[ทดลองอ่าน] ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก เล่ม 4 บทที่ 110

ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก

造作时光 

 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน

Hanza แปล

 

— โปรย —

“เจ้าไม่สมควรเรียกข้าว่ารัชทายาทแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นให้เรียกว่าอันใดเพคะ”
“เรียกข้าว่า…ท่านพี่ หรือเรียกชื่อข้าว่า หยวนซู่”
นิ้วของทั้งสองคนสอดประสานกัน เหมือนกับชีวิตของพวกเขานับจากนี้ไป
จะเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งที่สุด…

.
ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอไร้เรี่ยวเเรง
แต่แท้จริงนางเข้มแข็งและฉลาดปราดเปรื่องจนน่าครั่นคร้าม
จีหยวนซู่ รัชทายาทหนุ่มรูปงาม เย็นชา หยิ่งยโส ไม่ไว้หน้าผู้ใด
แต่พอตกอยู่ในห้วงรัก ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนทันที

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

บทที่ 110

 

ในสำนักศึกษาหลวง เหล่าพระบรมวงศ์รุ่นเยาว์กำลัง ต่อสู้เสียงดังกันอยู่นอกสวน หากเซี่ยซื่อจื่อกลับนั่งเหม่อเงียบ ๆ บนระเบียง ทางเดิน

“เซี่ยซื่อจื่อ” มีพระบรมวงศ์ปลายแถวคนหนึ่งเดินมาหาเขา “บ่าย วันนี้พวกเราจะต้องฝึกขี่ม้ายิงธนูที่สนามฝึกยุทธ์ ได้ยินว่าแม่ทัพเว่ย จะเป็นผู้สอนวิชานี้ เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่”

วิชาขี่ม้ายิงธนูของเซี่ยซื่อจื่อนั้นย่ำแย่ยิ่งนัก เขาไม่ชอบเรียนวิชา เหล่านี้ แต่หลังจากเข้าสำนักศึกษาหลวงสำหรับพระบรมวงศ์แล้วเขาก็ พบว่า พระบรมวงศ์หรือพระญาติทั้งหลายล้วนเป็นวิชาหมัดมวย พวกเขา ยกย่องผู้มีความรู้ทั้งบุ๋นและบู๊ ในกลุ่มพวกเขามีซื่อจื่อคนหนึ่งเก่งด้านกระบี่ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกว้างขวางอยู่ในสำนักศึกษา

“ไปสิ” เซี่ยซื่อจื่อรู้ว่าจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ นอกจากจะพยายาม ปรับตัวให้เข้าพวกแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าเขายังจะทำอันใดได้อีก

แม้ผู้อื่นในสำนักศึกษาหลวงจะเกรงใจเขา ทว่าความจริงเขามองออก ว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่กล้าคบค้าสมาคมกับเขาใกล้ชิดเกินไป นี่เป็น ครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ถึงจิตใจผู้คนและความจอมปลอมของเหล่าพระบรมวงศ์

เมื่อถึงเวลากินอาหารเที่ยง คนอื่น ๆ จับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หยิบกล่องอาหารออกมากินไปพลางคุยไปพลาง บางคนกินไปหัวเราะไป มีแต่เขาที่นั่งกินอาหารอย่างไม่รู้รสชาติอยู่มุมด้านหนึ่ง พลางกังวลถึงบิดา มารดาที่ถูกกักบริเวณ ยังมีพี่รองที่ถูกคุมขังอยู่ในศาลต้าหลี่

“ได้ยินหรือไม่ บ่ายวันนี้ไม่เพียงแม่ทัพเว่ยจะมาที่นี่ แต่รัชทายาท และท่านอ๋องอีกหลายคนก็จะมาด้วย” คุณชายน้อยคนหนึ่งกล่าว “ได้ยิน ว่าองค์ชายสี่กับองค์ชายห้ากำลังจะได้อวยยศเป็นอ๋อง มีตำหนักเป็น ของตนเอง ต้องการผู้ช่วยที่มีอายุใกล้เคียงกัน ที่รัชทายาทเสด็จมาด้วย ก็เพราะจะทรงช่วยองค์ชายทั้งสองคัดเลือกคน”

ในกลุ่มคนเหล่านี้ แม้บางคนมีเชื้อสายหรือมีความเกี่ยวดองกับ ราชวงศ์ แต่ก็เป็นตระกูลที่มีเชื้อสายห่าง ๆ มิได้มีชื่อเสียงสักเท่าไร การได้ทำงานอยู่ในตำหนักอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ นับเป็น หนทางที่ไม่เลวทีเดียว

