แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 142
หลี่หานเอ๋อร์ ทิ้งตัวลงกับผืนทรายในสภาพเนื้อตัวเปียกปอน หาก เป็นเมื่อก่อน หล่อนคงอึดอัดไปทั้งตัว อยากพุ่งไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทันทีแน่ ๆ แต่ตอนนี้ หมอกหนายังไม่มารวมกันใหม่ แสงอาทิตย์สาดส่อง ลงมาจากฟากฟ้าตรงบริเวณที่เมฆดำสลายหายไปหมด ร่างกายอุ่นสบาย และเกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจ
หล่อนมองตงจื้อจากไกล ๆ มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนถอน หายใจเฮือกใหญ่ออกมาเบา ๆ
หลี่หานเอ๋อร์ยังจำความไม่พอใจตอนเพิ่งรู้ว่าตนถูกดึงเข้ากลุ่ม ผู้เข้าร่วมงานชุมนุมแลกเปลี่ยน อีกทั้งหัวหน้าทีมยังเป็นตงจื้อ แม้ไม่ถึงขั้น วิ่งไปประท้วงต่อหน้าผู้บังคับบัญชาอย่างแข็งขันเพื่อขอเปลี่ยนตัวคน แต่กับ ลูกศิษย์หลงเซินคนนี้ หล่อนคิดไม่ซื่อ อยากชมดูเรื่องสนุก ๆ จริง ๆ นั่นแหละ เพราะความรู้สึกที่หล่อนเคยมีให้หลงเซินแต่ไม่อาจได้มา ครอบครอง ทำให้หล่อนรู้สึกขัดตาไปหมดเวลาเห็นใครก็ตามได้รับความ โปรดปรานจากเขา
แต่หลังจากนั้นความรู้สึกนี้มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหน
อาจเป็นตอนที่ทุกคนจิตตก ไร้ที่ยึดเหนี่ยว แล้วตงจื้อยังสงบนิ่ง เหมือนเคย ราวกับไม่มีปัญหาใดที่ทำให้เขาจนแต้มได้ อาจเป็นตอนที่ ตงจื้อเอาตัววิ่งนำไปอยู่แนวหน้าสุดของอันตราย อาจเป็นตอนที่เขาเถียงกับหลิวชิงปัว ล้วงเอาสิ่งของที่พวกเธอคิดไม่ถึงออกจากกระเป๋าเป้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า คลายอารมณ์ตึงเครียดของพวกเธอ ให้ความหวังใหม่แก่พวกเธอ หลี่หานเอ๋อร์ต้องยอมรับว่าตงจื้อทำให้คนเกลียดไม่ลงจริง ๆ
ไม่ใช่แค่ไม่รังเกียจ แต่ยังมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกนึกชอบ โดยไม่รู้ตัว
เหมือนกับ…
ที่ที่มีเขาอยู่จะมองเห็นพลังชีวิตของโลกทั้งใบ
ใครเล่าจะรังเกียจแสงอาทิตย์อบอุ่นและมีชีวิตชีวาได้
ถ้าเป็นหลิวชิงปัวหรือจางซง หรือแม้กระทั่งหลี่อิ้งพี่ชายแท้ ๆ ของเธอมารับหน้าที่หัวหน้าทีม บางทีพวกเขาอาจคว้าชัยในตอนจบไปได้ เช่นกัน แต่คงต้องมีคนเสียชีวิตไปคนสองคนเหมือนทีมอื่น ๆ และไม่มีทาง มีศูนย์รวมจิตใจอย่างที่พวกเธอมีในตอนนี้
มีแค่ตงจื้อเท่านั้นที่ทำสิ่งนี้ได้
“หานเอ๋อร์ที่รัก เธอมองใครอยู่”
วิลเลียมมองตามสายตาหล่อนไป แล้วอดเบิกตาโพลงไม่ได้ “เธอ กำลังมองตง? พระเจ้า เธอแอบชอบเขาเหรอ ถ้างั้นฉันยังมีโอกาสไหม”
น้ำเสียงตีตนไปก่อนไข้ของเขาเรียกความสนใจจากรอบข้าง หลี่- หานเอ๋อร์อยากเย็บปากอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด
“ใครบอกว่าฉันแอบชอบเขา!” หลี่หานเอ๋อร์กัดฟันถาม
ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะท้าทายกรอบการอบรมเลี้ยงดูอันดีของเธอได้ เสียทุกครั้ง หลี่หานเอ๋อร์สงสัยว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป กว่าจะกลับประเทศ เธอคงแก่ขึ้นอีกหลายปีขณะยังมีชีวิตอยู่เพราะความโกรธ
“ก็เมื่อกี้เธอมองเขาแล้วยิ้มเศร้า ๆ นี่นา!” วิลเลียมทำหน้าตาใสซื่อ “หานเอ๋อร์ ถึงฉันจะขาวสู้เขาไม่ได้ แต่ฉันสูงกว่าเขานะ หุ่นก็ดีกว่าเขาด้วย ฉันมอบความสุขให้เธอได้ และดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้ชอบเธอเลยด้วย!”
