ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored
————————————————————-
123
อาจารย์เข้าฝันข้า เข้าใจความคิดถึงยาวนานของข้า
“นักพรตจ้าว นักพรตหลี่ พวกท่านคงเห็นประกาศกันแล้วกระมัง ม้ามืดที่ปรากฏตัวในงานชุมนุมเขาหลิงซานครานี้ ร้ายกาจยิ่งนัก!”
ในโรงน้ำชาหาดไข่มุก ผู้ฝึกบำเพ็ญพเนจรหลายคนล้อมวงกัน มีถั่วลิสงหนึ่งจาน ชาร้อนหนึ่งป้าน กำลังวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารในยุทธภพที่ร้อนยิ่งกว่าชาร้อนกันอย่างครึกครื้น
“ข้าย่อมต้องเห็นแล้วนะสิ! ผู้ชนะกลับเป็นคนของยอดเขาสื่อเซิง สำนักบำเพ็ญเพียรระดับล่าง ทำให้พวกคร่ำครึของโลกบำเพ็ญเพียรระดับสูงโมโหแทบตาย โดยเฉพาะสำนักหรูเฟิง โอ๊ย น่ากลัวฝาโลงบรรพบุรุษของพวกเขาคงทับไม่อยู่แล้ว! เซียนจวินน้อยที่เป็นผู้ชนะคือเซวียเฟิ่งหวง [1] กระมัง”
“หา? ฮ่าๆๆๆ เซวียเฟิ่งหวง? เหล่าจ้าว ท่านทำข้าขำจะตายอยู่แล้ว บุตรพญาหงส์คือฉายาของเขา เขาแซ่เซวีย ชื่อเหมิง ชื่อรองจื่อหมิง บิดาของเขาคือเซวียเจิ้งยงอย่างไรเล่า บิดาพยัคฆ์ไร้บุตรสุนัข เซวียจื่อหมิงผู้นี้ฝีมือดียิ่งนัก!”
ข้างๆ หลุมผิงไฟ มีบุรุษร่างสูงใหญ่สวมเสื้อโต่วเผิง กำลังนั่งดื่มชาน้ำมัน ได้ยินพวกเขากล่าวเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นพลันส่งเสียงหืมเบาๆ จอกชาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก มิได้ขยับอีก
“ที่กล่าวกันว่าเขาคือบุตรพญาหงส์นี่มิใช่ความเท็จ เหล่าประมุขน้อยคนอื่นๆ ล้วนมีเทพศัสตรา เขาประเสริฐนักละ ดาบโค้งเล่มเดียวตัดทางถอยของคนอื่นดื้อๆ สุดยอดจริงๆ”
“ท่านไม่ดูเสียบ้างว่าเขาคือศิษย์ของผู้ใด ศิษย์ใต้อาณัติของหว่านเยี่ยอวี้เหิง จะเป็นพวกกินผัก [2] ได้หรือ”
“เพียงแต่ข้าคิดว่า เซวียจื่อหมิงชนะอย่างหวุดหวิด หรือพวกท่านไม่ได้ยิน ระหว่างประลองคู่ เซวียจื่อหมิงกับหนานกงซื่อสู้กันอย่างสูสี หากมิใช่เพราะสตรีที่หนานกงซื่อพามาด้วยเป็นตัวถ่วงละก็ หึๆ ข้าว่าแพ้ชนะยังมิอาจรู้ได้”
บุรุษที่ตั้งใจฟังอยู่ตลอดได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดก็วางจอกชาที่ยังไม่ได้ดื่มลง
เขาหันหน้ามา สายตาคมปลาบดุจสายฟ้า ธารสารทจับเกล็ดน้ำค้าง รูปโฉมงดงามยิ่ง เขายิ้มให้ผู้ฝึกบำเพ็ญเหล่านั้น พลางร่วมวงสนทนาด้วย “สหายผู้บำเพ็ญทุกท่าน รบกวนแล้ว หลายวันก่อนข้าฝึกบำเพ็ญอยู่ในเขา ไม่รู้วันรู้คืน ทำให้พลาดงานชุมนุมเขาหลิงซานไป เมื่อครู่เผอิญได้ยินทุกท่านบอกว่าเซวียเหมิงชนะเลิศ…จึงแปลกใจอยู่บ้าง ไม่ทราบขอถามสักหน่อยได้หรือไม่”
