[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 4 ตอนที่ 120 : อาจารย์เก็บตัว

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

 

120

อาจารย์เก็บตัว

อรุณเบิกฟ้า เมฆแดงคลุมนภา แม้ยังเป็นยามรุ่ง แต่นอกศาลาหงเหลียนมีศิษย์กลุ่มใหญ่มาชุมนุมกันอยู่นานแล้ว ทุกคนล้วนสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว หลุบตาก้มหน้า ยืนอยู่ตลอดสองฝั่งทางเดิน

ตึ๊ง…ตึ๊ง…ตึ๊ง…

เสียงระฆังบอกเวลาย่ำรุ่งดังมาจากเจดีย์ทงเทียน ไกลออกไปมีกลุ่มคนค่อยๆ เคลื่อนโลงศพใกล้เข้ามา ผู้นำขบวนคือเซวียเจิ้งยงและผู้อาวุโสทานหลาง ตามมาด้วยโม่หรานและเซวียเหมิง ซ้ายและขวาคือซือเม่ยกับภิกษุสวมจีวรกลางเก่ากลางใหม่รูปหนึ่ง ค่อยๆ ฝ่าม่านหมอกมาตามทางเดินปูศิลาครามเปียกลื่นช้าๆ

ในมือภิกษุถือโคมไฟดวงหนึ่ง ทั้งที่ฟ้าแจ้งแล้ว แต่แสงโคมยังไม่ลดความสว่างลงเลยแม้แต่น้อย สาดประกายสีทองเจิดจ้าดุจบุปผาสะพรั่งยามคิมหันต์

เหล่าศิษย์ต่างน้อมศีรษะ สำรวมจิต พวกเขาล้วนได้ยินข่าวแล้วว่าไหฺวจุ้ยต้าซือแห่งวัดอู๋เปยเร่งเดินทางมาที่นี่เป็นการเฉพาะเพื่อผู้อาวุโสอวี้เหิง คาดว่าคงจะเป็นภิกษุรูปลักษณ์สามัญผู้นี้เป็นแน่ กับบุคคลในตำนานผู้นี้ เหล่าผู้เยาว์ยังคงรู้สึกยำเกรงมากกว่าสนใจใคร่รู้ ตลอดเส้นทางบนเขาอันทอดยาวนี้ ไม่มีใครสักคนกล้าจับจ้อง หูได้ยินเพียงเสียงไม้เท้า สายตาที่หลุบลงเห็นเพียงรองเท้าป่านของนักบวชย่ำผ่านไปอย่างแผ่วเบา ทิ้งกลุ่มคนที่ยืนด้วยความเคารพไว้เบื้องหลัง

โลงศพถูกแบกไปอย่างมั่นคงตลอดทาง เนื่องจากเป็นการคืนชีพ มิใช่การฝังศพ จึงไม่มีผู้ใดร้องไห้ ครั้นถึงศาลาหงเหลียน ไหฺวจุ้ยกวาดตามองรอบๆ ก่อนเอ่ยว่า “วางไว้ข้างสระบัวนั่นเถิด บริเวณนั้นปราณวิญญาณหนาแน่น เอื้อต่อการใช้อาคม”

“ขอรับ น้อมฟังต้าซือ!” เซวียเจิ้งยงนำกลุ่มคนวางโลงศพน้ำแข็งลงในที่นั้น “หากต้าซือยังต้องการสิ่งใด โปรดบอกมาได้เลย ท่านช่วยอวี้เหิงไว้ เท่ากับช่วยชีวิตครึ่งหนึ่งของผู้แซ่เซวีย ผู้แซ่เซวียย่อมช่วยเหลือสุดความสามารถแน่นอน!”

