[ทดลองอ่าน] Time Mover ตอนที่ 3.8

Time Mover
타임무버

 

야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

เปิดตู้เสื้อผ้าเอาเสื้อไหมพรมกับกางเกงยีนส์ออกมาใส่ พอส่องกระจกก็เห็นว่าดูดีกว่าที่คิด คงเป็นเพราะเสื้อผ้าราคาแพงหรือเปล่านะ พูดแบบนี้ออกจากปากตัวเองคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ แต่คนใส่ดูดีก็มีผลมากเหมือนกัน ผมยิ้มอย่างพอใจ แต่พอก้มลงมองเท้าที่เห็นด้านล่างกางเกงยีนส์ก็เศร้าใจขึ้นมานิดหน่อย สลิปเปอร์ที่ใช้ในบ้านกลายเป็นจุดบอดขนาดใหญ่ของชุดที่สมบูรณ์แบบ แต่งตัวแบบนี้ ถ้าใส่สลิปเปอร์ออกไป อาจจะดูใกล้เคียงกับคนบ้าก็ได้

“ทำไมผมยังใส่สลิปเปอร์เหมือนเดิมเลยล่ะครับ”

ครั้งก่อนก็ใส่สลิปเปอร์ เวลาน่าจะผ่านไปนานมากแล้ว แต่ทำไมรองเท้ายังส่งซักไม่เสร็จสักที ผู้ชายคนนั้นยิ้มด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยกับคำถามของผม

“…ไปซื้อรองเท้ากันก่อนดีไหม”

พอเปิดประตูบ้านออกมาเขาก็จับมือผมเดินผ่านสวนแล้วพูด

“รองเท้าแฟนแค่คู่เดียวป่านนี้ยังไม่ได้ซื้อให้ ที่ผ่านมาทำอะไรอยู่ครับเนี่ย แถมบอกว่าส่งรองเท้าไปซัก ไม่มีรองเท้าให้ใส่ก็เลยต้องใส่สลิปเปอร์”

“เพราะถ้าซื้อรองเท้าให้ นายก็คงจะใส่แล้วหนีไป”

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงครับ ไม่ใช่ชุดนางฟ้าสักหน่อย”

ตำนานเรื่องเล่าแบบนั้นดูไม่น่าสนใจ ผมส่งเสียงว่าเชอะออกมาสั้น ๆ แล้วมองค้อนใส่ผู้ชายคนนั้น

“บอกมาเถอะครับว่าเสียดายเงินที่จะซื้อให้”

“ไม่มีคำว่าเสียดายสำหรับอะไรก็ตามที่ให้นาย ร้านรองเท้าทั้งร้านฉันก็ซื้อให้ได้เพียงแค่นายเอ่ยปาก ขอแค่ใส่แล้วไม่หนีไป”

ผู้ชายคนนั้นพูดจาน่าอายตั้งแต่เช้าเลยจริง ๆ

“ต่อให้พูดแบบนั้นก็ไม่ได้คะแนนหรอกครับ เพราะถึงยังไงตอนนี้ที่ใส่อยู่ก็คือสลิปเปอร์”

ผมพูดประชดด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่ห้ามริมฝีปากไม่ให้ยกขึ้นมาไม่ได้ เกิดความคิดขึ้นมาว่า คู่รักที่เป็นผู้ชายเหมือนกันก็ไม่ค่อยมีความแตกต่างจากคู่รักที่เป็นผู้ชายกับผู้หญิงสินะ ชักจะเขินนิดหน่อยแฮะ ผมเกาหน้าแกรก ๆ พลางเบนสายตาไปทางสวนแทน พยายามทำเหมือนไม่มีอะไร

นั่งรถของเขาออกมา เข้าไปเลือกรองเท้าผ้าใบในร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่เด่นสะดุดตา ทั้ง ๆ ที่ต้องการรองเท้าที่จะใส่ตอนนี้เลย แต่เขากลับถามว่าทำไมไม่ไปร้านรองเท้าทำมือเนี่ยนะ เป็นคนที่ตลกจริง ๆ พอผมถามว่าซื้อรองเท้าผ้าใบแบบไหนดี ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยว่า อันนี้ก็ดี อันนั้นก็ดี