คนเหล่านั้นชอบให้มีผู้ฟังอยู่แล้ว ตอบรับทักทายโม่หรานด้วยความกระตือรือร้น ขยับเก้าอี้ว่างให้เขามานั่งด้วยกัน
โม่หรานเองก็ไม่เสียมารยาท เวลานี้เขาสุขุมกว่าเมื่อตอนเพิ่งลงจากเขามากนัก เขาให้เหลาป่านเหนียงโรงน้ำชาเพิ่มชาหลิงซานเมี่ยวอวี่มาหกป้าน จากนั้นก็ส่งลูกพุทราเชื่อม ลูกพุทราดองเปรี้ยว อิงเถาหลี่เล่าหวาน [3] และเมล็ดแตงคั่วดีงูมาแบ่งให้ทุกคน ยิ้มพลางเอ่ย “บุตรรักของสวรรค์เซวียจื่อหมิง แม้ไม่มีเทพศัสตรา ก็ไม่แปลกที่จะคว้าอันดับหนึ่งได้ เพียงแต่เมื่อครู่ได้ยินทุกท่านกล่าวว่า ระหว่างประลองคู่ หนานกงซื่อแห่งสำนักหรูเฟิงพาแม่นาง…”
วงสนทนานี้ล้วนเป็นบุรุษ มักยินดีเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับแม่นางอย่างมาก แม้แม่นางผู้นั้นหาใช่ของพวกเขาไม่
“ก็ใช่น่ะสิ ช่างเป็นคนงามฝังปณิธานวีรบุรุษแท้ๆ เชียว หาไม่แล้วด้วยอาคมของหนานกงซื่อ เซวียจื่อหมิงจะครองความได้เปรียบหรือไม่ก็ยังไม่แน่”
“เรื่องนี้น่าสนใจนัก” ผลลัพธ์ต่างจากในชาติก่อนที่เยี่ยวั่งซีกับหนานกงซื่อได้อันดับหนึ่งร่วมกันในงานชุมนุมเขาหลิงซาน เดิมโม่หรานคิดว่าการตายของฉู่หว่านหนิงเป็นแรงกระตุ้นเซวียเหมิง ทำให้พญาหงส์น้อยฮึกเหิมขึ้นมา แต่ดูจากตอนนี้ เหมือนตัวแปรจะมิได้อยู่ที่ตัวเซวียเหมิงเพียงอย่างเดียว
“ไม่ทราบแม่นางผู้นั้นมีสถานะอะไรหรือ”
“หญิงผู้นั้นแซ่ซ่ง ชื่ออะไรถง…จำไม่ได้แล้ว สรุปคืองามยิ่งนัก ข้าว่าหัวใจของคุณชายสำนักหรูเฟิงผู้นั้นคงถูกนางชิงไปหมดแล้ว”
“มิใช่แค่งาม แต่งามยิ่งในปฐพีโดยแท้ หากข้าเป็นหนานกงซื่อ ข้ายอมไม่เอาอันดับหนึ่งของเขาหลิงซาน แต่ขอเอาใจคนงามให้มีความสุข”
โม่หราน “…”
เป็นดังคาดจริงๆ
งานชุมนุมเขาหลิงซานแบ่งเป็นประลองเดี่ยว ประลองคู่ และประลองกลุ่ม คะแนนจากทั้งสามประเภทนำมาเฉลี่ยแล้ว จึงจะได้ผู้ชนะในท้ายที่สุด
ชาติก่อน เซวียเหมิงกับซือเม่ยจับคู่กัน ประลองกับหนานกงซื่อและเยี่ยวั่งซี ซึ่งเยี่ยวั่งซีก็คือผู้ที่มีฝีมือต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดนอกจากฉู่หว่านหนิง การประลองครั้งนี้ ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้ได้ แต่ชาตินี้ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาที่ใด หนานกงซื่อกลับไม่ร่วมมือกับเยี่ยวั่งซี แต่พาตัวถ่วงอย่างซ่งชิวถงไปด้วย…
โม่หรานวางจอกชา ยกมือคลึงขมับตนเอง
ไม่รู้จริงๆ ว่าคนผู้นี้คิดอย่างไรกันแน่
“สตรีหนอสตรี แม้แต่ม้าป่าอย่างหนานกงซื่อ ก็ยังถูกจัดการจนเชื่อง” มีคนเอ่ยอย่างทอดถอนใจ คนอื่นๆ พากันหัวเราะเกรียว
