[ทดลองอ่าน] I love farming ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ เล่ม 4 ตอนที่ 5.2

我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 4

 

ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล

 

ในที่สุดเสี่ยวไป๋ที่ติดตามชุยชีฉาวมาหลายโลกก็เผยตัวตนออกมา
จากโลกเสมือนสู่โลกแห่งความจริง จากแมวกลายเป็นคน
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป คือจิตใจที่รักการทำไร่ปลูกผักของชายหนุ่ม
แล้วความรักล่ะ ความรักน่ะ จะเป็นยังไงกันนะ ม๊าววว!!!

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 5.2

 

สำนักอวี่หลิงที่อยู่ห่างไกลออกไปนับหมื่นลี้

ท้องนภาแห่งดินแดนสุดทางเหนือทลายครืน นิมิตครานี้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วหล้า ก่อนหน้านั้นวาฬพยับเมฆาทุกตัวในสำนักอวี่หลิงต่างพากันแหวกว่ายขึ้นยอดเขาและร้องระงมโดยไร้เสียงไม่หยุด คลื่นอารมณ์วิตกกังวลเผยให้เห็นอย่างชัดเจน

“แย่แล้ว…นิมิตฟ้าถล่ม” ประมุขเยี่ยนเหินขึ้นไปยืนมั่นบนแผ่นป้ายสีเงินด้วยใบหน้าคร่ำเครียด

หากเดินทางไปยังดินแดนสุดทางเหนือหรือก็คือแดนเหมันต์ด้วยความเร็วปกติ อาจารย์อากับศิษย์น้องชุยและอวิ๋นเมิ่งน่าจะถึงที่นั่นแล้ว นางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาเท่าไร เพราะถึงอย่างไรก็มีอาจารย์อาอยู่ด้วย

ทว่านิมิตเช่นนี้เคยปรากฏขึ้นเมื่อครั้งโบราณกาล ตำนานฟ้าถล่มดินทลายกล่าวขานไว้ว่าเหล่าเทพแห่งบรรพกาลได้ร่วมแรงช่วยกันซ่อมแซมท้องนภา

เมื่อแดนเหมันต์ดับสลาย ธารน้ำแข็งจำนวนมากย่อมถูกดันไปยังทวีปต่างๆ พร้อมสร้างภัยพิบัติให้แก่มนุษย์ทั่วไป

ไม่นานนักนิมิตก็ยิ่งประจักษ์ชัดขึ้น กลิ่นอายสัตว์อสูรแพร่กระจายในอากาศ สีหน้าของประมุขเยี่ยนย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ นางรีบกลับตำหนักใหญ่ก่อนเรียกรวมผู้อาวุโสทุกคน

“ฟ้าถล่มลง ณ สุดทางเหนือ เค้าลางอสูรมิทราบที่มา ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ คัมภีร์โบราณบันทึกไว้ว่ายามโกลาหลแห่งโบราณกาล เทพ เซียน สัตว์อสูร มารและภูตผีต่างอยู่ในภพเดียวกันและเป็นอาหารให้แก่กัน เวลาต่อมาเทพแห่งบรรพกาลจึงได้หลอมฟ้าดินเป็นหกภพภูมิสิบสองขั้น หลังจากนั้นก็ได้เชื่อมต่อโลกหยินหยางพร้อมสร้างภพชาติขึ้น ทุกภพภูมิเกิดการไปมาหาสู่บ้างเป็นบางคราว เช่น มนุษย์ที่สิ้นชีพจะกลายเป็นภูตผี ผู้บำเพ็ญเพียรฝึกฝนจนบรรลุเซียน หรือที่หาได้ยากอย่างชนต่างเผ่าผู้หลงเข้าโลกมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน”

ประมุขเยี่ยนกล่าวจบในทีเดียวก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “นิมิตครานี้… คล้ายคลึงกับมิติโกลาหลหวนคืนหรือไม่”