รัชทายาทเป็นผู้คัดเลือกผู้ช่วยขององค์ชายทั้งสอง เห็นได้ว่าฮ่องเต้ เชื่อมั่นและให้ความสำคัญกับรัชทายาทมากเพียงใด

เซี่ยซื่อจื่อเกรงกลัวรัชทายาทมากกว่าจะเคารพยกย่อง ที่หวาดกลัว ก็เพราะร้อนตัว พอคิดว่ารัชทายาทแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะพี่รองแล้ว เขาก็มิกล้าโงหัวขึ้นต่อหน้ารัชทายาท

เซี่ยซื่อจื่อนึกเสียใจทันใด ถ้ารู้แต่แรกว่ารัชทายาทจะมา เขาไม่ สมควรตอบรับคำชวนมาที่สนามฝึกยุทธ์เลย น่าเสียดายที่สถานการณ์ ยามนี้ของเขา ถ้าเขาปฏิเสธ ในสายตาของผู้อื่นจะมองว่าเขาอาจเกิด ความคิดบางอย่าง

มิน่าถึงมีคนตั้งใจไปชวนเขามาที่สนามฝึกยุทธ์ ที่แท้พวกเขาก็รู้ว่า รัชทายาทจะมา กระทำเช่นนี้เพื่อให้เขากลายเป็นตัวตลก

เซี่ยซื่อจื่ออยากให้เวลาพักเที่ยงยาวนานกว่านี้ ทว่าน่าเสียดายที่แม้เขา จะไม่ยินดีมากเพียงใด สุดท้ายก็ต้องมายืนอยู่ที่สนามฝึกยุทธ์

คันธนู เขาดึงไม่ไหว

กระบี่ เขากวัดแกว่งไม่ไป

แม้แต่เพลงมวยพื้นฐานที่สุดสำหรับฝึกฝนร่างกาย เขาก็ยังร่ายรำ ได้ไม่ดี

เขารู้ดีว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ ต้องแอบหัวเราะเยาะเขาในใจ แต่เขาไม่มีใจ ไปนึกถึงเรื่องเหล่านั้น ได้แต่แอบอธิษฐานในใจว่ารัชทายาทอย่ามาเลย

เซี่ยซื่อจื่อนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยความกระวนกระวายไม่เป็นสุข แม้แต่ บังเหียนก็ยังจับไม่มั่น เสียงร้องแหลมดังขึ้นคราหนึ่ง ก่อนที่เซี่ยซื่อจื่อ จะพบว่าม้าที่ตนเองขี่อยู่นั้นเกิดอาการคลุ้มคลั่ง

ม้าที่เชื่องอย่างนี้จะคลุ้มคลั่งกะทันหันได้อย่างไร

มีคนคิดจะให้เขาตาย

ใครกัน!

เป็นรัชทายาทหรือคนสกุลฮวา!

ม้าสะบัดเซี่ยซื่อจื่อไปมาจนเขาอยากอาเจียน ในขณะที่เขาจับบังเหียน ไม่อยู่ พลัดตกจากหลังม้าในพริบตานั้นเอง มีคนขี่ม้าเข้ามาคว้าตัวเขา กลางอากาศไว้ได้พอดิบพอดี

“เซี่ยซื่อจื่อ เป็นอย่างไรบ้าง”

คนคนนั้นจับเขานั่งบนหลังม้า เขาเห็นหน้าคนที่เข้ามาช่วยในขณะที่ ตัวเขายังหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ

เป็นแม่ทัพเว่ยที่ท่านแม่ไม่ชอบหน้า

นางช่วยเขาเอาไว้

เซี่ยซื่อจื่อคิดได้ว่าเมื่อครู่ตนยังสงสัยคนสกุลฮวาอยู่เลย ก็รู้สึก ละอายใจจนหน้าแดงก่ำ “ขอบคุณแม่ทัพเว่ยมากที่ช่วยชีวิตข้า”

“ม้าตัวนี้ป่วยเป็นโรคลมแดด” เว่ยหมิงเย่ว์นิ่วหน้า “ขุนนางผู้ดูแล ม้าเหล่านี้เป็นใคร ม้าป่วยแล้วยังมองไม่ออกอีกหรือ!”