โม่หรานอดถามไม่ได้ “เยี่ยวั่งซีเล่า”
“อะไรนะ”
โม่หรานกล่าว “เยี่ยวั่งซี”
เห็นทุกคนงุนงง ในใจโม่หรานเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ นั่นคือเทพสงครามที่สร้างความลำบากให้ข้าเมื่อชาติที่แล้วเชียวนะ…พวกเจ้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร
โม่หรานจึงว่าพลางทำไม้ทำมือประกอบ “ก็คุณชายอีกท่านหนึ่งของสำนักหรูเฟิงอย่างไรเล่า ขายาว ตัวสูงๆ นิสัยดียิ่ง ไม่ค่อยพูด ใช้กระบี่เป็นอาวุธ ยังมี…” เห็นสีหน้าทึ่มทื่อของทุกคน โม่หรานก็ถอนหายใจ เขาเริ่มจะเดาได้รางๆ แล้ว แต่ยังคงพูดจนจบ
“ยังมีธนูคันหนึ่ง”
“ไม่รู้จัก”
“ไม่มีชื่อเสียงกระมังคนผู้นี้”
“สหาย ท่านไปได้ยินมาจากที่ใด สำนักหรูเฟิงส่งศิษย์สิบหกคนมาร่วมงานชุมนุมเขาหลิงซาน ไม่มีสักคนที่แซ่เยี่ย”
ดังคาด ชาตินี้เยี่ยวั่งซีมิได้เข้าร่วมงานประลอง
โม่หรานเงียบไปครู่หนึ่ง นึกถึงที่เยี่ยวั่งซีพูดกับหนานกงซื่อที่หอสุราว่า “เจ้ากลับไปเถอะ ข้าจะไปเอง” เขาพลันรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
นี่คงมิใช่เรื่องจริงกระมัง?
หรือว่าเยี่ยวั่งซีออกจากสำนักหรูเฟิงแล้วจริงๆ ?
ชาติก่อน เยี่ยวั่งซีบอกกับเพชฌฆาตก่อนตายว่า หลังจากเขาตายแล้ว อยากให้ฝังเขาไว้ที่สุสานวีรบุรุษของสำนักหรูเฟิง ร่วมฝังกับหนานกงซื่อ โม่หรานนึกแล้วก็ถอนหายใจไม่หยุด เหตุใดเรื่องราวจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงอันแยบคายเล็กๆ น้อยๆ กลับแผ่ขยายเป็นวงกว้างราวกับระลอกคลื่นไร้สิ้นสุด
จากนั้นพลิกฟ้าตลบดิน [4] ท้องทะเลก็แปรเป็นทุ่งหม่อน
ที่แท้การเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาสามารถก่อเกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำ ต้องสังเวยด้วยโลหิตร้อนเดือดและน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เพื่อจะแลกคนเสเพลที่กลับใจ ละทิ้งความอาฆาตแค้นในอดีตทั้งหมดกลับมา
อย่างเช่นเขากับฉู่หว่านหนิง
แต่การเปลี่ยนแปลงของโชคชะตายังสามารถเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน อย่างเช่นเยี่ยวั่งซีกับหนานกงซื่อ
บางทีอาจเป็นเพราะที่เรือนแรมวันนั้น หนานกงซื่อรั้งพวกเยี่ยวั่งซีให้ค้างแรม ตกกลางดึกหนานกงซื่อกระหายน้ำ จึงลุกไปหาน้ำชาที่ชั้นล่าง เจอซ่งชิวถงผู้น่าสงสารเข้าพอดี
บางทีอาจเป็นเพราะซ่งชิวถงรินชาให้เขา และอาจเป็นเพราะนางเดินเหินไม่สะดวก สะดุดล้มขณะขึ้นชั้นบน ผู้ใดจะไปรู้ได้
หรืออาจถึงขั้นว่า อาจเพราะเขาดื่มน้ำอย่างใจร้อน จนหยดเปียกอกเสื้อกว้าง นางจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาอย่างระมัดระวัง