“เพราะไม่ใช่ของที่ลุงใส่ ก็เลยดูแบบไม่ใส่ใจอย่างนั้นเหรอครับ”

“มันสวยหมดเลยจริง ๆ”

พอผมกระทุ้งสีข้างแล้วพูดแบบนั้น เขาก็กระซิบข้างหู

“งั้นก็พูดว่า ‘ซื้อให้หมดเลยดีไหม’ สิครับ”

“ถ้าทำแบบนั้นแล้วนายหนีไปล่ะ”

“ถ้าจะหนี ถึงเท้าเปล่าก็หนีได้ครับ”

เขาทำหน้าราวกับโดนมีดเสียบทะลุท้องเข้าอย่างจังกับคำพูดของผม คงไม่ใช่ว่าคิดไม่ถึงจริง ๆ หรอกใช่ไหม เหอะ ผมแค่นหัวเราะออกมา เขาก็กระแอมออกมาเหมือนขายหน้านิดหน่อยแล้วหยิบบัตรเครดิตออกมาจากตรงอก ผมเอาสลิปเปอร์ที่ใส่มาเก็บใส่ถุงช็อปปิ้ง พอใส่รองเท้าผ้าใบเท้าก็มีน้ำหนัก ผมกระแทกเท้าตึก ๆ แล้วเดินตามผู้ชายคนนั้นที่เก็บกระเป๋าสตางค์ใส่ตรงหน้าอกให้เรียบร้อยอีกครั้งแล้วเดินไป

“แล้วนายอยากไปไหน”

เขาขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับแล้วพูด

“ไปบ้านที่ผมเคยอยู่ก่อนครับ”

เขาออกรถก่อนที่ผมจะพูดจบเสียอีก ผมนั่งตัวเอียงตรงเบาะที่นั่งข้างคนขับ พิงไหล่กับหน้าต่างแล้วมองผู้ชายคนนั้น ควรเรียกว่าเพราะความเป็นผู้ใหญ่หรือเสน่ห์ดีนะ ท่าทางของเขาที่ขับรถอย่างสบาย ๆ ภายใต้แสงอาทิตย์นั้นดูดีมาก

ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ถ้าหน้าตาจรรโลงใจก็น่ามอง อีกทั้งยังเป็นแฟนของผมในอีกสี่ปีข้างหน้า เลยยิ่งผูกพันอย่างบอกไม่ถูก แม้ไม่รู้ว่าตัวเองใช้เกณฑ์อะไรถึงได้มาคบกับผู้ชายด้วยกัน แต่อย่างน้อยก็เลือกแฟนได้ดีจริง ๆ ตัวผมคงจะมีความสามารถมากกว่าที่คิด ผมยิ้มอย่างพอใจขณะมองเขา ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มตามทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เหตุผลของการยิ้มด้วยซ้ำ

“ลุงรู้จักกับพ่อผมเรื่องธุรกิจใช่ไหมครับ”

“…ถามทำไม”

“แค่ถามเฉย ๆ น่ะครับ เพราะผมสงสัยว่าคงไม่ค่อยมีเรื่องให้เราได้เจอกัน แต่ลุงรู้จักกับผมแล้วมาเป็นแฟนกันได้ยังไง”

ที่จริงอยากถามว่าสารภาพรักกับผมแล้วได้คบกันตอนไหน แต่อีกใจก็ไม่อยากรู้ล่วงหน้าเลยไม่ได้ถาม เขาไม่ตอบแต่หยิบกล่องบุหรี่ออกมาจากตรงอกแทน ขณะกำลังจะใช้ปากคาบบุหรี่ กลับโยนมันออกไปนอกหน้าต่างทันที พอเห็นแบบนั้นแล้วก็แปลกใจนิดหน่อย ในโลกความจริง เขาคาบบุหรี่ไว้ในปากแทบจะตลอดเวลา ทุกครั้งที่เจอกันเขาจะสูบบุหรี่ ขนาดมาที่บ้านผมก็ยังสูบถึงในบ้าน แต่ในความฝันกลับไม่เคยเห็นเขาสูบบุหรี่เลย

“เลิกบุหรี่แล้วเหรอครับ”

“กำลังพยายามมาหลายปีแล้ว”

