《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
เจียงซูเหย่าผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
กลับกลายเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารแปลกๆ หลากหลายรายการ
ด้วยเหตุนี้เซี่ยสวินสามีแต่เพียงในนามจึงชื่นชอบ
และหวงแหนนางยิ่งยวด
.
ขอเพียงได้กินอาหารฝีมือภริยา เท่านี้เขาก็พึ่งใจแล้วจริงๆ
ส่วนสหายร่วมงานผู้ตะกละตะกลามเหล่านั้นน่ะหรือ…
อย่าหวังว่าจะได้มากินอาหารฝีมือภริยาที่เรือนของเขาอีก
.
แค่เขาแบ่งปันให้บ้างเป็นครั้งคราว
เท่านี้ก็นับว่าเขาใจกว้างอักโขแล้ว!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
40
เมื่อเซี่ยสวินกลับมาจากออกเวร ได้สาวเท้าเข้าไปในทางเข้าลานบ้าน แล้วได้เห็นเจียงซูเหย่าที่มักจะตากลมอยู่ที่ลานบ้านได้วางโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง
เขาเดินเข้าไปดู บนโต๊ะเต็มไปด้วยสูตรอาหารที่เจียงซูเหย่าเขียนขึ้น
ลายมือยุ่งเหยิง ไม่มีหัวไม่มีหาง
ดูเหมือนจะไม่มีวิชาความรู้อะไรเลยนั้นจะเป็นความจริง ซึ่งไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่นิด เซี่ยสวินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ และหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่นค่อยๆแยกแยะตัวหนังสือ
ตอนนั้นเองเจียงซูเหย่าก็ออกมาจากครัวเล็กพร้อมกับชามสองใบในมือ แล้วมีเจ้าตัวเล็กสองคนเดินตามอยู่ด้านหลัง เหมือนกับหางเล็กๆ
“ท่านอาสาม” เซี่ยเจาตะโกนเสียงดัง
เซี่ยสวินวางกระดาษลง พยักหน้าให้เขา และลูบผมดกหนาของเขา “ไฉนพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกหรือ แน่นอนว่ามาหาท่านอาสะใภ้สามนะสิ
เซี่ยเจาอ้ำๆอึ้งๆ ไม่ได้ตอบ
แล้วกล่าวขอโทษท่านอาสามในใจอย่างเงียบๆ ตำแหน่งของท่านในใจข้าได้ถูกท่านอาสะใภ้สามเบียดออกไปแล้ว
เจียงซูเหย่าวางชามในมือลงแล้วถอนหายใจกล่าวว่า “พวกเขาเพิ่งจะทำการบ้านของในวันนี้เสร็จ หาได้ยากที่จะมีเวลาว่าง จึงได้มาหา”
มิน่าในจวนเซี่ยกั๋วกงตั้งแต่ผู้ใหญ่จนไปถึงเด็กล้วนแต่มีความสามารถด้านการประพันธ์เป็นเลิศ ที่แท้ก็เข้มงวดกับการเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก
เหมือนอย่างที่พูดกับเซี่ยเจาเมื่อครู่นี้ นางก็เหมือนท่านยายขอเพียงเห็นหลานชายตัวน้อยเรียนหนังสือมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็จะรีบเข้าไปในครัวแล้วทำของอร่อยให้พวกเขาทันที
เด็กน้อย ย่อมจะต้องกินของหวานอยู่แล้ว
เดิมทีเจียงซูเหย่าตั้งใจจะทำนมสดทอด ทว่าเนื่องจากช่วงนี้ไม่มีขนมปังปิ้ง เมื่อนมสดทอดที่ไม่มีเกล็ดขนมปัง ทำให้ไร้จิตวิญญาณ นางจึงได้เปลี่ยนวิธีทำ
ขั้นตอนก่อนหน้านี้ยังเหมือนเดิม เทนมลงในหม้อ ใส่น้ำตาลและแป้งข้าวโพดลงไปแล้วคนช้าๆ จนกระทั่งนมแข็งตัวจนคลุกเคล้าได้ยากแล้ว ก็ขูดนมวัวที่ข้นหนืดลงไปในชาม ก่อนจะปล่อยให้เย็น
