ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored
————————————————————-
260
หอเทียนอิน โชคชะตาดั่งเตาหลอม
ในตำหนักตานซิน เหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญไม่รู้ว่าควรวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ต่างก้มหน้านิ่งเงียบ สีหน้าเศร้าสลด
เสวียนจิ้งต้าซือ “เฮ้อ…เวรกรรม ล้วนเป็นเวรกรรม”
เจ้าหอเทียนอินมู่เยียนหลี “แค้นมีเหตุ หนี้มีเจ้า เรื่องราวมากมายบนโลกนี้ เดิมก็คือกงกรรมกงเกวียน เชื่อมโยงพันผูก” นางเอ่ยถึงตรงนี้ พลันเปลี่ยนหัวข้อ “แต่ว่าโม่หราน เจ้าต้องรู้ว่า ความทุกข์ยากที่เจ้าได้รับ ไม่อาจนำมาใช้เป็นเหตุให้เจ้าระบายแค้น คร่าชีวิตผู้อื่นเป็นผักปลา”
“ถูกต้อง”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งหอหั่วหวงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “โม่เซียนจวิน เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม แม้น่าเห็นใจ แต่นั่นก็เพราะชาติกำเนิดของเจ้าไม่ดี โชคชะตากลั่นแกล้ง คนเราล้วนมีโชคชะตา เจ้ามิอาจทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องเพราะตนถูกทำร้าย
“เจ้าเคยทำเรื่องดี เคยได้รับความไม่เป็นธรรมก็จริง แต่ตามที่เรารู้ ต่อมาเจ้าเองก็ฆ่าคน…เรื่องหนึ่งก็ส่วนเรื่องหนึ่ง ล้วนต้องแยกแยะให้ชัดเจน”
โม่หรานมิได้พูดอะไร
เจียงซีพลันถาม “แยกแยะอย่างไร”
“เรื่องนี้…”
“ผู้ใดแยกแยะได้ชัด ชีวิตผู้ใดบ้างมิใช่ชีวิต ผู้ใดจะเป็นไม้บรรทัดที่เที่ยงธรรมที่สุดได้” เจียงซีถือความคิดตนเป็นใหญ่ มิได้ให้ความเคารพที่เจ้าหอเทียนอินเป็นทายาทแห่งทวยเทพ “ข้ามิได้เข้าข้างโม่หราน แต่ข้าเพียงอยากถามสักอย่าง วันนี้ พวกเรายืนอยู่ที่นี่ บอกว่าจะคิดบัญชีกับโม่หราน ให้เขาชดใช้ เช่นนั้น…ความอัปยศที่โม่หรานเคยได้รับเล่า ความไม่ยุติธรรมที่เขาเคยได้รับเล่า”
“…” ไม่มีใครคาดว่า เจียงซีที่สูญเสียหนักที่สุดในคดีฆาตกรรมหลายวันก่อนจะก้าวออกมา ออกหน้าแทนโม่เวยอวี่ ทุกคนอึ้งงันไปชั่วขณะ
มู่เยียนหลี “เจ้าสำนักเจียง หอเทียนอินยุติธรรมมาโดยตลอด ตระกูลเราปกป้องของวิเศษหยั่งเทวะทุกยุคสมัย เมื่อถึงเวลา ย่อมต้องใช้ของวิเศษมาชั่งน้ำหนักถูกผิดดีชั่วของคุณชายโม่ เพื่อตัดสินโทษ ท่านมิต้องกังวล”
“ประหลาดนัก เขาเกี่ยวอะไรกับข้า เหตุใดข้าต้องกังวล”
เจียงซีไม่พอใจหอเทียนอินมานานแล้ว เขาฝึกมรรคาโอสถ กล่าวตามตรงคือ ขอเพียงหลอมโอสถได้ดี คนธรรมดาก็ออกห่างจากธุลีแดงได้ ด้วยเหตุนี้กูเย่ว์เยี่ยจึงไม่งมงายเรื่องทายาททวยเทพ
เขาหรี่ตาลง เอ่ยเสียงเย็นชา “เพียงแต่ผู้แซ่เจียงแปลกใจนัก ขอบังอาจถามทุกท่านจากหอเทียนอิน หลังจากไต่สวนโม่หราน ทุกท่านก็ควรไต่สวนผู้อื่นที่พัวพันคดีเก่าเหล่านั้นด้วยหรือไม่ ขุดดินลึกสามฉื่อดูว่าหนานกงเหยียนยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือเปล่า ใช่หรือไม่ ควรไปยังเซียงถาน หาเศรษฐีที่ชำเราแม่นางสวินในปีนั้นใช่หรือไม่ โม่หรานฆ่าคนชดใช้ด้วยชีวิตนับว่าสมเหตุสมผล เช่นนั้นที่เขาถูกขังในกรงสุนัข ถูกทุบตี ไร้เสื้อผ้าคลุมกาย กินไม่อิ่มท้อง ผู้มีพระคุณถูกแขกย่ำยี มารดาหิวตาย…ผู้ใดจะตัดสิน”
เสวียนจิ้งต้าซือเอ่ยอย่างลังเล “เจ้าสำนักเจียง เหตุใดจู่ๆ ท่านก็โต้แย้งแทนนักโทษ”
“ไม่อาจเรียกว่าโต้แย้ง” ริมฝีปากบางของเจียงซีขยับ “ข้าเพียงแค่นึกถึงก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเขาหวงซาน เราปฏิบัติต่อหนานกงซื่อและเยี่ยวั่งซีอย่างไร ข้าไม่อยากเห็นเรื่องเก่าซ้ำเดิม”
มีคนกล่าว “นั่นเป็นคนละเรื่อง ไม่เหมือนกันเลย”