“เหมือนจะไม่เคยเห็นลุงสูบบุหรี่เลย ทั้ง ๆ ที่น่าจะเคยสูบหนักมาก…ตอนไปที่บ้านผมเคยสูบหนักถึงในบ้านเลยนี่ครับ แต่ตอนนี้ไม่เคยเห็นว่าสูบเลยสักครั้ง”

“ก็เคยบอกว่าไม่ชอบกลิ่นนี่”

ถึงไม่บอกว่าใครเป็นคนพูดแบบนั้นก็พอจะรู้

“บอกว่าเหมือนจมูกจะพัง เหม็นมากจนไม่อยากอยู่ข้าง ๆ ไม่ชอบจนขยาด”

ดูเขาจะเคยสูบบุหรี่หนักมากก็จริง แต่ผมคงพูดแรง ๆ เพราะอยากให้เขาเลิก

“ก็ลุงเคยสูบบุหรี่หนักจริง ๆ นี่ ผมคงพูดเพราะเป็นห่วงว่าลุงจะเป็นมะเร็งปอดตายน่ะครับ”

“ถ้านายคิดแบบนั้น คงจะเอาบุหรี่ยัดใส่ปากฉันทั้งกล่องมากกว่า”

ผมมองเขาที่พูดเล่นขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ บอกว่าไม่มีทางพร้อมโบกมือปัด

“แต่ถึงยังไงก็พยายามเลิกอยู่ เป็นความพยายามที่น่าชื่นชมนะครับ ได้ยินว่าคนสูบบุหรี่เลิกบุหรี่ยากมาก”

“บอกว่าเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมเหรอ น้ำตาจะไหลเลยแฮะ”

ไม่ใช่คำพูดประชดประชัน แต่ก็ไม่ใช่คำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าประทับใจจริง ๆ ไม่รู้พูดขึ้นมาเพราะอะไร แต่ถึงอย่างนั้นกลับเป็นผมมากกว่าที่ประทับใจ เพราะได้เห็นว่าอย่างน้อยเขาก็บอกว่าจะเลิกบุหรี่ต่อหน้าผม เพราะคำพูดของผม พลังแห่งรัก! ความเพ้อเจ้อที่ผ่านเข้ามาในหัวเขย่าสมองกระจายไปทั่วจนเหมือนจะมีเสียงปุ ๆ แบบในการ์ตูน

ถนนโล่งเพราะเป็นช่วงสาย พอรถของเขาจอดแถวบ้าน ผมก็ค่อย ๆ ลงจากรถเดินไปที่บ้านของตัวเอง มองเห็นต้นไม้สูงด้านหลังกำแพง ผมเกาะกำแพงเพื่อมองเข้าไปในสวนเหมือนครั้งก่อน เขาเดินเข้ามายืนข้าง ๆ พอหันไปมองก็เห็นเขาเกาะกำแพงตามผมด้วยท่าทางแบบเดียวกัน พอรู้ว่าผมมองอยู่ก็หันหน้ามาสบตา

“เรื่องที่เคยคุยครั้งก่อนน่ะครับ”

พอผมเกริ่นขึ้นมา เขาก็เอียงคอทำหน้าเหมือนถามว่าอะไร ท่าทางแบบนั้นของเขาตลกดี ผมก็เลยเอาแก้มซบบนหลังมือของเขาแล้วมองหน้า

“ที่บอกว่า…ถ้าผมขอให้ซื้อบ้านหลังนี้ก็จะซื้อให้”

“ซื้อให้ไหม”

ผมถึงกับขำเพราะคำถามที่ถามกลับมาทันที

“จะซื้อให้จริงเหรอครับ”

“ถ้านายขอให้ซื้อ”

“จริง ๆ น่ะเหรอ”

“พูดมาแค่คำเดียวก็พอ ให้ฉันซื้อให้ไหม”

เขาทำหน้าตาจริงจังมาก เหมือนกำลังรอคำตอบ ผมมองเขาที่จ้องแต่ริมฝีปากของผมแล้วส่ายหน้าทันที

“ไม่ครับ”

“ทำไมล่ะ ถ้านายอยากได้ ไม่ว่าอะไรฉันก็จะหามาให้ แค่ไม่ใช่ให้พาคนตายกลับมาก็ได้หมด”