ต่อมาผัดถั่วเหลืองให้สุก ใส่น้ำตาลแล้วบดให้เป็นผง แป้งถั่วเหลืองมีความละเอียดอ่อนและหวานเล็กน้อย เมื่อนำมาทำขนมข้าวเหนียวน้ำตาลทรายแดง[1]หรือว่าจะทำขนมลากลิ้ง[2]ก็อร่อยเหมือนกัน
เจียงซูเหย่าตักวุ้นนมที่เหนียวนุ่มขึ้นมาช้อนหนึ่ง แล้วเอาไปกลิ้งกับผงถั่วเหลือง เมื่อผิวภายนอกของวุ้นนมถูกเคลือบด้วยผงถั่วเหลืองสีเหลืองอ่อน ก็สามารถกินได้แล้ว ดูเหมือนจะทำง่าย แต่รสชาติไม่เลวเลย
เซี่ยเจามองตาปริบๆ และเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเจียงซูเหย่ายื่นช้อนให้เขา เขารีบตักวุ้นนมเข้าใส่ปากโดยพลัน
แป้งถั่วเหลืองให้ความสดชื่น หอมหวาน หลังจากที่กัดเข้าถึงไส้ด้านในแล้ว มีความฉ่ำ นุ่ม เหนียวหนึบติดฟัน เมื่อเคี้ยวแล้วเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของนม
“อืม~” เซี่ยเจาพยักหน้า “ท่านอาสะใภ้สามเก่งกาจจริงๆ ครั้งหน้าข้าจะให้แม่ครัวทำนมวัวแบบนี้ให้พวกข้ากินบ้าง” ระหว่างที่พูดก็ยื่นช้อนไปตักวุ้นนมกินต่อ
เซี่ยเย่ามองดูอยู่ข้างๆ เขาร่างกายอ่อนแอ นิสัยก็ค่อนข้างขี้อาย สงบเสงี่ยมพูดน้อย เจียงซูเหย่าไม่เป็นฝ่ายเอาไปให้เขากิน เขาก็จะไม่ออดอ้อนเข้ามาขอ
ตามเหตุผลแล้วเด็กที่ป่วยกระเสาะกระแสะสมควรจะได้รับความรักมากกว่า แต่ในความเป็นจริงผู้คนมักจะให้ความสนใจกับเซี่ยเจาที่มีชีวิตชีวาและปากหวานมากกว่า แม้ว่าจะเป็นสวีซื่อ ในขณะที่รักเซี่ยเย่าอย่างสุดหัวใจ ก็ยังมอบความรักเอ็นดูให้เซี่ยเจามากกว่าหนึ่งส่วน
เจียงซูเหย่าเห็นเซี่ยเจาที่อยู่ด้านข้างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ก็ดึงเขามาข้างๆ ถามว่า “อยากกินหรือไม่”
เซี่ยเย่ากะพริบตา มองดูพี่ชายและมองดูของหวานที่ทำมาจากนมวัว แล้วพยักหน้าเบาๆ
“อย่างนั้นเหตุใดไม่เอ่ยปากเล่า”
ใบหน้าเล็กๆของเซี่ยเจาซูบผอม ทำให้นัยน์ตากระจ่างใสที่เหมือนองุ่นดำของเขาดูกลมและใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เขามองไปที่เจียงซูเหย่าอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร
เจียงซูเหย่าลูบศีรษะของเขา แล้วยื่นช้อนให้เขา เขาก็กล่าวขอบคุณด้วยเสียงเบาๆ ก่อนจะตักวุ้นนมอย่างเรียบร้อย
“คราวหน้าต้องหัดที่จะเอ่ยปาก เข้าใจหรือไม่” นางเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน
เซี่ยเย่ายังไม่ทันได้พยักหน้า เซี่ยสวินกลับพูดขึ้นมาก่อนว่า “อาเย่ามีนิสัยขี้อาย ไม่จำเป็นจะต้องบังคับให้เขาสดใสร่าเริงเหมือนกับอาเจา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจียงซูเหย่าจึงโต้แย้งกลับไปว่า “ข้าไม่ได้บังคับให้เขาร่าเริง ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าเขาที่เป็นเช่นนี้จะถูกคนมองข้ามได้ง่ายมาก”