คนเลี้ยงม้าตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ม้าเหล่านี้ถูกจัดมาให้เหล่าพระ- บรมวงศ์ใช้งาน หากเกิดเรื่องขึ้น ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหว ทุกวัน พวกเขาจะต้องเลือกสรรม้าเหล่านี้อย่างรอบคอบ ไฉนวันนี้จึงมีม้าป่วยปะปน เข้ามาได้

“เรียกคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาที่นี่” เว่ยหมิงเย่ว์สะบัดแส้ในมือ หัวเราะเสียงเย็น “พวกเจ้าไม่ใส่ใจความปลอดภัยของเหล่าพระบรมวงศ์ แล้วยังจะมีอันใดที่มิกล้าทำอีก”

พวกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสนามฝึกยุทธ์เห็นเว่ยหมิงเย่ว์บันดาลโทสะก็รีบโขกศีรษะร้องขอชีวิต

พระบรมวงศ์ในสนามฝึกยุทธ์มองเว่ยหมิงเย่ว์ด้วยสายตาเลื่อมใส แม่ทัพเว่ยช่างน่าเกรงขามนัก

“ท่านแม่ เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” ฮวาหลิวหลีเดินเข้ามาใน สนามฝึกยุทธ์ เห็นสีหน้าของมารดาย่ำแย่ และขันทีน้อยคนหนึ่งประคอง เซี่ยซื่อจื่อที่ยืนไม่ค่อยมั่นคง ยังมีเจ้าหน้าที่ดูแลสนามฝึกยุทธ์คุกเข่า เต็มไปหมด ก็รู้ทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องใดขึ้นแน่

“เจ้ามาทำไม” เว่ยหมิงเย่ว์เห็นรัชทายาทพาฮวาหลิวหลีมาที่นี่ก็รู้สึก ขบขันระคนอ่อนใจ วันนี้รัชทายาทมาเลือกผู้ช่วยให้องค์ชายทั้งสอง ยังเรียก หลิวหลีมาด้วย คงอยากให้บรรดาองค์ชายรู้จักมักคุ้นกับพี่สะใภ้คนนี้ ล่วงหน้า

ฮวาหลิวหลียิ้มประจบ “ลูกโดยเสด็จรัชทายาทเจ้าค่ะ”

เว่ยหมิงเย่ว์ไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของเด็ก ๆ ดังนั้นจึงมิได้ใส่ใจกับ วิธีการผูกสัมพันธ์ระหว่างบุตรีกับรัชทายาท นางคำนับรัชทายาท “รัชทายาท มีม้าป่วยในสนามฝึกยุทธ์ เมื่อครู่เกือบทำให้เซี่ยซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บเพคะ”

ในสนามฝึกยุทธ์ของราชวงศ์จะมีม้าป่วยได้อย่างไร

รัชทายาทและฮวาหลิวหลีสบตากัน จะต้องมีแผนร้ายแน่

หากเซี่ยซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้วยนิสัยของคนตระกูลผู้ดี ที่ไม่มีอันใดทำก็ชอบจินตนาการไปไกลเหล่านั้นแล้ว ส่วนใหญ่จะต้อง กล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของรัชทายาทหรือไม่ก็คนสกุลฮวา

เช้าไม่ตก เย็นไม่ตก เหตุใดพอพวกเขามาที่สนามฝึกยุทธ์ เซี่ยซื่อจื่อ ก็ตกม้าได้

ต้องตั้งใจกลั่นแกล้งเป็นแน่

มีคนบางจำพวกเป็นพวกที่ไม่ฟังเหตุผล ขณะเดียวกันก็มักจะ แสดงให้เห็นว่าตนเห็นใจผู้ที่อ่อนแอกว่าโดยไร้หลักการใด ๆ เพราะแบบนี้ จึงจะแสดงให้เห็นถึงจิตใจดีงามที่มิอาจนำออกมาตีแผ่ที่ใดของพวกเขาได้

ยังดีที่ท่านแม่ช่วยเซี่ยซื่อจื่อเอาไว้ได้ทันเวลา

คราวนี้เลยกลายเป็นว่าแม่ทัพเว่ยละทิ้งความแค้นของคนรุ่นก่อน ช่วยบุตรชายของศัตรูคู่แค้นอย่างกล้าหาญภายใต้สถานการณ์อันตราย บุตรีสกุลเซี่ยจ้างวานนักฆ่าให้สังหารบุตรสาวของนาง แต่นางกลับใช้ความดีตอบแทนความชั่ว ช่วยบุตรชายขององค์หญิงเล่อหยาง ช่างเป็น ผู้ที่มีคุณธรรมและจริยธรรมสูงส่ง

สมควรค่าให้ผู้คนชื่นชมยกย่อง!

