[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 8 บทที่ 259 : หอเทียนอิน สวมชุดคลุมร่วมกับท่าน

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

 

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

 

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

 

259

หอเทียนอิน สวมชุดคลุมร่วมกับท่าน

 

มีคนถาม “เหตุใดเจ้าจำได้แม่นนัก เรื่องผ่านมาตั้งนานแล้ว”

เขาจะจำไม่แม่นยำได้อย่างไร ในความทรงจำของเจียงซีแห่งโลกบำเพ็ญเพียรระดับสูง คือครึ่งปีที่ไม่มีอะไรพิเศษ ในความทรงจำของเซวียเจิ้งยงแห่งโลกบำเพ็ญเพียรระดับล่าง คือหนึ่งปีที่น่าสะทกสะท้อนใจ

ทว่าในความทรงจำของโม่หราน กลับเป็นสามสิบห้าวันที่ค่อยๆ สิ้นหวัง แต่ละวันผ่านไปเหมือนหนึ่งปี ทุกวันอยู่มิสู้ตาย ทุกวันเหมือนอยู่ในนรก

ปีนั้น พอคำสั่งปรับราคาประกาศออกมา ผู้คนต่างแตกตื่น ต้วนอีหานและบุตรชายไม่มีข้าวกิน ได้แต่อาศัยเก็บใบผักเน่ากับเส้นบะหมี่ขึ้นรามาประทังความหิวโหย ต่อมาคนที่กินไม่อิ่มท้องมีมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ใบผักก็ไม่มีให้เก็บ ท่ามกลางความยากแค้น โม่หรานเอ่ยกับมารดาอย่างอดไม่ได้ “ท่านแม่ เราไปหาเขาที่สำนักหรูเฟิง ขอของกินสักหน่อยเถอะ?”

ต้วนอีหาน “ขอร้องใครก็มิอาจขอร้องเขาเด็ดขาด”

เป็นขอทานขายศิลป์ตามท้องถนน ก้มศีรษะค้อมเอว ยิ้มแย้มตะโกนเรียกผู้คน ล้วนเป็นการหาเลี้ยงชีพอย่างไม่มีทางเลือก แต่หากไปขอร้องหนานกงเหยียน ย่อมกลายเป็นคนละเรื่อง

แม้ต้วนอีหานยากจนข้นแค้น แต่นางไม่คิดทำลายขีดจำกัดสุดท้ายของตน

ในเมื่อนางไม่ยินยอม โม่หรานจึงไม่กล่าวถึงอีก

เด็กตัวเล็กๆ ไม่สะดุดตา ทั้งยังหัวไว วันที่เก้าหลังจากประกาศปรับราคา ในที่สุดเขาก็ขโมยขุดหัวผักกาดมาได้หัวหนึ่ง

ต้วนอีหานซ่อนหัวผักกาดไว้อย่างระมัดระวัง นำออกมาต้มกินทีละนิดวันละหนึ่งกำปั้น ตอนที่กินไปได้แปดมื้อ หัวผักกาดก็เน่าแล้ว แต่เพราะไม่อาจหาอะไรกินให้อิ่มท้องได้มานาน ต้วนอีหานจึงยังคงหั่นหัวผักกาดที่เน่าเสีย ฝืนกินต่อไปอีกหลายวัน

เมื่อถึงวันที่ยี่สิบเอ็ดหลังประกาศปรับราคา สองแม่ลูกก็กินหัวผักกาดส่วนสุดท้ายจนหมด หาอาหารมาประทังความหิวไม่ได้อีก

วันที่ยี่สิบห้า

ฝนเทกระหน่ำ ไส้เดือนไชขึ้นมาจากใต้ดิน โม่หรานขังพวกมันเอาไว้ด้วยกัน รองน้ำฝนเล็กน้อยมาต้มไส้เดือนกิน

รสชาติของไส้เดือนที่เป็นเมือกลื่นขณะเคี้ยวในปากชวนให้อยากอาเจียนยิ่งนัก โม่หรานพึมพำขอโทษสัตว์น้อยตัวเล็กลีบเหล่านี้ แต่เพราะไม่มีอะไรจะกินจริงๆ หากทนผ่านช่วงนี้ไปได้ ไส้เดือนก็คือผู้มีพระคุณของเขา สวรรค์โปรดเมตตา เขาไม่อยากกินผู้มีพระคุณอีกแล้ว เมื่อใดฝันร้ายนี้จะผ่านพ้นไปเสียที…

วันที่ยี่สิบแปด

โม่หรานจับไข้

แม้เด็กน้อยจะมีพรสวรรค์โดดเด่น ปราณวิญญาณสูงยิ่ง แต่ก็ทนต่อความหิวโหยและความทรมานเช่นนี้ไม่ไหว

ต้วนอีหานเองก็ดวงตาลึกโหล ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว

วันนี้นางฉวยโอกาสขณะโม่หรานหลับอยู่ ตัดสินใจลุกออกจากห้องเก็บฟืนที่ใช้ซุกกาย ค่อยๆ เดินไปยังเมืองเซียนที่ตั้งตระหง่านของสำนักหรูเฟิง…นางมีขีดจำกัดของตนเอง ยอมตายแต่ไม่ยอมร้องขออาหารจากหนานกงเหยียน

แต่เด็กน้อยบริสุทธิ์ เขายังเล็กแค่นั้น จะปล่อยให้จากโลกนี้ไปพร้อมกับนางได้อย่างไร

ยามนี้คนในตำหนักใหญ่ต่างมีสีหน้าเวทนา โม่เวยอวี่มีความผิดหรือไม่นั้นยังไม่ต้องพูด แค่เรื่องเก่าในปีนั้นก็ชวนรันทดแล้ว

มีคนผ่อนน้ำเสียง เอ่ยอย่างทอดถอน “ขอได้หรือไม่”