เหล่าผู้อาวุโสประสานสายตากันไปมา ก่อนมีผู้เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าคร่ำเครียด “ถ้อยคำท่านประมุขมีหลักการยิ่งนัก ผ่านมาหลายหมื่นปีนับตั้งแต่ท่านเทพแห่งบรรพกาลได้หลอมฟ้าดินขึ้น หากเป็นเพียงแค่พลังเทพถดถอยจริง ท่านเทพเซียนย่อมยังคอยเฝ้าอยู่บนสวรรค์จึงไม่เป็นอันตรายนัก ทว่าหากเกิดโกลาหลจนทั้งสองภพเชื่อมเข้าหากัน น่ากลัวว่าฝั่งนั้นหากมิใช่สัตว์อสูรก็คงเป็นพวกมาร ทั้งสองภพคู่ขนานอาจกลับสู่ความโกลาหลและเกิดการปะทะกันขึ้น เพื่อป้องกันตัวจากต่างเผ่า ทางที่ดีพวกเราควรเร่งสร้างเขตอาคมปกปักภูผาขึ้นทันทีเพราะอย่างไรเสียกาลก่อน เซียน มนุษย์ สัตว์อสูรและมารต่างก็เคยกัดกินกันเอง”

“จริงดังว่า” ประมุขเยี่ยนตอบ “ส่งสาสน์ให้สำนักอื่น จากนั้นค่อยใช้เขตอาคมปกปักภูผา”

ทั่วหล้าต่างทราบดีถึงสามสิ่งขึ้นชื่อประจำสำนักอวี่หลิง นั่นคือทะเลหมอก ตำราคัมภีร์นับอนันต์ และคาถาเคล็ดวิชาอีกหลายร้อยพัน ทว่ามีเพียงน้อยคนที่รู้ว่าท่ามกลางทะเลหมอกหนานั้น ท่านปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักอย่างฟางชุ่นเจินเหรินได้ตั้งเขตอาคมปกปักภูผาซึ่งพบเห็นได้ยากไว้

เขตอาคมเคยถูกใช้เพียงแค่สองครั้งนับตั้งแต่ติดตั้ง และต่างเป็นตอนที่สำนักอวี่หลิงตกอยู่ในยามคับขันถึงขีดสุดทั้งสิ้น

 

รอจนกระทั่งชุยชีฉาวกินข้าวเสร็จ เขาก็ส่งสายตาให้ชื่อหงจุนเจ่อ อีกฝ่ายเข้าใจในทันที

“อะแฮ่มๆ ตอนนี้เริ่มหว่านเมล็ดกันได้แล้ว” ชื่อหงจุนเจ่อเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

ดังนั้นต่อมาจึงเป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรได้แสดงฝีไม้ลายมือหลากหลายเคล็ดวิชาที่เคยร่ำเรียนมาไปกับการหว่านเมล็ด ร่างทุกคนต่างลอยคว้างหว่านเมล็ดอยู่กลางอากาศ โดยที่ฝ่ามือไม่แตะโดนผืนดินแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าเป็นการเพาะปลูกที่สูงส่งยิ่ง

ชุยชีฉาวเองก็ไม่ถือสาอะไรมาก ขอแค่ผลลัพธ์สุดท้ายตรงตามมาตรฐานก็พอ จะใช้วิธีหว่านเมล็ดแบบไหนก็ใช้ไปเถอะ

ชุยชีฉาวเหาะเหินไม่ได้จึงขับรถรดน้ำแทน ทำเอาคนทั้งมวลที่เห็นพากันอัศจรรย์ใจอีกระลอก ของวิเศษชิ้นนี้ดูคล้ายคลึงกับของวิเศษทรงกระบอกของท่านอาจารย์อา ทว่าไม่ได้หมายถึงลักษณะภายนอก หากแต่เป็นประเภทต่างหาก

ท่านอาจารย์อาเพิ่งบรรลุระดับขั้นอิงหนิงได้ไม่นาน หากราบรื่นอีกฝ่ายคงใช้เวลาฝึกฝนอีกไม่กี่สิบหรือร้อยปีเพื่อไต่เต้าไปถึงขั้นตี๋ชู พลังปราณที่ไหลท่วมท้นร่างกายในยามนั้นคงส่งผลให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้นและมีกำลังขับเคลื่อนของวิเศษเช่นนี้ได้