ไม่รู้ว่าผู้วางแผนที่อยู่เบื้องหลังจะเคืองแค้นเพราะเรื่องนี้หรือไม่

และแน่นอนว่าหากโมโหตายเพราะเรื่องนี้ก็จะดียิ่งนัก

รัชทายาทเรียกราชองครักษ์เกราะทองให้นำตัวเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไป ไต่สวนที่ศาลต้าหลี่ทันที

“จุดประสงค์ที่เรามาวันนี้ คิดว่าทุกคนในที่นี่คงรู้กันแล้ว” รัชทายาท เดินมานั่งเก้าอี้สลัก มองเหล่าพระบรมวงศ์ “พวกเจ้ามีความสามารถใดบ้าง ทำอันใดเป็นบ้าง แนะนำตัวทีละคน”

กล่าวจบ เขาเอียงคอมองน้องชายทั้งสอง “น้องสี่ น้องห้า พวกเจ้า คอยเลือก”

เหล่าพระบรมวงศ์ “…”

ไฉนพวกเขาถึงรู้สึกเหมือนตนเองเป็นหัวไชเท้าที่รอให้กระต่ายเลือก กินนะ

องค์ชายสี่เหลือบตาเล็กน้อย ก่อนหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว “แล้วแต่ รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

“ในเมื่อน้องสี่ไม่มีเงื่อนไขใด อย่างนั้นเราจะช่วยเจ้าเลือกก็แล้วกัน” รัชทายาทกวาดตามองหน้าผู้ที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้น แล้วเลือกเด็กหนุ่มหน้าตา โดดเด่นหลายคน “พวกเจ้ามีใครที่เก่งด้านการสนทนากับผู้อื่นบ้าง”

เหล่าพระบรมวงศ์งุนงง มาตรฐานของความเชี่ยวชาญด้านการสนทนา กับผู้อื่นคืออันใด

“ปกติน้องสี่ของเราไม่ชอบสุงสิงกับใคร ทั้งยังไม่ชอบสนทนากับผู้อื่น เราอยากเลือกคนที่มีนิสัยร่าเริง มีวาทศิลป์” รัชทายาทชี้ไปที่คนหนึ่งในกลุ่ม “เราว่าเจ้าดูคล่องแคล่วดี ไป ไปยืนข้างหลังองค์ชายสี่”

“ขอบพระทัยรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ที่ได้รับเลือกคำนับองค์ชายสี่ สีหน้าตื่นเต้นยินดี “คารวะองค์ชายสี่”

“อืม” องค์ชายสี่ปฏิเสธที่จะพูดมากไปกว่านี้

คนคนนี้เขาพอจะรู้จัก มาจากตระกูลที่มีประวัติขาวสะอาด ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลใด ๆ แต่ว่าเป็นคน …พูดมาก

คนที่ไม่ชอบพูดอย่างเขาไม่อยากมีผู้ช่วยที่พูดมากถึงสองคนเลยจริง ๆ

แต่รัชทายาทจะยอมทำตามความเห็นของเขาหรือ

แน่นอนว่าไม่มีทาง

รัชทายาทไม่เพียงเลือกผู้ช่วยให้องค์ชายสี่เพิ่มอีกสองคน ทุกคนที่ เขาเลือกล้วนมีนิสัยช่างเจรจา

องค์ชายสี่อดสงสัยไม่ได้ว่า หรือรัชทายาทจะแก้แค้นที่เขาไม่สนใจ รัชทายาทยามนั้น

ยามนั้นรัชทายาทเพิ่งอายุไม่กี่ขวบ เป็นฝ่ายชวนเขาคุย แต่เขา ไม่อยากอ้าปากพูด จากนั้นรัชทายาทก็ไม่เคยชวนเขาคุยอีกเลย หลายปี มานี้พวกเขาอยู่กันอย่างปรองดอง จนเขาคิดว่ารัชทายาทคงจะลืมเรื่อง เมื่อครั้งอายุเยาว์แล้ว