ในตอนนั้นบรรยากาศเป็นใจ หนานกงซื่อคงเอ่ยขอบคุณอย่างเรียบง่าย
แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่า ความจริงดาวเซินและซางโคจร ดาวเป๋ยโต่วเคลื่อนเข้ามา ชีวิตของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนแปลงเพราะผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง น้ำถ้วยหนึ่ง หรือว่าคำขอบคุณคำเดียว เพียงแต่คนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ไม่มีใครสักคนได้ยินเสียงดังสนั่นของโชคชะตา
หนานกงซื่ออ้าปากหาว เดินขึ้นชั้นบน
ซ่งชิวถงร่างสะโอดสะอง ยืนมองเขา
ส่วนเยี่ยวั่งซีจุดเทียนอยู่ในห้อง อ่านตำราที่ยังอ่านไม่จบ
ชาติก่อนโม่หรานไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดว่าตนหยั่งรู้ฟ้าดิน ประจักษ์แจ้งการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
บัดนี้จึงเพิ่งพบว่า ที่แท้พวกเขาล้วนเป็นจอกแหนบนโลก เพียงลมราตรีพัดมาก็กระจายไป เพียงพิรุณโปรยหนึ่งราตรีก็ลอยหายไป คนบนฝั่งทุ่มก้อนหินใส่ก้อนเดียว ก็ตีดวงจิตสีเขียวจนเหลวแหลกแตกกระจายได้
เขาโชคดีเพียงใด ลอยไปไกลแล้วยังกลับมาอยู่ข้างกายฉู่หว่านหนิงได้
ยังแสดงความกตัญญูต่อหน้าอาจารย์ได้ ทั้งยังเอ่ยว่า “ขออภัย ข้าทำให้ท่านผิดหวัง” กับฉู่หว่านหนิงได้
หลังจากดื่มชาเสร็จ เขาบอกลาทุกคน
ด้านนอกลมเริ่มก่อตัว อีกไม่นานฝนก็จะตก
โม่หรานสวมโต่วเผิง เดินเข้าไปในป่าลึก
ร่างของเขาห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ กลายเป็นจุดเล็กๆ ใต้แสงสายัณห์ เหมือนคราบหมึกที่แผ่กระจายในสระล้างจานฝนหมึก สุดท้ายก็จืดจางจนมองไม่เห็น
ครืน ครืน เปรี้ยง…!
เสียงฟ้าคำรามท่ามกลางฟ้าหม่นสลัว สายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบ ฝนกระหน่ำตกลงมาราวกับพันขุนศึกหมื่นอาชา
“ฝนตกแล้ว” ในโรงน้ำชามีคนชะโงกหน้าออกไปมอง พอเห็นฟ้าผ่าน่ากลัว ก็ถอยกลับมา
“ฝนตกหนักเหลือเกิน…ให้ตายเถอะ…ตากข้าวฟ่างไว้ที่บ้านไม่มีคนเก็บ ป่านนี้คงแฉะไปหมดแล้ว”
“ช่างเถอะๆ เหลาป่านเหนียง เอาชามาอีกป้าน รอฟ้าโปร่งแล้วค่อยกลับบ้าน”
โม่หรานเร่งฝีเท้าท่ามกลางสายฝน วิ่งท่ามกลางสายฝน หลบหนีท่ามกลางสายฝน หลบลี้จากสามสิบสองปีอันไร้แก่นสารเมื่อชาติก่อนท่ามกลางสายฝน
เขาไม่รู้ว่าฝนที่โถมกระหน่ำเช่นนี้จะชะล้างความผิดบาปของเขาได้หรือไม่ ฉู่หว่านหนิงให้อภัยเขาแล้ว แต่ตัวเขาไม่อาจทำได้ ในใจรู้สึกหนักอึ้ง แทบถูกตนเองบีบคั้นจนหายใจไม่ออก