“ไม่ได้” โม่หรานกล่าว “โชคไม่ดี ตอนที่ไปถึง หนานกงเหยียนกำลังทะเลาะกับภรรยา”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “พอฟูเหรินของเจ้าเมืองเห็นมารดาข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางเป็นคนอารมณ์ร้าย นอกจากไม่ให้อาหารมารดาข้าแม้แต่น้อยแล้ว ยังกระหน่ำตี ตะเพิดนางออกจากจวน”

“แล้วหนานกงเหยียนเล่า”

“ไม่รู้” โม่หรานกล่าว “มารดาข้าไม่ได้เอ่ยถึงเขา”

อาจเพราะเคยถูกห้ามไว้ หรืออาจเพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ อยากช่วยแต่ก็ช่วยไม่ได้…

โม่หรานไม่รู้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงว่าตอนที่มารดากลับมา ทั้งร่างมีแต่บาดแผล นางขดตัวอยู่ในห้องเก็บฟืนพลางกอดเขาไว้เงียบๆ ต่อมาก็เริ่มกระอักเลือด หันไปบ้วนเลือดและน้ำย่อยที่ขย้อนออกมาทิ้ง ในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวและเหม็นเปรี้ยว

วันที่สามสิบสี่

ต้วนอีหานใกล้จะไม่ไหวแล้ว แทบจะพูดไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมหลั่งน้ำตา

คืนนั้น นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอจะมีเรี่ยวแรงขึ้นบ้าง หันไปเห็นโม่หรานนอนขดอยู่ข้างกาย พยายามใช้ร่างผอมแห้งแคระแกร็นให้ความอบอุ่นแก่นาง นางเอ่ยกับเขาเสียงเบาอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก “หรานเอ๋อร์น้อย ต้องมีวิธี กลับเซียงถานเถอะ”

“ท่านแม่…”

“กลับเซียงถาน ไปหาพี่สวิน ไปตอบแทนบุญคุณ” ต้วนอีหานลูบเส้นผมของบุตรชาย “กลับไปตอบแทนบุญคุณที่เซียงถาน อย่าอยู่แก้แค้นที่หลินอี๋…เชื่อฟังแม่ จำไว้ให้ดี…ตอนแรกที่แม่มาหลินอี๋ แม่ติดเงินพี่สวินของเจ้ามากมาย ชดใช้ไม่หมด…เจ้ากลับไป อยู่เป็นเพื่อนข้างกายนาง ทำงานให้นาง ทำให้นางเบิกบานใจ ภายหน้าหากมีใครที่มีบุญคุณต่อเจ้า ก็ต้องไม่ลืม”

ในห้องเก็บฟืน โม่หรานน้ำตาคลอ เงยหน้ามองใบหน้าซูบตอบของมารดา

ดวงตาของต้วนอีหานดำจนเปล่งประกาย ถึงขั้นแซมสีม่วงคล้ายผลองุ่น

“ไปตอบแทน”

นั่นคือแผนการที่ต้วนอีหานวางไว้ให้โม่หรานก่อนตาย

นางกลัวว่าหลังตนจากไป บุตรจะเดินทางผิด จึงกำชับแล้วกำชับอีก ให้เขาไปจากสถานที่ที่ทำให้เสียใจนี้ให้ได้

คนเราหากมีความหวังต่อวันข้างหน้า ก็คงไม่คิดอะไรผลีผลามส่งเดช ไม่ถลำลึกลงไปติดกับความเคียดแค้นโดยง่าย

นางให้ความหวังนั้นแก่เขา…ตอบแทนบุญคุณ

อย่าจดจำความแค้น

วันที่สามสิบห้า

ในที่สุดการปรับราคาอันเหลวไหลนี้ก็สิ้นสุดลงท่ามกลางการจลาจล ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนห้าวัน

สำหรับคนมั่งมี นี่ก็เหมือนละครชวนหัวที่ปิดฉากลงในที่สุด ต่อให้หลินอี๋จะเสื่อมโทรมปั่นป่วนไปทั้งเมือง พวกเขาก็ยังคงบิดขี้เกียจตื่นขึ้นมาในที่นอนนุ่มม่านอุ่น รับน้ำค้างสุคนธ์แปดสมบัติที่สาวใช้ยกมาให้บ้วนปาก จากนั้นก็แคะฟัน พอได้ยินข่าวว่าคำสั่งปรับราคาถูกยกเลิก ก็เพียงบ่นอุบไม่กี่คำ แล้วก็อ้าปากหาว

ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนเองทั้งสิ้น

แต่สำหรับโม่หราน นี่กลับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยินดีที่สุด

เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียงอาหารแล้ว คนใจดีบนท้องถนนก็มีมากขึ้น โม่หรานขอแป้งทอดมาได้แผ่นหนึ่ง ถึงขั้นยังได้โจ๊กเนื้อที่น้อยนิดจนน่าสงสารมาชามหนึ่งด้วย

เขาตัดใจกินไม่ลง ค่อยๆ ประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง อยากกลับบ้านให้เร็วขึ้นสักหน่อย เพื่อนำไปมอบให้มารดาที่กำลังป่วยหนัก

ของดีๆ อย่างโจ๊กใส่เนื้อ หากท่านแม่ได้กิน ร่างกายจะต้องฟื้นฟูแน่?

เขาอยากเร่งเอาโจ๊กชามนี้ไปช่วยชีวิตมารดาใจจะขาด แต่เขาไม่กล้ารีบวิ่งกลับบ้าน ชามโจ๊กนี้บิ่นร้าว ขอบชามยังกะเทาะเป็นรอยแหว่งใหญ่ หากวิ่งเร็วเกินไป กระฉอกออกมาคงน่าเสียดาย

เขาจึงกลับไปยังห้องเก็บฟืนด้วยความดีอกดีใจและร้อนใจเช่นนี้

“ท่านแม่…!”

