[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 7 บทที่ 228 : เขาเจียวซาน ความว่างเปล่า

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

 

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

 

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

 

228

เขาเจียวซาน ความว่างเปล่า

บนแท่นเจาหุนของสำนักหรูเฟิง สวีซวงหลินมองประกายสีทองลอยพร่างพราวท่ามกลางความมืด พลันรู้สึกเหมือนกระดาษที่เขาโยนลงไปในกระถางไฟ ในคืนหยวนเซียวที่หิมะตกคืนนั้น

เผาไหม้เป็นเถ้าถ่านในทันใด เหลือเพียงสะเก็ดไฟที่ยังปะทุขึ้นมา ผ่านกาลเวลามาลวกถูกตัวเขา

ขอให้หลัวเฟิงหฺวา หนานกงซวี่ และหนานกงหลิ่ว

เป็นญาติเป็นสหายกันชั่วชีวิต

แต่ในโลกนี้ไม่มีหนานกงซวี่นานแล้ว บัดนี้ผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่คือสวีซวงหลิน คือคนวิกลจริต คือปีศาจร้าย คือสวีซวงหลินที่คลานกลับมาจากส่วนลึกของนรกเพื่อทวงชีวิตวิญญูชนเที่ยงตรงทั้งหมดในโลก

ไม่มีหนานกงซวี่ [1] อีกแล้ว

เขาก็เหมือนกับชื่อของเขา ล่องลอยไร้ที่พึ่ง เคว้งคว้างอยู่ระหว่างฟ้าดินเวิ้งว้างไพศาล

กงล้อแห่งกาลเวลาบดผ่าน ภูผาตะหง่านยังแหลกสลาย

นับประสาอะไรกับปุยหลิ่วน้อยๆ นี้

วันเวลาหลายปีเหล่านั้นผ่านไปแล้ว ต้นหลิ่วแก่ชรา ใบเฟิงเหี่ยวเฉา ปุยหลิ่วลอยละล่อง สิ่งที่ทอดมองมิใช่บุปผาสุดขอบฟ้า แต่เป็นโลหิตทุกหย่อมหญ้า ความแค้นปกฟ้าคลุมดิน

แต่เพราะเหตุใด เขายังคงถ่ายทอดสิ่งที่หลัวเฟิงหฺวาเคยสอนสั่งให้เยี่ยวั่งซีสุดความสามารถ เพราะเหตุใดยามเห็นวิญญูชนคนดีที่แท้จริง ยังอดมิได้ที่จะบังเกิดความเมตตา ไม่อาจลงมืออย่างโหดเหี้ยม

เพราะเหตุใด…

เพราะเหตุใดจึงร้องไห้

สวีซวงหลินคุกเข่าอยู่บนแท่นเจาหุน ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องไห้จนผิดเพี้ยน น้ำตาไหลรินลงมาตามใบหน้าน่าเกลียดและบิดเบี้ยวของเขาไม่หยุด เขาลูบแก่นวิญญาณของหลัวเฟิงหฺวา ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง สะอื้นปานขาดใจ ราวกับทุกกระแสเสียงเค้นออกมาจากในลำคอ คั้นออกมาจากโลหิต

“อาจารย์…หลัวเฟิงหฺวา…”

ทุกสิ่งที่เขาทุ่มเทความคิดจิตใจ ใช้ทั้งชีวิตสร้างขึ้นมาด้วยความบ้าคลั่งและเคียดแค้น ความบิดเบี้ยวและความกระสันหา

ต้องพังพินาศไปทั้งเช่นนี้หรือ

หลังจากเหตุการณ์ในงานวิจารณ์กระบี่เขาหลิงซาน ในใจเขาก็เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น ต่อมาบิดาแต่งตั้งหนานกงหลิ่วเป็นผู้สืบทอด เขาบังเกิดความไม่พอใจ ช่วงชิงตำแหน่งด้วยโทสะ

เขายังจำใบหน้าชราอิดโรยเพราะป่วยหนักของบิดาที่จ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อได้…

“ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้เป็นของข้า” มือของเขาเค้นคอบิดา ค่อยๆ บีบรัดทีละน้อยด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมเย็นชา นัยน์ตาวาวโรจน์ “รากฐานร้อยปีของสำนักหรูเฟิง หากท่านพ่อไม่อยากให้พังพินาศ ก็ควรให้ข้าสืบทอด ท่านอายุมากแล้ว สมควรพักผ่อนได้แล้ว”

“ซวี่เอ๋อร์…”

เขาหลับตาลง ไม่อนุญาตให้บิดากล่าวต่ออีก เส้นเลือดที่มือปูดโปน ได้ยินเพียงเสียงดังกร๊อบเย็นเยียบ นั่นคือเสียงลำคอหักสะบั้น

เขาถอดแหวนเจ้าสำนักหรูเฟิงออก แนบลงบนริมฝีปาก

แหวนอังคุฐเย็นเฉียบ ทว่ากลับเย็นน้อยกว่าใบหน้าของเขา

“ข้าเพียงต้องการความเป็นธรรม ในเมื่อพวกท่านไม่ให้ข้า ข้าจึงต้องช่วงชิงเอง ท่านพ่อ ไปอยู่ในบาดาลเหลือง อย่าได้แค้นเคืองข้าเลย”

เขาหันกายจากไป

เหตุการณ์ในความทรงจำแปรเปลี่ยน

นั่นคือคืนแรกหลังจากที่ชิงตำแหน่งแย่งอำนาจ บริวารกำลังทำความสะอาดคราบเลือดเต็มพื้นหลังศึกใหญ่ บิดาตายแล้ว หนานกงหลิ่วทั้งครอบครัวถูกขังอยู่ในคุกน้ำ ทุกคนที่พยายามต่อต้านเขาล้วนถูกสำเร็จโทษ ทุกเรื่องยุติลง แต่เขากลับไม่รู้ว่าควรทำอะไร

เขาก่อไฟในกระถางไฟภายในเรือน ต้มชาให้ตนเองดื่ม ในห้องมีเพียงเขาคนเดียว เขาลูบแหวนเจ้าสำนักที่เปล่งประกายบนนิ้วหัวแม่มือ

นับจากนี้ข้าก็คือประมุขสำนักหรูเฟิง

คนนอกที่วางแผนให้ร้ายข้าในงานชุมนุมเขาหลิงซานพวกนั้น ไม่จำเป็นต้องมากความ จะต้องหาโอกาสสับมันเป็นชิ้นๆ สังหารให้สิ้น

แต่เขาไม่รู้ว่าควรจัดการกับพี่ชายของตนอย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าควรจัดการหลัวเฟิงหฺวาอย่างไร

ม่านราตรีคลี่คลุม ดวงตะวันคล้อยสู่ทิศประจิม

เห็นท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ในที่สุดสวีซวงหลินก็ตัดสินใจไปพบพี่ชายและอาจารย์ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกน้ำ

เขาพาผู้ติดตามไปด้วยสองสามคน เดินไปได้ครึ่งทาง สุดท้ายแสงสายัณห์เสี้ยวสุดท้ายก็ถูกความมืดกลบกลืน เขาหนาวสั่น พลันรู้สึกว่าร่างกายเย็นเล็กน้อย ศีรษะเริ่มวิงเวียน

“ท่านประมุข เป็นอะไรไปหรือ”

สวีซวงหลินสลัดบริวารที่จะเข้ามาพยุง “ไม่เป็นไร พอดีนึกได้ว่ามีเรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จ ข้าจะกลับตำหนักใหญ่ก่อน พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”

เขาระงับความเจ็บปวดที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ยกหมวกของเสื้อคลุมโต่วเผิงขึ้นคลุมศีรษะ สาวเท้าไปยังตำหนักหลักของสำนักหรูเฟิง สุดท้ายก็ไม่อาจทนได้อีก ไม่ว่าจะข่มกลั้นเพียงใด ก็อดเร่งฝีเท้าเป็นวิ่งไม่ได้ ผลักประตูเข้าไปในตำหนัก แล้วปิดประตูอย่างแรง

“ท่านประมุข?”