เขายินยอมใช้ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ทำความดีชดเชย
แต่ฝนที่เทลงมาในชีวิตที่เหลือ จะชะล้างบาปกรรมที่ฝังลึกในกระดูก และรอยมลทินในเลือดของเขาไปได้จริงหรือ
เขาแทบอยากให้ฝนนี้ตกไปตลอดห้าปี
เพียงอยากรอจนถึงวันที่ฉู่หว่านหนิงฟื้นขึ้นมา ตนยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ ในสภาพที่สะอาดขึ้นบ้าง สะอาดขึ้นอีกเล็กน้อย
เมื่อถึงเวลานั้น เขาไม่อยากให้ตนเองสกปรกเหมือนในตอนนี้ สกปรกจนราวกับดินทราย ราวกับฝุ่นธุลี ราวกับขี้ดินใต้พื้นรองเท้า ขี้เถ้าในซอกเล็บของขอทาน
เขาเพียงอยากจะดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ดีขึ้นกว่านี้อีกสักนิด ก่อนที่ฉู่หว่านหนิงจะฟื้นขึ้นมา
เช่นนี้แล้ว ศิษย์ที่เลวที่สุดของที่สุดบนโลกนี้ก็อาจจะพอมีความกล้าอันน้อยนิด เอ่ยปากเรียกอาจารย์ที่ดีที่สุดของที่สุดบนโลกนี้อีกสักคำ
ตกดึกคืนนี้ โม่หรานจับไข้
ร่างกายของเขาแข็งแรงถึกทนมาตลอด คนเช่นนี้พอเจ็บป่วยที มักรุนแรงเหมือนดินถล่มภูผาทลายจนมิอาจควบคุม
เขานอนอยู่บนเตียง หลับไปใต้ผ้านวมผืนหนาที่ห่มคลุมร่าง คืนนี้เขาฝันถึงเรื่องราวเมื่อชาติก่อน ฝันว่าชาติที่แล้วตนทรมานฉู่หว่านหนิงอย่างไร ฝันว่าฉู่หว่านหนิงดิ้นรนใต้ร่างตน ฉู่หว่านหนิงหมดลมหายใจในอ้อมกอดตน เขาตกใจตื่นจากความฝัน ด้านนอกสภาพอากาศเลวร้าย เขาคลำหาแท่งหินจุดไฟเพื่อจุดเทียน แต่ไม่ว่าจุดอย่างไร หินจุดไฟก็ไม่สว่าง
เขาโยนมีดจุดไฟและหินจุดไฟไว้ข้างๆ อย่างยอมแพ้ เอาหน้าซุกในฝ่ามือพลางถูแรงๆ ดึงทึ้งผมตนเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ในลำคอเปล่งเสียงคำรามคร่ำครวญราวกับสัตว์ป่า
เขาหนีพ้นความตายแล้ว หนีพ้นคำประณามแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้นหัวใจตนเอง
เขาหวาดกลัวยิ่งนัก บางครั้งแยกความฝันกับความจริงไม่ออก บางครั้งเขาต้องการแน่ใจว่าตนตื่นอยู่หรือว่าหลับอยู่กันแน่
เขาทรมานเหลือเกิน รู้สึกว่าวิญญาณของตนแยกออกเป็นสองส่วน ของชาติก่อนกับของชาตินี้ วิญญาณทั้งสองดวงนี้กำลังฉีกทึ้งกันและกัน ดวงหนึ่งกำลังถ่มน้ำลายก่นด่าอีกดวงหนึ่งว่าเหตุใดมือจึงอาบไปด้วยคาวเลือด คลุ้มคลั่งเสียสติ อีกดวงก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ถามอีกฝ่ายว่ามีสิทธิ์อะไรยังมีหน้ามาใช้ชีวิตอยู่บนโลกเหมือนคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
วิญญาณในชาตินี้กำลังบันดาลโทสะใส่วิญญาณในชาติก่อน…
โม่เวยอวี่ ท่าเซียนจวิน เจ้ามันตัวไร้ค่า เจ้าก่อบาปมหันต์เช่นนี้! จะให้ข้าชดเชยได้อย่างไรในชาตินี้!