“มีอะไรไม่เหมือนกัน” เจียงซีกล่าว “ตอนนี้หนานกงซื่อตายแล้ว เยี่ยวั่งซีจนถึงวันนี้ยังนอนป่วยอยู่ที่กูเย่ว์เยี่ย เรื่องราวก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนกันแล้วหรือ…แต่ในตอนแรก มิใช่พวกเราหรอกหรือที่บีบพวกเขา บอกว่าหนี้เลือดของสำนักหรูเฟิงต้องเอาชีวิตพวกเขาทั้งสองมาชดใช้”
เขาหันขวับ นัยน์ตาสีน้ำตาลดุจเหยี่ยว
“ตอนนั้น หอเทียนอินอยู่ที่ใด ความยุติธรรมอยู่ที่ใด”
คนของหมู่บ้านปี้ถานมีความแค้นลึกซึ้งกับสำนักหรูเฟิงเพราะเรื่องคัมภีร์กระบี่ เจินฉงหมิงศิษย์ของหลี่อู๋ซินกล่าว “คำพูดของเจ้าสำนักเจียงออกจะอคติไปสักหน่อย หนานกงซื่อคือผู้สืบทอดของสำนักหรูเฟิง แค้นมีเหตุ หนี้มีเจ้า นอกเสียจากว่าคนของสำนักหรูเฟิงจะตายหมด หาไม่แล้ว หนี้เก่ายังต้องสืบสาวต่อไป ไม่มีผู้ใดอยากถูกเอาเปรียบ”
เจียงซีแค่นหัวเราะเย็นชา “ใช่แล้ว ฉะนั้นเจ้าดู เจ้าเข้าใจหลักการข้อนี้มากมิใช่หรือ ไม่มีผู้ใดอยากเป็นคนสุดท้ายที่ถูกตบหน้า แต่กลับมิอาจตอบโต้”
เจินฉงหมิง “…”
“หากเจ้าคิดเช่นนี้ สวีซวงหลินคิดเช่นนี้ โม่หรานเองก็คิดเช่นนี้ได้” เจียงซีสะบัดแขนเสื้อ “แต่ไหนแต่ไร ยามที่เรื่องเกิดกับคนอื่น คำพูดเหล่านี้ล้วนพูดออกมาได้ง่ายนัก แต่พอความไม่เป็นธรรมและความโหดร้ายมาเยือนตัวเองจริงๆ ถึงได้รู้สึกว่า เหตุใดโลกนี้มีคนชั่วตั้งมากมาย แต่คนที่ต้องทุกข์ทรมาน กลับเป็นข้า”
เจินฉงหมิง “ความหมายของเจ้าสำนักเจียงก็คือ หาว่าเราโหดเหี้ยมไร้ความยุติธรรมต่อเยี่ยวั่งซีและหนานกงซื่อเกินไป เรื่องคัมภีร์กระบี่ของหมู่บ้านปี้ถาน ก็ให้เลิกแล้วกันไปเท่านี้หรือ”
เจียงซี “หนานกงซื่อก็ไม่อยู่แล้ว เจ้ายังคิดจะสืบสาวเอาความกับผู้ใดอีก”
เจินฉงหมิงพลันตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “เช่นนั้นอาจารย์ข้าก็ต้องตายเปล่าหรือ! หนานกงซื่อไม่อยู่แล้ว ยังมีเยี่ยวั่งซีมิใช่หรือ นางคือผู้นำเมืองอั้นเฉิงของสำนักหรูเฟิง เรื่องคัมภีร์กระบี่ นางจะไม่รู้ร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อยหรือ”
ทุกคนเงียบกริบ
ทุกคนต่างก็รู้ว่าเจียงซีอุปนิสัยเย็นชา เจินฉงหมิง [1] งัดข้อกับเจียงซีต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ช่างไม่สมชื่อเขาเอาเสียเลย
เจียงซีจ้องเจินฉงหมิงครู่หนึ่ง “เดิมตอนอยู่บนเขาเจียวซาน หนานกงซื่อประมือกับหนานกงฉางอิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส…ตอนนั้นเขาขยับปากสื่อสารกับข้า”
“…พูดว่าอะไร”
เจียงซีหลับตา เบื้องหน้าราวกับปรากฏภาพหนานกงซื่อค่อยๆ ขยับริมฝีปากเอ่ยกับตน ขณะอยู่ในข่ายอาคม ใต้คมกระบี่ของหนานกงฉางอิง ต่อสู้นองเลือดจนตัวใกล้ตาย
“หวังว่าจะแจกจ่ายทรัพย์สมบัตินับร้อยปีของสำนักหรูเฟิงให้หมด ช่วยเหลือคนยากไร้ ไม่เหลือเก็บไว้”
“นี่…” เหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญต่างหันไปแลกเปลี่ยนสายตากัน สีหน้าแต่ละคนล้วนกระดากอาย บรรดาภิกษุวัดอู๋เปยหลุบตาประนมมือ เอ่ยนามพระพุทธองค์เสียงเบา
สีหน้าเจินฉงหมิงเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว สุดท้ายเค้นเสียงลอดไรฟัน “บัดนี้เขาไม่เหลือแม้แต่ซากแล้ว ทรัพย์สมบัติสำนักหรูเฟิงล้วนอยู่ในห้องลับ ผู้ใดจะเปิดออกได้ คงมิใช่แค่พูดลอยๆ เสแสร้งแกล้งทำกระมัง”
เจียงซี “เดิมหนานกงซื่อมิได้คิดว่าสุดท้ายตนจะต้องมาตายไม่เหลือซาก ที่สำคัญคือ ข้ายอมเชื่อเขา คนเรายามใกล้ตาย วาจามักมาจากใจ”
เจินฉงหมิงริมฝีปากสั่น คล้ายอยากจะโต้แย้ง ทว่าสุดท้ายก็มิได้เอ่ยออกมา
ผ่านไปนาน เขาจึงเอ่ย “นี่ก็คือสาเหตุที่วันนี้เจ้าสำนักเจียงปกป้องโม่เวยอวี่? คิดจะขอความเมตตา เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยหนานกงซื่อ?”