ทว่าในยามนี้อีกฝ่ายที่ไม่ปรากฏร่องรอยการใช้พลังปราณกลับใช้ของวิเศษได้เสียอย่างนั้น

หากมนุษย์ธรรมดาเองก็ขับเคลื่อนของวิเศษเช่นเดียวกับอีกฝ่ายได้ งั้นก็รวมถึงของวิเศษทรงกระบอกที่ใช้ระเบิดคลื่นมโหฬารก่อนหน้านี้ด้วยหรือ

ถ้าลูกศิษย์ระดับวิชาขั้นต่ำแห่งสำนักอวี่หลิงต่างครอบครองของวิเศษเช่นนี้กันหมด จะกลายเป็นกำลังรบที่น่าเกรงขามปานใด…

ขณะที่คลื่นน้ำแปรปรวนกำลังซัดกระหน่ำอยู่ในจิตใจ พวกเขาพลันเห็นว่าชุยชีฉาวหยุดรถลง “รอเดี๋ยว ถันเหวยเจินเหรินส่งกระแสจิตมาหาข้า”

คนส่วนน้อยรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดอาจารย์อาชุยจึงเรียก “ถันเหวยเจินเหริน” หาใช่ซือจุน ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ทว่านี่เป็นเรื่องระหว่างศิษย์อาจารย์สำนักอื่น พวกเขาคงไปก้าวก่ายอะไรมิได้

ชุยชีฉาวนิ่งฟังสักพัก ถันเหวยเจินเหรินยังอยู่ด้านนอก ไม่สะดวกเข้ามาชั่วขณะ จึงเลือกส่งกระแสจิตหาเขาแทน

หลังฟังจบชุยชีฉาวก็เปรยขึ้น “ถันเหวยเจินเหรินกล่าวว่าแดนเหมันต์เข้าสู่ห้วงโกลาหล นภาที่ปริร้าวเผยผืนฟ้าอีกผืน”

คนทั้งหมดนิ่งอึ้ง “นภาที่ปริร้าวเผยผืนฟ้าอีกผืน” หมายความว่าอย่างไร

อวิ๋นเมิ่งเจินเหรินนึกตำนานโบราณขึ้นได้ในทันที เขาค่อย ๆ เอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยน

ชุยชีฉาวพยักหน้าตอบ “คาดว่าคงเชื่อมต่อกับพิภพอสูร ชายแดนเริ่มมีเผ่าอสูรข้ามมาบ้าง ถันเหวยเจินเหรินส่งสาสน์แจ้งเรื่องราวแก่สำนักอวี่หลิงแล้ว ส่วนท่านจะอยู่ป้องกันที่โลกมนุษย์เป็นเวลาเจ็ดวัน เพื่อให้แต่ละสำนักได้เตรียมพร้อม ทว่าด้วยสถานการณ์ที่เร่งด่วน เกรงว่าทุกท่านคงต้องรออยู่ที่นี่เป็นเวลาเจ็ดวันด้วย”

แต่เดิมเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรนึกว่านี่เป็นเพียงการเดินทางเก็บสมุนไพรตามปกติ คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะประสบนิมิตเช่นนี้ แม้แต่ชื่อหงจุนเจ่อเองยังเอาแต่รำพันไม่หยุดว่าช่างน่าพิศวง

“หรือว่าท่านอาจารย์ปู่จะตื่นขึ้นเพื่อการนี้” อวิ๋นเมิ่งเจินเหรินพึมพำอย่างใคร่ครวญ ปกติปรมาจารย์ระดับขั้นเจ๋ว์เสี่ยงจะไม่ออกจากการปิดด่านฝึกวิชาอีก ชุยชีฉาวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่าเจ้าตัวจะเฝ้าท้องนภาเป็นเวลาเจ็ดวันเพียงลำพัง ทว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นเจ๋ว์เสี่ยงแล้ว นี่ก็มิใช่เรื่องง่ายดายสักนิด