คิดไม่ถึงว่ารัชทายาทยังรอเอาคืนจนกระทั่งวันนี้

“เสด็จพี่รัชทายาท” นับแต่งานเลี้ยงพระราชทานร้อยแคว้นผ่านไป องค์ชายห้าดูจะใกล้ชิดกับรัชทายาทไม่น้อย เขาเห็นรัชทายาทช่วยพี่สี่ เลือกผู้ช่วยแล้ว ก็รีบบอกความต้องการของตนเอง “กระหม่อมอยากได้ คนที่มีฝีมือวาดภาพและเข้าใจภาพวาดพ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทหันมององค์ชายห้าผาดหนึ่ง นิ่งเงียบอย่างน่าสงสัยครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “ได้สิ”

แต่พระบรมวงศ์ที่อยู่ตรงนั้นพบว่าผู้ช่วยสี่คนที่รัชทายาทเลือกให้ องค์ชายห้านั้นมีแค่สองคนที่มีฝีมือวาดภาพยอดเยี่ยม ส่วนอีกสองคนที่ ทำได้ดีที่สุดก็คือ…พูดเอาใจให้ผู้อื่นยิ้มแย้มอารมณ์ดี

ไม่ว่าคนทั้งแปดที่รัชทายาทเลือกมีความสามารถใด แต่พวกเขา ก็มีคุณสมบัติเหมือนกันข้อหนึ่ง นั่นก็คือมาจากวงศ์สกุลที่ขาวสะอาด ไม่มีผู้ใหญ่ในครอบครัวที่มีนิสัยสุดโต่งหรือมีจุดยืนที่แน่วแน่

คนในครอบครัวของทั้งแปดคนไม่มีใครยืนฝั่งเดียวกับรัชทายาทสักคน

เว่ยหมิงเย่ว์มองรัชทายาทอย่างชื่นชม มิน่าผู้สืบทอดบัลลังก์คนนี้ จึงนั่งตำแหน่งนี้อย่างไม่สั่นคลอนในใจของฮ่องเต้ ผู้ที่บริหารราชการแผ่นดิน ได้นั้นจำต้องมีจิตใจกว้างขวาง ในโลกนี้ไม่มีคนที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง  และไม่มีฮ่องเต้ที่สมบูรณ์แบบเช่นกัน เพียงแต่ตัวของรัชทายาทมีคุณสมบัติของฮ่องเต้ที่ดี

หลังช่วยองค์ชายทั้งสองเลือกผู้ช่วยแล้ว รัชทายาทก็มิได้จากไป ทันที แต่แสดงฝีมือขี่ม้า ยิงธนู และเพลงกระบี่ที่พอจะอวดธารกำนัล สร้างภาพลักษณ์อันดีต่อหน้าว่าที่แม่ยาย แล้วค่อยกล่าวลาอย่างสุภาพ และมีมารยาทเต็มเปี่ยม

เว่ยหมิงเย่ว์กล่าวอย่างอ่อนโยน “รัชทายาทเสด็จกลับดี ๆ นะเพคะ”

ฮวาหลิวหลีมองรัชทายาทแวบหนึ่ง ก่อนสลับมามองเว่ยหมิงเย่ว์ นางยิ้มประจบ “ท่านแม่ ลูกจะอยู่กับท่านที่นี่ก่อน”

“สนามฝึกยุทธ์มีฝุ่นมาก เจ้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าอยู่นาน เกินไปประเดี๋ยวจะไอ” เว่ยหมิงเย่ว์ไม่คิดจะขัดจังหวะแผนการที่ลูกหมู ตัวน้อยจะขุดหัวผักกาดอวบอิ่มขึ้นมากิน นางยิ้มให้รัชทายาท “รบกวน รัชทายาททรงดูแลลูกของหม่อมฉันแล้วเพคะ”

“เรายินดีอย่างยิ่ง” รัชทายาทสังเกตแววตาของว่าที่แม่ยายที่มองตน แล้ว ก็มั่นใจว่าท่านแม่ยายคงพอใจเขามาก

ฮวาหลิวหลีจูงมือรัชทายาทออกไปจากสนามฝึกยุทธ์พร้อมรอยยิ้ม นางถามอย่างแปลกใจว่า “รัชทายาทเพคะ ไยถึงเลือกคนช่างพูดให้ องค์ชายสี่”