เซี่ยสวินขมวดคิ้ว “เขาเป็นบุตรชายสายตรงของบ้านใหญ่ จะมีคนไม่สนใจเขาได้อย่างไร เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“ข้าไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิใคร ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเขาที่เป็นเช่นนี้ไม่ค่อยดี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ชายที่เป็นดั่งดวงอาทิตย์น้อยที่ปากหวานและออดอ้อน
เจียงซูเหย่าถอนหายใจอย่างเงียบๆ “ช่างเถิด ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูกเลย เพียงแต่กลัวว่าความคิดของเขาจะถูกคนละเลยเพราะเขาไม่ชอบพูด ถึงอย่างไรไม่ใช่ทุกคนที่เต็มใจจะไปคาดเดาของความคิดของเด็กอยู่ตลอดเวลา”
เซี่ยสวินนั่งลงข้างนาง กล่าวอีกครั้งว่า “ไม่มีทางแน่นอน” เซี่ยเย่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทุกคนในจวนเซี่ยกั๋วกงล้วนแต่ประคบประหงมอยู่ในฝ่ามือ
เจียงซูเหย่าสังเกตสองพี่น้องคู่นี้ เซี่ยเย่าขณะที่กินขนมหวานคำเล็กๆ ก็ให้ความสนใจในบทสนทนาของพวกเขาสองคนไปด้วย ส่วนเซี่ยเจาไม่ยี่หระ ไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาสองคนพูด เอาแต่กินอย่างมีความสุข แก้มป่องเหมือนกับชางสู่
นิสัยของสองพี่น้องช่างแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
จู่ๆนางรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง “ข้าเห็นอาเย่าแม้ว่าจะกินไม่เยอะ และกินช้าๆ แต่ตามปกติก็กินอาหารได้ง่ายมาก ไม่ถึงกับผอมแห้งเช่นนี้”
เซี่ยสวินยังคงนึกถึงคำพูดที่เจียงซูเหย่าโพล่งออกมาเมื่อครู่นี้ และเมื่อได้ยินคำพูดก็ตอบว่า “เขาแช่อยู่ในถังยาตั้งแต่เล็กจนโต ขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีพิษสามส่วน[3] เมื่อดื่มมากเกินก็จะไปทำลายกระเพาะ เขาไม่ชอบกินอาหารมาโดยตลอด มีแต่อยู่ต่อหน้าเจ้าถึงมีความอยากอาหารขึ้นมาบ้างเท่านั้น”
“หืม?” เจียงซูเหย่าเบิกตากว้างเล็กน้อย แล้วโอบกอดเซี่ยเย่าให้มาอยู่ข้างกายนาง “นี่เพราะเห็นแก่หน้าของอาสะใภ้สามหรือไม่”
เมื่อความบ้าคลั่งในการป้อนอาหารของนางได้รับการยอมรับ แน่นอนว่าจะต้องดีใจเป็นอย่างมาก
น้อยครั้งที่เซี่ยเย่าจะถูกคนกอดอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ทุกครั้งจะมีแต่เซี่ยเจาที่ถูกเซี่ยสวินยกตัวขึ้นสูง และก็จะมีแต่เซี่ยเจาที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากอดอยู่ในอ้อมอกแล้วเรียกเด็กดี แม้แต่สวีซื่อ เพราะเขาร่างกายอ่อนแอบอบบาง จึงปกป้องเขาอย่างระมัดระวัง และน้อยมากที่จะกอดเขา
ขนตาของเซี่ยเย่าสั่นเล็กน้อย พยักหน้า กล่าวเสียงเบา “ท่านอาสะใภ้สามทำอาหารอร่อย”
หัวใจของเจียงซูเหย่าละลายในฉับพลัน อดที่จะลูบแก้มที่ซูบผอมของเขาไม่ได้
เซี่ยเจาที่อยู่ด้านนั้นขูดก้นชามจนสะอาด แล้ววางช้อนลง กล่าวว่า “อาสะใภ้สาม ยิ่งกินยิ่งหิว”
เจียงซูเหย่าถูกเขาทำให้ขบขัน และสั่งป๋ายจื่อว่า “ไปยกโจ๊กที่เคี่ยวอยู่ในห้องครัวมา”