“ขอบคุณในน้ำใจของประมุขเซวีย” ไหฺวจุ้ยกล่าว “อาตมายังไม่ต้องการสิ่งใด หากวันหน้ามี ค่อยบอกกับท่านก็ยังไม่สาย”

“ได้ เช่นนั้นต้าซืออย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด”

ไหฺวจุ้ยประนมมือ ยิ้มบางๆ พลางทำความเคารพเซวียเจิ้งยง จากนั้นหันไปมองคนอื่นๆ “อาตมาฝีมือไม่แก่กล้า จำต้องใช้เวลาห้าปีในการคืนวิญญาณให้ผู้อาวุโสฉู่ เพื่อมิให้ถูกรบกวน นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ศาลาหงเหลียนจะปิดประตูไม่รับแขก ห้าปีให้หลัง ในวันที่ผู้อาวุโสฉู่ฟื้นคืนชีพ จึงค่อยเปิดใหม่อีกครั้ง”

แม้เซวียเหมิงจะได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่พอได้ฟังคำยืนยันปากไหฺวจุ้ยต้าซืออีกครั้งว่าอีกห้าปีอาจารย์จึงจะฟื้นขึ้นมา ขอบตาก็แดงเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ ก้มหน้าลงเงียบๆ

“หากประสกทุกท่านต้องการเอ่ยคำอำลาชั่วคราวกับผู้อาวุโสฉู่ ก็เชิญไปบอกกล่าวที่ข้างโลงเถิด พ้นวันนี้แล้ว ต้องรออีกหนึ่งพันกว่าวันจึงจะได้พบกันใหม่อีกครั้ง”

กลุ่มคนจึงทยอยไปตามลำดับ

เริ่มจากเซวียเจิ้งยงกับเหล่าผู้อาวุโส พวกเขา…ยืนบอกลาอย่างเคร่งขรึมเบื้องหน้าโลงศพ

เซวียเจิ้งยง “หวังว่าจะพบกันในเร็ววัน”

ทานหลาง “รีบฟื้น”

เสวียนจี “ขอให้ราบรื่นทุกสิ่ง”

ลู่ฉุนถอนหายใจเอ่ย “อิจฉาท่านอยู่บ้าง เวลาห้าปีถูกแช่แข็ง ก็ยิ่งดูไม่แก่เฒ่า”

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ เอ่ยถ้อยคำสั้นบ้างยาวบ้าง ไม่นานก็มาถึงเซวียเหมิง เดิมเขาพยายามหักห้ามใจ แต่เพราะเป็นคนทำอะไรใช้อารมณ์เป็นใหญ่ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หลั่งน้ำตาข้างโลงศพอาจารย์

เขาเช็ดน้ำตาอย่างแรง พลางเอ่ยเสียงสะอื้น “อาจารย์ ถึงท่านไม่อยู่ ข้าก็จะตั้งใจฝึกฝนเพลงดาบเต็มที่ งานชุมนุมเขาหลิงซานในภายหน้า ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์เสียหน้าเด็ดขาด รอท่านฟื้นขึ้นมาแล้ว ข้าจะแจ้งลำดับที่ดีของข้าให้ท่าน ใต้อาณัติอาจารย์ข้า จะไม่มีศิษย์ที่ผิดคำพูดเด็ดขาด”

เซวียเจิ้งยงเดินเข้าไปตบไหล่บุตรชาย เซวียเหมิงมิได้กอดบิดาเหมือนเช่นที่เคยทำ เพียงสูดจมูกเบือนหน้าหนีอย่างดึงดัน ต่อหน้าอาจารย์ เขาไม่อยากเป็นเด็กหนุ่มกางเกงแพรที่เอาแต่พึ่งพิงบิดา

จากนั้นก็ถึงตาซือเม่ย ขอบตาเขาแดงรื้นเช่นกัน มิได้เอ่ยอะไร เพียงก้มหน้ามองฉู่หว่านหนิงพักหนึ่ง ก่อนจะถอยไปด้านข้างเงียบๆ

หลังจากเขาถอยไปแล้ว ดอกไห่ถังสีชมพูอ่อนดอกหนึ่งก็ถูกวางลงในโลงศพอย่างเบามือ มือข้างที่วางดอกไม้นั้นยังคงมีเค้าโครงของมือเด็กหนุ่มอยู่บ้าง เพียงแต่เรียวยาวมากขึ้น

โม่หรานยืนอยู่ข้างโลงศพ ลมพัดผ่านบึงน้ำเบาๆ กลิ่นหอมรวยรื่นของดอกบัวโชยมา ปอยผมข้างขมับถูกพัดจนยุ่งเหยิงเล็กน้อย ทว่าเขากลับยื่นมือไปจัดใบหน้าของฉู่หว่านหนิง

