[ทดลองอ่าน] โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก ตอนที่ 5

โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿

เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล

 

— โปรย —

ถ้าระบบให้เงินคุณหนึ่งหมื่นหยวน คุณจะใช้มันยังไง
ถ้าต้องใช้ให้หมดภายในสิบนาทีล่ะ
แล้วถ้าใช้ไม่หมดก็ต้องตายล่ะ คุณจะยอมรับได้ไหม

สวี่รุ่ย อดีตคุณหนูไฮโซต้องตกระกำลำบากทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
ยังไม่ทันจบมหาวิทยาลัยกลับต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์

สวรรค์บันดาลให้เธอย้อนเวลากลับมาเจ็ดปีก่อน ตอนเรียนมัธยมปลายปีหนึ่ง
พร้อมกับระบบผลาญเงินที่แต่ละครั้งจะเพิ่มจำนวนเงินและระยะเวลาในการใช้เงินขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับคุณหนูที่เคยร่ำรวย การใช้เงินมือเติบอย่างนี้นับเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว

ที่สำคัญ หากทำภารกิจสำเร็จ เธอจะได้รับโบนัสพิเศษ
และนั่นก็ทำให้เธอช่วยชีวิต ลั่วหาน เพื่อนวัยเยาว์ที่ชาติก่อนจากไปตั้งแต่เด็กไว้ได้

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

5

ตอนสวี่รุ่ยกลับถึงห้างสรรพสินค้า เซี่ยซือหย่ากำลังลองแจ็กเก็ตของเอ็ด ฮาร์ดีอยู่พอดี

“ในที่สุดเธอก็กลับมาสักที ดูสิว่าฉันใส่ตัวนี้แล้วเป็นไงบ้าง”

เซี่ยซือหย่ารูปร่างอวบอิ่ม ผิวขาว ถึงจะใส่แจ็กเก็ตลายหัวเสือก็ยังดูน่ารัก

สวี่รุ่ยพยักหน้าแล้วยิ้มกล่าว “ทั้งเท่และทันสมัยมากๆ”

เซี่ยซือหย่าหยิบแจ็กเก็ตตัวนี้ขึ้นมาอย่างมีความสุข แต่แล้วเธอเห็นซองเอกสารในมือของสวี่รุ่ย “นี่อะไร เมื่อกี้เธอไปทำอะไรมา”

สวี่รุ่ยกำลังจะตอบก็มีเสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง “เซี่ยซือหย่า สวี่รุ่ย พวกเธออยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”

พอทั้งคู่หันกลับไปก็เห็นเจิ้งเหม่ยซินที่หิ้วถุงช็อปปิงพะรุงพะรัง

ด้านข้างยังมีชายหนุ่มอายุราวยี่สิบนิดๆ หน้าตาคล้ายเจิ้งเหม่ยซินอีกคน เขามีผิวสีเข้ม รูปร่างผอมเพรียว

เจิ้งเหม่ยซินแนะนำ “นี่เจิ้งเหล่ย พี่ชายฉันเอง”

เจิ้งเหล่ยมีตาชั้นเดียวเหมือนน้องสาว เขาตัดผมทรงแฟลตท็อป[1] หน้าตาดุนิดหน่อย เจิ้งเหล่ยเหลือบมองเซี่ยซือหย่าและสวี่รุ่ย ก่อนทักทายพวกเธอยิ้มๆ “สวัสดี พวกเธอเป็นเพื่อนของน้องสาวพี่ที่เรียนอยู่หัวหย่าด้วยกันเหรอ”

แม้สวี่รุ่ยจะมีเพื่อนเยอะ แต่กับเจิ้งเหม่ยซินนั้นเข้ากันไม่ได้ เธอเลยไม่มีอะไรจะพูดกับพี่ชายของหล่อน