“นั่นไม่ได้เรียกว่าเศร้า เขาเรียกว่าปลื้มใจ! ปลื้มใจเข้าใจไหม!” หลี่หานเอ๋อร์หมดความอดทน คว้าหูวิลเลียมพลางตวาด “แล้วก็นะ อย่างนายไม่ได้เรียกว่าหุ่นดีเขาเรียกว่าล่ำ!”
ทุกคน “…”
ตงจื้อ “ใจเย็น ๆ คิดถึงมารยาทของกุลสตรีเข้าไว้ คิดถึงชื่อเสียง ของเราเข้าไว้”
หลี่หานเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก ยิ้มให้วิลเลียมเล็กน้อย ก่อนกล่าว คำขู่เสียงอ่อนเสียงหวาน ชวนขวัญหนีดีฝ่อ
“ถ้าขืนนายยังพูดจาเพ้อเจ้ออีก ระวังฉันจะบิดหัวนายมาทำ ลูกฟุตบอล”
วิลเลียมมองหล่อนด้วยความหวาดหวั่นแวบหนึ่ง ก่อนหยุดคิด แล้วกระซิบเสียงเบา “ถ้าเธอเต็มใจยอมให้ฉันจีบ ฉันให้เธอเล่นหัว นิดหน่อยก็ได้ คนจีนมีคำพูดประโยคหนึ่งที่ว่า ‘ได้เชยชมดอกไม้งามเลิศ ต่อให้ตายเดี๋ยวนั้นก็ไม่เสียดายชีวิต’ ไม่ใช่เหรอ”
นั่นเขาเรียกว่า ‘ตายใต้ดอกโบตั๋น ถึงเป็นผีก็ยังสุขสำราญ’[1] หลี่หานเอ๋อร์ยิ้มทั้งที่นึกโมโห “ถ้านายฝึกภาษาจีนและใช้สำนวนได้เชี่ยวชาญ ฉันจะยอมให้นายจีบ”
ตาวิลเลียมเป็นประกาย “จริงนะ”
แต่เขาก็ไม่โง่ สอบถามเงื่อนไขทันที “แค่ใช้ภาษาพูดให้คล่อง ได้ไหม”
หลี่หานเอ๋อร์คิดในใจว่าคงจะตั้งข้อกำหนดให้ยากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายได้ยินแล้วจะรู้ว่าโดนหลอก จึงพยักหน้าบอก “ได้ แต่ นายต้องฟังสำนวนกับคำเปรียบเปรยให้ออก ฉันไม่อยากคบผู้ชายที่ไม่เข้าใจ แม้กระทั่งคำว่าหลังเสือเอวหมี[2]”
ประโยคสุดท้ายหล่อนพูดเป็นภาษาจีน
“หลังเสือเอวหมี?” วิลเลียมเลียนแบบสำเนียงหล่อน พูดงง ๆ “มันคืออะไร”
หลี่หานเอ๋อร์บอกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ก็ชมว่านายหล่อ ดูดี”
วิลเลียมดีใจ “วางใจได้เลยที่รัก ฉันรู้ว่าเธอกังวลว่าฉันก็แค่หลงใหล ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ฉันจริงใจกับเธอนะ ให้เวลาฉันครึ่งปี ฉันต้องเรียน ภาษาจีนได้แน่ ๆ แต่ในครึ่งปีนี้ เธอห้ามมีแฟนเชียวนะ”
หลี่หานเอ๋อร์พยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเป็นคนรักษาสัญญา”
ทั้งสองบรรลุข้อตกลง เป็นที่ยินดีกันถ้วนหน้า
ตงจื้อกับพวกมุมปากกระตุก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ทุกคนฟังรู้ว่า หลี่หานเอ๋อร์กำลังโกหกวิลเลียม แต่ใครเล่าจะรู้เรื่องอนาคต บางทีไม่ถึง ครึ่งปีวิลเลียมอาจถอดใจไปเองก็ได้ หรือบางทีทั้งคู่อาจพัฒนาไปเป็นคู่รัก คู่แค้นกันจริง ๆ ชีวิตมักเต็มไปด้วยตัวแปร ไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้
พายุฝนหยุดลง ผิวทะเลค่อย ๆ สงบ แต่เกาะหลายแห่งพังเละเทะ ที่ดูน่าสังเวชสุดคือเกาะไดอาน่า ต้นไม้บนเกาะไม่ล้มก็เอียงกระเท่เร่ ระเนระนาด น้ำยังลดระดับลงไม่หมด ระหว่างต้นไม้เกิดเป็นหลุมบ่อ สภาพน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
ไกลออกไป เรือโดยสารปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกหนา ค่อย ๆ แล่นใกล้เข้ามา
