อินเทอร์เน็ตในโลกอนาคต หรือทศวรรษถัดไป มีอุปกรณ์เชื่อมต่อกว่า 80,000 เครื่องทั่วโลกที่สื่อสารกับคนและสื่อสารระหว่างกันตลอดเวลา จนสามารถคาดการณ์ความคิดหรือความต้องการของมนุษย์ได้ ซึ่งทำให้เกิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ซูเปอร์มารเก็ตจะไม่มีเคาน์เตอร์คิดเงิน และร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดจะมีพนักงานเหลือไม่ถึงครึ่ง นั่นหมายความว่าแรงงานมนุษย์จะถูกลดทอน ความต้องการจ้างมนุษย์จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ … มาดูกันว่าอินเทอร์เน็ตในโลกอนาคตจะสร้างคุณหรือให้โทษกับมนุษย์มากกว่ากัน การแพทย์ อาชญากรรม และการรับรู้ อินเทอร์เน็ตในโลกอนาคตจะช่วยติดตามระดับน้ำในประเทศที่กำลังพัฒนา และเอื้อให้เกิดเทคโนโลยีทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลผ่านระบบดาวเทียมได้ อาชญากรรมสาธารณะมีแนวโน้มลดลลง เนื่องจากระบบเซนเซอร์ กล้อง ปัญญาประดิษฐ์และซอฟต์แวร์จดจำใบหน้า ความไว้ในระบบเทคโนโลยีต่างๆ อาจเพิ่มขึ้นเมื่อปัญญาประดิษฐ์ช่วยกระจายอำนาจและทำให้ผลิตภัณฑ์ทางเศรษฐกิจเข้าถึงคนส่วนใหญได้ ส่งผลให้คนจำนวนมากทั่วโลกได้รับโอกาสใหม่ที่สร้างสรรค์ อินเทอร์เน็ตต้องแก้ปัญหาโปรโตคอลที่ไม่ปลอดภัย ข้อจำกัดของแบนด์วิดธ์ อุปสรรคด้านการยอมรับทางวัฒนธรรม และการทำข้อตกลงเรื่องแนวทางการนิยามคุณค่าของข้อมูลและโอกาสในความร่วมมือต่างๆ ซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ และต้องใช้ความพยายามในวงกว้างและการกำกับดูแลร่วมกันกว่าจะเห็นผลชัดเจน พลิกวงการอุตสาหกรรม ไอเอชเอส บริษัทวิเคราะห์ตลาดในลอนดอน คาดการณ์ว่า จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะเติบโตจากตัวเลขประมาณการ 1,540 ล้านเครื่องเมื่อปี 2015 เป็น 75,400 เครื่องภายในปี 2025 การเพิ่มขึ้นห้าเท่านี้จะทำให้การเชื่อมต่อในทุกด้านของชีวิตลงลึกขึ้น และเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกเข้ากันด้วยวิธีการใหม่ๆ โดยมีแนวโน้มจะโอบรับเศรษฐกิจแบบเครื่องจักรกับเครื่องจักรอย่างรวดเร็วด้วย ผลกระทบนั้นจะกว้างและจะพลิกอุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมการผลิตปัจจุบัน การหารือเรื่องหลักการของเขตอำนาจและกฎหมายว่าด้วยการรับส่งข้อมูลต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้วัตถุประสงค์สุดท้ายนำพาไปสู่การแพร่คุณค่าออกไปอย่างกว้างขวาง โดยให้เกิดขึ้นในโรงงานและภาคการผลิตเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นที่เข้าใจกันดีว่าประสิทธิภาพในการปฏิบัติการคือการแก้ปัญหาเร่งด่วน และผลิตภาพกับศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่ดีขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ […]
Author Archives: AMARINBOOKS TEAM
การฝึกของหน่วยซีล เป็นการฝึกที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุด ต้องทำให้ร่างกายทนกับทุกสภาวะและทะลุขีดจำกัดของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำให้นานที่สุด วิ่งแบกเรือยางไปทุกที่ ว่ายน้ำแบบไม่หยุดพักหลายชั่วโมง ฯลฯ โดยเฉพาะการฝึกสุดโหดของหน่วยซีลในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นชื่อว่าโหดและหินที่สุด ซึ่งคนทั่วไปมักจะมองว่า การเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความโหดร้ายที่ไม่รู้ว่าร่างกายของเราจะต้องบอบช้ำเพียงไหน ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีบางสิ่งที่ได้มาจากการฝึกนอกจากความอดทนและร่างกายที่แข็งแรง ยืนยันโดย พลเรือเอก วิลเลียม เอช. แม็คเรเวน อดีตผู้บัญชาการของหน่วยซีลที่ผ่านการฝึกของหน่วยซีลมาทุกรูปแบบ! มาดูกันว่า การฝึกของหน่วยซีล ต้องฝึกอย่างไรและได้ข้อคิดอะไรบ้าง เตียงนอนต้องตึง เสื้อผ้าต้องเป๊ะ! หลักสูตรซีลเบื้องต้นที่ต้องทำทุกวันก็คือการว่ายน้ำระยะไกล วิ่งทางไกล (มาก) การฝึกฝ่าเครื่องกีดขวาง และการขู่เข็ญจากครูฝึก โดยสิ่งแรกที่ครูฝึกจะตรวจ หากใครทำไม่ได้จะถูกลงโทษก็คือการเก็บเตียง และการแต่งกายให้เรียบร้อย ครูฝึกมาดเข้มหน้านิ่งเฉยจะเริ่มตรวจด้วยการเช็กความเนี้ยบของหมวก ให้แน่ใจว่าตรงกลีบหมวกแปดด้านนั้นเรียบร้อยได้รูป รอยจีบที่เสื้อต้องตรงกับกางเกง หัวเข็มขัดทองเหลือแวววาวเหมือนกระจกหรือเปล่า รองเท้าบู๊ตขัดมันวับจนเห็นเงาไหม หลังจากนั้นครูฝึกจะเริ่มไปตรวจที่นอน ผ้าปูผืนล่างหุ้มคลุมที่นอนไว้และด้านบนมีผ้าปูทับอีกชั้น ผ้าห่มและขนสัตว์สีเทาสอดแน่นใต้ฟูก ผ้าห่มผืนที่สองต้องพับอย่างสวยงามเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ปลายเตียง หมอนต้องวางตรงกลางของหัวเตียงให้ทำมุมฉากกับผ้าห่มด้านล่าง ผ้าคลุมเตียงต้องตึงแน่น ครูฝึกจะโยนเหรียญลงไปบนเตียง เหรียญนั้นต้องกระดอนขึ้นมาหลายนิ้ว นี่คือมาตรฐาน หากมีสิ่งใดผิดไปแม้แน่นอน จะต้องโดนทำโทษให้โต้คลื่น แล้วขึ้นมากลิ้งตัวบนชายหาดจนกว่าทรายเปียกจะปกคลุมไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเก็บที่นอนก็คือ ความมีวินัย ความเอาใจใส่รายละเอียด เปรียบเสมือนการทำภารกิจแรกของวันให้สำเร็จลุล่วงแม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม […]
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ได้แก่ โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ เกิดจากพฤติกรรมการกิน หรือเรียกได้ว่าตัวเราเป็นคนสร้างโรคนั้นขึ้นมาเอง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs คืออะไร หลายคนคงอาจไม่คุ้นหูกับโรค NCDs แต่ถ้าบอกว่าย่อมาจาก Non-communicable Diseases ซึ่งแปลเป็นไทยว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง และโรคมะเร็ง ก็คงรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้แก่ วิถีชีวิตเสี่ยงๆ เช่น การสูบบุหรี่ การกินอาหารไม่ถูกสัดส่วน ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด และการอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่ดี เช่น ควันเยอะ ฝุ่นเยอะ เป็นต้น ความน่ากลัวของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จากสถิติพบว่า มีผู้ป่วยโรคกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนทุกๆ 10 ปี เมื่อปี ค.ศ. 1990 มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 27 ล้านคน หลังจากนั้น […]
บทเรียนสำคัญแห่งชีวิตจากพลเรือเอก วิลเลียม เอช. แม็คเรเวน อดีตผู้บัญชาการ หน่วยซีล จะมอบพลังอันน่าทึ่งให้คุณก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ทะลุขีดจำกัดของตัวเองและไปถึงจุดหมายที่แท้จริง และอาจไปได้ไกลกว่าที่คิดไว้ มาดูกันว่า หน่วยซีล ท่านนี้ ได้บทเรียนอะไรจากการฝึกบ้าง ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต จงเริ่มที่การเก็บที่นอน! ค่ายทหารที่ใช้ฝึกหลักสูตรซีลเบื้องต้นเป็นอาคารสามชั้นธรรมดา เตียงนอนก็แสนจะเรียบง่าย มีแค่โครงเตียงเหล็กกับฟูกนอน ผ้าปูผืนล่างหุ้มคลุมที่นอนไว้ และด้านบนมีผ้าปูทับอีกชั้น