เขาประคองชามบิ่นไว้ในมือทั้งสอง ใช้ศีรษะสกปรกมอมแมมดันประตูไม้ผุพังเข้าไปราวกับลูกสุนัข ใบหน้าระบายยิ้ม เปี่ยมไปด้วยความหวังต่อวันข้างหน้า

ดีเหลือเกิน มีโจ๊กเนื้อกินแล้ว อีกไม่นานท่านแม่ก็จะดีขึ้น ในที่สุดบุปผายามวสันต์ก็บานเสียที เราจะได้กลับเซียงถานด้วยกัน ที่นั่นสงบสุข จะไม่ต้องท้องหิวอีก ยังมีพี่สาวแซ่สวินด้วย ในที่สุดเราก็ไม่ต้องเร่ร่อนขอทานประทังชีวิตแล้ว

ดีเหลือเกิน เราจะได้กลับบ้านด้วยกัน

เสียงดังแอ๊ด

ประตูเปิดออก

“นางนอนอยู่ข้างใน” ในตำหนักตานซิน โม่หรานเอ่ยอย่างสงบนิ่ง เรียบเฉย

คนอื่นๆ ต่างประหลาดใจในความเย็นชาของเขา บ้างก็รู้สึกสะท้านกับความเลือดเย็นของเขา

คนผู้นี้เอ่ยถึงการตายของมารดา กลับสงบเยือกเย็น ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย ทั้งไม่มีท่าทีหวั่นไหว ถึงขั้นไม่มีน้ำตา

แต่ไม่มีผู้ใดคิดเลยว่า ต้องคิดถึงคะนึงหา ต้องเจ็บปวดแทบขาดใจกี่ปี กว่าจะลบเลือนรอยแผลนั้นได้ จนได้สีหน้าที่นิ่งสนิทดุจบ่อน้ำโบราณไร้คลื่นเช่นนี้

“ข้าเรียกนาง นางไม่ตื่น” โม่หรานกล่าว “นางไม่มีวันลืมตาขึ้นมาอีก และกินโจ๊กคำนั้นไม่ได้อีกแล้ว”

เงียบไปนาน

หวังฟูเฟรินเอ่ยเสียงเครือ “เช่นนั้น…ต่อมา เจ้า…เจ้าก็เลยกลับหลินอี๋คนเดียว?”

โม่หรานส่ายหน้า “ข้าไปที่สำนักหรูเฟิง”

มีคนร้อง “อ๊ะ” พลางเอ่ย “เจ้า…เจ้าไปแก้แค้น?”

“มารดาข้าบอกว่า ต้องตอบแทนบุญคุณ อย่าจดจำความแค้น” โม่หรานเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าไม่ได้คิดไปแก้แค้น ข้าเพียงแค่อยากฝังศพมารดาอย่างสงบ แต่ข้าไม่มีเงิน จะหาเงินก็ไม่ทัน ข้าจึงไปที่จวนของเขา ขอเงินจำนวนหนึ่งจากเขา”

“เขาให้หรือไม่”

โม่หรานเกือบจะยิ้มออกมา “ไม่ให้”

“ไม่…ไม่ให้? แต่ตามที่เจ้าเล่ามาก่อนหน้า ในใจหนานกงเหยียนเองก็ยังนึกถึงมารดาเจ้าอยู่ เหตุใดแม้แต่เงินทำศพก็…”

โม่หราน “เพราะไม่นานก่อนหน้านั้นภรรยาเขาเองก็คิดสั้น จากโลกไปแล้วเช่นกัน”

“อะไรนะ!”

เจียงซีหรี่ตา “…ภรรยาของหนานกงเหยียนจากไปเร็วมากจริงๆ ทั้งยังเป็นการฆ่าตัวตาย…”

“แรกเริ่มตอนที่นางตั้งครรภ์ สามีกลับไปพัวพันกับหญิงอื่นข้างนอก หลังจากคลอดบุตร ก็ระหองระแหงกันมาตลอด ชีวิตคู่ไม่สมปรารถนาอย่างยิ่ง วันที่มารดาข้าไปหาพวกเขาที่จวน ถูกนางพบเข้า นางยิ่งเดือดจัด ได้ยินว่าตอนนั้นนางหยิบมีดมาแทงหนานกงเหยียน ทำให้หนานกงเหยียนโกรธ บอกว่าจะหย่านาง”

โม่หรานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “นางรับไม่ได้ ตกดึกคืนนั้นก็แขวนคอตาย ความจริงนางจากไปก่อนมารดาข้าไม่กี่วัน”

ฟังถึงตรงนี้ ทุกคนก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี บุพเพสันนิวาสน้ำค้างของคุณชายเจ้าชู้เสเพลเมื่อเริ่มแรก สุดท้ายลงเอยด้วยสุคนธ์มลายหยกสลาย [1] ครอบครัวตนก็บ้านแตกสาแหรกขาด กงกรรมกงเกวียนในโลก ก็คงเป็นเช่นนี้

“ตอนที่ข้าไปถึงที่นั่น หนานกงเหยียนกำลังถูกเจ้าสำนักตำหนิ คนที่บ้านเดิมของภรรยาเขาก็มาแล้วเช่นกัน เป็นพ่อค้าที่มีหน้ามีตาในหลินอี๋” โม่หรานกล่าว “หนานกงเหยียนถูกด่าสาดเสียเทเสียอยู่นานแล้ว ในใจยังโกรธแค้นไม่หาย จู่ๆ เห็นข้าโผล่ไป ที่ไหนจะยังอารมณ์ดี”

หวังฟูเหรินใจอ่อนที่สุด แม้รู้ว่าโม่หรานมิใช่สายเลือด แต่ก็ยังปวดใจ เอ่ยทั้งน้ำตา “หรานเอ๋อร์…”