ข้าอยากเริ่มต้นใหม่ เหตุใดเจ้ายังตามพัวพัน ในฝัน ในยามเมามาย ในความมืดสลัว กระโจนออกมาสาปแช่งข้าด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวทุกครั้งที่ข้าไม่ทันระวัง
สาปแช่งให้ข้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด สาปแช่งให้กรรมตามสนองคนชั่วช้าเช่นข้า
เจ้าสาปแช่งให้ทุกอย่างนี้เป็นความฝัน สักวันมันจะต้องแตกสลาย เจ้าสาปแช่งข้า ให้วันหนึ่งข้าตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองยังคงนอนอยู่ในตำหนักอูซาน เจ้าหัวเราะอย่างกำเริบ บอกว่าชาตินี้ไม่มีใครรักและห่วงใยข้าอีกแล้ว
คนเดียวที่ยอมตายเพื่อข้า ก็เป็นข้าที่ทำร้ายเขาจนตายไปแล้ว
แต่คนผู้นั้นคือข้าหรือ
ไม่ มิใช่ข้า เป็นเจ้าอย่างไรเล่า ท่าเซียนจวิน! เป็นเจ้า โม่เวยอวี่!
ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน ข้ากับเจ้าต่างกัน…
มือข้าไม่เปื้อนเลือด ข้า…
ข้าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้
…
วิญญาณอีกครึ่งดวงก็กำลังตะโกนเสียงแหบ มันอ้าปากที่มีเขี้ยวแหลมคม ใบหน้าบิดเบี้ยว
เจ้ารู้สึกผิดมิใช่หรือ
เจ้าทำผิดไปแล้วมิใช่หรือ
เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ไปตาย เหตุใดเจ้าไม่ใช้เลือดของเจ้าสังเวยคนที่ถูกเจ้าทำร้ายโดยไร้สาเหตุเมื่อชาติก่อน
เดรัจฉาน! ใจคด!
เจ้ากับข้ามีอะไรต่างกัน ข้าคือโม่เวยอวี่ หรือว่าเจ้ามิใช่? เจ้าแบกบาปกรรมที่ก่อไว้เมื่อชาติก่อน ข้าแบกความทรงจำเมื่อชาติก่อน เจ้าไม่มีวันสลัดข้าหลุดได้หรอก ข้าคือเจ้า ฝันร้ายของข้าคือปีศาจในใจเจ้า คือวิญญาณชั่วช้าน่ารังเกียจที่ถูกทวยเทพพิพากษา
เริ่มต้นใหม่?
เจ้าถือดีอะไร เจ้ามีหน้าอะไร มีคุณสมบัติอะไรจะเริ่มต้นใหม่ เจ้าตบตาคนทั้งโลก ตบตาคนที่รักเจ้า
ความดีที่เจ้าทำ ก็แค่กลบเคลื่อนความรู้สึกผิดที่น่าอดสูในใจเจ้าได้เพียงเล็กน้อย! ฮ่า! โม่เวยอวี่! เจ้ากล้าให้ทุกคนรู้หรือไม่ว่าชาติก่อนเจ้าเป็นคนเช่นไร
เจ้ากล้าให้ฉู่หว่านหนิงรู้หรือไม่ว่า ชาติก่อน เป็นเจ้า! ใช้มีดแทงคอเขา ให้เขาหลั่งเลือดจนหมดตัว อยู่มิสู้ตาย! เป็นเจ้า! ทำให้ใต้หล้าต้องทุกข์เข็ญ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า!
เป็นเจ้าทั้งสิ้น!