มันคือเรือที่คณะกรรมการจัดงานส่งมารับพวกเขา
หลิวชิงปัวถอนหายใจ “อย่างในหนัง ตำรวจชอบตาลีตาเหลือกมา ตอนทุกอย่างคลี่คลายไปแล้วทุกที”
ตงจื้ออดหัวเราะไม่ได้
ญี่ปุ่น ศาลเจ้าอัตสึตะ
หลงเซินถือกระบี่เดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ซ้ายขวาบนล่าง ทุกทิศทางของเขาคือภาพฉากนับไม่ถ้วน แต่ละ ภาพโยงใยกัน มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
พื้นที่ใต้ฝ่าเท้าขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ถ้าไม่เกินความ คาดหมาย ต่อให้เขาเดินยังไง เดินไปทางไหน ก็ไม่มีวันก้าวออกไปจาก ที่นี่ได้
แต่หลงเซินไม่ได้หยุดเดิน เพราะเขารู้ว่าทันทีที่หยุด มุมมองของเขา จะสับสนเอาง่าย ๆ เพราะรายละเอียดของกระจกสะท้อน การหลงทิศ เป็นเพียงขั้นแรก ท้ายที่สุดแม้แต่ความรู้สึกนึกคิดก็จะติดอยู่ในมิติของ กระจกสะท้อน หาทางออกไปไม่ได้ด้วย
เขาเพิ่งทำลายช่องทางการสอดส่องของโอโตวะ ยาซูฮิโกะ แต่ถ้า หาทางออกไม่เจอก็ต้องถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
เหตุการณ์ภายในมิติกระจกสะท้อนทุกบานใกล้เคียงกัน แต่ก็มี ความแตกต่างในรายละเอียด อย่างเช่นหลี่อิ้งทุกคนที่อยู่ในนั้น สีหน้า ท่าทางกระสับกระส่าย ไม่ก็ตื่นกลัว หรือไม่ก็ยิ้มน้อย ๆ หรือแม้กระทั่ง รื่นเริงบันเทิงใจ อารมณ์แตกต่างกันไป สีหน้าหลากหลาย ยากจะระบุได้ ว่าหลี่อิ้งคนไหนคือตัวจริง ดูเหมือนหลงเซินกำลังเดินไปข้างหน้าไม่หยุด ก็จริง แต่ความจริงแล้วเขากำลังสำรวจหลี่อิ้งทุกคนด้วยความเร็วที่คนปกติ ยากจะทำได้
เขาเชื่อว่าในนี้ต้องมีคนหนึ่งที่เป็นตัวจริง
“หลี่อิ้ง” หลงเซินเอ่ยเสียงหนัก “พูด พูดอะไรก็ได้ อย่าเงียบ”
“รองอธิบดีหลง!” หลี่อิ้งหลายคนส่งเสียงตอบรับจากในมิติกระจก สะท้อน เสียงสะท้อนนับไม่ถ้วนดังก้องสลับกันไป แต่ไม่ว่าหลี่อิ้งคนไหน สุ้มเสียงล้วนอ่อนแรง คาดว่าคงบาดเจ็บไม่น้อย
“รองอธิบดีหลง ถ้าผมกลับไปไม่ได้ รบกวนคุณช่วยบอกอาจารย์ กับพ่อแม่แทนผมที บอกว่าผมมันไม่เอาไหน ทำภารกิจไม่สำเร็จ แล้วก็ หานเอ๋อร์น้องสาวผม ฝากให้เธอดูแลพ่อแม่ด้วย…” หลี่อิ้งบอกเสียงหอบ “แล้วก็ปั้นเซี่ย ช่วยบอกเธอทีว่าผมขอโทษ บอกให้เธอไม่ต้องรอผมแล้ว!”
ผู้ชายไม่เสียน้ำตาง่าย ๆ หลี่อิ้งไม่ได้ร้องไห้ตอนกล่าวถึงอาจารย์กับ พ่อแม่ แต่ทันทีที่คำว่าปั้นเซี่ยหลุดออกไป น้ำตากลับไหลพรากลงมาอย่าง ห้ามไม่อยู่
เขาคิดถึงตอนที่เข้ากรมจัดการคดีพิเศษมาใหม่ ๆ ตัวเองได้เห็น สาวน้อยร่าเริงยิ้มเก่งคนนั้นแล้วสายตาก็ถูกดึงดูดทันที คิดถึงท่าทีคลุมเครือ ระหว่างพวกเขาตอนออกไปปฏิบัติภารกิจ คิดถึงเรื่องที่ตัวเองหันหลังให้ทีม อนาคตไกลอย่างทีมหนึ่งไปอยู่ทีมสามที่ถูกมองว่าเป็นทีมเบ็ดเตล็ดเพื่อหล่อน บิดายังอารมณ์เสียยกใหญ่เพราะเรื่องนี้ แต่หลี่อิ้งไม่นึกเสียใจ