เรื่องราวในอดีตช่วงนี้ โม่หรานไม่อยากเอ่ยถึงมากนัก

สีหน้าของหนานกงเหยียนในตอนนั้น สีหน้าของคนไว้ทุกข์ในที่นั้น

ยังมีโถงวิญญาณของหนานกงฟูเหริน…กระดาษเงินกระดาษทอง หุ่นกระดาษรูปเด็ก ข้าวของเครื่องใช้สำหรับผู้ตายกองเป็นภูเขา ธงแพรปักเรียกวิญญาณ โลงศพไม้หนานมู่ไหมทองสีดำขลับ สิ่งของมากมายเหลือเกิน

คนนับร้อยคุกเข่าอยู่สองฝั่ง คอยเฝ้าดวงวิญญาณและร่ำไห้แสดงความอาลัยให้สตรีที่ฆ่าตัวตายนางนั้น

ตะเกียงฉางหมิงจุดด้วยน้ำมันวาฬ ธูปเก้าสิบเก้าขดลุกไหม้เงียบๆ ลมพัดควันกำจาย ขี้ธูปไหวระริก

บรรยากาศคึกคักเหลือเกิน

แล้วมารดาเขาเล่า

ต้วนอีหานเซียนสังคีตแห่งเซียงถาน มีเพียงเสื้อผ้าขาดวิ่นจนแทบไม่อาจสวมใส่ได้อีก กับเด็กน้อยที่ผอมจนเห็นกระดูกคนหนึ่ง

ไม่มีแม้กระทั่งเสื่อห่อศพ

“โชคชะตาให้มาสามฉื่อ เจ้าไม่อาจขอหนึ่งจั้ง”

…นั่นคือคำพูดที่หนานกงเหยียนเอ่ยกับโม่หรานด้วยความกราดเกรี้ยวถึงขีดสุด สิ้นหวังถึงขีดสุด

จากนั้น ท่ามกลางสายตาของเจ้าสำนักและพ่อตาแม่ยายของเขา บุรุษผู้นี้ก็ผลักบุตรนอกสมรสออกจากประตูไปอย่างแรง ปฏิเสธว่าไม่รู้จัก

หนานกงฟูเหรินตาย มีพร้อมทั้งโลงศพวาดลวดลายสีทอง โมราและมุกหอม [2] ชุดเย็นสำหรับคนตาย รักษาร่างไม่ให้เน่าเปื่อย ผ้าไหมคลุมหน้า แพรต่วนปิดตา ขี่กระเรียนสู่แดนสวรรค์

ต้วนอีหานตาย หนึ่งร่างไร้ลมหายใจ หนึ่งคนหลั่งน้ำตา อินหยางจำพรากทั้งสอง [3] อยู่ห่างกันคนละภพ นอกจากนี้ก็ไม่มีผู้ใดอีก ตามความคิดของหนานกงเหยียน นางไม่ควรร้องขอแม้แต่โลงไม้บางๆ โลงหนึ่งด้วยซ้ำ

ฉะนั้น ผู้ใดยังกล้าพูดอีกว่า คนเราเมื่ออยู่เบื้องหน้าความตายล้วนเท่าเทียมกัน

โชคชะตาไม่เคยยุติธรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

สุดท้าย

นางหนึ่งยังเนื้อเย็นดุจหยก

นางหนึ่งเน่าเปื่อยเป็นดินโคลน

“ข้าลากร่างของนางไปฝังที่สุสานหมู่” โม่หรานรวบรัดเพียงไม่กี่คำ

เขามิได้บอกเล่าอย่างละเอียดว่าตนวิงวอนวิญญูชนที่ผ่านทางมาเพื่อขอโดยสารพาหนะไปด้วยอย่างไร ต้องใช้เวลาสิบสี่วันลากซากศพเน่าเหม็นไปยังชานเมืองอย่างไร

เขามิได้บอกว่าตนใช้มือขุดดินโกยหิน ฝังร่างผ่ายผอมของมารดาอย่างไร

โม่หรานไม่คุ้นเคยกับการโอดครวญต่อหน้าผู้คน

ที่ผ่านมาเขาเป็นคนที่ฝังอดีตของตนไว้ลึกอย่างยิ่ง หากไม่ถึงขั้นไร้ทางเลือกก็จะไม่เอ่ยปากออกมาโดยง่าย

เขาทุกข์ทนกับความอัปยศ ความชั่วร้าย การดูถูกเหยียดหยาม และการใส่ร้ายป้ายสีมาตั้งแต่ช่วงสิบกว่าปีแรกของชีวิตแล้ว หัวใจของเขาแข็งกร้าวดุจเหล็ก คนอื่นมองเขาอย่างไร เขาล้วนไม่สนใจ เขาไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจะมีคนเห็นใจเขาหรือไม่

“จากนั้นข้าก็ไปเซียงถาน”

เขาทนกับสถานที่อย่างหลินอี๋ไม่ได้อีก อยู่มาวันหนึ่ง เขาซ่อนตัวในเข่งบนเกวียนของนักพรตที่กำลังออกจากเมือง ลอบแฝงกายออกจากเมืองไป

เขาดั้นด้นเดินเท้าไปยังเซียงถานตามคำสั่งเสียของมารดา เดินทางได้ครึ่งปี จากกลางคิมหันต์ ย่างเข้าต้นเหมันต์ เดินจนรองเท้าขาด เดินต่อด้วยเท้าเปล่า กระทั่งใต้ฝ่าเท้าเป็นหนังด้านหนา

เขาเดินพลางถามทางไปเรื่อยๆ ขณะไปถึงบริเวณนอกวัดอู๋เปย ในที่สุดเขาก็ล้มลงในพงหญ้าเพราะความหนาวเหน็บและหิวโหย

“ท่านแม่…” เด็กตัวเล็กๆ ฟุบอยู่บนพื้น ใต้ผมเผ้าดำยุ่งเหยิงคือดวงตาเลื่อนลอย มองฟ้าดินเวิ้งว้าง

หิมะตกแล้ว เป็นหิมะแรกของเหมันต์ปีนี้

“ข้าจะไปพบท่านแล้ว…ขออภัย…ข้าทนไม่ไหวแล้ว…”