“เราห่วงน้องสี่ที่วันทั้งวันไม่พูดไม่จาแบบนี้จะเสียสุขภาพ” รัชทายาท คลี่ยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน “มีผู้ช่วยที่ช่างเจรจาอย่างนี้จะเป็นเรื่องดี สำหรับเขา”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฮวาหลิวหลีรำพัน “รัชทายาททรงดีต่อบรรดา องค์ชายจริง ๆ”

รัชทายาทดีเพียงนี้แล้ว ยังมีขุนนางบุ๋นบางคนตำหนิเขาอยู่เป็นประจำ นับว่าเป็นพวกหากระดูกในไข่ไก่[1] โดยแท้

ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่รู้ว่ารัชทายาทของนางต้องทนน้อยเนื้อต่ำใจมากเท่าใด

เมื่อคิดถึงตรงนี้ฮวาหลิวหลีกุมมือรัชทายาทแน่นขึ้นด้วยความสงสาร “ต่อไปอย่าได้ทรงทำดีถึงเพียงนี้เลยนะเพคะ”

รัชทายาทคลี่ยิ้มอย่างคนใจกว้าง “ต่อไปพวกเขาจะเข้าใจความตั้งใจของข้า”

ยามนั้นน้องสี่ไม่สนใจเขา ตอนนี้เขาจะทำให้น้องสี่ต้องรำคาญ จนร้องไห้ขี้มูกโป่ง

“ต่อไปถ้าพวกเขาไม่เชื่อฟัง หม่อมฉันจะช่วยสั่งสอนแทนพระองค์ เองเพคะ” ฮวาหลิวหลีกล่าว “ทรงเป็นถึงรัชทายาท ถ้าองค์ชายคนใด ทำไม่ถูก ก็สมควรต้องอบรมสั่งสอน อย่าเอาแต่ยอมพวกเขาอย่างเดียว”

“องค์หญิง” ขันทีตำหนักบูรพาเอ่ย “ขออภัยที่บ่าวอาจหาญพูดแทรก หลายปีมานี้รัชทายาทต้องทรงน้อยเนื้อต่ำใจไม่รู้เท่าไรขอรับ”

“อย่าพูดเหลวไหล” รัชทายาทชิงเอ่ย “ข้ารับใช้อย่างพวกเจ้าจะรู้อันใด”

“แม้บ่าวจะไม่เข้าใจ แต่บ่าวก็มีตาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทตอบ “บ่าวเห็นความอยุติธรรมที่พระองค์ทรงได้รับแล้วให้ปวดใจยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้อง กล่าวถึงองค์หญิง…”

“ในเมื่อรู้ว่าองค์หญิงรู้แล้วจะต้องไม่สบายใจ ก็ไม่ต้องพูด” รัชทายาท ตำหนิหน้าบึ้ง “ไปรับโทษโบยสิบไม้ ต่อไปหากยังกล้าพูดเหลวไหลอย่างนี้อีก ก็ไม่ต้องรับใช้ในตำหนักบูรพาแล้ว”

แม้ขันทีคนนี้จะไม่ได้เล่าว่ายามนั้นรัชทายาทน้อยใจอันใดบ้าง แต่นี่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ฮวาหลิวหลีสงสารเห็นใจเขายิ่งนัก นางจับมือรัชทายาท แน่น ต่อไปนางจะดีต่อเขาให้มากกว่านี้

ไม่ให้เขาต้องทนรับความอยุติธรรมอีก

 

ได้ยินว่ารัชทายาทช่วยเลือกผู้ช่วยให้องค์ชาย สนมหลินจึงให้คนเรียก องค์ชายสี่มาพบ แล้วถามถึงคนที่รัชทายาทเลือกให้เขาว่ามีใครบ้าง

องค์ชายสี่พยักพเยิดไปทางขันทีคนสนิท ส่งสัญญาณให้เขาเล่าแทน

เมื่อขันทีคนสนิทขององค์ชายสี่กล่าวถึงรายชื่อคนที่ได้รับคัดเลือก ครบแล้ว สนมหลินพยักหน้าช้า ๆ “แม้คนพวกนี้มีฐานะไม่ดีเท่าที่พวกเรา คิดเอาไว้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ข้างรัชทายาท ข้ารู้ว่า ถึงรัชทายาทจะใจกล้าเพียงใด ก็มิกล้าส่งคนของตนเองมาสอดแนมเจ้า ต่อหน้าต่อตาเสด็จพ่อเจ้าหรอก”

น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ไม่ให้นางยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิเช่นนั้นผู้ที่นางเลือก จะต้องดีกว่าคนที่รัชทายาทเลือกให้มากนัก