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาสุขุมเยือกเย็น เป็นผู้ใหญ่เกินวัย คำนึงถึง สถานการณ์โดยรวม พฤติกรรมวาจาของเขาแทบทุกอย่างเป็นแบบอย่าง ให้กับเพื่อนรุ่นเดียวกันในเหมาซาน หลังเข้าร่วมกรมจัดการคดีพิเศษ ในสายตาของผู้บังคับบัญชาระดับสูง เขาได้กลายเป็นเสาหลักในอนาคต น้อยครั้งที่เขาแสดงพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น หลายคนไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธศิษย์น้องเก่ง ๆ รุ่นเดียวกันที่เหมาซาน ไปชอบ นักไสยศาสตร์ที่ลึกลับคาดเดายาก
หลี่อิ้งเคยนึกว่าตนคงเดินไปตามเส้นทางการบำเพ็ญเพียรทีละขั้น เช่นกัน ถ้าไม่สืบทอดตำแหน่งเจ้านิกายของเหมาซานก็ต้องเข้ากรมจัดการ คดีพิเศษ ก้าวขึ้นไปทีละขั้นเช่นเดียวกับหลี่รุ่ยบิดาของเขา กลายเป็น เจ้าหน้าที่ของกรมจัดการคดีพิเศษระดับกลางไปจนถึงระดับสูง ไม่แน่ สุดท้ายอาจได้กลายเป็นรองอธิบดีตำแหน่งสูง บารมีมากล้นก็เป็นได้
แต่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาเป็นทวนหักจมโคลน[3]อยู่ตรงนี้ ในเวลาที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
นอกจากความกลัวและความกังวลต่อความตายแล้ว สิ่งที่เขาคิดถึง ครั้งแล้วครั้งเล่ากลับเป็นใบหน้าของฉือปั้นเซี่ย
เขารู้ว่าฉือปั้นเซี่ยคงทำใจเรื่องการเสียชีวิตของตนไม่ได้ บางทีเวลา คนนอกเห็นชื่อนักไสยศาสตร์ คงรู้สึกถึงความลึกลับน่าเกรงกลัว ไม่กล้า ยั่วโทสะเท่านั้น แต่หลี่อิ้งรู้ สาวน้อยที่เฉลียวฉลาดคนนี้มีความรักลึกซึ้ง ยิ่งกว่าใคร
หลงเซินกวาดตามอง หลี่อิ้งหลายคนในกระจกสะท้อนมีสีหน้า เจ็บปวด
แต่หลี่อิ้งในกระจกสะท้อนส่วนใหญ่ ความเจ็บปวดเป็นไปอย่าง เฉื่อยชา ความเจ็บปวดรูปแบบนี้เสมือนกับหุ่นเชิดที่เลียนแบบอารมณ์มา อย่างทื่อ ๆ ฝีมือการแสดงไม่เข้าขั้น ทำให้คนคล้อยตามไม่ได้ หนำซ้ำยังรู้สึกแปลกพิกล
มีแค่คนมีแค่คนเดียว
คนเดียวที่ใบหน้าแสดงความรวดร้าวและหวาดกลัวออกมาอย่าง แท้จริง หลี่อิ้งก็เป็นมนุษย์ ต่อให้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร โดดเด่นกว่าเพื่อน รุ่นเดียวกันจำนวนมาก แต่ตอนนี้เขายังเด็ก ไม่มีทางไม่แสดงอารมณ์ เมื่อความตายมารออยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะการต้องพรากจากคนที่รักและ ญาติสนิทไปชั่วนิรันดร์ ขนาดหลงเซินยังหวั่นไหว นับประสาอะไรกับหลี่อิ้ง
หลงเซินไม่ลังเลอีก แสงกระบี่พุ่งออกไปทันที เป้าหมายคือหลี่อิ้ง ผู้มีสีหน้าร้าวระทมที่สุด!
พื้นผิวกระจกแตกเป็นเสี่ยง ๆ หลี่อิ้งมองแสงกระบี่ที่มาถึงตัวใน ชั่วพริบตา อดตื่นตะลึงไม่ได้ จิตใต้สำนึกสั่งให้เบี่ยงตัวหลบ แต่ร่างกาย บาดเจ็บสาหัส แถมอีกฝ่ายยังเป็นหลงเซิน เขาไม่สามารถหลบหลีกได้เลย ปราณกระบี่รุนแรงจ่อชิดติดหน้าผาก ความเจ็บแปลบที่ผิวหนังแล่นปราด แล้วแขนเขาก็ถูกตรึงแน่น
“รองอธิบดีหลง!”
หลี่อิ้งมองหลงเซินที่ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ตน ทั้งยินดีระคนประหลาดใจ
“ไป!”