ปุยหิมะเบาหวิวโปรยปราย อ่อนนุ่มดุจเสียงถอนหายใจ ปกคลุมนัยน์ตาของเขา

ขณะสติพร่าเลือน มีเสียงฝีเท้าดังสวบสาบใกล้เข้ามา จากนั้นมือคู่หนึ่งแหวกพงหญ้าออก ได้ยินน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “อาจารย์ เร็วเข้า ท่านรีบดูเขาหน่อยเถิด เขาเป็นอะไรไป”

ผ่านไปสักพัก รองเท้าฟางคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงบุรุษกำลังพูด “เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว กลับไปก่อนเถอะ ข้าจะดูเขาเอง”

เสียงบุรุษผู้นั้นทุ้มต่ำเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์มากนัก

โม่หรานหวาดผวาขึ้นมาตามสัญชาตญาณ เขารู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามาใกล้ ส่วนบุรุษอีกคนเย็นชา ไม่รู้ว่าเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ทำให้เขายื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อของเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาไว้

ยังไม่ทันอ้าปาก น้ำตาก็ไหลลงมาเสียแล้ว

“ข้าว…”

หิวเหลือเกิน ขอร้องท่าน ข้าอยากกินข้าว

เด็กหนุ่มที่ถูกดึงชายเสื้อไว้คือฉู่หว่านหนิงที่ลงเขามาพร้อมกับไหฺวจุ้ยในวันนั้น ฉู่หว่านหนิงอึ้งงัน “อะไรนะ”

โม่หรานฝืนเงยใบหน้าน้อยที่สกปรกมอมแมมอย่างยิ่ง มือสั่นเทาทำท่าพุ้ยข้าว กลืนความฝาดเฝื่อนในลำคอ ทุกสิ่งตรงหน้าพร่าเลือน วิงเวียนสับสน ในหูมีแต่เสียงหึ่งๆ

น้ำตาไหลลงมา ขอร้องคนตรงหน้าอย่างน่าเวทนา เขารู้ว่าหากพี่ชายน้อยผู้นี้เพิกเฉยต่อเขาเหมือนกับนายท่านนายน้อยคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบเจอ เขาคงไม่อาจรอดชีวิต เขาจะต้องตายแน่นอน เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

“กิน…”

ต่อมาฉู่หว่านหนิงป้อนน้ำข้าวกาหนึ่งให้เขา

น้ำข้าวกาหนึ่ง ช่วยคนที่กำลังจะหิวตายคนหนึ่ง

หลังจากได้ดื่มน้ำข้าวแล้ว โม่หรานจึงเดินทางต่อ ตอนนั้นเขายังมึนงงวิงเวียน หน้าตาของ “พี่ชายผู้มีพระคุณ” คนนั้น เขาจำได้เพียงนัยน์ตาหงส์ที่เฉียงขึ้นเล็กน้อย ขนตาเป็นแพหนาและยาวยิ่งนัก นอกจากนี้ก็จำไม่ได้อีก

ตลอดทางจากวัดอู๋เปยไปถึงเซียงถาน เขาคลุมเสื้อโต่วเผิงที่พี่ชายผู้มีประคุณถอดออกมาให้เขาตัวนั้น ตอนนั้นตัวเขาเล็กมาก เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มเมื่ออยู่บนร่างเขาจึงดูรุ่มร่ามและน่าขัน ยิ่งพอดึงหมวกคลุมศีรษะไว้ ขอบหมวกก็แทบจะปิดใบหน้าเขาจนมิด

ระหว่างทางมักจะเจอเด็กเล็กๆ ที่ชีวิตไร้กังวล ไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร แอบอิงข้างกายบิดามารดา หัวเราะพลางร้องตะโกน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูขอทานน้อยคนนั้นสิ สวมเสื้ออะไรกัน น่าขันนัก!”

โม่หรานไม่โกรธ

สำหรับเขาแล้วคำเยาะหยันของคนรอบข้างไม่นับเป็นอะไรทั้งสิ้น เขามีเพียงความรู้สึกซาบซึ้งต่อเสื้อโต่วเผิงไม่พอดีตัวตัวนี้ที่ช่วยบังลมฝนให้เขา ให้ความอบอุ่นอันน้อยนิดแก่เขา

เขาคลุมมันไว้ ยามหิมะตก ปุยหิมะจึงไม่ตกต้องร่าง ครั้นตกกลางคืน ความมืดมิดก็ไม่อาจแทรกซึมเข้ามาในใจเขา

ทุกครั้งที่ม่านราตรีคืบคลานเข้ามา เขาจะก่อกองไฟ นั่งกอดเข่าข้างกองไฟให้ร่างกายอบอุ่น เอาเสื้อโต่วเผิงคลุมศีรษะ ซุกกายอยู่ในเสื้อคลุม มองเปลวไฟอ่อนโยนจากใต้ขอบขนสัตว์หนานุ่ม

เสื้อโต่วเผิงอบอุ่นยิ่งนัก เหมือนอ้อมกอดของมารดา ทั้งเหมือนนัยน์ตาหงส์อ่อนโยนของพี่ชายผู้มีพระคุณ…เด็กน้อยขดตัวซุกหลับไปเช่นนี้ ในนิทราถึงขั้นได้กลิ่นหอมจางๆ จากเสื้อโต่วเผิง เหมือนพิงต้นไห่ถังที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง

ยามนี้เมื่อมองย้อนกลับไป มิน่าเล่าตนจึงรู้สึกว่ากลิ่นกายของฉู่หว่านหนิงหอมยิ่งนัก ขอเพียงข้างหมอนมีกลิ่นของเขา ตนก็จะนอนหลับสนิทอย่างสบายใจ