ผ้าห่มพับอย่างเป็นระเบียบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ที่ปลายเตียง หมอนหนึ่งใบวางอยู่ตรงกลางของหัวเตียง ทำมุมฉากกับผ้าห่มด้านล่าง นี่คือมาตรฐานของจัดเตียงของที่นี่ ถ้าใครทำไม่ถูกต้อง จะโดนทำโทษให้ “โต้คลื่น” แล้วขึ้นมากลิ้งตัวไปมาบนหาดจนกว่าทรายเปียกจะปกคลุมหัวจรดเท้า อย่างที่เรียกกันว่า “คุกกี้โรยน้ำตาล” ทุกเช้า ครูฝึกจะมาเดินตรวจเตียง แล้วก้มลงสำรวจว่ามุมที่นอนเรียบตึงดีไหม ตรวจดูหมอน ผ้าห่ม ว่าวางถูกตำแหน่งหรือเปล่า จากนั้นจึงดีดเหรียญให้ลอยสูงขึ้นไปก่อนจะร่วงกระดอนบนฟูก หากเหรียญไม่เด้ง นั่นแปลว่าวันนี้ชะตาขาดแล้วแน่แท้ การเก็บที่นอนเป็นภารกิจแรกของวัน ดังนั้นการทำให้ดีเยี่ยมจึงเป็นเรื่องสำคัญ มันแสดงถึงความมีวินัย ใส่ใจรายละเอียด และที่สุดแล้ว มันจะเป็นเครื่องเตือนตัวเองว่างานแรกของวันได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบแล้วอย่างน่าภาคภูมิใจ แม้ว่างานนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าอยากเปลี่ยนโลก… จงหาคนช่วยพาย ช่วงแรกของการฝึกหลักสูตรซีลเราต้องหอบเรือยางติดตัวไปด้วยทุกที่ แบกไว้เหนือหัวตอนวิ่งออกจากค่ายฝึก วิ่งไปตามถนนใหญ่ วิ่งไปโรงอาหาร เราทั้ง 7 […]
รอบตัวเรามักมีเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อการผิดกฎหมายเยอะเหลือเกิน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกับ กฎหมายใกล้ตัว เอาไว้ กฎหมายใกล้ตัว ที่ทุกคนควรรู้ไว้ จะมีเรื่องใดบ้างมาดูกัน แค่กดไลค์ กดแชร์ ทำไมติดคุกได้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โพสต์ข้อมูลปลอมไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลที่เป็นเท็จ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น โพสต์ข้อมูลเท็จ ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน โพสต์ข้อมูลที่เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา โพสต์ข้อมูลที่มีลักษณะลามก อนาจาร และข้อมูลนั้นอาจทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามข้อ 1 2 3 หรือ 4 กดแชร์ คือ เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลซึ่งเป็นความผิดชัดจน กดไลค์ หากมีเจตนาเพื่อเล็งเห็นผลจะเป็นความผิด เพราะเมื่อกดจะมีข้อความขึ้นใน news feed แต่ถ้าดูเฉยๆ ไม่ได้กดไลค์จะไม่มีความผิด ก่อนกดไลค์ กดแชร์ […]
หลายคนยังมีวิธีทำบุญแบบผิดๆ อยู่ เพราะคิดว่าชาวพุทธทำกันแบบนี้ หากเราทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง เราก็จะรู้ว่า ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญ สูงสุด ยังมีคนบางพวกที่เชื่อถือศรัทธาแบบไม่มีเหตุผลจนงมงายไปกับพิธีกรรมต่างๆ ที่ปะปนเข้ามาอยู่ในวิถีพุทธ การนับถือผี ความเชื่อโชคลาง เป็นต้น เราไม่ควรปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เข้ามามีบทบาทในชีวิตจนเกินไป ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ แต่ในเรื่องของการทำบุญก็ยังมีคนไม่เข้าใจ ทำตามๆ กันไปโดยที่ไม่รู้ว่าผลที่ได้เป็นอย่างไร การรู้หลักในการทำบุญจะช่วยให้เรามีทิศทางที่ทำแล้วเกิดผลเป็นบุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ใช่ทำแล้วได้บุญเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญคือ ทำแล้วกลับได้บาปกลับมาโดยไม่รู้ตัว มาดูกันว่า ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญ ไม่ใช่ได้บาป ฮวงจุ้ยกับความสุข เวลาจะสร้างบ้านหนึ่งหลัง