เธอกับเซี่ยซือหย่าทักทายเขาเล็กน้อย แล้วเดินไปชำระเงิน

เจิ้งเหม่ยซินกลับจ้องสวี่รุ่ยเขม็ง

เมื่อหล่อนเห็นว่ามีแค่เซี่ยซือหย่าเท่านั้นที่ถือถุงช็อปปิงไม่กี่ใบ และของที่นำไปชำระเงินก็มีแค่แจ็กเก็ตที่เซี่ยซือหย่าลองเมื่อครู่เท่านั้น หล่อนจึงค่อนแคะว่า “นี่เสี่ยวรุ่ยรุ่ย มาเดินช็อปปิงตั้งนานสองนาน ไม่คิดจะซื้ออะไรเลยหรือ”

ในร้านยังมีลูกค้าคนอื่นๆ อยู่ด้วย และเสียงของเจิ้งเหม่ยซินก็ไม่เบา ดังนั้นจึงมีสายตาหลายคู่มองมาทางนี้

เซี่ยซือหย่าหยิบถุงสีเหลืองที่ใส่กระเป๋าเงินผู้ชายออกมา “ซื้อแล้วนะ นี่ไม่ใช่ของสวี่รุ่ยหรือไง” พูดพลางยัดถุงกลับใส่มือของสวี่รุ่ย “เธอหายไปนานมาก ให้ฉันรอตั้งนานแน่ะ”

เมื่อเจิ้งเหม่ยซินเห็นสัญลักษณ์ LV บนถุงแล้วก็ส่งเสียงเชอะ เธอยิ้มน้อยๆ “นี่เธอจะไว้หน้าคุณหนูตระกูลจู้ทำไม ถ้ามีปัญญาซื้อหลุยส์วิตตองแล้วทำไมยังต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เก่าๆ โทรมๆ นั่นอีก”

สวี่รุ่ยมีสีหน้าอธิบายยาก “แปลกจังนะ จะซื้อหลุยส์วิตตองนี่ต้องดูสภาพบ้านด้วยหรือไง”

เซี่ยซือหย่าได้ยินแล้วเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ล่ะ “เธออยากมีเรื่องหรือไง”

เจิ้งเหม่ยซินแค่นเสียงหึ “ฉันก็แค่ทนไม่ได้ที่เห็นคนจนๆ บางคนสวมหน้ากากทำตัวเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งๆ ที่ความจริงเน่าเหม็น”

สวี่รุ่ยเข้าใจโดยพลันว่าที่แท้เรื่องราวก็เป็นแบบนี้นี่เอง

จู้หย่วนเฟิงน้าของสวี่รุ่ยจัดการให้เธอได้เข้ามาเรียนที่นี่ เขาใช้เส้นสายของเขาฝากสวี่รุ่ยเข้ามา บางทีอาจเป็นเพราะเธอเคยทักทายผู้อำนวยการโรงเรียนโดยไม่ปิดบังใคร ดังนั้นเด็กมัธยมต้นส่วนใหญ่จึงรู้กันหมดว่าเธอเป็นหลานสาวตระกูลจู้

เมือง C เป็นแค่เมืองรอง พอจู่ๆ เจอตระกูลเศรษฐีที่มักปรากฏอยู่บนนิตยสารการเงินจึงทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใหม่เป็นธรรมดา

ความจริงเพื่อนส่วนใหญ่ก็ร่ำรวยกันทั้งนั้น แต่พวกเขาอดติดตามสวี่รุ่ยไม่ได้ หนำซ้ำสวี่รุ่ยยังเข้าสังคมเก่ง อยู่ด้วยแล้วสนุก พวกเพื่อนๆ จึงเรียกเธอเล่นๆ ว่า “คุณหนูตระกูลจู้”

ทว่าเจิ้งเหม่ยซินไม่ได้เรียนมัธยมต้นที่หัวหย่า พอเรียนต่อมัธยมปลายที่นี่ก็ได้ยินเพื่อนๆ เรียกคนที่ต้องนั่งรถประจำทางว่า “คุณหนู” แต่กลับเรียกหล่อนว่าเศรษฐีใหม่ ทำเอาหล่อนแทบหายใจไม่ออกทีเดียว

เซี่ยซือหย่าตอกกลับ “ถ้าคนตระกูลจู้ไม่ใช่คุณหนู แล้วเธอใช่หรือไง”