และมิน่าแวบแรกที่เห็นผู้อาวุโสอวี้เหิงหน้าเจดีย์ทงเทียน จึงรู้สึกว่านัยน์ตาหงส์ที่หลุบลงคู่นั้นอ่อนโยนอย่างยิ่ง เหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน

ที่แท้ทุกอย่างล้วนมีต้นสายปลายเหตุ

ข้ากับฉู่หว่านหนิง…ที่แท้เคยพูดคุยกันมาก่อน เคยสัมผัสความอบอุ่นจากร่างกาย ถึงขั้นเคยเลียฝ่ามือของฉู่หว่านหนิง ที่แท้ข้าเคยดมกลิ่นดอกไม้บนเสื้อผ้าของฉู่หว่านหนิงตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ที่แท้พี่ชายผู้มีพระคุณที่ข้าตามหามาตลอดอยู่ข้างกายนี่เอง ไม่ว่าเป็นหรือตาย ล้วนไม่เคยห่างไกล

โม่หรานหลุบตาลง ในตำหนักตานซินอันเย็นเยียบนี้ ถึงขั้นยังแฝงไออุ่นเสี้ยวหนึ่งด้วยเหตุนี้

เพียงแต่นี่เป็นความลับระหว่างพวกเขา โม่หรานคิดในใจว่า นี่เป็นเรื่องที่ทั้งเศร้าและหวานละมุน เขาเก็บความลับนี้ไว้ ไม่บอกผู้ใดทั้งสิ้น ทั้งไม่มีวันพูดออกมาให้ทุกคนฟัง

เขาสูดหายใจลึก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “พอมาถึงเซียงถาน ข้าก็ไปหาสวินเฟิงรั่วตามคำสั่งเสียของมารดา”

ตอนนั้นหรานเอ๋อร์น้อยที่อายุเพียงห้าขวบคลุมเสื้อโต่วเผิงตัวหนาของฉู่หว่านหนิงในวัยหนุ่ม

ชายเสื้อคลุมยาวลากพื้นจนสกปรกไปนานแล้ว เด็กน้อยโผล่ศีรษะยุ่งเหยิงมอมแมมออกมาจากในหมวกที่ติดขนนุ่มฟูเหมือนรังนก แหงนใบหน้าน้อยๆ เหลืองซูบขึ้น พลางถามเสียงเบา “เรียนถาม…พี่สวินเฟิงรั่ว อยู่ที่นี่หรือไม่”

“สวินเฟิงรั่ว?” หญิงโรงดนตรีที่ถูกเขาดึงไว้หัวเราะออกมา พลางมองเขาศีรษะจรดเท้าด้วยความสงสัย “ยอดพธู [4] แห่งโรงดนตรี? ถึงจะบอกว่าที่นี่ขายศิลป์ไม่ขายตัว แต่ผู้ที่มาเพราะความโดดเด่นของแม่นางสวิน หลายคนชมชอบรูปโฉมของนางมากกว่าเสียงเพลงของนาง น้องชายน้อย เจ้าเพิ่งอายุเท่าใดเอง กลับรู้จักขอพบนางแล้ว?”

โม่หรานเบิกตากว้าง สีหน้าใสซื่อ ไม่เข้าใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย

แต่แววยิ้มเยาะในดวงตาแม่นางผู้นั้นโจ่งแจ้งยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้โม่หรานจึงรู้สึกอับอาย เขากระชับคอเสื้อโต่วเผิงแน่น เอ่ยด้วยสีหน้าแดงเรื่อ “วานท่าน ข้าอยากพบพี่สวิน ข้า…แม่ข้าให้ข้ามาหานาง…”

“เอ๋? แม่เจ้าเป็นใครกัน”

“แม่ข้าแซ่ต้วน ชื่อต้วนอีหาน…”

“หา!” หญิงโรงดนตรีสีหน้าแปรเปลี่ยน ถอยหลังหนึ่งก้าว ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก แม้กระทั่งนัยน์ตาดอกท้อที่เดิมเกียจคร้านก็พลันเบิกกว้าง “เจ้า…เจ้าเป็นลูกของเซียนสังคีตต้วน?”

สมัยที่ต้วนอีหานยังมีชื่อเสียงไปทั่วสารทิศนั้น นางไม่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ ซ้ำยังมักเอาเงินทองเครื่องประดับที่เหลือใช้ของตนมาแบ่งให้บรรดาพี่สาวน้องสาวที่แก่ตัวลง และเสียงร้องเพลงไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้พอหญิงโรงดนตรีผู้นี้ได้ยินว่าเขาเป็นบุตรของแม่นางต้วน ก็เปลี่ยนท่าทีทันที รีบพาเขาไปยังห้องอุ่นของหอบุปผา เพื่อพบสวินเฟิงรั่วซึ่งนอนอยู่ในห้อง

หลังจากประตูปิดลง โม่หรานก็คุกเข่าค้อมศีรษะคำนับสวินเฟิงรั่ว เล่าต้นสายปลายเหตุให้นางฟังทั้งหมด สวินเฟิงรั่วร้องไห้เสียใจจนน้ำตาเปียกชุ่มชุดแพร

นางไปพบมาเหนียงทันที บอกว่าจะให้โม่หรานอยู่ข้างกายตน เดิมมาเหนียงไม่ยินยอม แต่ทนการรบเร้าวิงวอนของยอดพธูไม่ไหว อีกทั้งพอดูหน่วยก้านโม่หรานแล้ว ก็เห็นว่าเด็กคนนี้น่าจะเอามาใช้งานในหอได้บ้าง จึงจำใจรับปาก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าทำนอง “เรียกขอทานเข้าหอ” นางกลัวเป็นอัปมงคล ตามธรรมเนียมต้องเผาเสื้อผ้าเดิมทิ้ง แล้วให้ชำระกายให้สะอาด

อาบน้ำนั้นไม่มีปัญหา แต่พอบอกว่าจะเผาเสื้อผ้า โม่หรานกลับร้องไห้

“จะร้องหาอะไร! ต่อไปก็ซื้อให้เจ้าใหม่!” มาเหนียงเอามอระกู่เคาะศีรษะโม่หรานด้วยความหงุดหงิด “หัดรู้ความหน่อย ข้าให้ที่กินที่อยู่ แค่นี้คนอื่นก็หัวเราะเยาะตายแล้ว ดูสารรูปโกโรโกโสของเจ้าสิ!”