ป๋ายจื่อรับคำ แล้วนำพวกสาวใช้ไปยกโจ๊กจากในห้องครัว
เจียงซูเหย่าไม่อยากกลับไปกินอาหารมื้อเย็นที่ในเรือน ในช่วงต้นฤดูคิมหันต์ การกินอาหารในลานบ้านนั้นผ่อนคลายและสบายกว่าในเรือน
เหล่าสาวใช้วางอาหารลงบนโต๊ะ โจ๊กหนึ่งหม้อ ชามสี่ใบ อาหารเย็นก็เรียบง่ายแบบนี้
ในฐานะที่เป็นคนที่รู้สึกไม่สบายใจหากว่าไม่ได้กินอาหารรสเลิศตลอดทั้งวัน เจียงซูเหย่าได้จัดวางผักดองและโถน้ำปรุงรสที่ทำเองมาวางอยู่ข้างๆห้องครัวเล็ก อย่างเรื่องการทำไข่เยี่ยวม้าและดองไข่เค็มย่อมไม่มีทางลืมโดยเด็ดขาด
การทำไข่เยี่ยวม้าโดยวิธีการดั้งเดิมของคนท้องถิ่นจะล้มเหลวได้ง่ายกว่าวิธีการทั่วไป เมื่อทำออกมาแล้วจะเจือจางเล็กน้อย แต่ข้อดีคือวัตถุดิบเรียบง่ายและปราศจากสารตะกั่ว
วันนี้นางหยิบไข่เยี่ยวม้าออกมาตอกเปลือกไข่ฟองหนึ่ง เมื่อเห็นว่าด้านในของไข่เป็ดแข็งตัวแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะเคี่ยวโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าหม้อนี้ออกมา
เซี่ยสวินไม่เคยเห็นใครวางหม้อดินไว้บนโต๊ะโดยตรงเมื่อจะดื่มโจ๊ก เขามองดูชามเปล่าที่อยู่ในมือ และมองดูหม้อดินที่มีไอร้อนระอุ ชั่วขณะนั้นรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เจียงซูเหย่าตักโจ๊กให้กับเด็กทั้งสอง แล้วตักให้ตัวเองชามหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มกิน
เซี่ยสวินกลับถูกมองข้าม ได้ยกมือส่งสัญญาณให้สาวใช้ที่ต้องการจะตักโจ๊กให้เขาว่าไม่ต้องปรนนิบัติ แล้วถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะตักให้ตัวเองชามหนึ่งอย่างเงียบๆ
โจ๊กที่เคี่ยวในหม้อดินจะหอมและนุ่มกว่าโจ๊กที่ต้มโดยทั่วไป ข้าวมีความแวววาวอ่อนนิ่ม บนโจ๊กได้โรยด้วยต้นหอม
ซอยสีเขียวมรกต เนื้อไม่ติดมันได้ผสมลงไปในข้าวแล้ว ไข่เยี่ยวม้าสีน้ำตาลอมเขียว ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยสวินเห็นไข่เยี่ยวม้า แล้วถามว่า “นี่คืออะไร”
เจียงซูเหย่าอธิบายให้เขาฟังถึงวิธีทำไข่เยี่ยวม้า เซี่ยสวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยหลังจากที่ฟังจบ และสนใจใคร่รู้ในรสชาติของไข่เยี่ยวม้าเป็นอย่างมาก
เมื่อเอาโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าเข้าใส่ปากช้อนหนึ่ง ข้าวมีความนุ่มเหนียวมาก ราวกับจะละลายอยู่ในหม้อดิน เนื้อไม่ติดมันมีความสดอร่อยและหอมกรุ่น แล้วมีความเหนียวหนึบเล็กน้อย เนื่องจากได้ใส่ขิงซอยกับต้นหอมซอยลงไป จึงทำให้ไม่มีกลิ่นคาว
ความกลมกล่อมแบบแปลกๆของไข่เยี่ยวม้าทำให้โจ๊กมีรสสัมผัสที่เบาและหนัก ข้าวยังมีเนื้อสัมผัสที่นิ่มลื่น สดและหอม เมื่อเทียบกับโจ๊กเนื้อธรรมดา กลับมีรสด่างที่กลมกล่อมและติดทนนานมากกว่า
ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับรสชาติของไข่เยี่ยวม้าได้ แต่ไข่เยี่ยวม้าที่ต้มอยู่ในโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้ากลับต่างออกไป โจ๊กได้เจือจางรสที่ระคายเคือง และความฝาดของไข่เยี่ยวม้า แล้วหลงเหลือเพียงแต่กลิ่นหอมของไข่เป็ดอย่างยาวนานเท่านั้น
ตัวไข่ขาวของไข่เยี่ยวม้ามีความเหนียวหนึบและหอมสดชื่น ส่วนตรงกลางของไข่จะนุ่มและกลมกล่อม เหมาะที่จะกินคู่กับโจ๊กข้าวขาวอ่อนๆและหอมหวานเป็นอย่างยิ่ง
เขากล่าวชมว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลิ้มลองรสชาติแบบนี้ ยากที่จะบอกรสชาติได้ ความหอมที่กลมกล่อมของไข่เขี่ยวม้าที่เหลือทิ้งไว้นี้ช่างทำให้ติดใจไม่รู้ลืม”
อากับหลานมีความชอบที่คล้ายกัน เซี่ยสวินชอบ เด็กทั้งสองคนย่อมต้องไม่รังเกียจ
เซี่ยเย่าดื่มโจ๊กอย่างเงียบๆ โจ๊กถูกต้มจนนิ่ม เมื่อเอาเข้าปากได้เลย ไม่จำเป็นต้องเคี้ยว จิบคำเดียวก็เหลวเละแล้วหลงเหลือแต่เนื้อไม่ติดมันที่มีความสด ความหอม และมีรสด่างของไข่เขี่ยวม้า เมื่อกัดเข้าไป ความกลมกล่อมหอมฉุยได้กระจายทั่วในปาก
รอยยิ้มสบายใจได้ระบายบนใบหน้าของเขา และกินอย่างช้าๆ
เซี่ยเจาแตกต่างออกไป ในใจเขาเหมือนว่าไม่มีอะไรที่ไม่อร่อย เอายัดใส่ปากทันทีโดยไม่รอจะเป่าจนเย็น ดื่มโจ๊กในขณะที่มันร้อนอยู่ แม้แต่ต้นหอมก็ยังมีความหวานสดชื่น
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจียงซูเหย่าก็รีบห้ามไว้ “อย่าใจร้อนเกินไป กินร้อนเกินไปจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย”
เซี่ยเจามองเจียงซูเหย่าอย่างน้อยใจ แล้วลดความเร็วลงอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่เซี่ยเจากินหมดไปสองชาม เซี่ยเย่าเพิ่งจะกินไปได้แค่ครึ่งชามเท่านั้น
ในหม้อดินยังมีอีกเยอะ เหลือเฟือสำหรับกินสี่คน หลังจากที่ทุกคนกินจนอิ่มหนำยังเหลืออีกครึ่งหม้อ
โจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าช่วยบำรุงปอดและบำรุงกระเพาะ เมื่อดื่มไปหนึ่งชาม กระเพาะอบอุ่น ทั่วทั่งร่างกายก็รู้สึกผ่อนคลายไปด้วย แล้วด้วยอากาศบริสุทธิ์ในลานบ้านและพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ช่างน่ารื่นรมย์จริงๆ
เซี่ยเจายืนเขย่งปลายเท้ามองดูในหม้อดิน แล้วกล่าวกับเจียงซูเหย่าอย่างออดอ้อนว่า “ท่านอาสะใภ้สาม โจ๊กที่เหลือครึ่งหม้อนี้ให้ข้าเอากลับไปได้หรือไม่”
เจียงซูเหย่าจะปฏิเสธอย่างคาดไม่ถึง “เด็กๆอย่ากินไข่เยี่ยวม้าเยอะ”
เซี่ยเจาทำปากยื่น
เจียงซูเหย่ากล่าวต่อว่า “ครั้งหน้าจะทำโจ๊กกุ้งหรือไม่โจ๊กเนื้อปลาให้พวกเจ้ากินแทน อยากจะดื่มโจ๊ก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ”
ขณะที่เซี่ยสวินกำลังคิดจะหยอกล้อเซี่ยเจาสักสองประโยค หางตาได้เหลือบไปเห็นเซี่ยเย่า ทำให้นึกถึงสิ่งที่เจียงซูเหย่าพูดไว้เมื่อครู่ จึงได้มองดูเขา