“พวกเจ้ายืนเฝ้าหน้าประตู ห้ามพรวดพราดเข้ามา หากมีเหตุการณ์ผิดปกติ รายงานข้าทุกเมื่อ”

หลังจากกำชับองครักษ์แล้ว สวีซวงหลินก็หอบหายใจ เดินซวนเซมาถึงส่วนลึกของตำหนักใหญ่ ถอดหมวกคลุมศีรษะออกทันที ก้มลงมองดูตนเอง ก็พบว่าเนื้อหนังปริแตกไปหมด ทุกจุดล้วนมีแต่บาดแผลน่าสยดสยอง

ความคิดแรกของเขาคือ ท่านพ่อสาปข้า

จากนั้นก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้

ตาเฒ่านั่นเจ็บป่วยร่อแร่มานาน แม้แต่แรงจะใช้อาคมก็ไม่มี จะทำเรื่องเช่นนี้โดยผีไม่รู้เทวดาไม่เห็นได้อย่างไร

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทรมานเหลือเกิน

เอ็นและกระดูกปริร้าว เผยเนื้อหนังน่าสะพรึง เขาตัวเกร็งสั่นกระตุกไม่หยุดอยู่ข้างหน้าต่าง ข้อต่อนิ้วขาวซีดหงิกงอ ล้มฟุบอยู่กับพื้น ขีดข่วนพื้นจนเป็นรอยเลือดแดงเถือก

ทรมานยิ่งนัก…

เขาไม่กล้าร้องเรียกคน ไม่กล้าตามหมอ สถานการณ์ยังไม่มั่นคง เขาเป็นผู้นำของกลุ่มต่อต้าน จะเผยจุดอ่อนออกมาได้อย่างไร

เขาหอบหายใจเสียงเบา ครวญครางอยู่ในตำหนักใหญ่ เกลือกกลิ้งทุรนทุราย ชักกระตุกไปทั่วพื้น สองขาเตะถีบ ท่ามกลางความเจ็บปวด ผ้าม่านถูกปลดลงมาโดยไม่ได้ตั้งใจ คลุมลงบนร่างเขา

บดบังแสงจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง

พลันรู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลง เขาเหงื่อโซมกายไปทั่วร่าง ขดตัวอยู่ใต้ผ้าม่านพลางหอบหายใจ ผ่านไปสักพัก คิดว่าความเจ็บปวดผ่านไปแล้ว จึงดึงผ้าม่านออก นั่งตัวตรงคิดจะลุกขึ้นมา

ไม่คาดว่าพอแสงจันทร์สาดส่อง เนื้อหนังก็ปริแตก เจ็บปวดถึงเส้นเอ็นและกระดูกอีกครั้ง

สวีซวงหลินตระหนักได้ในทันทีว่าตนไม่อาจต้องแสงจันทร์ได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ดิ้นรนไปปิดหน้าต่าง ซ่อนตัวอยู่ในจุดที่มืดมิดที่สุดในตำหนักใหญ่ มืดจนยื่นมือไม่เห็นนิ้วทั้งห้า

ลมหายใจของเขาค่อยๆ สงบลง

ความเจ็บปวดหายไปแล้ว เนื้อหนังที่มีโลหิตไหลนองล้วนสมานจนหายดีด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

สวีซวงหลินนึกสงสัย ดังนั้นจึงคลุมเสื้อโต่วเผิงอย่างมิดชิด ไม่เผยเนื้อหนังออกมาแม้แต่น้อย รุดไปยังหอตำรา คุ้ยหาอยู่ครึ่งค่อนคืนจึงพบบันทึกเหตุการณ์ในอดีตม้วนหนึ่งในหีบตำราของท่านปู่…

ที่แท้ หนานกงฉางอิงเจ้าสำนักหรูเฟิงรุ่นแรกเคยต่อสู้กับกุ่น แม้สุดท้ายเอาชนะสัตว์ร้ายได้ และสะกดมันไว้ใต้เจดีย์จินกู่ แต่กลับต้องคำสาปของกุ่น