โม่หรานกลัวจะทำให้พี่สวินลำบากใจ นางอุตส่าห์ออกหน้าขอร้องให้เขาแล้ว

ดังนั้นเขาจึงกัดริมฝีปากข่มกลั้นสุดชีวิต ขยี้ดวงตาแดงก่ำ ยืนสะอื้นเงียบๆ อยู่หน้ากองไฟ

ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทั้งหมดนี้เพื่ออะไรกันแน่ เขาเพียงแค่อยากเก็บเสื้อเก่าตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะเขาอ่อนแอ เพราะเขาต่ำต้อย เพราะเขาเป็นขอทานโสโครก เพื่อไม่ให้นำความอัปมงคลและความเดือดร้อนมาให้คนอื่น เขาจึงได้แต่ยอมให้คนอื่นถอดเสื้อตัวนั้นออกจากร่างตน เขาไม่อาจขัดขืน ไม่อาจบอกว่า “ไม่” ถึงขั้นไม่มีอำนาจหลั่งน้ำตา

เสื้อตัวนี้เคยให้ความอบอุ่น ความไว้ใจ และความพึ่งพาแก่เขามากมาย บังลมฝนให้เขาจนตัวมันสกปรกสีซีดจาง

บัดนี้เขามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว อาจไม่ได้ใช้มันอีก เขาเพียงอยากจะซักมันให้สะอาด และพับเก็บไว้อย่างระมัดระวัง แม้ว่านับจากนี้จะไม่ได้สวมมันอีก เก็บไว้ก้นหีบก็ยังดี มันคือสหายของเขา มิใช่แค่เสื้อเก่าๆ ตัวหนึ่ง

แต่เรื่องทั้งหลายมิได้ขึ้นอยู่กับเขา

เสียงดังพึ่บ เสื้อโต่วเผิงสกปรกถูกโยนลงในกองไฟ คนที่โยนมันทำเหมือนทิ้งของสกปรกอย่างส่งๆ ทั้งยังทำท่ารังเกียจที่มือเปื้อน แต่สำหรับโม่หรานแล้ว นั่นราวกับเป็นการปลงศพ เป็นพิธีฝังศพ

เขาจ้องตาไม่กะพริบ

เปลวไฟลุกโหม ความงดงามในหล้าเลือนราง

“ช้าๆ ค่อยๆ ดื่ม ไม่พอยังมีอีก”

“เจ้ามาจากที่ใด…”

ข้างหูได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของเด็กหนุ่ม นั่นคือน้ำใจอันอ่อนโยนที่น้อยครั้งจะได้พบพานในชีวิตอันต่ำต้อยของเขา

ล้วนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว

โม่หรานจึงได้กราบมาเหนียงแห่งหอจุ้ยอวี้เป็นแม่บุญธรรมด้วยเหตุนี้ เขายังได้ใช้แซ่ตามแม่บุญธรรมคือแซ่โม่ นับจากนั้นกลายเป็นเด็กรับใช้ในหอ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

เพียงแต่ ช่วงเวลาดีๆ คงอยู่ได้ไม่นาน ตอนนั้นสวินเฟิงรั่วอายุไม่น้อยแล้ว ตามกฎของหอ โรงดนตรีแม้ไม่เหมือนหอนางโลม แต่เมื่ออายุมากขึ้น หากไม่มี “ค่าเวทนาตน” ที่เพียงพอ เช่นนั้นคืนแรกหญิงสาวก็จะถูกมาเหนียงขายให้เหล่าคุณชายและพ่อค้าที่ร่ำรวย

สวินเฟิงรั่วไม่ต้องกังวลในข้อนี้ นางหาเงินจากหอจุ้ยอวี้ได้เป็นกอบเป็นกำนานแล้ว

“ยังขาดอีกสิบห้าหมื่นตำลึงทอง” ตอนนั้นสวินเฟิงรั่วยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับโม่หราน “หรานเอ๋อร์น้อย รอพี่สาวหาเงินได้มากพอแล้ว ก็จะไถ่ตัวได้ พี่สาวจะพาเจ้าไปใช้ชีวิตที่ดี”

โม่หรานถูกส่งไปอยู่ในครัว ยามปกติจึงไม่ค่อยได้พบเจอนาง มาเหนียงตั้งใจไม่ให้คนในหอสุมหัวตั้งกลุ่มก๊วน ด้วยเหตุนี้สวินเฟิงรั่วกับโม่หรานจึงต้องลอบพบกัน

นางยื่นมือไปลูบแก้มเขา จากนั้นยัดลูกกวาดให้เขากำมือหนึ่ง “ชู่ เอาไปกินซะ เสียดายข้ามิอาจให้เงินเจ้า ประเดี๋ยวจะถูกจับได้ หูตาแม่บุญธรรมร้ายกาจยิ่งนัก หึๆ”

โม่หรานยิ้มแป้น เผยฟันน้ำนมหลอเต็มปาก “อืม ขอบคุณพี่สวิน”

แต่สวินเฟิงรั่วยังขาดอีกสิบห้าหมื่นตำลึงทองจึงจะไถ่ตัวได้ เรื่องนี้มาเหนียงจะไม่รู้ได้อย่างไร

แม้นางทำนิ่งเฉย ไม่แสดงท่าที แต่ในใจกลับร้อนรนยิ่งนัก

หากเสียสวินเฟิงรั่วไป ก็เท่ากับเสียแหล่งเงินแหล่งทองกว่าครึ่งของหอจุ้ยอวี้ ด้วยเหตุนี้มาเหนียงจึงวางแผนว่าจะต้องกอบโกยจากสวินเฟิงรั่วให้เต็มที่ ก่อนที่นางจะจากไป