เจียงซี “ผู้แซ่เจียงเพียงเห็นว่า เดิมการแสวงหาความยุติธรรมเป็นเรื่องที่ลำบากยากยิ่ง ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ หวังว่ายามที่ทุกท่านประณามผู้อื่น จะไม่ยกตนสูงเกินไปนัก ไม่มองว่าตนเป็นตัวแทนความเที่ยงธรรม เป็นตัวแทนมรรคาสวรรค์”
เขาเหลือบมองไปทางทายาททวยเทพแห่งหอเทียนอิน “ต่อให้เป็นการพิพากษาที่กระทำโดยเปิดเผย ก็ใช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด”
พอเขาเอ่ยถึงตรงนี้ เซวียเจิ้งยงจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
เซวียเจิ้งยงดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับโม่หรานอย่างไร เขานิ่งคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจ เอ่ยเสียงแหบพร่า “เจ้าสำนักเจียงกล่าวถูก หลายปีมานี้ โลกบำเพ็ญเพียรปั่นป่วนไม่สงบสุข เผชิญอุปสรรคนานัปการ เกิดความวุ่นวายไม่น้อย ทุกสำนักล้วนเคยกระทำเรื่องเลอะเลือน ผู้ใดจะตัดสินความยุติธรรมได้เด็ดขาด เฮ้อ ความจริง…”
เขาถอนหายใจ พลางหลับตาลง
“ความจริงที่ว่าฆ่าคนเป็นผักปลา ก็ต้องเป็นการฆ่าคนกับมือเท่านั้นหรือ คำสั่งปรับราคาของสำนักหรูเฟิงในปีนั้น ลงดาบไม่เห็นเลือด คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปตั้งเท่าใด คนตัวเล็กๆ อย่างผู้แซ่เซวียยืนอยู่ในโลกนี้มาสี่สิบกว่าปี มิได้สร้างคุณงามความดีมากนัก ทุกสิ่งที่กระทำ มิใช่เพื่อฝึกตนเป็นเซียน ไม่ต้องการถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ เพียงหวังให้ทุกข์เข็ญในกลียุคนี้น้อยลงบ้าง”
เขาว่าพลางทอดสายตามองตรงไปเบื้องหน้า
ประมุขแห่งยอดเขาสื่อเซิง แม้สงบนิ่งเพียงใด แต่เมื่อรู้ว่าเด็กที่เลี้ยงดูมาหลายปีมิใช่หลานชายแท้ๆ ก็ยังคงตกตะลึงและงุนงง
เซวียเจิ้งยงพึมพำ “ข้าเพียงอยากให้ผู้ตกทุกข์ได้ยากลดน้อยลงบ้าง น้อยลงสักคนก็ยังดี”
ยามนี้ มู่เยียนหลีเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าสำนักเซวียใจดีมีเมตตา แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ท่านใจกว้างต่อนักโทษ ก็คือไม่เคารพผู้บริสุทธิ์ที่ตายไป ไม่เคารพคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวที่ต้องเข้ามาพัวพันด้วย หอเทียนอินกำลังน้อย ไม่มีหนทางจัดการกับความผิดของทุกคนได้ทีละคน ไม่อาจจับทุกคนมาไต่สวนลงโทษเพื่อความเป็นธรรมได้ ได้แต่เชือดไก่ให้ลิงดู…ในเมื่อหอเทียนอินของเราเข้ามาจัดการเรื่องของโม่หรานแล้ว ย่อมไม่มีทางจบเรื่องอย่างขอไปที หวังว่าเจ้าสำนักจะทราบดี”
เซวียเจิ้งยง “…”
มู่เยียนหลีเอ่ยจบ ก็หันไปมองโม่หรานอีกครั้ง
“คุณชายโม่ ตอนนี้เจ้าก็เล่าความทุกข์ทนในชีวิตตนจนจบแล้ว ความสงสารเห็นใจก็ได้มาพอสมควร มิสู้มาพูดเรื่องอื่นจะดีกว่า”
โม่หรานมองนางอย่างเฉยชา “เจ้าหออยากพูดเรื่องอะไร”
“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า คดีที่แม่นางร้านเต้าหู้ถูกข่มขืนจนตาย เจ้ามิได้ทำ” มู่เยียนหลีเอ่ย “เรื่องนี้ข้าเชื่อเจ้า แต่ยังมีการตายของอีกคนหนึ่ง เจ้าคงไม่อาจปัดพ้นตัว”
โม่หรานหลับตาลง “เจ้าหอสืบได้กระจ่างนัก”
มู่เยียนหลีเอ่ยเสียงเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าจงชี้แจงมา เดิมเจ้าสังหารโม่เนี่ยนอย่างไร…เขาต่างหากคือหลานชายที่แท้จริงของประมุขเซวีย”
นางยังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
เซวียเหมิงตะคอกอย่างเข่นเขี้ยว ในดวงตามีประกายน้ำตาและความคับแค้น “หุบปาก ไม่ต้องพูดอีกแล้ว!”