สัตว์ร้ายบรรพกาลตัวนั้นเป็นสัตว์พลังอิน สัมพันธ์กับความมืดและแสงจันทร์ มันจึงสาปแช่งเจ้าสำนักหรูเฟิงทุกรุ่นไว้ เมื่อใดก็ตามที่แสงจันทร์ส่อง เนื้อหนังจะฉีกขาด เจ็บปวดทะลวงหัวใจคว้านกระดูก

และทุกคืนวันเพ็ญ พลังอินจะท่วมท้นแข็งแกร่งที่สุด ต่อให้ไม่ถูกแสงจันทร์ หลบอยู่ในมุมที่มืดมิดที่สุด ก็ยังต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานเป็นทบทวี

ฉะนั้นหลายร้อยปีที่ผ่านมา นี่จึงเป็นความลับใหญ่หลวงของสำนักหรูเฟิงมาโดยตลอด เจ้าสำนักทุกรุ่นล้วนปิดบังเรื่องนี้ไว้ ด้วยเกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสโจมตีจุดอ่อน ต่อให้เป็นบุตรในไส้ หากไม่ถึงขณะสุดท้าย ก็ไม่มีทางเปิดเผยความจริงนี้

น่าขันนัก

ข้าสู้ลำบากตรากตรำ สิ่งที่ได้รับกลับเป็นตำแหน่งที่ต้องสาป?

วันต่อมา สวีซวงหลินมาที่คุกน้ำ

หนานกงหลิ่วกับหรงเยียนภรรยาของเขาถูกขังอยู่ด้วยกัน ส่วนหลัวเฟิงหฺวาถูกแยกขังอยู่ในห้องมืดอีกห้อง

เขาไม่ได้ไปหาหลัวเฟิงหฺวา แต่มาที่ห้องคุมขังพี่ชายก่อน

“อาซวี่! อาซวี่! นี่เจ้าจะทำอะไร นี่เจ้าจะทำอะไรหา…” พอเห็นเขา หนานกงหลิ่วก็ตื่นเต้นยิ่งนัก ทว่ามือเท้าถูกอาคมผนึกไว้ จึงไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้น หลั่งน้ำตาต่อหน้าน้องชาย “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เพื่อตำแหน่งเจ้าสำนัก เจ้าต้องทำถึงขั้นนี้เชียวหรือ”

ทนทรมานทั้งคืน สีหน้าสวีซวงหลินยังคงอิดโรย เขายิ้มเย็นชา “ข้าแค่เอาสิ่งที่ข้าสมควรได้กลับคืนมาเท่านั้น”

“…”

“เจ้าชิงเพลงกระบี่ของข้า ทำลายชื่อเสียงข้า ข้าเพิ่งอายุยี่สิบ หนานกงหลิ่ว” เขาเงียบไป แววตาเยียบเย็น “ข้าเพิ่งอายุยี่สิบ เจ้าก็ทำให้ข้าเห็นความยากเข็ญในชีวิตแล้ว”

เขาเดินเข้าไปช้าๆ ชายเสื้อคลุมระพื้น ก้มลงจ้องใบหน้าพี่ชาย

“หนานกงหลิ่ว สวะเช่นเจ้า ทะเยอทะยานในอำนาจ อยากโดดเด่นเหนือผู้คน แล้วข้าเล่า” เขาเอ่ยช้าๆ “ข้ามานะกว่าเจ้า มีพรสวรรค์มากกว่าเจ้า ข้าเทียบเจ้าได้ทุกอย่าง แค่เทียบลิ้นของเจ้าไม่ได้”

เขาบีบคางหนานกงหลิ่ว สองนิ้วออกแรง แง้มปากที่ปิดสนิทของอีกฝ่าย

เขาจ้องก้อนเนื้อสีแดงอ่อนเหนียวลื่นในนั้น

“เป็นอาวุธที่ปลิดชีพคนโดยไม่เห็นเลือดจริงๆ ตัดทิ้งเสียเถอะ”