ในตอนนั้นมีลูกค้ารายใหญ่ไม่น้อยที่ปรารถนาในตัวสวินเฟิงรั่ว ต่างเสนอราคาสูงลิ่ว มากพอจะทำให้มาเหนียงนั่งกินนอนกินไปชั่วชีวิต สุดท้ายนางผุดความคิดชั่วร้าย แอบทำข้อตกลงกับพ่อค้าร่ำรวยล้นฟ้าคนหนึ่งลับหลังสวินเฟิงรั่ว ทั้งสองฉวยโอกาสในเทศกาลซ่างหยวน [5] วางยาสลบในน้ำชา ส่งให้สวินเฟิงรั่วระหว่างที่นางบรรเลงดนตรีอยู่ในหอ จากนั้นพาขึ้นห้อง…

วันนั้นโม่หรานต้มทังหยวนเสร็จ กำลังยกไปที่ห้องอุ่นอย่างระมัดระวัง เพื่อให้พี่สวินกิน

เขายังไม่ทันเข้าไป ก็ได้ยินเสียงหอบหายใจหนักหน่วงในห้อง โม่หรานตกใจผลักประตูเปิด กลิ่นพิมเสนเข้มข้นโชยปะทะจมูก รมจนเขาแทบอาเจียน

ท่ามกลางแสงไฟหม่นสลัว เขาเห็นพ่อค้าหน้ามันย่องเหมือนหมูสามชั้น มุมปากมีน้ำลายไหลย้อย อกเสื้อแบะกว้าง กำลังขย่มอยู่บนร่างสวินเฟิงรั่วที่ปวกเปียกไปทั้งตัว ไร้แรงขัดขืน

เพล้ง!

ชามกระเบื้องเคลือบใส่ทังหยวนแตกกระจายเต็มพื้น โม่หรานพุ่งเข้าไปในห้อง ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด…เขามีพรสวรรค์น่าทึ่งตั้งแต่เด็ก…เขาทุบตีพ่อค้าคนนั้นอย่างเดือดดาล จากนั้นจับตัวเจ้าหมูตอนนั่นเอาไว้แน่น พลางตะโกนบอกสวินเฟิงรั่วที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร ทำอะไรไม่ถูก

“พี่สาว รีบหนีไป!”

“แต่ว่าเจ้า…”

“ท่านรีบไปเถอะ! ข้าไปไม่ได้ ข้าต้องจับตัวเขาไว้! หากท่านยังไม่ไป ประเดี๋ยวมาเหนียงมา เราต้องจบเห่อยู่ที่นี่กันหมด ท่านรีบไป! เร็วเข้า! พอท่านไปแล้ว ข้าก็จะหนีทันที!”

สวินเฟิงรั่วคือผู้มีพระคุณของเขา

โม่หรานให้นางหนีไปให้ไกลจากเซียงถาน อย่ากลับมาที่นี่อีก

วันนั้น เขาได้เป็นวีรบุรุษในที่สุด

สวินเฟิงรั่วสะอื้นพลางคารวะเขา จากนั้นหนีออกจากหอ แต่โม่หรานหนีออกไปไม่ทัน มาเหนียงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ไม่นานก็พาคนขึ้นมา พอขึ้นมาก็เห็นโม่หรานลงไม้ลงมือกับลูกค้าผู้ทรงเกียรติ ซ้ำยังปล่อยยอดพธูหนีไป นางโกรธจนหน้าบิดเบี้ยว แทบกระอักเลือด

มาเหนียงมีบุตรชายอายุไล่เลี่ยกับโม่หราน บุตรชายนางจิตใจชั่วร้าย พอเห็นมารดาโกรธสุดขีด จึงเกิดความคิด…บางครั้งความชั่วร้ายของเด็กไร้เดียงสาก็อำมหิตจนน่าสะพรึง เด็กชายคนนั้นเอาวิธีลงโทษสัตว์เลี้ยงมาลงโทษเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่ทำให้มารดาตนโกรธ

เขาหากรงสุนัขมา ให้คนจับโม่หรานขังไว้ในกรงที่คับแคบอึดอัด โม่หรานได้แต่คุดคู้อยู่ข้างใน จะนอนก็ไม่ได้ จะยืนก็ไม่ได้ พวกเขาโยนเศษอาหารให้เขาเหมือนให้ข้าวสุนัข อยู่เช่นนี้เจ็ดวันเต็มๆ

เจ็ดวัน โม่หรานถูกขังอยู่ในห้องเดิมของสวินเฟิงรั่ว กลิ่นกำยานในห้องเคล้ากับกลิ่นคาวคลุ้งของของเหลวจากร่างบุรุษ

เขานั่งคุดคู้อยู่เช่นนั้น

ถูกรมด้วยกลิ่นหวานเลี่ยนชวนวิงเวียน

จนอยากอาเจียน

เจ็ดวัน

นับจากนั้น ทุกครั้งที่เขาได้กลิ่นเครื่องหอมและกำยาน จึงมักรู้สึกคลื่นไส้ ความหวาดผวาและความสยดสยองแผ่ลามออกมาจากกระดูก

 

[1] เป็นวลีกล่าวถึงการตายของหญิงงาม

[2] ลูกปัดที่ทำจากดินหอม หรือไม้หอม

[3] หมายถึง คนหนึ่งอยู่ในโลกคนเป็น (หยาง) คนหนึ่งอยู่ในโลกคนตาย (อิน)

[4] ภาษาจีนคือ “ฮวาขุย” เป็นคำเรียกหญิงงามเลื่องชื่อ ทั้งในสมัยโบราณยังใช้หมายถึงนางโลมชั้นสูง

[5] เทศกาลหยวนเซียว หรือก็คือเทศกาลโคมไฟ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า