โม่หรานเม้มริมฝีปาก คล้ายมีคำพูดมากมายอยากกล่าว ทว่าสุดท้ายเพียงเอ่ยเบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าจะรอท่าน”

รอท่านอะไร

เขามิได้กล่าว เขารู้สึกว่าตนคงอยากเอ่ยว่ารอท่านฟื้นขึ้นมา แต่ก็เหมือนว่าถ้อยคำนี้ยังคงไม่เพียงพอ คล้ายมิอาจแสดงความรู้สึกที่อัดแน่นจนล้นปรี่ในใจเขาออกมาได้ ก้นบึ้งหัวใจเขาเหมือนมีหินหลอมเหลวเดือดพล่านกำลังท้นทะลัก ไม่มีทางให้ระบาย จึงได้แต่พวยพุ่งอยู่ภายในใจเขา โถมกระหน่ำจนเขาทั้งตื่นตระหนกทั้งเจ็บปวด

เขารู้สึกว่าต้องมีสักวันที่หัวใจของตนถูกทลาย เมื่อถึงตอนนั้น หินหลอมเหลวก็จะพุ่งทะลักอย่างมิอาจกักกั้น ส่วนตัวเขาก็จะถูกหลอมละลายจนกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางคลื่นทะเลพิโรธนั้น

ทว่าเวลานี้ เขายังไม่แน่ใจว่าความรู้สึกรุนแรงนั้นคืออะไรกันแน่

ดังนั้นจึงเอ่ยเพียงว่า “รอท่าน”

สุดท้ายศาลาหงเหลียนก็ปิดลง

ข่ายอาคมใหญ่กางกั้น ราวกับประตูที่กั้นระหว่างความเป็นความตาย ตัดขาดจากทุกคน

นับจากนี้บงกชคิมหันต์หอมรวยริน หิมะเหมันต์สงัดเหงา เวลาห้าปีเต็ม จะไม่มีผู้ใดได้ชื่นชมอีก

ใบไผ่เสียดสีกันดังซ่าๆ ไห่ถังโรยรา ตั้งแต่ศาลาหงเหลียนทอดยาวไปถึงหน้าซุ้มประตูเขา เหล่าศิษย์ต่างคุกเข่าลง โดยมีโม่หราน เซวียเหมิง และซือเม่ยคุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดของแม่น้ำยาวเหยียดไร้สิ้นสุดนี้

เซวียเจิ้งยงเอ่ยเสียงกังวานไปทั้งแนวป่า “ส่ง ผู้อาวุโสอวี้เหิงเก็บตัว”

เหล่าศิษย์ก้มศีรษะ เอ่ยเสียงทุ้มดังก้อง “น้อมส่ง ผู้อาวุโสอวี้เหิงเก็บตัว”

หลายพันเสียงรวมเป็นหนึ่ง สะท้อนไปทั้งยอดเขาสื่อเซิงที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งนี้ หมู่นกกาแตกตื่น ส่งเสียงร้องบินวนเวียนอยู่เหนือยอดไม้ มิกล้าร่อนลงเกาะพักพิง เสียงดังสนั่นครื้นครั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง บดกลืนเมฆ พุ่งทะลวงชั้นฟ้า

“น้อมส่ง อาจารย์เก็บตัว” โม่หรานเอ่ยเสียงแผ่ว

โขกศีรษะลงจรดพื้นยาวนาน

เฝ้ารอท่านห้าปี

หลังจากอวี้เหิงเก็บตัว ศิษย์ทั้งสามใต้อาณัติของเขาไม่ยอมสังกัดผู้อาวุโสคนใดในระหว่างนี้ ต่างมุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก

เนื่องจากสาเหตุด้านคุณสมบัติและเคล็ดวิชา ซือเม่ยกับเซวียเหมิงจึงรั้งอยู่บนเขา ส่วนโม่หรานเลือกเดินทางไกล

เพียงแต่ที่เขาเลือกเช่นนี้ นอกจากเป็นเพราะตัวเขาเหมาะที่จะออกท่องหาประสบการณ์แล้ว ยังเป็นเพราะชีวิตที่เกิดใหม่นี้มีเรื่องมากมายแตกต่างจากในอดีต ไม่เพียงแค่เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉู่หว่านหนิง สิ่งที่ทำให้เขากังวลใจที่สุดคือเรื่องโกวเฉินตัวปลอมผู้นั้น