เรื่องนี้คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตาย ไม่รู้ว่าปรมาจารย์ระดับเจ๋ว์เสี่ยงท่านอื่นจะปรากฏตัวขึ้นด้วยหรือไม่

ผู้ฝึกวิชาอายุน้อยด้อยประสบการณ์ถามขึ้น “ต้องตระเตรียมเช่นไร ข้าเคยเห็นเผ่าอสูรปรากฏกายขึ้นบ้างบางครั้ง แต่ก็มิเห็นเป็นเรื่องราวใหญ่โตเท่าไรเลยนี่”

“เจ้าก็รู้นี่ว่าแค่บางครั้ง” ชื่อหงจุนเจ่ออดเอ่ยปากไม่ได้ “ระหว่างฟ้าดินประกอบด้วยชนหกเผ่า ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล เหล่าทวยเทพผู้ปกครองสูงสุดจะคอยรักษาสมดุลกฎเกณฑ์ฟ้าดิน จนกระทั่งพวกเขาตกสู่ห้วงแห่งการหลับใหลเนิ่นนาน เผ่าที่หลงเหลืออย่างเซียนโดยกำเนิด สัตว์อสูร มารและภูตผีจึงหันมากลืนกินกันเองเป็นอาหาร ส่วนมนุษย์แต่เดิมก็เป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น แม้ว่าเหล่าเซียนโดยกำเนิดจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าเผ่าที่เหลือ ทว่าจำนวนประชากรก็น้อยที่สุดเช่นเดียวกัน ระหว่างที่ภูตผี มาร และสัตว์อสูรกัดกินกันเอง หมู่เซียนโดยกำเนิดก็เกิดคิดวิธีหนึ่งได้ นั่นคือการบ่มเพาะมนุษย์ให้กลายเป็นเซียน ยามนั้นจึงถูกเรียกว่าเซียนโดยการฝึก สำหรับพวกเราแล้ว พวกเขาคือผู้บำเพ็ญเพียรยุคบุกเบิก

“แต่เดิมเผ่ามนุษย์มีอายุขัยเพียงแค่ไม่กี่สิบปี ทว่าหลังฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นเซียน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจำต้องเข้าร่วมรบราฆ่าฟันอยู่ทัพหน้า เมื่อเวลาล่วงเลยไปอีก เหล่าเทพแห่งบรรพกาลก็ได้หลอมรวมฟ้าดินและบัญญัติกฎสวรรค์ใหม่อีกครั้ง จำนวนประชากรเซียนโดยกำเนิดในเวลานั้นเหลือเพียงน้อยนิด มิหนำซ้ำยังสืบพันธุ์ยาก เรียกได้ว่าแทบจะสูญพันธุ์อยู่รอมร่อ

“เซียนโดยกำเนิดกับเทพมีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงย้ายขึ้นไปอยู่บนแดนเบื้องบนร่วมกัน ส่วนภูตผี มาร สัตว์อสูรและมนุษย์ที่เหลือต่างสร้างอารยธรรมของตนขึ้น และมีการไปมาหาสู่กันบ้าง ตามบัญญัติของกฎเกณฑ์ใหม่ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างมีโอกาสฝึกฝนจนทะลวงสู่แดนสวรรค์ และกลายเป็น ‘เซียน’ ที่มิใช่แบบเซียนโดยกำเนิด เพียงแต่หมายถึงได้ใช้ชีวิตบนแดนสวรรค์และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

“เล่าขานกันว่า…เป็นเพียงแค่การกล่าวขานเท่านั้นนะ แท้จริงหลังทะลวงสู่แดนสวรรค์แล้ว ยังมีโอกาสฝึกฝนจนได้ร่างเทพอีก ข้าคิดว่านั่นคงเรียก ‘เทพโดยการฝึก’ กระมัง”

เรื่องเล่าทั้งหมดของอีกฝ่ายนั้นบางเรื่องก็เคยได้ยินมาบ้าง ส่วนบางตำนานกลับไม่เคยรับรู้ว่ามีมาก่อน ทุกคนต่างฟังจนตกสู่ภวังค์