รีบบอกมาสิ บอกมาเลยว่าให้ซื้อ บอกมาเลยว่าอยากได้ เขามองผมด้วยสายตาแบบนั้น และสะกิดมือข้างที่ผมเอาแก้มซบอยู่ สีหน้าคล้ายบอกว่าได้โปรดพูดมาแค่คำเดียวว่าให้ซื้อ ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

“ผมพูดเล่นครับ”

“บ้านหลังนี้…มีค่าไม่ใช่เหรอ นายบอกว่าเป็นบ้านที่ขายไม่ได้ นายไม่ได้อยากได้กลับคืนมาเหรอ”

ก็จริง แต่ว่า…ผมหันหน้าไปจ้องมองตัวบ้านกับสวนที่อยู่ด้านหลังกำแพง บ้านที่เก็บความทรงจำและเรื่องราวทุกอย่างของผมไว้ แต่ว่าตัวผมในอีกสี่ปีข้างหน้าไม่มีทางไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ถูกขายไปแล้ว และถ้าอยากได้จริง ๆ ก็คงไม่มีทางที่จะไม่ขอให้ผู้ชายคนนี้ซื้อบ้านหลังนี้ให้ ถ้าบ้านหลังนี้เป็นของคนอื่น ก็คงจะต้องมีเหตุผลที่เป็นแบบนั้น ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้เลย การที่ผมจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงไม่ดี อีกอย่าง ถ้าพูดกันตรง ๆ ผมไม่ใช่ตัวผมที่เป็นแฟนของผู้ชายคนนี้ แต่เป็นตัวผมในอีกสี่ปีต่อมา

“ถึงจะสำคัญมาก…แต่ผมไม่ใช่ตัวผมในตอนนี้นี่ครับ ถ้าอยากได้มากจริง ๆ ซอมุนยองที่เป็นแฟนตัวจริงของลุงก็คงจะขอให้ซื้อใช่ไหมล่ะครับ”

“ตอนนี้…นายก็คือซอมุนยอง”

“ใช่ครับ ตอนนี้ผมก็คือซอมุนยอง”

ผมยิ้มเล็กน้อยเพราะคำพูดของผู้ชายคนนั้นแล้วพยักหน้า ซอมุนยอง ไม่ว่าจะเป็นสี่ปีที่แล้วหรืออีกสี่ปีข้างหน้า ผมก็คือซอมุนยอง ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดี มองดูต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม ตอนเช้าเจ้าของบ้านคงรดน้ำไปแล้วเพราะได้กลิ่นหญ้าจากในสวน

“ต้นไม้ต้นนั้นน่ะครับ”

“…ซอมุนอิล”

ผมตั้งใจจะพูดว่า ‘ถึงจะเปลี่ยนเจ้าของบ้าน แต่ต้นไม้ยังอยู่เหมือนเดิม’ ถ้าไม่ใช่เพราะการพึมพำของผู้ชายคนนั้น ก็คงจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จมอยู่กับความทรงจำ ผมถามซ้ำอีกครั้งว่า “อะไรนะครับ” เพราะเสียงที่ฟังไม่ชัดเจนของเขา เขามองผมแล้วพูดทันที

“นายเคยพูดแบบนั้นนี่ ตอนยืนอยู่ตรงประตูหน้าบ้านแล้วมองต้นไม้…นายบอกว่าแม่ของนายตั้งชื่อให้ว่า ซอมุนอิล ถ้าปลูกต้นไม้เพิ่มอีกก็คงจะชื่อซอมุนอี”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงปนรอยยิ้ม ผมมองเขาแล้วส่ายหน้า

“…ไม่ใช่ครับ”

“ยอง”

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่”

ผมเดินถอยไปหนึ่งก้าวจากกำแพง ไม่สิ จากผู้ชายคนนั้น เขามองผมด้วยสีหน้าสับสน ผมเองก็มองเขาและส่ายหัวอีกครั้ง

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ”

“ยอง…?”