ฮ่าๆๆๆ เดรัจฉาน ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า เจ้าหนีไม่พ้น ข้าก็คือเจ้าโม่เวยอวี่ เจ้ากล้าปฏิเสธว่าไม่ใช่หรือไม่
…
โม่หรานถูกบีบคั้นจนแทบคลั่ง เขาคลำหามีดจุดไฟและหินจุดไฟที่ข้างเตียงอีกครั้ง พยายามอย่างยิ่งที่จะจุดเทียนให้สว่าง ขับไล่ความมืดมนอนธการอันน่าสะพรึงออกไป
ทว่าแม้แต่เทียนก็ไม่ต้องการเขา เทียนก็ไม่อยากช่วยเขา
เขาถูกโยนเข้าไปในความมืดมิด มือสั่นระริกของเขาถูหินจุดไฟอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ไม่ว่ากี่ครั้งก็ล้วนว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
ในที่สุดเขาก็ล้มลงบนเตียงร้องไห้ดังลั่น เขาพร่ำขอโทษไม่หยุด ในความมืด ราวกับมีเงาคนมากมายล้อมรอบเตียง เงาคนเบียดเสียดแน่นขนัดเหล่านั้นกำลังสาปแช่งเขา กำลังจะเอาชีวิตเขา พวกเขาบอกว่าเขาทำชั่วมาหนึ่งชาติ ย่อมชั่วช้าไปทุกชาติ โม่หรานไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร พลันรู้สึกหมดสิ้นหนทาง เขาได้แต่พร่ำร้องว่า “ขอโทษ…ขอโทษ…” แต่ไม่มีผู้ใดสนใจเขาเลย
ไม่มีผู้ใดยกโทษให้เขา
หน้าผากของเขาร้อนลวก ในใจร้อนดั่งไฟสุม
พลันนั้น เขาคล้ายได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนกำลังถอนหายใจเบาๆ
ท่ามกลางภูตผีปีศาจ เขาลืมตาขึ้น เขาเห็นฉู่หว่านหนิงมาหา ฉู่หว่านหนิงยังคงเหมือนเมื่อก่อน ชุดขาวยาวระพื้น ชุดคลุมใหญ่แขนเสื้อกว้าง ใบหน้าหล่อเหลาดั่งในวันวาน
เขาเดินเข้ามา เดินมาถึงข้างเตียงโม่หราน
โม่หรานสะอื้น “อาจารย์…ข้า…ไม่คู่ควรพบท่านอีก…ใช่หรือไม่…”
ฉู่หว่านหนิงมิได้กล่าวคำ เพียงหยิบมีดจุดไฟและหินจุดไฟขึ้นมา จุดเทียนที่โม่หรานจุดไม่ติดช้าๆ
ที่ที่มีอาจารย์อยู่ ก็มีไฟ
ที่ที่มีฉู่หว่านหนิงอยู่ ก็มีแสงสว่าง
เขายืนอยู่หน้าเชิงเทียน ดวงตาใต้ขนตายาวที่หลุบลงเหลือบขึ้นมองโม่หรานเงียบๆ จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างสงบ เป็นรอยยิ้มเบาบางยิ่งนัก
“นอนเถอะโม่หราน เจ้าดูสิ ไฟสว่างแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว”
หัวใจของโม่หรานคล้ายถูกกระแทกอย่างแรงด้วยบางสิ่งที่หนักอึ้ง เขารู้สึกว่าศีรษะปวดร้าวจนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างคุ้นหูเหลือเกิน คล้ายเคยได้ยินมาก่อน
แต่เขานึกไม่ออกแล้ว
ฉู่หว่านหนิงสะบัดแขนเสื้อ นั่งลงข้างเตียงเขา ฝนยามราตรีทำให้อากาศเหน็บหนาว แต่ภายในห้องกลับอบอุ่น ความมืดมิดสลายไป
ฉู่หว่านหนิงกล่าว “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
ได้ยินเช่นนี้ หัวใจของโม่หรานทั้งขมขื่นและเจ็บปวด แทบจะบิดรวมกันเป็นก้อน
“อาจารย์ ท่านอย่าไป” เขาคว้ามือใต้แขนเสื้อของฉู่หว่านหนิงเอาไว้
“ได้”
“ท่านไปแล้ว ฟ้าก็จะมืด”
โม่หรานร้องไห้ เขารู้สึกอับอายอยู่บ้าง จึงยกมืออีกข้างปิดตาตนเองไว้ “ขอร้องท่าน อย่าทิ้งข้าไว้…ข้าขอร้องท่าน…ข้า…ข้าไม่อยากเป็นตี้จวินแล้วจริงๆ อาจารย์…ท่านอย่าทิ้งข้า…”
“โม่หราน…”
“ขอร้องท่าน” อาจเพราะพิษไข้ทำให้จิตใจของเขาพร่าเลือนสับสน ทำให้เขาอ่อนแอเป็นพิเศษ หรือบางทีในใจเขาอาจรู้สึกได้รางๆ ว่า ความจริงแล้วเขากำลังฝันอยู่ รู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมา ฉู่หว่านหนิงก็จะหายไป ดังนั้นเขาจึงพึมพำไม่หยุด “ขอร้องท่าน อย่าทิ้งข้า”
คืนนี้ นอกหน้าต่างราวกับมีกองทัพม้าเหล็กวิ่งผ่านธารน้ำแข็ง วิญญาณพยาบาทนับไม่ถ้วนเคาะหน้าต่าง คล้ายพยายามจะเข้ามาเอาชีวิตเขา
แต่ในความฝันของโม่หราน ฉู่หว่านหนิงจุดเทียนสว่างแล้ว แสงไฟวอมแวมขับไล่ความเหน็บหนาวไร้ขอบเขตออกไป ฉู่หว่านหนิงกล่าว “ได้ ข้าไม่ไป”
“ไม่ไป?”