อันดับแรกๆ ที่หลายคนทำคือดูฮวงจุ้ย เช่น นายคิมจะสร้างบ้านของตัวเองหนึ่งหลัง อยากให้บ้านมีแต่ความสุข ความเจริญ ใครอยู่บ้านนี้จะไม่เจ็บป่วย จึงคิดจะปรับบ้านตามฮวงจุ้ย เขาจึงต้องนำกระดาษมาปิดหน้าต่างทุกบานไม่ให้แดดส่องเข้าบ้าน เพื่อให้ดูเหมือนไม่เคยมีใครเข้าไปมาก่อน ก่อนถึงวันฤกษ์ดี นายคิมต้องเป็นคนแรกที่ก้าวเท้าเข้าบ้านเพราะเป็นเจ้าของบ้าน ต้องขุดดินในวันที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดพลังด้านบวก ต้องตัดต้นไม้ทิ้งเพื่อให้กระแสไหลผ่านเข้าบ้าน ต้องติดไฟเพิ่มที่ประตูและเปิดไฟ 24 ชั่วโมงเพื่อดึงดูดพลังพิเศษ ตรงสวนหน้าบ้านก็ต้องติดตั้งน้ำรินเพื่อให้พลังงานที่ดีวิ่งเข้าบ้าน และห้ามเปิดหน้าต่างบางบานในบ้านเพราะเชื่อว่าจะป้องกันไม่ให้เงินทองไหลออก และต้อง… อื่นๆ อีกมากมาย ลองคิดดูดีๆ ว่า เมื่อทำตามสิ่งนี้แล้ว เรามีความสุขจริงหรือเปล่า การทำความสะอาดอ่างน้ำเป็นภาระไหม และหากปั๊มน้ำเสียจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงชั้นดี […]
ผู้นำ ใครๆ ก็เป็นได้ แต่ผู้นำที่ดี ผู้ที่นำทางสว่างมาให้องค์กรและลูกน้อง ผู้นำที่บริหารงานเป็น เก่ง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์นำเหตุผลนี่สิ คือสิ่งที่เป็นยากที่สุด วิธีพัฒนาตนเองเพื่อการเป็น ผู้นำที่ดี มีอะไรบ้างมาดูกัน รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองคือรากฐานของการเป็นผู้นำที่ดี การรู้จักตัวเองเกิดขึ้นได้เมื่อตั้งใจสำรวจเรื่องราวในชีวิต ทำความเข้าใจบททดสอบยากเย็นที่เคยเจอ รวมทั้งต้องเข้าใจลึกๆ ว่าตัวเองเป็นใคร ขั้นตอนนี้ทำยากแต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้นำ การรู้จักตัวเองจะนำไปสู่การยอมรับตัวเองและเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์เพื่อจะได้ใช้ศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ ลักษณะนิสัยของคนเราย่อมมีหลายด้านที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมตลอดเวลา เมื่อทดสอบตัวเองและได้รับอิทธิพลจากโลกรอบตัว ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อค้นหาที่ทางเฉพาะตัวนั่นเอง การค้นหาตัวตนกลายเป็นเรื่องซับซ้อนเมื่อต้องเจอกับตัวเลือกมากมาย ตัวเลือกเหล่านี้มักจะทำให้คุณพัฒนาตัวเอง หรือไม่ก็ล่อต่อล่อใจจนเขวไปจากตัวตนที่แท้จริง หากไม่รู้จักตัวเองก็มีสิทธิ์เผลอยึดติดกับการไล่ไขว่คว้าชื่อเสียงและสัญลักษณ์ความสำเร็จที่เห็นภายนอกเอาได้ง่ายๆ หากยังไม่รู้ว่าจะรู้จักตนเองดีได้อย่างไร ให้ลองตอบคำถามเหล่านี้ดู 1.อะไรบ้างที่เป็นจุดอ่อน จุดบอด หรือด้านมืดของคุณ คุณใช้กลไกป้องกันตัวเป็นเกราะมากแค่ไหนเพื่อไม่ให้ตัวเองเผยความอ่อนแอให้คนอื่นรู้ 2.เวลาเผชิญสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจหรือได้รับเสียงสะท้อนเชิงติเตียนจากคนอื่น คุณรับฟังเสียงสะท้อนและตอบสนองเชิงสร้างสรรค์โดยไม่แก้ตัวดีแค่ไหน 3.คุณเข้าใจองค์ประกอบอารมณ์และความต้องการของคนอื่นได้ดีแค่ไหน จับความต้องการและช่วยเหลือคนอื่นได้ไวแค่ไหน คุณเชี่ยวชาญแค่ไหนในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน 4.เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ คุณสบายใจกับตัวเองแค่ไหน ค่านิยม การที่จะรู้จักตัวเองได้ ข้อสำคัญคือต้องกำหนดค่านิยมและหลักการที่ชี้แนะความเป็นผู้นำให้ชัดเจน ค่านิยมซึ่งเป็นพื้นฐานย่อมเกิดจากสำนึกและความเชื่อ การยึดค่านิยมนั้นเป็นศูนย์กลางเสมอไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งล่อใจและแรงกดดันจากโลกภายนอกมักรวมหัวกันฉุดดึงคุณไม่ให้ไปถึงจุดมุ่งหมายสำคัญนั่นก็คือการเป็นผู้นำได้ บางทีคุณอาจฝึกไล่เรียงค่านิยมของตัวเองโดยจัดลำดับตามความสำคัญอยู่แล้ว การซื่อสัตย์ต่อค่านิยมยามที่ทุกอย่างราบรื่นนั้นค่อนข้างง่าย การจะกำหนดค่านิยมของตนให้ชัดได้คุณต้องตัดสินใจว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิตการรักษาความซื่อตรงใช่ไหม ค่านิยมไม่จำเป็นต้องมีชุดเดียว บางคนอาจให้คุณค่าแก่การปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างมีน้ำใจ อีกคนอาจให้คุณค่าแก่ความเป็นเลิศ […]
ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่หลายคนเรียกว่า AI จะช่วยให้มนุษย์และคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงกันได้ และในอนาคตผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าสักวันหุ่นยนต์อาจทำหน้าที่พื้นฐานแทนตำรวจได้ ปัญญาประดิษฐ์จะเปลี่ยนโลกไปอย่างลึกล้ำ เช่น การช่วยให้จักรกลอัตโนมัติทำงานในโลกกายภาพได้ สามารถควบคุมการจราจรทางอากาศ และจัดการปัญหาใหญ่ที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์ได้ แต่ก็มีความเสี่ยงอีกหลายอย่าง เช่น หุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์จะมีปัญหาในการทำนายผลกระทบที่สลับสับแปรด้านทักษะและการจ้างงาน ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างหนักในสังคม รวมถึงความเสี่ยงเรื่องของการปลอดภัยไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นหากอาชญากรล่อลวง เจาะระบบ หรือทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เกิดความสับสน ทำให้สูญเสียทรัพย์สินได้โดยไม่ทันรู้ตัว ลองมาดู 10 ข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ ในยุคปัจจุบัน AI เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทุกวันนี้ ปัญญาประดิษฐ์มักมายความถึงจักรกลเรียนรู้เป็นส่วนใหญ่ อันหมายถึงซอฟต์แวร์ที่มีตั้งแต่แบบจำลองถดถอยเชิงเส้น ไปถึงต้นไม้ตัดสินใจ ข่ายงานแบบเบย์ โครงข่ายประสาทเทียม และอัลกอริทึมเชิงวิวัฒนาการ ในทศวรรษ 1960 หุ่นยนต์เคลื่อนที่คือผลงานสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ แต่ทุกวันนี้ การเอาชนะนักกีฬาหมากล้อมโลกได้ นี่คือความสำเร็จครั้งใหญ่สุด การรับรู้ว่าปัญญาประดิษฐ์คืออะไร อาจเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น AI ทั่วไปไม่มีอยู่จริง ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไปไม่มีอยู่จริง แต่รอบตัวเราเต็มไปด้วยปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ ระบบปัญญาประดิษฐ์ปัจจุบันกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ในงานบางงานที่มีขอบเขตเจาะจงชัดเจน แต่ยังขาดบริบทกว้างๆ และสามัญสำนึกอย่างที่มนุษย์มี ต้องอยู่ร่วมกับมนุษย์ ปัญญาประดิษฐ์และมนุษย์ ทำงานได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ร่วมกัน […]