ผู้ชายคนนั้นมองผมเหมือนแปลกใจ

“เรื่องนั้น…ผมแค่พูดเล่น ไม่ใช่แบบนั้น…”

“นายพูดเล่นเหรอ”

เขาทำหน้าสิ้นหวังนิดหน่อย แต่ผมแค่หัวเราะเบา ๆ คิดว่ามีบางอย่างแปลกๆ ผมเหม่อมองผู้ชายคนนั้นแล้วหันตัวกลับ

“ยอง”

“มันแปลกครับ”

“ทำไม อะไรแปลก”

เขาจับมือผมที่ลนลานจะกลับไปที่รถให้หยุดแล้วถาม

“นี่เป็นฝันบอกเหตุนี่ครับ เรื่องซอมุนอิล…เป็นเรื่องที่ผมพูดเล่นกับลุงเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมอยากแกล้งเล่นเพราะเห็นว่าลุงเอาแต่เก๊กก็เลยพูดเรื่องไร้สาระออกไป นั่นไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องที่ผมแต่งขึ้นมากะทันหันโดยไม่คิดอะไร…แต่มันแปลกนี่ครับที่ตอนนี้ลุงรู้”

“พูดเรื่องอะไร”

คิ้วของเขาขมวด ผมพูดไม่ได้ว่าไม่มีอะไร รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ

“เหมือนผมจะคิดผิดไป”

ผมรีบเอามือที่ถูกผู้ชายคนนั้นจับไว้ออก แล้วเดินไปที่รถ พยายามดึงมือจับประตูที่ยังไม่ได้ปลดล็อก ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาเปิดประตูให้ ผมรีบร้อนขึ้นไปนั่งกอดเข่าบนที่นั่งข้างคนขับ

ผมอาจจะคิดผิดมาตลอด สิ่งที่ผมเคยพูด สิ่งที่ผมเคยทำ ผู้ชายคนนั้นรู้ทุกอย่าง นี่อาจจะไม่ใช่ความฝันที่แสดงให้เห็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตธรรมดาก็ได้ ถ้าเป็นฝันบอกเหตุ ไม่มีทางที่ผมจะพูดและกระทำตามความตั้งใจของตัวเองแบบนี้ได้ อาจจะมีบางอย่างเปลี่ยนไปเพราะคำพูดและการกระทำของผมก็ได้ ถ้าเป็นฝันบอกเหตุจริง ๆ ก็จะต้องมองเห็นได้อย่างเดียวไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่เคยคิดว่าเรื่องนั้นแปลกมาก่อนเลยสักครั้ง

ผู้ชายในความฝันจำคำที่ผมเคยพูดในโลกความจริงได้ แม้แต่การพูดเล่นที่พูดไปตามอารมณ์ในสถานการณ์นั้นซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง หรือว่าจะแค่เป็นภาพสะท้อนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเป็นความฝันของผม แล้วถ้าหากว่า…นี่ไม่ใช่ความฝันล่ะ

“ลุง ใช่ลุงจริง ๆ ใช่ไหมครับ”

คำถามของผมทำให้ผู้ชายคนนั้นที่ขึ้นมานั่งบนเบาะคนขับแล้วมองผมอยู่ถึงกับทำหน้าฉงน

“เป็นลุงจริง ๆ ไม่ใช่ว่าผมกำลังฝันใช่ไหมครับ นี่คือความจริงใช่ไหมครับ”

“ยอง”

“มันแปลกนี่ครับ มันสมจริงมากเกินกว่าจะบอกว่าเป็นความฝัน ต่อให้บอกว่าเป็นความฝันที่เหมือนจริงมากยังไง แต่พอลองคิดดูอีกทีมันก็จะต้องมีจุดที่ดูเหลวไหลและไม่น่าเชื่อนิดหน่อย แต่นี่กลับไม่มีเลย ทุกอย่างดูเหมือนจริงทั้งหมดยกเว้นแค่สถานการณ์ในอีกสี่ปีที่ผมไม่รู้เท่านั้นเอง นี่เป็นความจริงแน่ ๆ ทั้งการกิน ดื่ม นอน แล้วก็ฝัน ทั้งการพูด การกระทำ ความคิด ยิ้ม ร้องไห้ ทุกอย่างเป็นความจริงครับ เหมือนกับความจริงเป๊ะเลย ความรู้สึกและการสัมผัสที่ผมรู้สึกก็เป็นความจริงทั้งหมดเลยครับ”

“…ยอง”

เขาได้แต่เรียกชื่อผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ผมมองเขาพร้อมกับพึมพำราวกับคนบ้า