พอเจิ้งเหม่ยซินได้ยินคำว่า “คุณหนู” พลันเดือดดาล เธอมองสวี่รุ่ยแวบหนึ่ง “ก็ได้ งั้นคุณหนูตระกูลจู้ก็ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่สักชุดแล้วกัน ที่เธอสวมอยู่ตอนนี้มีแต่แบบของปีที่แล้วทั้งนั้น ดูไม่เป็นคุณหนูเลยสักนิด”

สำหรับเหล่าเด็กผู้หญิงในโรงเรียนเอกชนแล้ว ยากจะหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบและฉีกหน้ากันและกัน

สวี่รุ่ยรู้สึกเบื่อมากจึงพูดตรงๆ ว่า “สไตล์ของแบรนด์นี้ไม่เข้ากับฉันสักนิด ต่อให้ฉันชอบแนวพั้งค์[2]ฉันก็ชอบสไตล์ของวิเวียน เวสต์วูดมากกว่า แล้วก็นะ ฉันเพิ่งใช้เงินจนหมดเกลี้ยงเลย ต่อให้ชุดสวยขนาดไหนก็ไม่มีเงินซื้อแล้วละ”

เจิ้งเหม่ยซินได้ยินชื่อแบรนด์ที่ตัวเองไม่รู้จักก็ใจฝ่อนิดหนึ่ง แต่พอได้ยินประโยคหลังหล่อนก็หัวเราะเยาะ “ฉันละเชื่อเธอเลย ถ้าไม่มีเงินก็บอกตรงๆ ว่าไม่มีเงินสิ ยังบอกว่าใช้เงินหมดแล้ว ไหนล่ะของที่เธอซื้อ คงไม่ใช่เอาไปซื้อพวงกุญแจแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าหรอกนะ”

สวี่รุ่ยตบซองเอกสารในมือ “ใช้ไปกับไอ้นี่หมดแล้ว”

เซี่ยซือหย่าสนใจโดยพลันจึงคว้าซองเอกสารนั่นมา “ที่เธอออกไปเมื่อกี้ก็เพื่อสิ่งนี้น่ะเหรอ นี่อะไรเนี่ย…” ขณะพูดหล่อนก็เปิดซองเอกสารออกดู “โอ้โห นี่เธอซื้อทัวร์ล่องเรือสำราญสองทริปเลยเหรอ”

เจิ้งเหม่ยซินชะโงกหน้าดู “ไปไหนล่ะ คงไม่ใช่ทัวร์สิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทยหรอกนะ ก็แค่ไม่กี่พันหยวนเอง ถูกจะตาย” จากนั้นเธอก็เห็นคำว่าสิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทยบนเอกสารสัญญาฉบับแรก เธอจึงกล่าวอย่างลำพองว่า “ฉันว่าแล้ว…”

พูดได้ครึ่งเดียวเธอก็เงียบเสียงลงทันที เพราะเซี่ยซือหย่าหยิบเอกสารฉบับที่สองขึ้นมาดู เขียนไว้ว่าทริปล่องเรือสำราญขั้วโลกใต้ที่มีราคาแพงกว่าสี่หมื่นหยวน

เซี่ยซือหย่าตาลุกวาวพร้อมกับเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “สุดยอด นี่เธอจะไปเที่ยวขั้วโลกใต้ตอนตรุษจีนคนเดียวโดยไม่คิดจะชวนฉันสักคำงั้นเหรอ ไม่ได้การล่ะ ฉันจะไปด้วย เอาเบอร์โทร.ของบริษัททัวร์มาเลย เราไปเที่ยวด้วยกันนะ!”

“ฉันอยากไปมานานแล้ว ได้โอกาสพอดีเลยซื้อซะเลย”

สวี่รุ่ยยิ้ม แล้วเห็นเจิ้งเหม่ยซินถือสัญญาอ่านอยู่นานสองนานราวกับจะส่องหารูบนกระดาษ เธอถามว่า “เธอจะไปด้วยกันไหม ถ้าเธออยากไปเดี๋ยวฉันให้เบอร์โทร.ของบริษัททัวร์”

สีหน้าเจิ้งเหม่ยซินดูไม่ได้แม้แต่น้อย เรื่องไม่เหมือนกับที่หล่อนคิดไว้แม้แต่นิดเดียว สวี่รุ่ยใช้เงินหลายหมื่นหยวนไปเที่ยวตามใจชอบ!