หลงเซินพูดจบก็ไม่หยุดเฉย หลี่อิ้งรู้สึกแค่ว่าโลกตรงหน้าหมุนคว้าง ทัศนียภาพหลายหลากแล่นฉิวไปด้านหลัง กระจกสะท้อนแตกกระจาย ทีละชั้น เศษกระจกกระจัดกระจายอยู่ในช่องว่าง ขีดข่วนเสื้อผ้าและผิวหนัง จนรู้สึกเจ็บ
“มันมีอยู่จริง!” ดูเหมือนหลงเซินจะมองออกถึงความสงสัยของเขา จึงบอกอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดฝีเท้า กระชากตัวหลี่อิ้ง วิ่งรุดไปข้างหน้า ตลอดทาง
คล้ายมีพลังปราณคุ้มกันอยู่รอบตัวหลงเซิน เศษชิ้นส่วนธรรมดา เข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้ แต่ช่วงหลายวันมานี้หลี่อิ้งถูกขังจนเลอะเลือน เดี๋ยว เห็นฉือปั้นเซี่ยกับผู้อาวุโสในสำนัก เดี๋ยวพบว่าตนอยู่ในขุมนรกอเวจี โครงกระดูกประกบซ้ายขวา ผีร้ายจ้องมองอยู่รอบ ๆ หนีไปไหนไม่ได้สติเริ่มสับสน วินาทีนี้เขาแยกไม่ออกว่าตัวเองได้รับความช่วยเหลือแล้วจริง ๆ หรือมันเป็นภาพลวงตาอีกกันแน่
เขายื่นมือออกไปนอกเขตพลังปราณคุ้มกันประหนึ่งโดนผีเข้า แตะ ชิ้นส่วนพวกนั้น รู้สึกเจ็บปลายนิ้วอย่างที่คิด หยดเลือดผุดซึมออกมาทันที
“นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา?” หลี่อิ้งเอ่ยด้วยความสับสน
“เมื่อถือเอาความจริงเป็นเรื่องโกหกก็ย่อมเป็นเช่นนั้น และเมื่อ ถือเอาการโกหกเป็นเรื่องจริงก็ย่อมกลายเป็นเรื่องจริง ภาพลวงตาทุกอย่าง ล้วนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง”
หลงเซินละความสนใจพลางหันหน้ามา เห็นเขาสับสนมึนงงก็อด ขมวดคิ้วไม่ได้ ยื่นนิ้วไปดีดกลางหน้าผากหนึ่งที
หลี่อิ้งสะดุ้งน้อย ๆ สติแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิมทันที
“รองอธิบดีหลง…” เสียงหลี่อิ้งแหบพร่า เนื้อตัวชุ่มเหงื่อเหมือน เพิ่งขึ้นจากน้ำ
“อย่าขยับ อย่าพูด”
ถึงแม้หลงเซินจะเข้าใจตาค่ายกลที่เขาอยู่อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ รอบด้านยังเต็มไปด้วยภาพลวงตามากมาย เขาไม่มีเวลามาห่วงใยหลี่อิ้ง จำต้องเพ่งสมาธิทั้งหมดถึงจะหาทางไปต่อเจอ
หลี่อิ้งไม่กล้าพูดอะไรอีกตามคาด หลงเซินลากเขาวิ่งไปข้างหน้า หลี่อิ้งไม่เป็นตัวของตัวเอง ตามองเศษชิ้นส่วนของกระจกสะท้อนนับไม่ถ้วน ลอยมาตรงหน้า ก่อนแยกไปอีกทาง ราวกับว่าทุกที่ที่หลงเซินไป ปีศาจกับ ความชั่วร้ายจะหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ
และเขาก็ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้ได้ลึกซึ้งขึ้นเพราะ เหตุนี้ด้วย
ไม่หวั่นไหวไปกับวัตถุนอกกาย ไม่ถูกชักจูงไปตามอารมณ์อ่อนไหว ใด ๆ หัวใจหลงเซินเปรียบดั่งหินผา กระจกสะท้อนพวกนี้ย่อมไม่มีผล ต่อเขา
หลี่อิ้งสำเร็จวิชาจากสำนักมีชื่อ นิกายใหญ่โต แต่ความอยาก แสดงออกของเขาไม่รุนแรงเท่าหลิวชิงปัวกับจางซง เป็นธรรมดาที่เขาเก็บงำ ความสามารถไว้มากมาย ในสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่ หลี่อิ้งสุขุมหนักแน่น มาตลอด แต่เขาก็มีความภาคภูมิใจในฐานะลูกศิษย์ของสำนักมีชื่ออย่าง ไม่อาจปฏิเสธได้ ก่อนเข้ากรมจัดการคดีพิเศษ นอกจากทีมหนึ่งของ อู๋ปิ่งเทียนแล้ว ทีมสองกับทีมสามที่เหลือ สำหรับเขาแล้วรู้สึกงั้น ๆ ถึงแม้ หลงเซินจะมีชื่อเสียงเลื่องลือมานาน แต่ในใจเขา ยังไงหลงเซินก็ตัว คนเดียว เทียบกับนิกายใหญ่ระดับเหมาซานหรือหลงหู่ซานที่มีรากฐาน ล้ำลึกไม่ได้
แต่เขาเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่า ขนาดเวลาเจ้านิกายเหมาซานพูดถึง หลงเซิน ท่าทางยังเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส ไม่ใช่เพราะหลงเซิน เป็นรองอธิบดีกรมจัดการคดีพิเศษ ตำแหน่งสูง มากบารมี คุณวุฒิสูงส่ง แต่ประการใด แต่เป็นเพราะความสามารถของเขาเอง
จะสายทางธรรมก็ดี ปีศาจก็ดี สังคมมนุษย์กับโลกของสัตว์ ว่ากัน ถึงแก่นแท้แล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย โดยธาตุแท้ต่างก็แสวงหาความ ยิ่งใหญ่ของตนไม่รู้จบ ผู้ที่แข็งแกร่งไม่อาจใช้ศีลธรรมจรรยามาเรียกความ เคารพนบนอบจากผู้คนได้เสมอไป แต่มันกลับทำให้ผู้คนไม่อาจมองข้ามได้
จู่ ๆ หลี่อิ้งก็รู้สึกปลื้มปีติขึ้นมา
โชคดีที่หลงเซินอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา ไม่ใช่ศัตรู ไม่อย่างนั้นตอนนี้ เขาคงไม่มีโอกาสได้ออกไปอีก และต้องกลายเป็นเหมือนติงหลานที่วิญญาณ ถูกกักขัง ถึงขนาดที่ตายไปไม่เหลือศพ
นึกถึงติงหลาน หลี่อิ้งก็อดตัวสั่นสะท้านเป็นลูกนกไม่ได้
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาใจลอย หลงเซินเจอทางออกสุดท้ายของมิติ ในกระจกสะท้อนแล้ว
แสงกระบี่ในมือลอยขึ้น ดีดพุ่งไปข้างหน้าพร้อมความมุ่งมั่นของเขา สุดท้ายแทงโดนต้นสนต้นหนึ่งที่อยู่ในเศษกระจก
หลี่อิ้งดูไม่ออกว่าทำไมต้นสนต้นนั้นถึงเป็นกุญแจสำคัญในการทลาย ค่ายกล แต่หลงเซินกลับมองออกในปราดเดียว บริเวณที่แสงกระบี่พุ่งไป ต้นสนมลายหายพร้อมเสียงดังตูม พลอยทำให้เศษชิ้นส่วนกระจกสะท้อน ที่ลอยฉวัดเฉวียนอยู่รอบตัวจางหายไปหมดในทันทีทันใด
ทัศนียภาพโดยรอบแปรเปลี่ยนกะทันหัน!