มู่เยียนหลีเหลือบมองเขา พลางเอ่ยวิจารณ์ “…เอาแต่หลบหนี บุตรรักของสวรรค์ที่เรียกขานกัน ดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไร”
สิ่งที่ตอบสนองนางคือเสียงแผดร้องของหลงเฉิง คล้ายเป็นการเตือน ดาบโค้งพุ่งเฉียดแก้มมู่เยียนหลีไปปักแน่นอยู่กับเสา เศษไม้แตกกระเด็น
มู่เยียนหลีไม่หลบ ถึงขั้นไม่กะพริบตา นัยน์ตางามคู่นั้นยังคงมองเซวียเหมิงอย่างเย็นเยียบดุจหิมะ
เซวียเหมิงกัดฟันกรอด กล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นระริกด้วยความเดือดดาล “หลานชายแท้ๆ อะไร นกเขายึดรังนกกางเขนอะไร อินหยางผกผัน [2] อะไร…พล่ามพอรึยัง”
เขาถอนหลงเฉิงกลับในฉับพลัน แผ่นอกสะท้อนขึ้นลง
เขาไม่หันไปมองโม่หราน ไม่มองผู้ใดทั้งสิ้น เขาเหมือนสัตว์ติดกับ ถูกบีบให้บ้าคลั่งจนพังพลายอยู่ตรงนั้น
“ทุกคนพูดพอรึยัง! สนุกพอรึยัง! ความสนุกครั้งนี้ ดูจนสมใจแล้วหรือไม่”
หวังฟูเหริน “หรานเอ๋อร์…”
เซวียเหมิงไม่สนใจเสียงห้ามปรามของมารดา เขาขอบตาแดงก่ำ มือถือหลงเฉิง สายตากวาดมองโดยรอบ พลางเอ่ยคล้ายเยาะหยันตนเองทั้งคล้ายเหยียดหยาม “เห็นปรมาจารย์แห่งยุคกลายเป็นปีศาจคลั่งฆ่าคน เห็นพี่น้องยอดเขาเสื่อเซิงบาดหมาง เห็นญาติกลายเป็นศัตรู…มีความสุขมากใช่หรือไม่”
เสียงแหบพร่าดุจซวินแตก หางเสียงสั่นไหวดุจขนนก
“พวกเจ้ามาเพื่อหาความยุติธรรม แสวงหาความจริงจริงๆ หรือ” เขาเงียบไป ก่อนเค้นเสียง “มิใช่มาเพื่อหาเรื่องแก้แค้นหรือ”
เจียงซีหรี่ตา “ประมุขน้อยเซวีย เจ้าเสียมารยาทเกินไปแล้ว”
เซวียเหมิงหันขวับ สายตาราวกับสายฟ้า “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเข้ามาแส่!”
“เหมิงเอ๋อร์!”
เซวียเจิ้งยงลุกขึ้นไปคว้าไหล่เซวียเหมิง แต่ทันทีที่แตะถูกเขาก็ต้องตกใจ แม้เซวียเหมิงจะคำรามอย่างกราดเกรี้ยว แต่ตัวเขากำลังสั่นเทิ้มเล็กน้อย
เจียนจะแตกสลาย
“ข้าไม่อยากฟัง” เขาเอ่ยทีละคำ ทุกคำความโกรธแค้นยิ่งลึกล้ำ “มีแต่คำหลอกลวง คำโกหก…พวกคนหลอกลวง!”