ในใจพอจะคาดเดาได้รางๆ ว่า คนที่ซ่อนอยู่หลังม่านผู้นี้ อาจเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่เช่นกัน ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เชี่ยวชาญกลหมากเจินหลงถึงแปดเก้าในสิบส่วนแล้ว ในขณะที่ชาติก่อนจนกระทั่งถึงตอนที่เขาตาย ก็ไม่เคยปรากฏบุคคลที่สองที่สามารถสำแดงอาคมต้องห้ามได้ถึงระดับนี้

การสืบหาตัวตนของคนผู้นี้มิใช่สิ่งที่โม่หรานถนัด นับตั้งแต่ผ่านศึกครั้งใหญ่ที่ตำบลไฉ่เตี๋ย ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเพียรล้วนจับตามองเรื่องนี้อย่างละเอียด รอให้โจรละโมบในที่ลับผู้นั้นเผยหางจิ้งจอกของตนออกมา ดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องสอดมือเข้าไปยุ่งมากนัก

โม่หรานรู้ว่าตนมิได้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เพียงแค่มีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยม และพรสวรรค์อันน่าทึ่งในการฝึกบำเพ็ญ ในเมื่อวันข้างหน้าได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องเกิดศึกขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เขาทำได้คือ ฟื้นฟูพลังอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานก่อนเกิดใหม่ของตนกลับมาอีกครั้งโดยเร็วที่สุด

ชาติก่อน ข้าคือผู้ทำลาย

ชาตินี้ ข้าจะเป็นผู้พิทักษ์

ไม่นานหลังจากฉู่หว่านหนิงเก็บตัว โม่หรานยืนอยู่หน้าซุ้มประตูยอดเขาสื่อเซิง

เขาสะพายถุงสัมภาระ เตรียมออกเดินทางไกล

คนที่มาส่งเขามีไม่มาก เซวียเจิ้งยง หวังฟูเหริน ยังมีซือเม่ย

เซวียเจิ้งยงตบไหล่เขา เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เหมิงเอ๋อร์ไม่มา เขาบอกว่า…”

โม่หรานยิ้ม” เขาบอกว่าจะฝึกดาบในป่า ไม่มีเวลามาส่งข้า?”

“…” เซวียเจิ้งยงยิ่งกระดากใจกว่าเดิม อดตำหนิออกมาไม่ได้ “เด็กโง่นั่นไม่รู้ความจริงๆ!”

โม่หรานยิ้ม “เขาหมายมั่นจะชิงอันดับหนึ่งในงานชุมนุมเขาหลิงซาน ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนักก็เป็นเรื่องสมควร จะสร้างชื่อเสียงให้อาจารย์ก็ต้องพึ่งพาเขาแล้ว”

เซวียเจิ้งยงมองโม่หรานอย่างลังเล ก่อนเอ่ยว่า “งานชุมนุมเขาหลิงซานถือเป็นสุดยอดของงานประลองเคล็ดวิชาเซียนดั้งเดิม หรานเอ๋อร์ออกพเนจรไปทั่วทิศครั้งนี้ แม้ฝีมือจะก้าวหน้าอย่างมาก แต่ในงานชุมนุมคงไม่ยอมรับเคล็ดวิชาผสมผสาน หากเจ้าพลาดไปด้วยเหตุนี้ ก็นับว่าน่าเสียดาย”

“มีญาติผู้น้องของข้าอยู่”

“เจ้าไม่อยากครองอันดับ?”

คราวนี้โม่หรานยิ้มกว้าง

ครองอันดับ?