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำถามของสวี่รุ่ย เจิ้งเหม่ยซินก็รู้สึกอยากเอาชนะ หล่อนหันกลับไปดึงเสื้อของพี่ชายทันที “ฉันก็อยากไปเที่ยวขั้วโลกใต้เหมือนกัน…”

ทว่าเจิ้งเหล่ยไม่ตอบตกลง เขาอธิบายว่า “ตอนตรุษจีนพวกเราต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน จะไปเที่ยวขั้วโลกใต้ได้ยังไง พ่อแม่ต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ แล้วขั้วโลกใต้ก็มีแต่หิมะไม่ใช่เหรอ น่าดูตรงไหน”

เซี่ยซือหย่ารีบพูด “ใช่ๆ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก อย่าไปเลย”

พอไม่ได้ดั่งใจ เจิ้งเหม่ยซินก็ถลึงตาใส่เซี่ยซือหย่า “จะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่ไม่กี่หมื่นหยวนฉันจ่ายเองก็ไปได้แล้ว”

“เจิ้งเหม่ยซิน”

เจิ้งเหล่ยปรามน้องสาว ก่อนฉีกยิ้มให้สวี่รุ่ย “วันนี้น้องสาวของพี่อารมณ์ไม่ค่อยดี พวกเธออย่าถือสาเลยนะ ไป เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอศกรีมพวกเราเอง ชั้นล่างมีร้านชื่อดาสๆ อะไรสักอย่าง…”

เจิ้งเหม่ยซินหันกลับไปจ้องพี่ชายพลางเอ่ยแก้เสียงเบา “ฮาเกน-ดาส บอกไปตั้งกี่รอบแล้วเนี่ย”

เจิ้งเหล่ยหน้าหม่น จากนั้นยิ้มให้พวกเธออย่างอบอุ่นอีกครั้ง “งั้นไปฮาเกน-ดาสกันไหม”

เซี่ยซือหย่าปฏิเสธฉับไว “ไม่ละค่ะ ฉันมีธุระต่อ”

เจิ้งเหล่ยมองสวี่รุ่ยแล้วยิ้มพิมพ์ใจเป็นครั้งที่สาม ถามว่า “งั้นเธอไปกับพวกเรานะ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่พาไปส่ง”

เจิ้งเหม่ยซินมองสวี่รุ่ยด้วยความรังเกียจ

ถ้าสวี่รุ่ยตอบตกลง เธอคงบ้าไปแล้วแน่ๆ สวี่รุ่ยจึงบอกปัดสองสามคำพอเป็นพิธี แล้วจากไปพร้อมกับเซี่ยซือหย่า

 

ระหว่างทางขากลับ สวี่รุ่ยให้เบอร์โทรศัพท์ของบริษัททัวร์กับเซี่ยซือหย่า พอเซี่ยซือหย่ารับไว้ก็ส่งต่อให้เหอจี้ข่าย

สวี่รุ่ยถาม “เธอส่งต่อให้เขาทำไม เขาเคยบอกว่าอยากไปเที่ยวขั้วโลกใต้เหรอ”

เซี่ยซือหย่าเบะปากแล้วพูด “มีแค่เราสองคนก็น่าเบื่อแย่สิ ชวนเพื่อนอีกสองสามคนดีกว่า เหอจี้ข่ายน่ะไปแน่ เดี๋ยวฉันส่งไปให้คนอื่นอีก”

สวี่รุ่ยไม่แย้ง เพียงแต่เธอยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่สุนทรีไปดี เพราะระบบสามารถประกาศภารกิจได้ตลอดเวลา แล้วถ้าเป็นภารกิจที่ทำบนเรือสำราญไม่ได้ซวยแน่ แต่คิดๆ ดูอีกที ยิ่งเรือสำราญหรูหรามากเท่าไร ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูงตามไปด้วย อาจทำให้ภารกิจสำเร็จง่ายขึ้นด้วยซ้ำ

เธอแค่ไม่รู้ว่าพอถึงตอนนั้นแล้วระบบจะหาเงินสำหรับภารกิจมาจากไหน

ระบบ 1212 “เรื่องนี้ระบบจะจัดการเอง คุณมีหน้าที่ใช้เงินแค่นั้นพอ”

สวี่รุ่ย “โอ๊ย ปวดใจ!”