เซวียเจิ้งยงกำลังจะเกลี้ยกล่อมเขา แต่เซวียเหมิงผลักทุกคนออก หันกายออกจากตำหนักตานซินไป
ตั้งแต่ต้นจนจบเขามิได้มองโม่หราน
ความจริงผู้ใดกำลังโกหก เท็จจริงเป็นเช่นใด ในใจเขากระจ่างดี แต่เรื่องราวมากมายบนโลก ล้วนเข้าใจง่าย แต่ยากที่จะยอมรับได้
เซวียเหมิงมีชีวิตราบรื่นมาตลอดยี่สิบกว่าปี นอกจากเรื่องที่อาจารย์ตาย เขาก็ไม่เคยเผชิญเรื่องร้ายแรงใดๆ ในชีวิตมาก่อน และเพราะความราบรื่นสมดังใจทุกสิ่งนี้ ทำให้จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังเหมือนเด็กอ่อนคนหนึ่ง นี่มิใช่เรื่องดี เด็กอ่อนมีจิตใจบริสุทธ์เช่นเด็กอ่อน แต่ก็มีความบ้าบิ่น ความไม่รู้ ความวู่วาม และอารมณ์รุนแรงแบบเด็ก
เซวียเจิ้งยงมองไล่หลังเขาไปอย่างใจลอยอยู่นาน ก่อนจะนั่งลงช้าๆ
เขามิได้อยู่ในวัยหนุ่มแน่นแล้ว คนที่อายุเกือบครึ่งร้อย เมื่อมองดีๆ เห็นสีดอกเลาหลายเส้นแซมจอนผม เขาไม่รู้ว่าตนจะยังฝืนทนได้หรือไม่ จึงจำต้องนั่งลง
อย่างน้อยก็ช่วยให้สงบลงได้บ้าง
ใบหน้ามู่เยียนหลีราวกับฉาบด้วยน้ำแข็ง ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย นางยังคงเอ่ยเข้าเรื่องต่อ “โม่เวยอวี่ เรื่องนั้น เจ้าจะพูดเอง หรือจะให้ข้าเชิญพยานมาพูดอีก”
โม่หรานสงบนิ่งยิ่งนัก
เป็นความสงบเช่นนักโทษที่รอประหาร
“ไม่ต้องรบกวนคนอื่นแล้ว” โม่หรานเอ่ย “เรื่องนั้น หากพยานที่เกี่ยวข้องยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ไม่อยากพบเจอแม้แต่คนเดียว”
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
แสงตะวันซีดจางส่องต้องใบหน้าที่ค่อนข้างขาวซีดของเขา
“ข้าพูดเอง”
มู่เยียนหลียกมือ คนของหอเทียนอินยกเก้าอี้มาทันที นางค่อยๆ นั่งลง มือข้างหนึ่งเท้าคาง ท่าทางเหมือนเตรียมตั้งใจฟังเรื่องยาว “เชิญ”
โม่หรานหลับตา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากในที่สุด
“เรื่องนี้ เดิมเกี่ยวข้องกับคนที่ประกอบอาชีพหนึ่ง”
“อาชีพอะไร”
“…ทุกท่านคงรู้ว่า โลกบำเพ็ญเพียรมีอาชีพหนึ่ง เรียกว่าสายสืบ”
เจ้าหมู่บ้านหม่าอวิ๋นคุ้นเคยกับเรื่องนี้เป็นที่สุด ยกมือเอ่ย “ใช่ๆๆ หมู่บ้านเราคุ้นเคยกับคนพวกนี้ดีที่สุด พวกเขามักเตร็ดเตร่ไปทั่วตามตรอกซอกซอย สอบถามถึงเรื่องเก่าๆ บางอย่างตามบ้านช่องร้านตลาด เพื่อเอามาใช้หาผลประโยชน์”
โม่หราน “อืม ฉะนั้นตอนแรกที่ท่านลุงเริ่มสืบหาตัวบุตรกำพร้าของพี่ชายผู้ล่วงลับไปทั่ว ก็ใช้เซียนเซิงสายสืบเช่นกัน”
เซวียเจิ้งยง “…”
เรื่องนี้เซวียเจิ้งยงย่อมจำได้ เขาหาตัวโม่หรานพบจากเบาะแสที่ได้จากเซียนเซิงสายสืบคนนั้น ตอนนั้นหอจุ้ยอวี้เกิดเพลิงใหม้ ได้ยินว่ามีเด็กคนนี้คนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ เขายังจำได้ดีถึงท่าทางตื่นเต้นของเซียนเซิงสายสืบ ทั้งยังเอ่ยอย่างทอดถอนใจไม่หยุด…สวรรค์คุ้มครองแท้ๆ บุตรของพี่ชายรอดชีวิตจากเคราะห์ใหญ่ ภายหน้าจะต้องมีโชคเป็นแน่
“ตอนนั้นเซียนเซิงสายสืบได้รับมอบหมาย เขาสืบหาอยู่นาน ในที่สุดก็ได้ความคืบหน้า จึงรุดไปหาคนที่หอจุ้ยอวี้ พบสตรีแซ่โม่คนหนึ่ง”
มีคนเอ่ยด้วยความสงสัย “นั่นคือผู้ใด”
“คนรักของพี่ชายเจ้าสำนักเซวีย นางคือโม่เหนียงจื่อ เป็นบุตรีของอนุตระกูลใหญ่”
หลายคนเริ่มนึกขึ้นได้ “โม่เหนียงจื่อ? นั่นคือชื่อของมาเหนียงแห่งหอจุ้ยอวี้กระมัง”
“แต่เมื่อครู่ฟังจากเรื่องที่นางทำ เหมือนเป็นสตรีใจคอโหดเหี้ยมคนหนึ่ง”
โม่หรานเอ่ยเสียงเรียบ “นางมิได้เกิดมาชั่วร้าย มารดาข้าบอกว่า โม่เหนียงจื่อกับนางต้องพบพานเรื่องราวคล้ายคลึงกันไม่น้อย เป็นคนน่าสงสารเหมือนกัน เมื่อยังสาวเคยมีชายคนรัก เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญพเนจรยากไร้คนหนึ่ง ชายคนนั้นบอกว่าจะไปยังโลกบำเพ็ญเพียรระดับล่าง ตั้งสำนักใหญ่ชื่อก้อง โม่เหนียงจื่อจึงมอบทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของตนให้เขา ตั้งใจช่วยให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง”
เซวียเจิ้งยงพึมพำ “เป็นพี่ชายข้า…”
โม่หรานเอ่ยต่อ “ตอนที่จากลากัน ชายคนนั้นเคยสัญญากับโม่เหนียงจื่อว่า รอให้การใหญ่ของตนสำเร็จ เขาจะแต่งนางกลับบ้านอย่างมีหน้ามีตา สามหนังสือหกพิธีการไม่ขาด ทั้งยังทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งให้นาง… ‘เหนือลำน้ำเยียนปัว ในเรือหรูหรา เซียนดีดผีผาเสียงอ้อยสร้อย หลางจวิน [3] อำลานิ่งฟัง’ ต่อมาคำพูดนี้กลายเป็นสิ่งที่เซียนเซิงสายสืบใช้ยืนยันตัวนาง”
เรื่องชายหญิงประเภทนี้ดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นที่สุด
มีผู้ฝึกบำเพ็ญหญิงถาม “หรือว่าอดีตเจ้าสำนักของยอดเขาสื่อเซิงก็ทำเรื่องละทิ้งภรรยาเหมือนกับหนานกงเหยียน?”