ไม่มีกระจกสะท้อนนับไม่ถ้วน ไม่มีเศษชิ้นส่วนรวมถึงแสงสะท้อนของ ผิวกระจกที่สร้างความสับสนแก่สายตา พวกเขาอยู่บนสนามหญ้าว่างเปล่า ไม่ไกลออกไปเป็นภาพทิวทัศน์งดงามของภูเขา ทะเลสาบกระเพื่อมไหว สะท้อนรับท้องฟ้าสีคราม เงียบสงัดทว่าสงบ
นี่เป็นสถานที่พักร้อนอันยอดเยี่ยม หากเป็นบทบาทที่หลงเซิน ใช้ปลอมตัว เขาคงดีอกดีใจจนต้องหยิบกล้องขึ้นมาแล้วเริ่มหามุมถ่ายภาพ ทันที แต่ยังไงเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่รักการถ่ายภาพจริง ๆ มันเป็นเพียงบทบาทหนึ่ง ที่เขาเลือกขึ้นมาเพื่อแฝงตัวเข้าไปในศาลเจ้าอัตสึตะเฉย ๆ
หลี่อิ้งประหม่ากว่าเดิม ไม่ต้องให้หลงเซินบอก เขาก็รู้ว่านี่ไม่มีทาง เป็นสภาพเดิมภายในศาลเจ้าอัตสึตะไปได้ หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาเข้ามา ในภาพลวงตาอีกแล้ว?
“รองอธิบดีหลง นี่เป็นภาพลวงตาเหรอครับ” เขากระซิบถาม
แต่หลงเซินกลับให้คำตอบที่เขาไม่คาดคิด “ไม่ใช่”
ไม่รอให้หลี่อิ้งถามต่อ หลงเซินก็ไขข้อข้องใจให้อีกฝ่ายก่อน “นี่คือ ของจริง”
ถ้าเป็นของจริง งั้นก็แปลว่าพวกเขายังอยู่ในเขตอาคมของศาลเจ้า อัตสึตะ?
หรือไม่พวกเขาก็ออกจากศาลเจ้าอัตสึตะมายังอีกสถานที่หนึ่ง?
หลี่อิ้งพบว่าคำพูดของหลงเซินกำกวม จะอธิบายยังไงก็ได้
ได้ยินชายที่อยู่ข้างตัวเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “อย่าลืมสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป เมื่อกี้”
หลี่อิ้งยิ้มเจื่อน จู่ ๆ เขาก็รู้สึกสงสารตงจื้อขึ้นมา ต้องมีวิจารณญาณ สูงขนาดไหนถึงอยู่ข้างหลงเซินได้โดยไม่สงสัยในระดับสติปัญญาของตัวเอง เป็นระยะ
แต่เขาก็เข้าใจ ตัวเองบาดเจ็บหนัก สมองไม่ปลอดโปร่งเช่นยามปกติ หลงเซินอยากให้เขาปรับเปลี่ยนความสามารถเชิงคิดวิเคราะห์ เลิกสนใจ สภาพของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาการบาดเจ็บรุนแรงเกินไปจนหมดสติ
สายลมเจือกลิ่นหอมของดอกไม้ปะทะใบหน้า ชวนให้ง่วงเหงา หาวนอน ดูเหมือนจะมีเสียงเพลงอยู่ไม่ไกลออกไปด้วย มันกังวานใส ไพเราะเสนาะหู กระจ่างใสไร้เดียงสา ไร้ความกังวล คล้ายน้ำเสียงของ น้องสาวเขาร้องเพลงตอนเป็นเด็ก ยากจะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หลี่อิ้งก็ไม่เว้น เขาเกือบผ่อนคลายสภาพจิตใจ โดยไม่รู้ตัว แต่ลึกลงไปก็นึกถึงคำเตือนของหลงเซินฉับพลัน
เมื่อถือเอาความจริงเป็นเรื่องโกหกก็ย่อมเป็นเช่นนั้น และเมื่อ ถือเอาการโกหกเป็นเรื่องจริงก็ย่อมกลายเป็นเรื่องจริง
ถ้อยคำนี้ประหนึ่งจิตวิญญาณได้สัมผัสความเยียบเย็น ดึงเขากลับ จากความอบอุ่นชวนให้ง่วงงุน หลี่อิ้งหยิกฝ่ามือตัวเอง ความเจ็บบวกกับ ของเหลวข้นหนืดทำให้เขาหลุดจากภวังค์ทันที
ไม่มีกลิ่นหอม ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีเสียงเพลง ผิวทะเลสาบยังคง เป็นผิวทะเลสาบ พื้นหญ้ายังคงเป็นพื้นหญ้า