กระทั่งทั้งหมดตื่นจากภวังค์อีกคราจึงตระหนักได้ถึงความหมายของชื่อหงจุนเจ่อ น่ากลัวว่าแต่ละเผ่าเคยมีช่วงอดีตคาวเลือดระหว่างกันมาก่อน เพราะฉะนั้นจะดูถูกนิมิตที่ประสบคราวนี้มิได้เด็ดขาด

นี่มิใช่แค่การเกิดถนนหนทางไปมาหาสู่ระหว่างสองหมู่บ้าน หรือแม่น้ำสายใหญ่ที่คั่นระหว่างประเทศอันตรธานหายไปเท่านั้น

“อืม งั้นต่อจากนี้ยังเหลือเวลาอีกเจ็ดวันกว่าทุกท่านจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่คาดฝัน ตอนนี้ข้าแนะนำให้ทุกท่านจัดสรรงานในเจ็ดวันนี้ให้ดี และพยายามหว่านเมล็ดหมุนเวียนให้เสร็จภายในสามวันแรก” ชุยชีฉาวเอ่ย

ทุกคน “…”

 

ชุยชีฉาวเป็นคนเผยแพร่ข่าวคราวให้คนทั้งหมดรับรู้แท้ ๆ ทว่ากลับไม่ตึงเครียดเท่าที่ควร และเพียงแค่กระตุ้นให้ทุกคนทำไร่ให้ดีเท่านั้น

อวิ๋นเมิ่งเจินเหรินช่วยคิดแก้ต่างแทนอีกฝ่าย: ยิ่งเวลาแบบนี้ ยิ่งต้องทำไร่นาให้ดีสินะ เมื่อความวินาศสันตะโรมาเยือนอาจเกิดทุพภิกขภัยมากยิ่งขึ้นอีก

ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ติดตามทำงานกับชุยชีฉาวอยู่เจ็ดวันอย่างอับจนหนทาง กระทั่งปลูกถั่วเหลืองจนเต็มไร่แล้วก็ยังไม่เคยได้ลิ้มรสชาติฝีมือทำอาหารของชุยชีฉาว

พวกเขารู้ดีถึงสิ่งที่อวิ๋นเมิ่งเจินเหรินบอกเป็นนัย– นี่เป็นถึงท่านผู้อาวุโสตัวน้อยประจำสำนักพวกข้า ไม่ได้สั่งให้พวกเจ้าที่เป็นเพียงแค่คนรุ่นหลังไปขัดหม้อก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว พวกเจ้ายังจะหน้าไม่อายหมายตากับข้าวที่ท่านทำได้อย่างไร

ถันเหวยเจินเหรินพุ่งกลับเข้ามาขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารร่วมกัน ทั้งร่างเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบเลือดหนา กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปทั่ว ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

ชุยชีฉาวตกใจแทบตาย รีบรุดเข้าไปพยุงอีกฝ่ายทันที “ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” ถันเหวยเจินเหรินย้อนถาม สายตาจ้องเขม็งไปยังอาหารที่อยู่บนพื้น “ใครทำอาหารให้คนพวกนี้กิน ใครกินอาหารของเจ้าลงไปบ้าง”

ชุยชีฉาว “…”

ถันเหวยเจินเหรินท่าทางสบายดีเป็นอย่างยิ่ง ยังมีอารมณ์คิดเล็กคิดน้อยว่าเขาทำอาหารให้คนอื่นกินหรือเปล่าอีก

ชุยชีฉาวเช็ดใบหน้าให้ เมื่อแน่ใจว่าคนตรงหน้ามีเพียงร่องรอยความเหนื่อยล้า ไร้ซึ่งความเจ็บปวดจึงอธิบาย “แยกกันทำ ข้าทำแค่ส่วนที่กินเอง”

“ผะ ผู้อาวุโส ด้านนอกเป็นเช่นไรบ้าง ตอนนี้พวกเราอยู่แห่งหนใด” มีคนถามขึ้น เจ็ดวันมานี้ถูกขังอยู่แต่ในมิติถ้ำสวรรค์ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นตายร้ายดีอย่างไร ภพภูมิผู้ฝึกวิชาจะเป็นเช่นไรบ้าง ช่างชวนให้กระวนกระวายเสียจริง!