“ไม่ไป”
โม่หรานอยากเอ่ยขอบคุณ แต่เสียงที่เปล่งออกมาจากในลำคอกลับเป็นเสียงครวญคราง เจือความน้อยใจคล้ายสุนัขยามประจบเจ้าของอย่างระมัดระวัง
“พวกท่านล้วนบอกว่าจะไม่ไป บอกว่าจะไม่ทิ้งข้าไว้” ขณะกำลังจะล่วงเข้าสู่ความฝัน โม่หรานพยายามขืนลืมตา พลันพึมพำออกมาอย่างสะลึมสะลือ “แต่สุดท้าย ล้วนทิ้งข้า ไม่มีผู้ใดสนใจข้า ข้าเป็นสุนัขถูกทอดทิ้งมาทั้งชีวิต…ทุกคนล้วนรับเลี้ยงข้าอยู่ไม่กี่วัน จากนั้นก็ทิ้งข้าอีก…ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…จริงๆ …อาจารย์…ข้าเหนื่อยมากจริงๆ ข้าทนไม่ไหวแล้ว เดินไม่ไหวแล้ว…”
เหมือนสุนัขเร่ร่อนที่นอนกลางดินกินกลางทราย ไม่มีบ้านให้กลับ ขนสกปรก เล็บบิ่นหัก เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ต้องแย่งชิงอาหารจากขอทานและแมวป่า
เมื่อถูกรังแกนานวันเข้า ก็ไม่เชื่อใจใครอีกเลย ยามที่เห็นคนก้มลงมาหา สุนัขบ้านอาจคิดว่าคนผู้นั้นกำลังจะให้อาหารมัน แต่สุนัขที่ถูกทอดทิ้งมีแต่จะคิดว่าคนอื่นกำลังจะเอาก้อนหินเขวี้ยงใส่มัน มันตะลีตะลาน ตื่นกลัว แยกเขี้ยวใส่ทุกคน…นี่ก็คือชีวิตของเขา
“อาจารย์ หากวันใด ท่านไม่ต้องการข้าแล้ว ก็สังหารข้าเสียเถอะ อย่าทิ้งข้า”
เขาสะอื้น เอ่ยเสียงแผ่ว
“ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า มันทรมานเหลือเกิน ตายเสียดีกว่า…”
เขาจับไข้จนเลอะเลือน
สุดท้าย เขาไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใดกันแน่ ค่อยๆ จำได้ไม่ชัดเจนแล้วว่าคนที่ปรากฏตัวในความฝันผู้นั้นคือใครกันแน่
“ท่านแม่” ก่อนจะผล็อยหลับไป สุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ฟ้ามืดแล้ว ข้ากลัว…ข้าอยากกลับบ้าน…”
[1] แปลว่า พญาหงส์
[2] เป็นวลีที่แฝงนัยว่า เป็นคนมีพิษสง ไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่ใครจะมาหาเรื่องหรือรังแกได้ง่ายๆ
[3] “หลี่เล่า” คือน้ำนมที่ได้จากเมล็ดอัลมอนด์และเมล็ดข้าวสาลีผสมกัน นำไปต้มจนเนื้อข้นเหมือนพุดดิ้ง ปรุงรสหวานด้วยน้ำตาลมอลโทส ส่วน “อิงเถา” คือ เชอร์รี่ ที่ใส่เพิ่มเข้ามาตามชอบ อาหารชนิดนี้จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายพุดดิ้งอัลมอนด์กับวีตเบอร์รี่ใส่ลูกเชอร์รี่
[4] หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โกลาหลอลหม่าน
???✌️
กอดปลอบหมามันหน่อย…