หนานกงหลิ่วตาเบิกโพลงด้วยความหวาดผวา แต่เพราะปากถูกบีบให้อ้าอยู่ จึงพูดไม่ออก ได้แต่ร้องโหยหวนดังอื้อๆ น้ำลายไหลย้อย

“ไม่ตัด?” สวีซวงหลินหัวเราะเยาะ “ไม่ตัดลิ้นก็ได้ เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเรา ฆ่าเจ้าให้สะใจ ก็นับว่าข้าไว้ไมตรี”

ทันทีที่เขาคลายมือ หนานกงหลิ่วก็ร้องไห้ดังลั่น “อย่าฆ่าข้า! อย่าฆ่าข้า! ก็…ก็แค่เรื่องงานชุมนุมเขาหลิงซานมิใช่หรือ เจ้า…เจ้าพาข้าออกไป ข้าจะคืนความเป็นธรรมให้เจ้า ต่อ…ต่อหน้าคนทั่วหล้า!”

“สายไปแล้ว” สวีซวงหลินล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ออกมาเช็ดมือตนเอง เหลือบมองเขาอย่างเฉยชา “ตอนนี้ต่อให้เจ้าพูดอะไร ผู้คนใต้หล้าก็รังแต่จะคิดว่าเจ้าถูกข้าบีบบังคับ จำต้องฝืนยอมรับ น้ำคลำที่เจ้าสาดใส่ข้า ล้างอย่างไรก็ไม่สะอาดอีกแล้ว”

หนานกงหลิ่วยังไม่ทันพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงเฉียบคมดุจดาบของสตรีที่ด้านข้าง

“หนานกงซวี่! ข้ารู้ว่าเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมก่อน แต่สิ่งที่เจ้าทำตอนนี้นับเป็นอะไร สังหารบิดาตนเอง ชิงแหวนเจ้าสำนัก ยามนี้ยังจะสังหารพี่ชาย เหตุ…เหตุใดเจ้าจึงใจคออำมหิตเยี่ยงนี้”

“อ้อ ศิษย์พี่หรงหรอกรึ” สวีซวงหลินยิ้มน้อยๆ “หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมไปแล้วว่าเจ้าอยู่ที่นี่”

แม้หรงเยียนถูกลงอาคมพันธนาการและคุกเข่าอยู่เช่นกัน แต่สีหน้าของนางแข็งกร้าว แม้ดวงตาเปียกรื้นด้วยน้ำตา แต่ก็ไม่อ่อนแอ “ตอนแรกข้า…ตอนแรกข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ”

“มองข้าผิดหรือไม่แล้วอย่างไร” สวีซวงหลินยิ้มน้อยๆ “คนที่ให้ถุงหอมข้าในตอนแรกคือเจ้า ต่อมาคนที่แต่งกับหนานกงหลิ่วก็คือเจ้า เจ้าทำให้ข้าผิดหวังก่อน พี่สะใภ้ บัดนี้เจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องเก่าก่อนกับข้า? คงไม่ได้คิดจะบอกข้าว่า เจ้ามิได้ยินยอมพร้อมใจ เจ้าถูกเขาบีบบังคับหรอกกระมัง”

หรงเยียนสีหน้าซีดเผือด คล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ยังคงกัดริมฝีปาก หลับตาลงช้าๆ

น้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มของนาง

ดาบอยู่ในมือแล้ว เปล่งประกายเย็นยะเยือก

“ไม่…ไม่นะ…อาซวี่ มีอะไรก็คุยกันได้ ข้าคุยกับเจ้าได้ทุกเรื่อง…อย่าฆ่าข้า…ขอร้องเจ้า อย่าฆ่าข้า…”