ถันเหวยเจินเหรินคร้านจะเอ่ยวาจา ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดมุดเข้าอ้อมอกชุยชีฉาว พร้อมกล่าวเสียงเล็กเสียงน้อย “เจ้าป้อนอะไรให้ข้ากินทีสิ”

ทุกคน “…”

ชุยชีฉาวขมวดคิ้ว ไม่ใช่ด้วยสาเหตุอื่นใด แต่เพราะยามร่างเปื้อนเลือดของถันเหวยเจินเหรินมุดเข้าอ้อมกอดนั้น กลิ่นคาวช่างรุนแรงเหลือเกิน อีกทั้งยังทำให้ร่างกายเขาเปรอะตามไปด้วย

ทว่าพอลองคิดดูอีกที ถันเหวยเจินเหรินเองก็ลำบากไม่น้อย เลือดบนตัวล้วนเกิดจากการเฝ้าป้องกันอยู่ด้านนอกถึงเจ็ดวัน

จะทำอย่างไรได้เมื่อแมวน้อยต้องการจะออดอ้อน ก่อนหน้านี้เขาทำเกี๊ยวเอาไว้ ยามนี้จึงยกชามขึ้นก่อนคีบชิ้นหนึ่งส่งไปที่ริมฝีปากของเจ้าตัว

ถันเหวยเจินเหรินดื่มด่ำกับการกินเกี๊ยวที่ชุยชีฉาวป้อนประหนึ่งอยู่ในโลกส่วนตัวที่แยกสันโดษ ไม่รับรู้ถึงความเงียบงันรอบทิศเลยสักนิด ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายรวมถึงชื่อหงจุนเจ่อต่างมีสีหน้าแตกตื่น

นี่อะไร นี่มันเรื่องอันใดกัน?!

เวลานี้ควรยกประเด็นเรื่องธาตุแท้ของถันเหวยเจินเหรินขึ้นมาก่อน หรือควรกล่าวถึงประเด็นความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์แบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นในยุทธภพก่อนกันแน่

ทั่วภพภูมิผู้ฝึกเซียนต่างกล่าวขานถึงตำนานของถันเหวยเจินเหรินเป็นเสียงเดียวกัน เขามีท่าทีหยิ่งยโสน่าหมั่นไส้ ทว่าก็ครองวิชาสูงส่งจนทำให้เหล่าอริได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความคับแค้น ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นผู้วิเศษที่ทำตัวตามอำเภอใจอีกต่างหาก วันนี้เจ้าของเสียงลือเสียงเล่าอ้างกลับกำลังกล่าววาจาเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ลูกศิษย์ ตำนานเล่าขานที่ฟังมาหลายปีแหลกลาญกลายเป็นผุยผง

ทว่าผู้วิเศษก็ยังเป็นผู้วิเศษวันยังค่ำ ท่าทีที่มีต่อศิษย์ของตนเช่นนี้… หากดูจากพื้นเพพรสวรรค์ของชุยชีฉาวแล้ว คงมิใช่ว่าอีกฝ่ายรับเขาเป็นศิษย์ด้วยเหตุผลนี้หรอกกระมัง มุ่งหวังเรื่องต้องห้ามระหว่างศิษย์อาจารย์โจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ

ถ้ายึดตามสิ่งที่ควรยกย่องบูชาทั้งห้า[1]ในประเพณีของมนุษย์ แม้ศิษย์อาจารย์จะปราศจากความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนแล้ว ความรักระหว่างศิษย์อาจารย์เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมและไม่ต่างอะไรจากรักร่วมสายเลือดเลยก็ว่าได้

ทว่าพวกเขาก็ได้แค่ปิดปากเงียบอย่างตื่นตะลึงเช่นเดียวกันกับยามที่ประมุขเยี่ยนทราบข้อเท็จจริงนี้ ไม่กล้าเอ่ยปากตำหนิว่ากล่าวอันใดทั้งสิ้น

