จากเมืองเทียนจี๋เฟิงมาซูซ่าฮาหลู่ หนทางยาวไกล น่าจะต้องใช้เวลาเต็มที่ยี่สิบวันหากควบม้าเร็วเดินทางไม่หยุด แต่หากฟู่หวังร้อนใจใช้อาคมย่นระยะทาง เดาว่าสามถึงห้าวันก็มาถึงแล้ว…บนผืนแผ่นดินอวิ๋นฮวง นอกจากตี้จวินแห่งแคว้นคงซางในจยาหลานตี้ตูที่สืบทอดสายเลือดของตี้หวังแล้ว หวังหกเผ่าต่างก็มีพลังวิญญาณของตนเองแตกต่างกันไป เพียงแต่หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ มิอาจใช้ส่งเดชได้

ฟู่หวังมาถึงเมื่อไร นางต้องถูกด่าคำรบหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่ หลังจากนั้นก็ต้องถูกคุมตัวกลับไปจวนหวัง ถูกจับตาดูอย่างเข้มงวดจนกว่าจะถูกส่งออกเรือนเป็นครั้งที่สอง…

ชีวิตเช่นนี้เมื่อไรจะสิ้นสุดสักทีหนอ

นางสูดหายใจลึก พลันผุดลุกขึ้นนั่ง สวมเสื้อผ้าและตั้งใจหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมา วางลงบนตัก ตั้งหน้าตั้งตาอ่านอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นทีละหน้า

ใช่แล้ว หากข้าอยากมีชีวิตเป็นของตนเอง เอาแต่นอนโอดครวญก่นด่าคนอยู่ตรงนี้จะไปมีประโยชน์อันใด ตะโกนให้คอแตกก็ไม่มีใครมาช่วยข้า…ข้าต้องมีพละกำลังมากพอ เก่งกล้าเหมือนอาจารย์ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่พันธนาการตนเองได้!

ถึงตอนนั้น ข้าจะได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง!

 

 

[1] เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้มีผื่นแดงตามตัวร่วมกับทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในเด็กอายุ 5-15 ปี

[2] “หวงเฉวียน” คือทางน้ำใต้ดิน ใช้เรียกยมโลก

[3] สัตว์เทพในตำนาน มักใช้เป็นสัตว์พาหนะ ตำนานเล่าว่ามีลักษณะคล้ายสุนัข แต่ดุร้ายเป็นพิเศษ กินคนและมักทะเลาะกับมังกร

[4] ขนมชนิดหนึ่ง ทำจากแป้ง น้ำตาลทราย และถั่วลิสง ลักษณะนุ่ม เหนียวหนึบ ภายนอกโรยด้วยงาขาว ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่เกาะติด ตามตอแยไม่เลิก

[5] จุดลมปราณบริเวณกลางหลัง

[6] เซ่าเสินกวนเป็นตำแหน่งรองจากต้าเสินกวน

[7] ผ้าไหมที่เชื่อว่าทอโดยมนุษย์เงือก ล้ำค่าและงดงามมาก

[8] เท่ากับ 60 ปี หนึ่งวงจรต้นฟ้ากิ่งดิน หรือ “จย่าจื่อ” เป็นระบบกาลของจีน ที่จัด 60 คู่ลำดับต้นฟ้ากับกิ่งดิน ประกอบด้วย 10 ราศีบน (ต้นฟ้า) กับ 12 ราศีล่าง (กิ่งดิน) ราศีบนประกอบด้วยธาตุทั้งห้า (ไม้ ไฟ ดิน โลหะ น้ำ) แต่ละธาตุแบ่งออกเป็นสองคุณสมบัติคือหยิน และหยาง รวมเป็นทั้งสิ้น 10 ราศีบน ส่วนราศีล่างแทนถึง 12 นักษัตร (ประกอบด้วย 6 นักษัตรหยิน และ 6 นักษัตรหยาง นักษัตรหยินจับคู่กับธาตุคุณสมบัติหยิน นักษัตรหยางจับคู่ธาตุคุณสมบัติหยาง) จับคู่กันโดยเริ่มจาก “จย่าจื่อ” หรือก็ ชวดธาตุไม้ (หยาง) จากนั้นไล่คู่ลำดับมาเรื่อยๆ จนครบ จะได้คู่ลำดับทั้งสิ้น 60 คู่ หรือก็คือ 60 ปี

[9] หยกทรงวงแหวน มีรูตรงกลาง

[10] กระถางโลหะสามขาขนาดใหญ่ สมัยโบราณใช้เป็นภาชนะในการประกอบอาหาร ต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ

[11] หมายถึง เปลี่ยนท่าทีไปกลายเป็นอริ ไม่เป็นมิตร

[12] หมายถึง คล้อยตามสถานการณ์

[13] อักษรจีนที่เริ่มพัฒนามาตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ลักษณะเส้นออกแบบให้สมดุลอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยม ลายเส้นบรรจง

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า