ว่างเปล่าไร้อาณาเขต จริงเท็จปนกันอย่างที่คิดไว้ หลี่อิ้งเหงื่อออก ทั่วตัว ไม่กล้าจินตนาการว่าถ้าเมื่อกี้ตนหมดสติไปจริง ๆ ผลจะเป็นยังไง
บางทีคงไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
เขามองหลงเซินที่อยู่ข้าง ๆ อย่างอดไม่ได้ ต้องการซึมซับความมั่นใจ จากอีกฝ่ายเล็กน้อย
แต่หลงเซินหายไปแล้ว
หลี่อิ้งใจหายวาบ อดตะลีตะลานไม่ได้ เท้าที่เหยียบพื้นหญ้าอยู่ ร่วงตกลงไปโดยไม่รู้ตัว หลี่อิ้งก้มหน้า พบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พื้นหญ้า กลายเป็นหนองน้ำ วัชพืชขยายตัวล้อมรอบทะเลสาบ และเขาก็อยู่ใน หนองน้ำ ถอนตัวออกมาไม่ได้ ทำได้แค่ปล่อยให้ร่างกายจมลงไปช้า ๆ พริบตาเดียวน้ำก็เลยหัวเข่าขึ้นมาแล้ว
เขากระเสือกกระสนก้าวเดินไปข้างหน้า ทว่าแบบนี้มีแต่จะทำให้ ร่างกายจมลงไปมากกว่าเดิม รอบด้านไม่มีอะไรให้ยึดเกาะได้เลย หลี่อิ้ง ใช้มือคลำไปด้านหลังตามจิตใต้สำนึก ถึงนึกขึ้นได้ว่ากระบี่ของตนถูกริบไปตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกคุมขังแล้ว
“รองอธิบดีหลง? รองอธิบดีหลง!”
เขาหยิกฝ่ามือแรง ๆ หลับตาแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง ตรงหน้ายังเป็น หนองน้ำ ร่างจมลงไปถึงกลางลำตัวแล้ว เริ่มหายใจลำบาก อีกไม่นาน หนองน้ำจะปิดกั้นลมหายใจเขา ท่วมกลบดวงตาของเขา ฝังร่างเขาไว้ที่นี่ ค่อย ๆ เน่าเปื่อย หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหนองน้ำภายในเวลาหลายสิบ หลายร้อยปี
หลี่อิ้งรู้สึกว่ามีของเหลวไหลลงมาจากจมูก เขายกมือไปแตะ รอยแดงเปื้อนติดเต็มฝ่ามือ น่าจะเกิดจากการที่แผลเก่ากลางลำตัวถูก บีบอัด ร่างจมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว น้ำขึ้นมาถึงต้นคอแล้ว เขาหายใจ ลำบากขึ้นเรื่อย ๆ โน้มน้าวตัวเองไม่ได้เลยว่านี่เป็นภาพลวงตา ทำได้แค่ หลับตา ท่องคาถาบริกรรมชำระจิตใจของเหมาซานเงียบ ๆ
ท่องไปได้ไม่กี่ประโยค สภาพจิตใจก็เริ่มสงบลง รู้สึกว่าแรงกดบน หน้าอกเบาบางลงทันที เขากัดลิ้น พ่นเลือดสดออกมาหนึ่งคำ จากนั้น จึงค่อยลืมตาขึ้น
เป็นภาพลวงตาจริง ๆ ด้วย หลงเซินยังยืนอยู่ข้างเขาเหมือนเดิม ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้า ตรงหน้าคือผิวทะเลสาบ
หลี่อิ้งตัวอ่อนยวบ ทำท่าจะล้ม
หลงเซินเอื้อมมือไปฉุดแขนอีกฝ่าย สีหน้าสงบนิ่ง ดูไม่แปลกใจ ที่เขามีสภาพเหมือนเพิ่งไปวิ่งห้ากิโลเมตรมา
“ผ่านไปนานแค่ไหนครับ…” หลี่อิ้งพูดปนหอบ
“แค่สามวินาที” หลงเซินบอก
สามวินาที แต่เขารู้สึกเหมือนผ่านมาทั้งชีวิต
หลี่อิ้งยิ้มเจื่อน ฝืนยืนนิ่ง ๆ โดยอาศัยแรงประคองอันมั่นคงของ หลงเซิน กล่าวด้วยความละอายใจว่า “ขอโทษครับรองอธิบดีหลง ผมช่าง ไร้ประโยชน์”
หลงเซินบอก “โอโตวะวางภาพลวงตาไว้ที่นี่เป็นชั้น ๆ นายหลุด ออกมาได้ในชั่วเวลาสั้น ๆ ขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว”