นัยน์ตาพยัคฆ์ของเซวียเจิ้งยงเบิกกว้าง ตวาดทันที “เหลวไหล! พี่ชายข้ามิใช่คนเช่นนั้น! พี่ชายข้าเขา…เขาไม่เคยลืมแม่นางโม่…”
พอเอ่ยถึงพี่ชายผู้ล่วงลับ บุรุษผู้นี้อดเศร้าใจมิได้ ขอบตาแดงก่ำเล็กน้อย
ผู้อาวุโสเสวียนจีเองก็เอ่ย “เซียนกูท่านนี้โปรดระวังวาจา หลังจากก่อตั้งสำนักไม่นาน เจ้าสำนักคนก่อนเคราะห์ร้าย พลีชีพในการต่อสู้ครั้งใหญ่ เขามิได้จงใจผิดคำพูด ตอนที่ยังมีชีวิตก็เอ่ยถึงสตรีนางนั้นกับท่านประมุขอยู่บ่อยๆ มักบอกว่ารอให้สำนักมั่นคงขึ้นอีกนิด จะไปรับตัวนางทันที เขาไม่เหมือนกับหนานกงเหยียนเลย”
“เป็นเช่นนี้จริง” โม่หรานเอ่ยเสียงเบา “นางยังโชคดีกว่ามารดาข้ามาก สามีของนางจากโลกไปแล้ว กลับยังมีคนไม่ลืมที่จะรับนางกลับไป ขณะที่หนานกงเหยียนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ กลับไม่เคยกล้ายอมรับข้ากับมารดา”
“ฮ่า! เช่นนั้นข้ารู้แล้ว! ที่แท้เจ้าก็เกิดความริษยาเพราะเหตุนี้ จึงทำเรื่องชะมดสับเปลี่ยนองค์ชาย สังหารโม่เหนียงจื่อ เผาหอจุ้ยอวี้ แอบอ้างสวมรอย!”
ได้ยินการคาดเดาชั่วร้ายเช่นนี้ โม่หรานเหลือบมองผู้ฝึกบำเพ็ญ “แสนรู้ดี” ผู้นี้แวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ย “ข้าไม่เคยคิดแอบอ้างสวมรอย”
ผู้ฝึกบำเพ็ญผู้นั้นไม่เชื่อ แค่นหัวเราะเย็นชา “เช่นนั้นเรื่องเป็นอย่างไรเล่า หรือว่ามีคนบีบให้เจ้าเป็นคุณชายของยอดเขาสื่อเซิง”
เรื่องเป็นอย่างไรน่ะหรือ
โม่หรานเองก็อดคิดมิได้ว่า…โลกนี้มีเรื่องราวมากมาย ที่แรกเริ่มเดิมทีล้วนมิใช่เช่นนี้ แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เพียงผีเสื้อขยับปีก พลันลมก่อเมฆโถม ท้องทะเลแปรเปลี่ยนเป็นทุ่งหม่อน [4]
เหมือนเช่นแรกเริ่มเดิมที เขามิได้คิดจะสวมรอยเป็นหลานชายของเซวียเจิ้งยง โม่เหนียงจื่อแต่ก่อนก็มิใช่มาเหนียงโรงดนตรีที่โหดเหี้ยมใจร้าย
นางเองก็เคยมีวันคืนอันอ่อนเยาว์ที่อ่อนโยนและใจดี เคยยืนอยู่ข้างหน้าต่าง คอยท่าสามีให้กลับมาในเร็ววัน เคยเขียนจดหมายบอกชายคนรักที่อยู่ห่างไกลด้วยความดีอกดีใจเมื่อรู้ว่าตนตั้งครรภ์ ทั้งเคยได้รับจดหมายจากเขา ความตื่นเต้นของชายที่กำลังจะได้เป็นพ่อคนพรั่งพรูเต็มหน้ากระดาษ
วันเวลาอันดีงามเหล่านั้น นางเองก็เคยมี
เป็นบุตรีอนุแล้วอย่างไร ผู้คนเยาะหยันว่าชายคนรักของนางเป็นคนต่ำต้อยไร้ชื่อเสียงแล้วอย่างไร หัวเราะเยาะที่นางตั้งครรภ์ก่อนแต่งแล้วอย่างไร สักวันหนึ่ง เขาจะทำตามคำสัญญา รับนางกับบุตรเข้าประตูอย่างสง่าผ่าเผย นางเชื่อมั่นเช่นนี้
ทว่าต่อมา เวลาผ่านไปทีละวัน…ทีละวัน จนแล้วจนรอด จากจดหมายสามวันหนึ่งฉบับ กลายเป็นเจ็ดวันหนึ่งฉบับ จากเจ็ดวันหนึ่งฉบับ เป็นเดือนละฉบับ สุดท้ายไร้ข่าวคราว