โรคของต่อมไทรอยด์นั้นมีมากมายและเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ หนึ่งในโรคที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ ไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งหลายคนยังแยกไม่ออกว่าตนเองเป็นโรคอะไรกันแน่ การทำงานที่ผิดปกติของต่อมไทรอยด์อาจเป็นแบบที่ต่อมทำงานมากเกินไป ส่งผลให้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาในปริมาณมากเกินไป ความความผิดปกตินี้เรียกว่า “ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ” หรือ “ไฮเปอร์ไทรอยด์” ส่วนต่อมไทรอยด์ที่ทำงานผิดปกติในทางตรงข้าม คือทำงานน้อยเกินไป จนทำให้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาน้อย ความผิดปกตินี้เรียกว่า “ไฮโปไทรอยด์” มาดูกันว่า เราจะมีวิธีสังเกตอาการของ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ และวิธีรักษาอย่างไรบ้าง อาการที่บ่งบอกว่าต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ไฮเปอร์ไทรอยด์ มีระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไป ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูงเกินไป มีการทำงานของเซลล์ในร่างกายเร็วกว่าปกติ อาการที่ส่งผลต่อร่างกายก็คือ น้ำหนักลดลงผิดปกติ ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก เหนื่อย มีประจำเดือนน้อยลง ความจำไม่ดี กระสับกระส่าย ขาดสมาธิ ผมร่วง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ท้องเสีย ผิวเป็นด่างขาว มือสั่น แขนขาไม่มีแรง ตาโปน ต่อมไทรอยด์โต เป็นปื้นหนาที่ขา ไฮโปไทรอยด์ มีระดับการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่น้อยเกินไป ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดต่ำเกินไป มีการทำงานของเซลล์ในร่างกายช้ากว่าปกติ อาการที่ส่งผลต่อร่างกายคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขี้หนาว ง่วงนอน อ่อนเพลีย ผมร่วง ผิวแห้ง ซึมเศร้า […]
เคล็ดลับการขายด้วย คำถามเปิดใจลูกค้า กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก นักขายเพียงแค่ตั้งคำถามชวนลูกค้าคุยเสมือนเพื่อน เพียงเท่านี้ ลูกค้าก็จะยอมเปิดใจรับฟัง และตกลงซื้อสินค้าตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มขายอย่างจริงจัง การขายสินค้าส่วนมากเรามักจะเจอแต่นักขายที่เอาแต่ยัดเยียดสินค้า อธิบายสรรพคุณ รายละเอียดของสินค้าแต่ฝ่ายเดียว โดยที่เราไม่โอกาสได้พูดถึงความต้องการของตัวเอง การขายแบบนี้จะสร้างความอึดอัดต่อลูกค้า และตัวนักขายเองด้วย วิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นคือการตั้งคำถาม เพื่อถามลูกค้า แทนที่จะเสนอขายในแบบปกติ การทำแบบนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ได้รู้สึกว่าถูกจู่โจมเงินในกระเป๋าแต่อย่างได้ ลองมาดูกันว่า คำถามเปิดใจลูกค้า ต้องถามอย่างไร เรียงลำดับคำถาม คำถามเบสิกที่นักขายควรเรียนรู้ไว้เป็นอันดับแรกๆ คือต้องรู้จักเรียงลำดับคำถามก่อน โดยเริ่มจากการสอบถามเกี่ยวกับกิจการของลูกค้า จากนั้นค่อยๆ ถามเรื่องส่วนตัว แล้วกลับเข้าสู่คำถามเกี่ยวกับสภาพกิจการในปัจจุบัน และปิดท้ายด้วยปัญหาที่ลูกค้ากำลังประสบอยู่ หากเรียงคำถามได้ตามนี้ การถามตอบจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติ ในระหว่างที่ถาม ก็ลองคิดดูว่าสินค้าของคุณจะช่วยลูกค้าแก้ปัญหาตรงส่วนไหนได้บ้าง ถามว่า “ทำไม” ซ้ำๆ วัตถุประสงค์ของการถามว่า “ทำไม” คือเพื่อ “ขอเหตุผล” ซึ่งจะช่วยให้เรารู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดแรงจูงใจ คนส่วนใหญ่เมื่อมีคนถามว่า “ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนั้น” หรือ “ทำไมถึงคิดว่าแบบนั้นดีกว่า” เรามักตอบว่า “เพราะคิดว่า/รู้สึกว่า…” โดยนึกถึงความรู้สึกและความทรงจำของเราที่มีต่อสิ่งนั้น ตัวอย่างเช่น หลักปฏิบัติของโตโยต้าที่โด่งดังคือการถามว่า “ทำไม” เช่นเดียวกัน เนื่องจากการถามว่า […]