“งั้น…เทียบกับตงจื้อล่ะครับ” หลี่อิ้งอดถามไม่ได้
เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเปรียบเทียบในหมู่เพื่อนรุ่นเดียวกัน ที่โดดเด่น หลี่อิ้งก็ไม่มีข้อยกเว้น
ทันใดนั้นหลงเซินก็ยิ้ม
รอยยิ้มดังกล่าวเปรียบดังฟ้าหลังฝน เสมือนดวงดาวที่แขวนลอยอยู่ บนค่ำคืนที่ยาวนาน หลี่อิ้งอัศจรรย์ใจไปชั่วขณะ
แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน หลงเซินก็กลับมานิ่งเฉย ตามปกติแล้ว
“เขาก็พอ ๆ กับนาย นายต้องมั่นใจในตัวเอง”
หลี่อิ้งสงสัยว่ามันเป็นแค่คำพูดปลอบใจเขา ไม่อย่างนั้นอีกฝ่าย จะยิ้มอารมณ์ดีขนาดนั้นตอนพูดถึงตงจื้อทำไม แต่เขาไม่ได้ซักไซ้ต่อ ความเหน็ดเหนื่อยที่หลุดพ้นจากภาพลวงตามาได้กินเรี่ยวแรงในตัวเขา ไปหมดแล้ว
เขาไม่ทันขบคิดไปมากกว่านั้น เนื่องจากวินาทีต่อมา ผิวทะเลสาบ ที่เงียบสงบก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าม้วนตัว ออกมาจากใจกลางทะเลสาบ รัศมีกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่กี่วินาทีให้หลัง สัตว์ ขนาดใหญ่มหึมาก็กระโจนขึ้นจากน้ำ แผดเสียงก้อง ป่าวประกาศถึงการ มีอยู่ของตน!
มองแวบแรก เรือนร่างของสัตว์ปีศาจจวนจะบดบังฟ้าดินอยู่รอมร่อ เงาดำปกคลุมลงมา ปิดกั้นแสงสว่างของพวกหลงเซินไปด้วย
เมื่อเรือนร่างกว่าครึ่งของสัตว์ปีศาจโผล่พ้นผิวน้ำ ในใจหลี่อิ้งอด ตกตะลึงไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปถนัดตา
มันเหมือนกับ—
งูยักษ์แปดตัวถูกบิดรวมเป็นก้อนเดียว บริเวณที่เชื่อมต่อกันเต็มไป ด้วยก้อนเนื้อเละ แต่พวกมันเป็นร่างเดียวกันจริง ๆ หัวทั้งแปดที่มีใบหน้า ดุร้ายเคลื่อนไหวไปมาในอากาศ หางทั้งแปดฟาดใส่ผิวทะเลสาบไม่ยั้ง ปาก ที่มีเขี้ยวทั้งหมดอ้ากว้าง แลบลิ้นใหญ่เบ้อเริ่มออกมา หมายแสดงความ บ้าคลั่งและความโลภที่ต้องการกลืนกินทุกสิ่งด้วยความใจร้อน
ยามาตะ โนะ โอโรจิ?
หลี่อิ้งไม่อยากเชื่อ สัตว์ปีศาจในตำนานญี่ปุ่นตัวนี้ถูกฆ่าตายไป นานแล้วไม่ใช่เหรอ
“นี่เป็นภาพลวงตาอีกแล้ว?”
“ไม่ เป็นของจริง ระวังด้วย!”
หลงเซินพูดจบไม่ทันไร หางงูใหญ่หางหนึ่งก็สะบัดมาทางพวกเขา แล้ว หลี่อิ้งถูกหลงเซินกระชากให้หลบ หางงูหวดใส่พื้นหญ้าอย่างแรง รอยไหม้เกรียมเพิ่มขึ้นมาทันที
เหมือนหลี่อิ้งจะได้กลิ่นไหม้ด้วย เขาถูกหลงเซินผลักไปข้าง ๆ ถอยหลังซวนเซไปไม่กี่ก้าวก็ล้มพับกับพื้น
หลงเซินกระโดดขึ้นไป รวบนิ้วตวัดหนึ่งที แสงกระบี่ก็ปรากฏขึ้น โดยพลัน ก่อนพุ่งไปยังหัวงูหนึ่งในนั้น
หลี่อิ้งรู้ดีว่าสภาพร่างกายตนไม่อาจร่วมต่อสู้ได้ เขาไม่กลายเป็น ตัวถ่วงก็ดีแค่ไหน จึงรีบหาที่ซ่อนตัวและเฝ้าดูการต่อสู้ทันที ขอแค่งูยักษ์ แปดหัวอย่าเจอตัวเขาเป็นพอ ไม่อย่างนั้นต้องลำบากให้หลงเซินแบ่งความสนใจมาคอยดูแลอีก
[1]สำนวน หมายถึง ได้หญิงงามที่ถูกตาต้องใจมาเชยชม แม้ตายก็นับว่าคุ้มค่า
[2] คำเปรียบเปรยถึงคนหุ่นกำยำล่ำสัน
[3] สำนวน หมายถึง คนที่พ่ายแพ้ล้มเหลว