ชาติที่แล้วเขาถูกลงโทษกักตัวไม่ได้ไปร่วมงานชุมนุมเขาหลิงซานเพราะกระทำความผิด ในใจนึกเคียดแค้น ทว่ายามนี้กลับดูเหมือนว่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรอีกต่อไป เขาคือคนที่ผ่านความเป็นความตายมาตั้งไม่รู้เท่าใดแล้ว อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำแห่งเคราะห์ภัย จากความรู้สึกไม่ยินยอมสู่ความรู้สึกหิวกระหาย จากหิวกระหายไปสู่อาฆาตแค้น จากอาฆาตแค้นไปสู่การปล่อยวาง จากการปล่อยวางไปสู่การสำนึกผิด

จวบจนบัดนี้ สิ่งที่โม่หรานต้องการ มิใช่สุราเลิศรสและคนงาม มิใช่การก้มกรานตลอดกาล ยิ่งมิใช่การร้องคำรามเคียดแค้น หรือเข่นฆ่าอย่างดุเดือดอีกต่อไป

ความเจริญรุ่งเรืองไร้ขีดจำกัด ชีวิตหรูหราสุขสำราญ เขาล้วนเคยเห็นมาแล้ว เห็นจนเบื่อหน่ายเหลือเกิน เขาไม่อยากหวนกลับไปอีก รู้สึกเพียงที่นั่นช่างเหน็บหนาวยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายสักคน

คนที่เคยเป็นท่าเซียนตี้จวินมาก่อน เคยเรียกลมเรียกฝนเหนือยอดเขาไท่ซาน เคยเห็นมวลบุปผาบนโลกมนุษย์มาหมดแล้ว ไหนเลยจะยังสนใจเสียงปรบมือแซ่ซ้องสรรเสริญอันเล็กน้อยเหล่านี้บนเขาหลิงซาน

เรื่องจัดอันดับ…

ผู้ใดชอบจัดก็จัดเถิด

“ข้าอยากทำอย่างอื่นมากกว่า” โม่หรานยิ้ม “เซวียเหมิงคือคุณชาย คุณชายย่อมมีวิถีชีวิตของคุณชาย ส่วนข้าเป็นจอมอันธพาล อันธพาลก็มีชีวิตของอันธพาล”

หวังฟูเหรินอดเอ่ยด้วยความสงสารมิได้ “เด็กโง่ พูดอะไรกัน เจ้ากับเหมิงเอ๋อร์ก็เหมือนกัน มีอันธพาลกับคุณชายที่ใดกัน”

โม่หรานหัวเราะแหะๆ ในใจรู้สึกขมขื่นนิดๆ

ร่ำรวยโดยกำเนิดกับเกิดมาต่ำต้อย แม้โชคดีได้มาถึงยอดเขาสื่อเซิง แต่สิบกว่าปีก่อนหน้าล้วนผ่านมาอย่างสับสนมึนงง จะไปเหมือนกันได้อย่างไร

ทว่าเห็นสีหน้าอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของหวังฟูเหริน ย่อมมิอาจเอ่ยอะไร ได้แต่พยักหน้า “ท่านป้ากล่าวถูก เป็นข้าพูดได้ไม่ดีเอง”

หวังฟูเหรินยิ้มพลางส่ายหน้า มอบถุงเฉียนคุนใบเล็กให้เขา บนถุงปักลายดอกตู้รั่ว [1] “เจ้าออกท่องโลก ไร้คนดูแล ถุงแพรนี้เจ้ารับเอาไป ในถุงมียารักษาแผลอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นยาที่ป้าปรุงเอง ดีกว่าที่ซื้อหาจากร้านทั่วไป เก็บไว้ให้ดี อย่าได้ทำหายเสียเล่า”

โม่หรานซาบซึ้งยิ่งนัก “ขอบคุณท่านป้า”

ซือเม่ยกล่าว “ข้าไม่มีอะไรให้เจ้า มีเพียงหยกห้อยนี้ เจ้าเอาติดตัวไว้ เอาไว้อบอุ่นแก่นวิญญาณ”

โม่หรานรับมาดู เป็นหยกขาวราวกับไขมันแข็ง สัมผัสอบอุ่น เป็นของชั้นเลิศที่หาได้ยากยิ่ง เขารีบยัดแผ่นหยกคืนใส่มือซือเม่ย “สิ่งนี้ข้ามิอาจรับได้ มันล้ำค่าเกินไป ทั้งเดิมแก่นวิญญาณข้าก็เป็นธาตุไฟ หากเพิ่มความอบอุ่นเข้าไปอีก…เกรงว่าธาตุไฟจะเข้าแทรก”