อวิ๋นเมิ่งเจินเหรินยืนนิ่งงันอย่างเหม่อลอย ตอนนี้เขาเข้าใจถ่องแท้ถึงสาเหตุที่อาจารย์ปู่มักจะไม่สงวนท่าทีและพาลโมโหเขาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้ว เมื่อหวนนึกถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนกับอาจารย์อาชุยแล้ว เรียกได้แค่ว่ารนหาที่ตายทั้งนั้น…

ดูท่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางบางอย่างตั้งแต่ชุยชีฉาวยังเป็นบ่าวรับใช้ อาจารย์ปู่อยู่ถึงระดับขั้นเจ๋ว์เสี่ยง ส่วนชุยชีฉาวเพิ่งบรรลุขั้นอิงหนิง มิน่าอาจารย์ปู่จึงไม่ยอมให้ชุยชีฉาวเสียเวลาอยู่กับการฝึกฝนอย่างยากลำบากและหนุนอีกฝ่ายทีเดียวให้ถึงขั้นอิงหนิง

คนทั้งหมดได้แต่เบิกตากว้าง จ้องมองพวกเขาป้อนอาหารให้แก่กันราวกับรอบกายไร้ผู้คนทั้งอย่างนั้น ถันเหวยเจินเหรินลุกขึ้นก่อนจะตวาดด้วยความไม่สบอารมณ์ “มองอะไร ไม่มีส่วนของพวกเจ้า!”

ทุกคนพยักหน้าเชื่อฟังอย่างมีไหวพริบ

ใช่สิ ใครจะอาจหาญกัน ขนาดตอนชุยชีฉาวเป็นอาจารย์อา พวกเขายังไม่กล้าเลย

ชื่อหงจุนเจ่อลอบถอนหายใจ โชคดีที่เมื่อครั้งนั้นมิได้โน้มน้าวชุยชีฉาวให้มาเป็นศิษย์ มิเช่นนั้นเขาจะไปโน้มน้าวฝ่ายนั้นที่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ไหวที่ไหนกันเล่า

ที่แห่งนี้คงมีเพียงเขาที่กล้าปริปากรำพึงรำพัน “ที่แท้พวกเจ้าก็มีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น…”

ชุยชีฉาวเอ่ยขัดอย่างเปิดเผย “ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว”

เขารู้ว่าคนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแค่เจ้านายกับสัตว์เลี้ยงธรรมดาเท่านั้น

“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด” ชุยชีฉาวพูดขึ้นหลังมองดูถันเหวยเจินเหริน

ถันเหวยเจินเหรินเพียงแค่นึกเสื้อผ้าก็ผลัดเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อย คราบเลือดเกรอะกรังบนตัวหายวับไร้ร่องรอย

ชุยชีฉาวเห็นแล้วรู้สึกขบขัน เมื่อกี้อีกฝ่ายแกล้งซุกร่างเปื้อนเลือดเข้าหาเขาสินะ

นัยน์ตาของถันเหวยเจินเหรินปรากฏรอยยิ้ม ก่อนจะทำความสะอาดเรือนร่างของชุยชีฉาวตาม

หากเป็นเวลาปกติทุกคนคงไม่ใส่ใจนัก ทว่ายามนี้เพียงแค่ “จ้องมองตากันไปมา” ทุกคนก็เห็นอยู่ในสายตา จนอยากจะตาบอดเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ชื่อหงจุนเจ่อ: ข้าเข้าใจผิดเสียที่ไหนกัน

เวลานี้ถันเหวยเจินเหรินถึงนั่งลงอย่างมีมาดและเริ่มสาธยายถึงสิ่งที่ตนพบเจอมาภายนอก

 

[1] สิ่งที่ควรบูชาทั้งห้า หมายถึงสิ่งที่คนจีนให้ความสำคัญ ควรเคารพบูชาตั้งแต่ครั้งอดีต นั่นคือสวรรค์ ผืนดิน กษัตริย์ บิดามารดา และครูบาอาจารย์

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า