สุดท้ายโม่เหนียงจื่อสูญสิ้นความหวัง กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ความสัมพันธ์นี้เดิมเป็นเรื่องที่ปิดบังบิดามารดา ทว่าหลังจากให้กำเนิดบุตร นางลังเลอยู่นาน ในที่สุดจึงอุ้มทารกกลับบ้าน ผลคือบิดาโกรธจัด ภรรยาเอกก็ด่าทอเหยียดหยามนางสารพัด โม่เหนียงจื่อจึงจากไปด้วยความเจ็บแค้น ชีวิตผกผันหลายครั้งหลายคราว จากธิดาสกุลใหญ่ กลายเป็นมาเหนียงแห่งหอจุ้ยอวี้ในที่สุด
ชีวิตคนมีขึ้นมีลงเช่นนี้ โชคชะตาดั่งเตาหลอม เจ้าเข้าไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อออกมาอีกครั้ง ก็อาจเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้ว
โม่หรานเป็นเช่นนี้ โม่เหนียงจื่อในตอนนั้นก็เป็นเช่นนี้
ตอนที่เซียนเซิงสายสืบหานางพบ เวลาก็ล่วงเลยจากคืนวันในหอห้องอันไร้เดียงสาของนางไปสิบสี่ปีแล้ว…
เซียนเซิงที่รับการจ้างวานของเซวียเจิ้งยงค่อยๆ นั่งลง กางพัดจีบ พลางยิ้มเอ่ยว่า “มาเหนียงของพวกเจ้าเล่า ตามนางออกมาที”
มาเหนียงมาแล้ว นางสวมเสื้ออ๋าวลายดอกท้อ แถบแพรไหมสีเหลืองลูกห่านคล้องแขน มือถือมอระกู่ เดินบิดสะโพก เลิกม่านมุกเสียงดังติงตัง ยิ้มพลางเอ่ยเสียงหวาน “อา คุณชายท่านนี้ มาฟังดนตรีแต่เช้าตรู่เชียว ท่านชอบผีผาหรือว่าพิณเจ้าคะ นางขับลำของเราที่นี่เชี่ยวชาญทั้งดีดสีตีเป่า วันนี้เพิ่งเปิดประตูร้าน บ่าวจะลดท่านให้สักหน่อย”
นี่แหละคือชีวิต ยามชายคนรักจรจากเมื่อสิบสี่ปีก่อน นางพิงอยู่ข้างม่านมุก ใบหน้างามสะคราญมองเขาจากไปไกลด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
สิบสี่ปีให้หลัง น้องชายของชายคนรักหานางพบในที่สุด ม่านมุกแห่งกาลเวลาขวางกั้นชีวิตเคว้งคว้าง เมื่อเลิกขึ้นมาอีกครั้ง นางได้ปัดสีสันอันสดใสออกไป ผ่านความผกผันมากมายในชีวิต สตรีที่เคยเอียงอายเหมือนกวางน้อยคนนั้นตายไปนานแล้ว ที่นั่งสั่งลมเรียกฝนอยู่ในหอจุ้ยอวี้เวลานี้ คือสตรีวัยกลางคนที่ชม้อยชม้ายชายตา พลางสูบมอระกู่
เซียนเซิงสายสืบมิได้สะท้อนใจอะไรมากนัก ในสายตาเขามีแต่เงิน เขาโบกพัด ยิ้มเอ่ยว่า “มิได้มาฟังดนตรี ข้ามาที่นี่ เพราะอยากถามหาคนผู้หนึ่งจากมาเหนียง”
รอยยิ้มของมาเหนียงแข็งค้าง น้ำเสียงเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “ถามหาคน? ถามหาใคร”
เซียนเซิงผู้นั้นเอ่ยเสียงเนิบ “เหนือลำน้ำเยียนปัว ในเรือหรูหรา เซียนดีดผีผาเสียงอ้อยสร้อย หลางจวินอำลานิ่งฟัง”
มาเหนียงฟังเพียงครึ่งเดียว หน้าก็เปลี่ยนสี กระทั่งเขาเอ่ยจบ นางก็หน้าซีด ริมฝีปากสั่นระริก คิ้วที่เขียนจนเรียวเล็กจนดูเหมือนคนใจคอคับแคบพลันกระตุก นางถือผ้าเช็ดหน้าทาบอกอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงสั่น
“ท่าน…ท่านเป็น…เป็นใครกันแน่!”