ซือเม่ยเอ่ยยิ้มๆ “พูดจาเหลวไหลอะไร จะธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไร”

“ถึงอย่างไรข้าก็รับไม่ได้” โม่หรานยืนกรานหนักแน่น “ร่างกายท่านอ่อนแอ ท่านพกติดตัวไว้จะเหมาะกว่า”

“แต่ข้าวานคนประมูลมาจากงานประมูลหอเซวียนหยวนให้เจ้า…”

โม่หรานได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก แต่สิ่งที่มากกว่าคือปวดใจ “สิ่งของในงานประมูลหอเซวียนหยวนล้วนราคาสูงลิ่ว หยกห้อยนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้ามากนัก แต่ดีต่อท่านอย่างยิ่ง ซือเม่ย ความปรารถนาดีของท่าน ข้ารับไว้แล้ว แต่สิ่งของ ท่านเก็บไว้กับตัวเถิด จำไว้ว่าต้องสวมติดตัวไว้เสมอ เพื่อหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณ”

ซือเม่ยยังคิดจะเอ่ยต่อ แต่โม่หรานคลายเชือกหยกห้อย แล้วคล้องไว้ที่อกเสื้อให้เขา

“งามยิ่งนัก” เขายิ้ม พลางยกมือขึ้นตบไหล่ซือเม่ย “ท่านสวมไว้เหมาะสมกว่าข้าสวมมาก คนหยาบกระด้างเช่นข้า ไม่ถึงสองวันก็คงทำแตกแล้ว”

“หรานเอ๋อร์กล่าวมิผิด หยกห้อยนี้แม้ใครๆ ก็สวมติดตัวได้ แต่ยังคงเป็นผู้ที่มีแก่นวิญญาณธาตุน้ำจึงจะเอื้อประโยชน์ที่สุด เม่ยเอ๋อร์ เจ้าก็เก็บไว้เถิด”

ในเมื่อหวังฟูเหรินเอ่ยปากแล้ว ซือเม่ยย่อมเชื่อฟังนาง พยักหน้า เอ่ยกับโม่หรานว่า “เช่นนั้นเจ้าถนอมตัวให้มาก”

“วางใจเถิด ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านบ่อยๆ”

ได้เวลาต้องจากกันแล้ว แม้ซือเม่ยจะรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง ทว่าพอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็อดเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ตัวอักษรที่เจ้าเขียน มีเพียงอาจารย์ที่อ่านออก”

พอพูดถึงฉู่หว่านหนิง ในใจโม่หรานก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

ความอาฆาตแค้นกัดกร่อนกระดูกสลายไปแล้ว ความรู้สึกผิดยังคงอยู่ เหมือนบาดแผลที่กำลังตกสะเก็ด หัวใจทั้งดวงทั้งเจ็บและคัน

เขาเก็บความรู้สึกเช่นนี้ไว้ ลงจากเขาไปเพียงลำพัง

“หนึ่ง สอง สาม…”

เขาก้มหน้า เดินไปพลางนับเงียบๆ ในใจ

“หนึ่งร้อยเอ็ด หนึ่งร้อยสอง หนึ่งร้อยสาม…”

ครั้นลงไปถึงเชิงเขา เขาอดหันกลับไปมองยอดเขาสื่อเซิงที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกไกลๆ มิได้ มองขั้นบันไดศิลาทอดยาวแทบมองไม่เห็นปลายทาง พลางพึมพำ “สามพันเจ็ดร้อยเก้าสิบเก้า”

เขาเดินนับไปตลอดทาง

นี่คือจำนวนขั้นบันไดที่ทอดขึ้นไปยังซุ้มประตูเขา เป็นจำนวนขั้นบันไดที่ฉู่หว่านหนิงแบกเขาปีนขึ้นไปในวันนั้น

เขารู้สึกว่าชาตินี้ตนคงไม่มีวันลืมมือคู่นั้นของฉู่หว่านหนิงได้ เย็นเฉียบ ชุ่มเลือด และเต็มไปด้วยบาดแผล

คนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะใฝ่ดีหรือรักชั่ว ล้วนมิใช่ธรรมชาติโดยกำเนิด ทุกคนเปรียบเสมือนที่นาผืนหนึ่ง บางคนโชคดี ได้เมล็ดพันธุ์และกล้าสาลีหว่านดำอยู่ในร่องนา ยามถึงฤดูสารท ธัญพืชและทุ่งข้าวพลิ้วไสวหอมหวล ทุกสิ่งดีเยี่ยม น่าชื่นชม

ทว่ายังมีที่นาบางผืนที่มิได้โชคดีเช่นนั้น สิ่งที่ไถหว่านลงในดินคือเมล็ดฝิ่น ยามลมวสันต์พัดผ่าน ก็ผุดดอกผลแห่งความสำราญอันผิดบาป โลหิตโสมมสีแดงสดอาบย้อมทั่วผืนฟ้าและท้องทุ่ง ผู้คนล้วนชิงชัง ด่าทอสาปแช่งมัน หวาดกลัวมัน ทั้งยังลุ่มหลงมัวเมาในคาวราคีของมัน จนแหลกสลายเป็นเศษตม

สุดท้ายผู้ทรงคุณธรรมก็จะรวมตัวกัน โยนคบไฟลงไปในทุ่งนั้น ท่ามกลางควันไฟที่พวยพุ่งบิดเบี้ยว คนเหล่านั้นล้วนบอกว่าเขาคือผืนนาแห่งเชื้อพันธุ์จัญไร บอกว่าเขาคือปีศาจร้าย บอกว่าเขากินคนไม่คายกระดูก และบอกว่าเขาสมควรตาย ไร้จิตสำนึก

ท่ามกลางเปลวเพลิง ตัวเขาบิดเกร็ง ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ดอกฝิ่นม้วนหดตัวอย่างรวดเร็ว แปรสภาพเป็นดินโคลนเหม็นไหม้

แต่เขาเองก็เคยเป็นนาดีผืนหนึ่ง เคยกระหายหยาดฝนอันหวานฉ่ำและเฝ้ารอแสงตะวัน

เป็นผู้ใดที่หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดำมืดเมล็ดแรกลงไป กระทั่งเมล็ดพันธุ์เลวกลายเป็นภัยพิบัติ จนมิอาจจัดการได้

ที่นาผืนนี้ เคยอ่อนโยน เคยดีงาม เคยเปล่งประกายสดใส ครั้นติดไฟแล้ว ก็ลุกไหม้กลายเป็นเถ้าธุลี

ถูกทิ้งร้าง

ไม่มีผู้ใดต้องการอีกต่อไป เขาคือที่ดินผืนเก่าที่ถูกละทิ้งผืนนี้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยคิดว่า จะมีคนผู้หนึ่งเข้ามาในชีวิตเขา ให้โอกาสเขา รดน้ำไถพรวนใหม่อีกครั้ง

ฉู่หว่านหนิง

ข้าต้องรออีกห้าปีจึงจะได้พบท่านอีกครั้ง วันนี้คือวันแรกของระยะเวลาห้าปี

เขาพลันพบว่าตนเองเริ่มคิดถึงใบหน้า ความเข้มงวด ความขุ่นเคือง ความอ่อนโยน ความเคร่งขรึม และความเที่ยงตรงของฉู่หว่านหนิงแล้ว

โม่หรานหลับตาลงช้าๆ

เขากำลังหวนนึกถึงชาติก่อนและชาตินี้อย่างละเอียด เรื่องราวในอดีตมากมายคล้ายลมพัดหิมะกระจาย เขาค่อยๆ ตระหนักได้ว่า ที่แท้แล้วเหตุการณ์ฟ้าแยกของโลกภูตผี กลับเป็นจุดผกผันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

 

ชาติก่อนข้ารักคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง

ต่อมาคนผู้นั้นตายไป ส่วนข้าลงนรก

ชาตินี้ ยังมีอีกคนหนึ่งรักและปกป้องข้า

ต่อมาคนผู้นั้นตายไป แต่ได้ส่งข้ากลับโลกมนุษย์

 

[1] ดอกโพลเลียเอเชียตะวันออก (Pollia Japonica) มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก ลักษณะเป็นดอกสีขาวขนาดเล็ก เกสรสีเหลือง

1 thoughts on “[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 4 ตอนที่ 120 : อาจารย์เก็บตัว

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า