ถ้านี่ไม่ใช่คำพูดของระบบ คงเป็นประโยคบอกรักที่ไพเราะที่สุดเท่าที่สวี่รุ่ยเคยฟังในชีวิต ยิ่งในช่วงปีสองปีแรกของชีวิตแสนลำเค็ญ เธอฝันถึงแต่เรื่องหาเงินทั้งนั้น

หากตอนนั้นมีคนพูดกับสวี่รุ่ยว่า “คุณมีหน้าที่ใช้เงินแค่นั้นพอ”  บางทีเธออาจตามเขาไปง่ายๆ เลยละ

แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าสวี่รุ่ยยังคงพอมีอุดมการณ์อยู่

แม้เธอจะเคยโดนยั่วยวนมาบ้าง แต่สิ่งยั่วยุนั้นกลับไม่น่าดึงดูดใจเอาเสียเลย ถ้าไม่แก่ก็ขี้ริ้วขี้เหร่ ห่างจากรสนิยมของเธอลิบลับ…ดังนั้นเธอจึงตั้งมั่นเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมต่อไป โดยเอาเวลาที่ใช้ในการแต่งเนื้อแต่งตัวมาใช้ทำงานหาเงิน

แทนที่จะพึ่งพาคนอื่น เธอสบายใจที่จะใช้เงินที่หาได้ด้วยตัวเองมากกว่า

เวลานี้สวี่รุ่ยอาศัยเงินจากระบบ ดังนั้นหลังเสร็จสิ้นภารกิจประจำวันแล้ว ในกระเป๋าของเธอจึงไม่มีเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ เหลืออยู่เลย แม้เธอจะซื้อพวกสิ่งที่ใช้ได้จริง อย่างบัตรสุขภาพ หรือบัตรเงินสดเพื่อยกระดับการใช้เงินแล้วก็ตาม

แต่วิธีที่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าก็ยังคงเป็นการนำเงินมาต่อเงิน

น่าเสียดายที่นำของที่ซื้อมาไปขายต่อไม่ได้ และยังมีข้อกำหนดมากมายในการให้เป็นของขวัญ…

อีกวิธีก็คือการลงทุน แต่ได้มาวันละหมื่นหยวนก็น้อยไปหน่อย เธอทำได้แค่รอจนกว่าจำนวนเงินจะเพิ่มขึ้นแล้วค่อยว่ากัน

สวี่รุ่ยเอียงศีรษะมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอมองหาแรงบันดาลใจในอินเทอร์เน็ต

จี้จวี๋ฟางเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมแก้วนม “รุ่ยรุ่ย นอนได้แล้ว อย่ามัวแต่ดูคอมพิวเตอร์ วันนี้มีข่าวว่ามีคนเล่นคอมพ์จนหัวใจวายตายด้วยนะ”

สวี่รุ่ยได้ยินก็เหมือนนึกอะไรได้ เธอพรวดพราดลุกขึ้นยืน “ย่าคะ ถ้าช่วงนี้มีคนมาหาฉัน ย่าต้องโทร.บอกฉันนะคะ แล้วถ้าจะให้ดีให้พวกเขาอยู่รอฉันก่อน”

สวี่รุ่ยยังจำได้ ชาติที่แล้วพ่อแม่ของลั่วหานเคยบอกว่าตอนลั่วหานอยู่โรงพยาบาล เขาให้คนมาตามหาเธอที่เมือง C

ทว่าตอนนั้นเธอไปเขาอวี้ซีเลยไม่ได้เจอกัน แม้ย่าจะให้เบอร์ติดต่อของเธอไป แต่โทรศัพท์ของเธอดันตกบ่อน้ำร้อน ทั้งสองฝ่ายเลยติดต่อกันไม่ได้

เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะตอนสวี่รุ่ยรู้ข่าวของลั่วหานอีกที ก็เป็นข่าวร้ายเสียแล้ว

ปีนั้น หลังลั่วหานกลับประเทศ อาการป่วยด้วยโรคหัวใจของเขาก็แย่ลง ตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาลในเมือง S ก็ดันเจอเหตุการณ์ที่หมอและคนไข้ทะเลาะกัน ลั่วหานโชคร้ายถูกมีดจี้เป็นตัวประกัน สุดท้ายโรคหัวใจกำเริบและช่วยไว้ไม่ได้

สวี่รุ่ยเป็นคนลืมง่าย แต่ที่ทำให้เธอจำเหตุการณ์ได้ชัดเจนขนาดนี้ ข้อแรกเป็นเพราะความปรารถนาก่อนตายของลั่วหานทำให้เธอได้รับถ่านกลางหิมะ[3] ข้อสองพ่อแม่ของลั่วหานบอกว่า ที่ลั่วหานกลับประเทศครั้งนั้นก็เพื่อมาพบเธอ

ประโยคนี้ทำให้สวี่รุ่ยโทษตัวเองมาก เธอคิดอยู่เสมอว่าอุบัติเหตุของลั่วหานครั้งนั้น เธอมีส่วนต้องรับผิดชอบ แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมลั่วหานถึงเดินทางกลับประเทศมาหาเธอทั้งๆ ที่ร่างกายไม่แข็งแรงและไม่ควรนั่งเครื่องบินนานๆ

หลังจากนั้นสวี่รุ่ยลองคิดๆ ดูแล้ว เลยพอจะเดาได้ว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะลั่วหานไม่ค่อยมีเพื่อน แม้มีหลายคนอยากเป็นเพื่อนกับเขา แต่ช่วงที่เธออาศัยอยู่กับยาย ดูเหมือนเขาจะเล่นแค่กับเธอเท่านั้น

เขาทั้งหยิ่งทั้งรักสันโดษขนาดนั้น หนำซ้ำอาการป่วยค่อนข้างร้ายแรง บางทีอาจเพราะความเหงาที่ทำให้เขากลับมาพบเธอก็เป็นได้

ที่จริงถ้าเทียบกับความเอาใจใส่ของลั่วหานที่มีต่อเธอ สวี่รุ่ยรู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อย

แม้ติดต่อกันได้ แต่เธอในขณะนั้นก็คงไม่ไปหาลั่วหานที่เมือง S ทันที เพราะเธอมีเพื่อนใหม่เยอะแล้ว ทั้งยังกำลังเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานที่เขาอวี้ซี…แต่ถ้ารอเธอเที่ยวเล่นเสร็จ เกรงว่าอุบัติเหตุของลั่วหานก็คงเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน

จี้จวี๋ฟางชะงักครู่หนึ่ง ค่อยถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก “ใครจะมาหาหลานเหรอ”

สวี่รุ่ยอธิบาย “เป็นเพื่อนสนิทที่ฉันรู้จักตอนอยู่กับยายน่ะค่ะ ถ้าเขามาหา ย่าช่วยทำยังไงก็ได้ให้เขาอยู่รอฉันก็พอค่ะ”

แม้เธอยังคิดไม่ออกว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แต่ในเมื่อสวี่รุ่ยมาเกิดใหม่ในช่วงเวลาสำคัญขนาดนี้แล้ว เธอจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกับลั่วหานเหมือนชาติที่แล้วอย่างแน่นอน

เธออยากชดเชยให้กับความรู้สึกเสียดายของชาติที่แล้ว

จี้จวี๋ฟางพยักหน้า “เพื่อนหลานอุตส่าห์มาตั้งไกล ย่าต้องต้อนรับอย่างดี”

สวี่รุ่ยยิ้ม “ขอบคุณค่ะย่า!”

 

[1] ทรงผมผู้ชายที่ตัดสั้นไถด้านบนเหมือนลานบิน

[2] แฟชั่นแนวพั้งค์ถือกำเนิดในอังกฤษ เน้นโทนสีดำ

[3] หมายถึง การให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าด้านกายภาพหรือด้านจิตใจแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความยากลำบาก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า