“เจ้าสับสนสถานะของตนไปหรือไม่” สวีซวงหลินเช็ดดาบ มุมปากยังผุดรอยยิ้มน้อยๆ อย่างชั่วร้าย “หนานกงหลิ่ว บัดนี้ข้าคือเจ้าสำนัก เจ้าคือนักโทษ ในมือเจ้าไม่มีอะไรสักอย่าง ยังคิดต่อรองกับข้า เอาอะไรเป็นเบี้ย ชีวิตสุนัขของเจ้าหรือ”

“ข้าเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้าได้! สามารถ…สามารถผูกหญ้าคาบห่วง [2] …ข้า…ข้ายอมทำทุกอย่าง! ขอ…ขอเพียงเจ้าต้องการ ศิษย์พี่หรง ข้าก็ยกให้เจ้าได้!”

หรงเยียนลืมตาขึ้นฉับพลัน หันไปตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “หนานกงหลิ่ว!”

หนานกงหลิ่วกลัวจนตัวสั่น ไม่สนใจภรรยาแม้แต่น้อย เอาแต่สะอึกสะอื้นคร่ำครวญกับน้องชายตนเอง “ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป…ขอร้องเจ้า ปล่อยข้าไป…”

“พอได้แล้ว” สวีซวงหลินเอ่ยอย่างเกียจคร้าน หยิบดาบตบใบหน้าเขา “ส้มที่เจ้าเคยเลีย เจ้าคิดว่าข้ายังจะแตะต้องมันอีกหรือ”

“เช่นนั้นข้า…ข้าก็ยัง…ข้าก็ยัง…” หนานกงหลิ่วเค้นหัวคิด กลับคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น มีเพียงน้ำตาไหลเปรอะเปื้อน สุดท้ายก็คร่ำครวญเสียงดัง “อาซวี่ เราเคยตกลงกันว่า มีขนมกินด้วยกัน มีหลังคาปีนด้วยกัน…เราฝึกบำเพ็ญด้วยกัน ฉลองเทศกาลหยวนเซียว เรียนคงโหวกับอาจารย์ด้วยกัน วันเวลาเหล่านั้น เจ้าลืม…เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ”

สวีซวงหลินสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย สุดท้ายเพียงแค่นหัวเราะเย็นชา ไม่พูดอะไร เงื้อดาบขึ้น สักพักก็ฟันฉับ

“อ๊าก!”

“ช้าก่อน!”

คมดาบเย็นยะเยือกค้างอยู่ห่างจากลำคอหนานกงหลิ่วเพียงคืบเดียว ความจริงสวีซวงหลินเองก็ไม่แน่ใจว่า หากไม่มีเสียงตะโกนสองเสียงนี้ ดาบของตนจะยังฟันลงไปหรือไม่

ทว่าสีหน้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงเรียบเฉย “มีอะไรอีก คำสั่งเสียของพวกเจ้าสองคนช่างมากเสียจริง”

 

 

แล้วพบกันทั้งฉบับรูปเล่ม และ E-Book นะคะ
ติดตามวันเวลาวางจำหน่ายได้ทางแฟนเพจ ROSE Publishing และทวิตเตอร์ ROSE Publishing 

 

 

[1] อักษร “ซวี่” ที่เป็นชื่อของเขา แปลว่า ปุยหลิ่ว

[2] หมายถึง ตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ มีที่มาจากนิทานสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดขึ้นในยุคชุนชิว ขุนนางนามเว่ยเคอไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียของบิดาก่อนตายที่ให้ฝังอนุภรรยาตามไปด้วย แต่กลับให้นางแต่งงานกับผู้อื่น ดวงวิญญาณบิดาของอนุผู้นั้นซาบซึ้ง จึงผูกหญ้าเป็นปมเกี่ยวศัตรูของเว่ยเคอเพื่อตอบแทนบุญคุณ ทำให้เขาได้รับชัยชนะ เรื่องที่สองเกิดขึ้นในสมัยฮั่นตะวันออก เด็กนามหยางเป่า ช่วยชีวิตนกขมิ้นตัวหนึ่งเอาไว้ หลังจากนกขมิ้นหายดี จึงคาบห่วงหยกมาตอบแทนบุญคุณหยางเป่า

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า