วันนี้หาได้ยากที่เซี่ยเย่าจะกินโจ๊กชามเล็กจนหมดชาม ต้องรู้ว่าปกติแค่กินครึ่งชามยังต้องหว่านล้อมให้กิน
เซี่ยสวินถามอย่างเป็นห่วงว่า “อาเย่ากินจนแน่นท้องหรือไม่”
เซี่ยเย่ายังคงฟังการนัดหมายการเข้าครัวในครั้งต่อไปของพี่ชายกับเจียงซูเหย่า แต่นึกไม่ถึงว่าเซี่ยสวินจะพูดกับเขา จึงได้ส่ายหน้า
แล้วจำที่เจียงซูเหย่าบอกให้เขาต้องเอ่ยปากพูดมากกว่านี้ได้ จึงกล่าวว่า “ไม่แน่นท้อง อิ่มแล้ว”
เซี่ยสวินพยักหน้า และรู้สึกตื่นตะลึง ที่แท้อาเย่าไม่ใช่มีความอยากอาหารน้อย น่ากลัวว่าส่วนมากคงจะเป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่ถูกใจ
เจียงซูเหย่ากับเซี่ยเจานัดเวลาที่จะเคี่ยวโจ๊กในครั้งต่อไป เมื่อได้ยินคำตอบของเซี่ยเย่า จึงคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลวจริงๆ ถึงกับกินไปหนึ่งชามเล็ก ตราบใดที่อาเย่าของพวกเรายังคงกินอาหารในปริมาณนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานก็จะมีเนื้อมีหนังขึ้นมาแล้ว”
เจียงซูเหย่าช่วยเช็ดมุมปากให้เขา “เด็กๆมีเนื้อหนังสักหน่อยถึงจะดี”
เซี่ยเจาพูดสอดขึ้นมาว่า “ท่านอาสะใภ้สามกำลังชมข้าอยู่หรือ”
เจียงซูเหย่าหัวเราะฮ่าๆ แล้วจิ้มหน้าผากของเขา “ใช่ๆๆ”
เซี่ยเย่าเห็นฉากนี้ ก็ได้รับอิทธิพลโดยไม่รู้ตัว เม้มปากแล้วยิ้มอย่างเอียงอาย นัยน์ตาดำขาวที่ตัดกันชัดเจนได้เปล่งประกายวิบวับ
เซี่ยสวินได้เลื่อนสายตาจากบนร่างของเซี่ยเย่าไปที่บนดวงหน้าของเจียงซูเหย่า
บางทีสำหรับอาเย่าไม่ใช่แค่เพราะถูกใจในอาหาร แต่มากกว่านั้นคงเป็นเพราะถูกใจในคนทำอาหารด้วย?
[1] ขนมข้าวเหนียวน้ำตาลทรายแดง (糖糍粑)การทำตัวแป้งวิธีทำคล้ายทำแป้งโมจิ คือนำข้าวเหนียวมานึ่งให้นิ่มสุก ใส่ลงครก ใส่น้ำตาลและตำให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นอัดใส่พิมพ์สี่เหลี่ยม ทิ้งให้เย็น ระหว่างนั้นก็ไปทำไซรัปน้ำตาลทรายแดง โดยนำน้ำตาลทรายแดงไปเคี่ยวกับน้ำให้เหนียวเป็นน้ำเชื่อม หลังจากแป้งสือปาเย็น นำมาตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมยาว นำไปจี่น้ำมันบนกระทะก้นแบนจนผิวนอกเหลืองกรอบ แล้วจัดใส่จานราดด้วยน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดง หรือจะโรยผงถั่วทองไปด้วยก็ได้ จะได้หอมมากยิ่งขึ้น
[2] ขนมลากลิ้ง (驴打滚)เป็นขนมทำจากแป้งข้าวเหนียว ม้วนไส้ถั่วแดง โรยแป้งถั่วให้ทั่ว ชื่อขนมนี้มาจากการที่ชาวจีนทางภาคเหนือนิยมเลี้ยงม้าและลาไว้ใช้งานแล้วม้ากับลาเป็นสัตว์ที่ชอบกลิ้งตัวกับดินทรายหรือดินเหลือง
[3] ขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีพิษสามส่วน(是药三分毒) ด้วยเหตุผลที่ยามีฤทธิ์ในการปรับสมดุลที่รุนแรงกว่าอาหาร การใช้ยาสมุนไพรปรับสมดุลที่ผิดจะนำมาซึ่งการเสียสมดุลมากขึ้น หรือถ้าใช้ไปนานๆ โดยไม่เข้าใจสภาพร่างกายและตัวยาสมุนไพรที่ใช้ จะทำให้สุขภาพเสียหายมากยิ่งขึ้น