“เพราะคิดว่าเป็นความฝันที่คลุมเครือก็เลยไม่รู้สึกว่าแปลก แค่ยิ้มแล้วปล่อยผ่านไปทั้ง ๆ ที่ก็คิดอยู่ว่าเป็นความฝันที่แปลกจริง ๆ ไม่มีทางเป็นความฝันบอกเหตุหรอกครับ ถ้าเป็นฝันบอกเหตุจริง ๆ ก็คงมองเห็นได้อย่างเดียวเท่านั้น ผมคงไม่พูดและเคลื่อนไหวตามความคิดของตัวเองแบบนี้ได้ ทำไมตั้งแต่แรกถึงไม่คิดว่าแปลกนะ”

ทำไมถึงปล่อยผ่านเรื่องที่สำคัญที่สุดไป เพราะเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าเชื่อเกินไปเหรอ เพราะการคิดแบบนั้นง่ายต่อการยอมรับที่สุดเหรอ

“บอกผมหน่อยครับ”

ผมมองผู้ชายคนนั้น

“ผม…ดูเหมือนคนบ้าใช่ไหมครับ”

ผู้ชายคนนั้นเงียบไปกับคำถามของผม แค่มองมาโดยที่ขมวดคิ้ว คิดว่าผมเป็นบ้าหรือเปล่าครับ ถ้าผมไม่ได้บ้า…แล้วสถานที่ตอนนี้ที่ไม่ใช่ทั้งความฝันทั้งความจริง มันเป็นอะไรกันแน่ ลุงในตอนนี้มีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า ความสงสัยที่ไม่เคยคิดอย่างจริงจังสักครั้งมาตลอด ตอนนี้กลับเข้ามาเต็มหัวจนปวดหัวไปหมด

ความฝันบอกเหตุงั้นเหรอ โอเค ก็ได้ เป็นฝันบอกเหตุก็ได้ แต่ถ้าบอกว่าผู้ชายในฝันบอกเหตุนี้รู้เรื่องอยู่แล้ว ถ้าเรื่องที่ผมล้อเล่นกับผู้ชายคนนั้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนละก็ เขาก็จะต้องพูดเรื่องชื่อต้นไม้ออกมาตั้งแต่ตอนที่มาที่นี่แล้วเห็นต้นไม้ต้นนี้ครั้งแรก ตั้งแต่ตอนที่ผมพูดว่าบ้านหลังนั้นและต้นไม้ต้นนั้นมีค่ามากแค่ไหน ไม่ใช่เพิ่งพูดตอนนี้สิ ทำไมตอนนั้นถึงฟังเรื่องของผมเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วหลังจากที่ผมพูดเรื่องล้อเล่นในความเป็นจริงไปแล้ว ซึ่งก็คือตอนนี้ ถึงได้พูดเรื่องนั้นขึ้นมา มันไม่สมเหตุสมผลเลยนี่

บางที แค่บางทีจริง ๆ นี่อาจจะไม่ใช่ความฝันก็ได้ ฝันบอกเหตุเหรอ นั่นยิ่งเหลวไหลเข้าไปใหญ่ ถ้าผู้ชายตรงหน้านี้ได้รับอิทธิพลจากการกระทำและคำพูดของผมในความเป็นจริง และถ้าความทรงจำของเขาถูกเปลี่ยนไปด้วย บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ความฝันธรรมดา แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามความตั้งใจของผมในโลกความจริง เปลี่ยนแปลงได้ด้วยความแตกต่างของทุก ๆ การกระทำและคำพูดของผม…

“ยอง เป็นอะไรไป ปวดหัวเหรอ”

เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ยื่นมือออกมากุมใบหน้าผมอย่างระวังแล้วดันให้หันหน้าไปมองเขา อุณหภูมิร่างกายของเขาที่สัมผัสแก้มไม่ต่างจากผม รู้สึกได้อย่างชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีตรงไหนที่รู้สึกว่าเป็นความฝันเลย

“ผม…คิดได้แค่สองอย่างครับ”

ผมพูดขณะมองเขา

“ผมเป็นบ้าไปแล้ว…หรือไม่ก็”

นี่เป็นอนาคตของผม…ที่เปลี่ยนแปลงได้ด้วยการกระทำและคำพูดของผมในความเป็นจริง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า