องค์ชายสี่มองสนมหลินก่อนโบกมือไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดในห้องออกไป “ท่านแม่ ลูกมีเรื่องจะพูด”

นาน ๆ ทีองค์ชายสี่จะเป็นฝ่ายพูดกับนางก่อน

“ท่านแม่ คืนวันงานเลี้ยงพระราชทานร้อยแคว้นเกิดเรื่องขึ้นกับ รัชทายาทที่ด้านหลังพระที่นั่ง ท่านแม่รู้หรือไม่ขอรับ” องค์ชายสี่จ้อง สนมหลินเขม็งโดยไม่คิดจะปล่อยผ่านสีหน้าใด ๆ ของนาง

สนมหลินสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยว่า “เจ้าพูดเรื่องใด”

“ลูกอยากห้ามท่านแม่ให้หยุดม้าที่ขอบเหว คนอย่างรัชทายาท…” องค์ชายสี่นิ่วหน้า “จำฝังใจ เจ้าคิดเจ้าแค้น อย่ากระทำสิ่งที่มิอาจย้อนกลับ ได้ขอรับ”

“แม่รู้ว่าสมควรทำอันใด” สนมหลินหน้าตึง “สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ เอาใจเสด็จพ่อของเจ้า เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องยุ่ง”

องค์ชายสี่นิ่วหน้า “ท่านแม่ เสด็จพ่อทรงเป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่อง ทรงดีต่อลูกมาก”

เขาไม่ชอบพูด บิดาก็ไม่เคยบังคับให้เขาพูด ปกติถ้ามอบสิ่งของให้ พี่น้องคนใด ก็ไม่เคยลืมให้เขาด้วยเช่นกัน

แม้เขามีนิสัยเงียบขรึม แต่บิดาก็ไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์เขา

“ดีหรือ” เสียงของสนมหลินแหลมเล็กขึ้นในบัดดล “ทรงดีต่อเจ้า เหมือนที่ทรงดีต่อรัชทายาทหรือไม่”

นางกับสนมฮุ่ยเข้าวังถวายตัวปีเดียวกัน ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อสนมฮุ่ย ปกติธรรมดา ตอนที่รัชทายาทเพิ่งถือกำเนิด ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง นางเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงชอบโอรสที่ป่วยกระเสาะ- กระแสะคนนี้ที่สุด

ถ้ากล่าวถึงหน้าตา สนมฮุ่ยเทียบนางไม่ได้ ถ้ากล่าวถึงความสามารถ  สนมฮุ่ยก็สู้นางไม่ได้ ไฉนฮ่องเต้จึงลำเอียงไม่รักใคร่บุตรชายที่นางให้กำเนิด

“ท่านแม่” องค์ชายสี่มองสนมหลินด้วยดวงตาดำมืด “รัชทายาท ทรงพระสิริโฉมกว่าลูก”

สนมหลิน “…”

องค์ชายสี่ยังพูดต่อ “รัชทายาททรงเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ มากกว่าลูกตั้งแต่เล็ก”

สนมหลิน “…”

องค์ชายสี่ยังคงพูดอย่างขึงขัง “เสด็จพ่อทรงดีต่อลูกมาก แต่ทรงดี ต่อรัชทายาทมากกว่าก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือขอรับ”

สนมหลินสูดหายใจเข้าลึก เตือนตนเองว่าอย่าบันดาลโทสะ

คนที่โมโหบ่อยมักจะแก่เร็ว

“เหตุใดข้าถึงได้มีบุตรชายอย่างเจ้าได้นะ!”

“ปัญหาข้อนี้ เมื่อสิบสี่ปีก่อนท่านแม่เคยถามแล้ว” ดวงตาดำขลับ ขององค์ชายสี่จับจ้องสนมหลิน “ลูกเองก็ไม่รู้ขอรับ”

สนมหลินตกใจตัวเย็นวาบ สิบสี่ปีก่อนเขาอายุแค่สามขวบ ไฉนยังจำ

คำตัดพ้อที่นางแอบพูดกับผู้อื่นได้!

 

[1] หมายถึง ตั้งใจหาข้อเสียหรือปัญหาจากตัวบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้ว ไม่มีข้อเสียหรือปัญหาใด ๆ เหมือนการหากระดูกในไข่ไก่

ที่เดิมทีก็ไม่มีกระดูกอยู่ในนั้น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า