เซียนเซิงสายสืบยิ้ม “หากข้าเข้าใจไม่ผิด ก็นับว่าหาคนให้เซวียเซียนจ่างพบแล้ว โม่เหนียงจื่อ หลายปีมานี้ ท่านสบายดีหรือไม่”
โม่เหนียงจื่อมิอาจประคองกาย ซวนเซเล็กน้อย ทรุดลงนั่งบนม้านั่งกลมไม้ถงมู่ สูดหายใจหลายเฮือก สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว สักพักก็โบกมือไล่ทุกคนออกไป เหลือเพียงเซียนเซิงสายสืบ นางจ้องเขาเขม็ง ความตื่นเต้นยินดี ความโศกเศร้า…ทุกความรู้สึกในแววตาเคล้าระคนกัน
เซียนเซิงสายสืบสีหน้าเรียบเฉย ยกป้านชารินชาที่ไม่ร้อนไม่เย็นให้นางถ้วยหนึ่ง “ดื่มชาก่อน”
โม่เหนียงจื่อยกถ้วยชาด้วยมือสั่นเทา จิบอึกหนึ่ง ตามด้วยอีกอึกหนึ่ง กระทั่งชาหมดถ้วยแล้ว ก็ยังคงยกจิบอยู่เช่นนั้นอีกหลายที ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“เซวีย…เซวียหลางให้ท่านมาหาข้า?”
เซียนเซิงสายสืบถอนหายใจ “ขอตอบตามตรง เซวียเซียนจวินที่มาเหนียงคิดถึง สิ้นบุญไปนานแล้ว”
“อะไรนะ!”
“น้องชายเขาวานให้ข้าช่วยสืบหานางในดวงใจผู้นั้นของพี่ชาย เดิมพวกเขาสองพี่น้องก่อตั้งสำนักในโลกบำเพ็ญเพียรระดับล่าง ชีวิตเจริญก้าวหน้า ไม่ใช่คนพเนจรไร้ที่พึ่งอีกต่อไป แต่เซวียเซียนจวินผู้นั้นยุ่งอยู่กับการตั้งสำนักจนไม่อาจปลีกตัว ต่อมาระหว่างปราบมาร เกิดเหตุสุดวิสัย เคราะห์ร้ายจึงได้…”
โม่เหนียงจื่อยังฟังไม่จบ ก็ปิดหน้าร้องไห้ทันที
เซียนเซิงสายสืบปลอบนางอยู่นาน นางจึงฝืนหยุดสะอื้น เซียนเซิงผู้นั้นเอ่ยต่อ “ก่อนเซวียเซียนจวินจากไป เคยเอ่ยถึงมาเหนียงให้น้องชายเขาฟังบ่อยๆ หลายปีมานี้น้องชายเขาพยายามสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวท่านมาตลอด หวังว่าจะหาท่านพบ แล้วรับท่านกลับไป”
โม่เหนียงจื่อพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ พลันคว้ามือเซียนเซิงสายสืบไว้ “ท่านพูดอีกครั้ง…พูดประโยคนั้นอีกครั้ง! ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อว่าคนที่ตายคือเขา…”
นั่นเป็นถ้อยคำสำคัญที่สุดของการจ้างวานครั้งนี้ เขาย่อมท่องจำได้อย่างลื่นไหล ทวนซ้ำอีกรอบทันที “เหนือลำน้ำเยียนปัว ในเรือหรูหรา เซียนดีดผีผาเสียงอ้อยสร้อย หลางจวินอำลานิ่งฟัง”
โม่เหนียงจื่อร้อง “อ๊ะ” เบาๆ น้ำตาคลออีกครั้งทันใด “หลาย…หลายปีนี้ที่เขาไม่เคยมาหาข้า เป็นเพราะ…ข้ากลับคิดว่า…ซ้ำยังแค้นเขา…”
เซียนเซิงสายสืบถอนหายใจ “เรื่องผ่านมานานหลายปีแล้ว มาเหนียงหักห้ามใจเสียเถอะ จริงสิ มาเหนียงยังมีบุตรชายคนหนึ่งใช่หรือไม่”
“ใช่..ใช่ ใช่ๆ!” โม่เหนียงจื่อสะอื้น ร้องไห้พลางซับน้ำตา จากนั้นตะโกนไปยังห้องอุ่นชั้นบน “อาเนี่ยน อาเนี่ยน…โม่เนี่ยน! เร็วเข้า รีบลงมา!”
ประตูห้องอุ่นเปิดออก ผู้ที่ออกมากลับมิใช่โม่เนี่ยน แต่เป็นเด็กน้อยร่างกายผอมแห้งอ่อนแอคนหนึ่ง
เด็กคนนั้นถือเสื้อผ้าที่ผลัดออกไปซักเต็มหอบ ใบหน้าเล็กซูบโผล่ออกมาหลังกองเสื้อผ้า บนแก้มยังมีรอยฟกช้ำและบาดแผลอยู่ ท่าทางดูขลาดกลัว
เซียนเซิงสายสืบลังเล “นี่คือ…บุตรชายท่านหรือ”
“อ๊ะ มิใช่ๆ” โม่เหนียงจื่อซับน้ำตา “นี่เป็นเด็กรับใช้ในครัวของหอเรา”
เซียนเซิงโล่งอกทันที ยิ้มพลางเอ่ยอย่างคลายใจ “อ้อ เช่นนี้นี่เอง”
โม่เหนียงจื่อหันไปถามเด็กคนนั้น “โม่หราน คุณชายอยู่ที่ใด”
…
[1] ชื่อ “ฉงหมิง” สื่อถึงความกระจ่างใส แจ่มแจ้ง เฉลียวฉลาด
[2] หมายถึง กลับผิดเป็นถูก กลับถูกเป็นผิด
[3] เป็นคำที่ภรรยาใช้เรียกสามีในเชิงเคารพยกย่อง
[4] หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง