แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 90
เนื่องจากหานฉีมีเลือดออกในช่องท้องมากเกินไป และเพิ่งมาถูกพบหลังจากเวลาล่วงเลยไปนานแล้ว หลังส่งตัวไปโรงพยาบาลและการกู้ชีพไม่เป็นผล เธอจึงเสียชีวิต
ข่าวการเสียชีวิตของเธอทำให้วงการบันเทิงสั่นสะเทือนทันที ความสงสัย คำติฉินนินทา ความอาลัย ความขัดแย้งต่าง ๆ กระจายราวกับไฟลามทุ่ง ข่าวลือที่ว่าดาราหญิงมีชื่อแท้งลูกและเสียชีวิตในโรงแรมอะไรทำนองนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็เป็นที่กล่าวถึงไปทั่วบ้านทั่วเมือง ส่วนคนรักที่ตกเป็นข่าวกับเธอ รวมถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเธอ นำมาซึ่งการคาดเดามากมายจากสังคมภายนอกที่จินตนาการกันสุดโต่ง บางคนถึงขนาดคาดการณ์ว่าเธอเป็นชู้รักของบุคคลผู้มีอำนาจ และรู้เรื่องราวมากเกินไป จึงนำไปสู่การฆ่าปิดปาก
ผู้จัดการคนปัจจุบันของหล่อนแถลงข่าวว่าหานฉีเสียชีวิตที่โรงแรมจากอาการป่วยกำเริบ แฟนคลับของหานฉีทยอยลุกขึ้นมาปกป้องชื่อเสียงของหล่อน แต่ยังไงก็มีพนักงานของโรงแรมอยู่ในที่เกิดเหตุตอนเกิดเรื่องด้วย รายละเอียดปลีกย่อยที่ผ่านหูผ่านตามาบางส่วนจึงถูกเล่าลือไป เพิ่มประเด็นให้พูดคุยกันอีกมากสำหรับข่าวใหญ่นี้
บางคนถึงขนาดโยงเหตุการณ์นี้เข้ากับฮุ่ยอี๋กวง บอกว่าเธอเป็นตัวซวย ไปที่ไหนก็เกิดเรื่อง แน่นอนว่าส่วนใหญ่คำวิจารณ์ทำนองนี้มาจากแฟนคลับตัวยงของหานฉีส่วนหนึ่ง พวกเขาไม่เชื่อว่าการตายของไอดอลตนจะเกิดจากอาการป่วยเฉียบพลัน
เนื่องจากการเสียชีวิตของหานฉี ความคืบหน้าของละครที่กำลังถ่ายทำจึงต้องหยุดชะงักลง ก่อนหน้านั้นทางกองถ่ายเกิดปัญหาคนในกองได้รับบาดเจ็บมาหลายกรณีแล้ว บวกกับการเสียชีวิตของหานฉี คนจึงยิ่งแตกตื่นเข้าไปใหญ่ ทุกคนในกองถ่ายไม่พูด แต่บางทีอาจนึกยินดีในใจที่การถ่ายทำสิ้นสุดลง คนเดียวที่ดีใจไม่ออกคงเป็นนักลงทุนที่ลงทุนเงินก้อนโตไปแบบสูญเปล่า ไม่รู้ปีไหนถึงจะได้กลับคืน
อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่เจ้าไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้มากนัก เขามีทั้งอิทธิพลและเงินทอง ไม่เห็นการลงทุนครั้งนี้อยู่ในสายตาเท่าไหร่นัก รอบนี้เอาชีวิตรอดกลับมาได้ ทั้งยังได้รู้จักผู้มีความสามารถอย่างตงจื้อกับหลิวชิงปัว กลับกันเขาคิดว่าการค้างวดนี้ไม่ขาดทุน ตอนนี้ติดต่อพวกตงจื้อผ่านฮุ่ยอี๋กวงทุกวัน ทั้งแวะไปเยี่ยมเยียนถึงที่ ทั้งให้ค่าตอบแทนอย่างสูงเพื่อแสดงความขอบคุณ แต่ถูกตงจื้อปฏิเสธทั้งหมด ที่รับเงินของฮุ่ยอี๋กวงไว้เพราะเป็นค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ไม่ติดค้างกันทั้งเงินและบริการ นอกจากนี้ฮุ่ยอี๋กวงกับพวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันในอดีต พูดยังไงก็มีเหตุผล
แต่เถ้าแก่เจ้าต่างออกไป เขาเป็นนักธุรกิจร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ารับเงินครั้งนี้มา ครั้งต่อไปเขาอาจได้คืบจะเอาศอก มีข้อเรียกร้องอย่างอื่นอีกแน่ ถึงตอนนั้นจะวุ่นวายเอาง่าย ๆ การกำจัดภูตผีปีศาจเป็นหน้าที่ของกรมจัดการคดีพิเศษอยู่แล้ว ตงจื้อไม่อยากนำความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นเข้ามาเพราะความโลภชั่วครู่ชั่วยาม จึงปฏิเสธคำขอบคุณและของขวัญทั้งหมดของเถ้าแก่เจ้าอย่างหนักแน่น อีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเลยได้แต่จากไปพร้อมความอับอาย
สำหรับพวกตงจื้อ การเสียชีวิตของหานฉีไม่ใช่หัวข้อสนทนาหลังเวลาอาหาร แต่เป็นปริศนาข้อหนึ่งที่ยังแก้ไม่ตก
พวกเขาร่วมมือกับทางตำรวจสืบเรื่องราวผ่านตัวหานฉี ไม่นานก็สืบไปถึงตัวหงรุ่ยคนรักของหล่อน รวมถึงต่งเฉี่ยวหลานผู้จัดการคนก่อนของหล่อนด้วย แต่ที่น่าแปลกคือ ทั้งคู่นั่งเครื่องบินมุ่งหน้าไปกรุงเทพฯ ประเทศไทย สองสามวันก่อนเกิดคดี หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีบันทึกการกลับประเทศ ทางฝั่งประเทศไทยตรวจสอบก็ไม่พบข้อมูลใด ๆ ของพวกเขา เหมือนสองคนนี้อันตรธานไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้
ส่วนจงห้วน รักแรกของหานฉี หลังจากทั้งคู่เลิกรากันก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก จึงไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมจากปากเขา
หลังสอบปากคำผู้ช่วยกับผู้จัดการคนปัจจุบันของหานฉี พวกตงจื้อพบว่าประเด็นสำคัญของเรื่องยังอยู่ที่อาจารย์ที่หานฉีเอ่ยถึง แต่อาจารย์ท่านนั้นคือคนที่ต่งเฉี่ยวหลานแนะนำให้ ตอนที่หล่อนพาหานฉีไปที่นั่น หานฉีไม่ได้พาผู้ช่วยไปด้วยซ้ำ ตอนนี้ต่งเฉี่ยวหลานดันมาหายตัวไปอีก จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อาจตามหาตัวอาจารย์ที่เธอพูดถึงได้
จากข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด พวกตงจื้อทำได้เพียงสรุปออกมาคร่าว ๆ ว่าอาจารย์ท่านนั้นอาจเป็นนักไสยศาสตร์ เขาต้องการใช้ลูกของหานฉีเป็นเครื่องมือผ่านทางต่งเฉี่ยวหลาน และหานฉีก็ถูกนักไสยศาสตร์กับต่งเฉี่ยวหลานหลอกใช้เพราะต้องการแสวงหาชื่อเสียงลาภยศ ปล่อยให้พวกเขากระทำตามใจชอบ ใครจะรู้ว่าไอปีศาจเสี้ยวหนึ่งที่นักไสยศาสตร์ถ่ายทอดไว้ในร่างหล่อนจะเติบโตขึ้นทุกวันเพราะได้รับการบำรุงไปพร้อมกับครรภ์ปีศาจ ไอปีศาจแว้งกัดร่างแม่ ถึงขนาดก่อให้เกิดการต้านกลับของครรภ์ก่อน และนำไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด
เมื่อเห็นเพื่อนกลอกตา ตงจื้อก็ยิ้มหวานพลางทวงเครดิต “พิมพ์รายงานในบ้านเก่านั่นกับพิมพ์รายงานที่นี่ ยังไงก็ต่างกันมากจริงไหม”
“ฉันคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเลย!”
พิมพ์ไปพิมพ์มา ยิ่งคิดหลิวชิงปัวก็ยิ่งมีอารมณ์ เขาอดหยุดมือไม่ได้ ก่อนพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ผู้หญิงอย่างหานฉีน่ะ ถือว่าเป็นคนที่อยากมีชื่อเสียงก็มีชื่อเสียง อยากได้ผลประโยชน์ก็ได้ผลประโยชน์อยู่แล้ว ทำไมถึงยังคิดไม่ตก ต้องดึงดันไปใช้เล่ห์กลไร้สาระพวกนั้น เอาวิญญาณลูกชายที่ตายตั้งแต่เล็กของตัวเองไปกักขังไว้ในแผ่นหยกด้วย นั่นมันเรื่องที่มนุษย์เขาทำกันเหรอ!”
ถ้าเป็นตอนที่เพิ่งเข้าทำงานใหม่ ๆ ตงจื้อคงอัดอั้นตันใจกับเรื่องทำนองนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้เขารู้จักหันไปปลอบหลิวชิงปัวแทนแล้ว “ความปรารถนาของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด ตอนเป็นอัครมหาเสนาบดีขุนนางขั้นหนึ่งแห่งราชสำนัก ก็ต้องการเป็นจักรพรรดิประทับบัลลังก์หันสู่ทิศใต้ พอได้เป็นจักรพรรดิปกครองแผ่นดินแล้วก็อยากให้อายุขัยยืนยงเสมอฟ้าอีก ถ้าชีวิตตรากตรำข้นแค้นสิ้นหวังก็แล้วไป แต่หานฉีอยู่ในวงการบันเทิง ความหรูหราฟุ้งเฟ้อที่เธอได้พบเจอเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะวาดฝัน สิ่งล่อตาล่อใจมีมากกว่าคนธรรมดา บางคนควบคุมได้ แต่ก็มีคนที่ควบคุมไม่ได้ด้วย”
หลิวชิงปัวแค่นหัวเราะ “สงสารก็แต่ลูกเธอคนนั้น ถูกทอดทิ้งไม่พอ ยังถูกกักขังวิญญาณเหมือนเป็นครรภ์ปีศาจอีก แต่ก็ยังนึกถึงแม่ อยากช่วยเธอขับไล่ไอปีศาจออกไป สุดท้ายตัวเองต้องมาสละชีพ วิญญาณแตกสลาย นิสัยอย่างหานฉี ต่อให้รู้เรื่องนี้คงคิดแค่ว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่นึกเสียใจเลยสักนิดแน่ ๆ!”
ตงจื้อยักไหล่ “เพราะฉะนั้นความยุติธรรมของสวรรค์ถึงเป็นที่ชัดแจ้งไง กรรมก็ตามสนองเธอแล้วไม่ใช่เหรอ นายเห็นเธอแสวงหาโชคลาภชื่อเสียงมาโดยตลอด แต่ต้องมาตายอย่างน่าอัปยศอดสูขนาดนี้ ชื่อเสียงหลังตายจะดีสักแค่ไหนกันเชียว ความหมายของการมีอยู่ของกรมจัดการคดีพิเศษก็อยู่ที่ตรงนี้นี่แหละ เรื่องที่สวรรค์ดูแลไม่ได้ เราช่วยดูแล เรื่องยุ่งยากที่สวรรค์ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ก็ยังมีพวกเราอยู่”
หลิวชิงปัวเหล่มองอีกฝ่ายพลางแค่นยิ้ม “ฝีปากนายชักจะคล่องขึ้นทุกวันแล้วนะ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่นายจะมาขี้เกียจ!”
ตงจื้ออ้าปากหาว เพิ่งลุกขึ้นนั่งได้ไม่ทันไรก็หดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มต่อ
ไม่รู้เป็นเพราะล่วงเข้าฤดูหนาวหรืออย่างไร ช่วงนี้เขารู้สึกง่วงง่ายกว่าเดิมขึ้นทุกวัน ถึงฝึกกังฟูถู่น่ากับปราณปู้เทียนกังไปไม่น้อย แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ากำลังวังชาตามไม่ค่อยทันอยู่ดี นึกสงสัยในใจว่าเป็นเพราะช่วงนี้เขาให้เลือดกระบี่เพื่อเข้าไปในนิมิตอยู่บ่อยครั้งหรือเปล่า ว่าแล้วก็ขวัญหายจนช่วงนี้ไม่กล้ารนหาที่ตายอีก
ค่าตอบแทนที่ได้รับจากฮุ่ยอี๋กวง เขารายงานไปตามจริง และยื่นเรื่องเพื่อใช้สำหรับการก่อสร้างสำนักงานใหม่ ไม่นานก็ได้รับการอนุมัติ รวมกับงบประมาณที่สำนักงานสาขาจัดสรรมาให้ ยอดรวมไม่ถือว่ามาก แต่ก็เพียงพอแล้ว แม้จางชงจะชอบคุยโวโอ้อวด แต่ความสามารถนั้นเรียกได้ว่าอยู่ถูกที่ถูกทางเมื่อนำมาใช้กับการค้าขาย ไม่นานเขาก็หาบ้านหลังเล็ก ๆ ซึ่งเป็นตึกสองชั้นสำหรับที่ทำการได้ ทำเลไม่เลวเลย ไม่ไกลออกไปเป็นโรงเรียน ตั้งอยู่อย่างสงบท่ามกลางสภาพแวดล้อมคึกคัก ชั้นล่างขายชานมกับขนมหวาน ชั้นบนเป็นที่ทำการ ถือโอกาสเหลือห้องให้จางชงห้องหนึ่งไปด้วยเลย เขาจึงไม่ต้องไปหาบ้านเช่าแยกต่างหาก แถมยังดูแลการปรับปรุงร้านได้ด้วย แฮปปี้กันถ้วนหน้า
เดิมชั้นบนเป็นสำนักงานของบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เฟอร์นิเจอร์เป็นแบบสำเร็จรูปทั้งหมด การตกแต่งยังคงใหม่อยู่แปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดถูกโอนมาให้พวกเขา ไม่ต้องให้พวกตงจื้อสิ้นเปลืองกำลังอะไรอีก นอกจากนี้เจ้าของคนก่อนคงเป็นคนสดชื่นอารมณ์ดี เลยใช้ต้นไม้ใบเขียวกับเซรามิกจำนวนมากสำหรับตกแต่ง การผสมผสานระหว่างโซฟาปรับเอนกับโต๊ะทำงานไม่ได้ขัดตาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันมีความเรียบง่ายและสะดวกสบาย ให้อารมณ์อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
หลังเหยียนนั่วสูญเสียวิญญาณครั้งล่าสุด ความสามารถในการจดจำก็ถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายฟื้นตัวช้า เขายื่นเรื่องขอลาหยุดเพื่อพักฟื้นกับเบื้องบนและได้รับการอนุมัติ กลับไปยังสำนักอาจารย์ก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเหลือตงจื้อ มู่ตั่ว หลิวชิงปัวกับจางชงสี่คน สำหรับที่ทำการหนึ่งแห่ง จำนวนคนเท่านี้ไม่ถือว่าน้อย มีหลิวชิงปัวกับตงจื้ออยู่ด้วย ประสิทธิภาพการต่อสู้โดยรวมจึงยกระดับขึ้นมาก
จากเด็กใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ตงจื้อก็กระโดดมาเป็นหัวหน้าของคนทั้งสามโดยไม่รู้ตัว ที่ทำการลู่เฉิงได้ลอกคราบผลัดกระดูก กำลังจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ภายใต้การนำของเขา
ด้วยความจำเป็นที่ต้องปิดบังสายตาผู้คนและต้องรับผิดชอบผลกำไรขาดทุนเอง ร้านชานมใต้ตึกเลยจำเป็นต้องมีอยู่ ถึงยังไงงบประมาณสำหรับค่าดำเนินการก็ไม่เยอะ เมื่อมีรายรับ บางครั้งก็ยังมีสวัสดิการเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่ทุกคนได้ ซ้ำยังถือโอกาสติดต่อกับโลกภายนอก สืบหาข่าวคราวได้อีก
เรื่องการตกแต่งปรับปรุงมีมู่ตั่วกับจางชงอยู่ ไม่จำเป็นที่ตงจื้อต้องเปลืองสมองอะไร หลัก ๆ แล้วเขากับหลิวชิงปัวยังคงติดตามความคืบหน้าของคดีหานฉีอยู่ ตงจื้อพยายามนำคดีฆ่าหั่นศพยกครัวที่ยามาโมโตะ คิโยชิ เป็นผู้กระทำ การตายของเพียงพอนเหล่าลิ่ว และเรื่องของหานฉีมาโยงเข้าด้วยกัน แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสใด ๆ ที่แสดงถึงความเกี่ยวโยงกันระหว่างเรื่องพวกนี้
หนึ่งวันที่หาตัวหงรุ่ยกับต่งเฉี่ยวหลานไม่พบ คดีก็ไม่มีความคืบหน้า
ตงจื้อใช้ผ้าห่มผืนบางห่อตัวมิดชิด โผล่ออกมาแค่ศีรษะ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาขี้เกียจแม้แต่จะยื่นมือไปหยิบ จึงบอกหลิวชิงปัว “เหล่าหลิว รบกวนหน่อย”
หลิวชิงปัวด่า “ทำไมไม่ขี้เกียจตายไปเสียเลย!”
ด่าก็ส่วนด่า แต่ก็ยังช่วยเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับอยู่ดี
“ซูเฮ่อ ใคร?”
ตงจื้อถอนหายใจ “เพื่อนร่วมงานจากสำนักงานสาขา เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน”
เขารับโทรศัพท์มา คุยกับอีกฝ่ายไม่กี่ประโยคก็วางสาย ก่อนบอกหลิวชิงปัว “เบื้องบนให้เรารีบไปที่เซี่ยงไฮ้ เห็นว่าหลังพวกเราออกจากสำนักงานใหญ่มายังไม่เคยไปสำนักงานสาขามาก่อน ช่วงนี้เกิดเรื่องที่ลู่เฉิงหลายเรื่อง เลยจะให้ไปรายงานด้วยตัวเอง”
หลิวชิงปัวงงงัน “สมัยนี้มีคอมพิวเตอร์มีอินเทอร์เน็ต ใครเขายังเดินทางไปรายงานด้วยตัวเองกันอีก คงไม่ใช่ว่านายไปล่วงเกินผู้บังคับบัญชาที่ไหนนะ”
ตงจื้อเอามือลูบคาง พลางครุ่นคิด “ไม่น่านะ ฉันเคยเจอผู้อำนวยการสำนักงานสาขามาก่อน ถือว่าร่วมงานกันมาหนหนึ่งแล้ว ฉันเดาว่าเขาคงมีธุระอะไรอยากฝากฝังพวกเรามากกว่ามั้ง”
หลิวชิงปัว “หมายความว่ายังไงที่ว่าพวกเรา”
ตงจื้อบอกซื่อ ๆ “ก็นายกับฉันไง”
หลิวชิงปัว “…ฉันไม่ไป”
ตงจื้อชี้แนะอย่างจริงใจ “เรื่องของหานฉีเป็นเรื่องใหญ่มาก ยังไงเธอก็เป็นบุคคลสาธารณะ ถึงแม้สาเหตุการตายที่ประกาศต่อสาธารณชนจะไม่ใช่การฆาตกรรม แต่ตอนนั้นมีคนในที่เกิดเหตุอยู่ไม่ใช่น้อย ๆ ยังไงก็ต้องมีข่าวลือซุบซิบกระจายออกไปอยู่แล้ว เบื้องบนจะสอบถามก็เป็นเรื่องปกติ นายมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ต้องไปรายงานกับฉันเป็นธรรมดา อีกอย่างนะ โผล่หัวไปให้ผู้บังคับบัญชาเห็นหน้าค่าตา เรื่องที่หลายคนอยากทำแต่ไม่มีโอกาส นายไม่กลัวว่าฉันจะฮุบเอาความดีความชอบไว้คนเดียวหรือไง”
หลิวชิงปัวกลอกตา “ขนาดจะหยิบโทรศัพท์นายยังขี้เกียจเลย เรื่องที่ต้องเปลืองแรงอย่างขโมยผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเองพวกนี้ นายจะทำเหรอ”
“ที่พูดมาก็ถูก” ตงจื้อยิ้มแป้น ก่อนหลับตาลง “ฉันงีบอีกหน่อย ถึงเวลากินข้าวนายค่อยเรียกฉันนะ ตอนบ่ายฉันจะบอกมู่ตั่ว แล้วตอนค่ำค่อยออกเดินทางไปเซี่ยงไฮ้เลย…”
ตอนท้าย น้ำเสียงผู้พูดเกือบใกล้เคียงกับการพึมพำ ถ้าไม่ขยับเข้าไปใกล้ ๆ คงไม่มีทางได้ยิน
หลิวชิงปัว “…เมื่อคืนนายแอบไปลักเล็กขโมยน้อยมาละสิ”
อีกฝ่ายไม่สนใจเขา พลิกตัวหนึ่งที โผล่ออกมาแค่หัวฟู ๆ
หลิวชิงปัวขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินเข้าไปวางมือบนหน้าผากอีกฝ่าย ตงจื้อหายใจสม่ำเสมอ เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
อุณหภูมิที่ฝ่ามือเป็นปกติ ไม่มีไข้ ชีพจรก็ปกติดี ไม่เห็นแววว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย
สรุปคือไปเป็นโจรมาทั้งคืนจริง ๆ สินะ!
ปักกิ่ง
สำหรับหลงเซิน วันนี้ยังคงเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง
เวลาที่ไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอก ชีวิตในสำนักงานใหญ่ของเขาเป็นแบบแผนมาก สามจุดในแนวเส้นตรง หอพัก ห้องทำงาน ห้องประชุม บางครั้งก็ไปฝึกซ้อมที่ชั้นดาดฟ้า
แบบแผนดังกล่าวถูกทำลายลงในช่วงที่รับลูกศิษย์ อยู่ดีไม่ว่าดีตงจื้อก็มักลากตัวเขาออกไปข้างนอก หาโอกาสไปกินข้าวที่ร้านอาหารเสมอ หลงเซินไม่มีความอยากอาหาร ถ้าไม่ใช่ที่ที่จำเป็นต้องไป ปกติแล้วเขาไม่ได้นึกถึงเรื่องกินข้าวเลย
แต่เพราะคำแนะนำที่ไม่รู้จักเหนื่อยของตงจื้อ เขาถึงได้รู้ว่าร้านอาหารหูหนานที่อร่อยสุดในละแวกนี้คือร้านไหน และรู้ด้วยว่าร้านอาหารกวางตุ้งในศูนย์การค้าที่อยู่ข้างสำนักงานใหญ่ เมนูต้นตำรับจริง ๆ ของที่นั่นไม่ใช่ไก่อบต้นหอม แต่เป็นสันในหมูเปรี้ยวหวาน
ความทรงจำเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน ต่อให้ไม่ตั้งใจนึกถึงมัน แต่เวลาที่ได้เห็นกลับจำได้เองโดยไม่รู้ตัว
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้เดี๋ยวนี้เองว่า ตงจื้อไปลู่เฉิงเกือบสองเดือนแล้ว
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาว ปักกิ่งเริ่มมีหิมะตกหนักในหลาย ๆ ที่แล้ว เสื้อคลุมกันลมสีดำบาง ๆ บนตัวหลงเซินซึ่งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนถนน เรียกให้คนหันมามองจำนวนมาก แต่เขาไม่ได้สนใจ ยังคงเดินอ้อมไปด้านหลังตึกใหญ่ พยักหน้าทักทายคุณลุงที่เฝ้าประตู จากนั้นก็เดินเข้าไปตามปกติ
ระหว่างทางบังเอิญพบอู๋ปิ่งเทียนกับซ่งจื้อฉุน ทั้งคู่กล่าวแสดงความยินดีกับเขา ต่อให้ที่ผ่านมาหลงเซินจะมีความสุขุมนุ่มลึก ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้
“ยินดีอะไร”
ซ่งจื้อฉุนพูดยิ้ม ๆ “อะไรกัน คุณยังไม่รู้? ลูกศิษย์คุณยังไม่ได้บอกข่าวดีกับคุณอีกเหรอ”
“รองอธิบดีหลงตาแหลมเสียจริง! บทจะไม่รับลูกศิษย์ก็ไม่รับ บทจะรับก็ได้คนมีความสามารถทันที นี่เพิ่งไปที่ทำการไม่ถึงสองเดือนก็จะได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ดูแลแล้ว ตั้งแต่กรมจัดการคดีพิเศษของเราก่อตั้งมา ถือว่าเป็นคนที่เลื่อนขั้นเร็วที่สุดเลยใช่ไหม” น้ำเสียงของอู๋ปิ่งเทียนไม่เป็นธรรมชาติอย่างซ่งจื้อฉุน ง่ายที่จะทำให้นึกโยงไปถึงเรื่องที่ในตอนแรกเขาก็อยากรับตงจื้อไว้เป็นลูกศิษย์เหมือนกัน
ปฏิกิริยาของหลงเซินช้าไปครึ่งจังหวะ “…เรื่องหานฉี?”
ซ่งจื้อฉุนกับอู๋ปิ่งเทียนมองหน้ากัน
“ตงจื้อไม่ได้บอกคุณจริง ๆ?”
หลงเซินส่ายหน้า “เรื่องของหานฉีผมรู้ สำนักงานสาขารายงานขึ้นมาแล้ว เขาควรขึ้นตรงกับสำนักงานสาขา ไม่จำเป็นต้องบอกผมทุกเรื่อง”
แต่เมื่อก่อนพวกคุณสองคนสนิทกัน ตัวติดกันมากไม่ใช่เหรอ ซ่งจื้อฉุนกลืนประโยคนี้ลงไป ก่อนบอกพร้อมรอยยิ้ม “ลูกศิษย์คุณคนนี้ไหวพริบดี ไปถึงลู่เฉิงไม่ทันไรก็เริ่มจากทำให้ยามาโมโตะ คิโยชิ บาดเจ็บสาหัส แถมยังจัดการไอปีศาจในตัวหานฉีได้ทัน ไม่ปล่อยให้เธอคลอดเด็กออกมาแล้วทำให้เกิดหายนะมากไปกว่านี้ เหยียนนั่วผู้ดูแลคนก่อนของลู่เฉิงยื่นเรื่องลาป่วยเพราะได้รับบาดเจ็บจากคดีของยามาโมโตะครั้งก่อนไปแล้ว ความตั้งใจของสำนักงานสาขาคืออยากให้ตงจื้อเปลี่ยนจากผู้ดูแลชั่วคราวมาเป็นผู้ดูแลทางการ เขากับหลิวชิงปัวสองคนแบ่งกันรับหน้าที่หัวหน้ากับรองหัวหน้าที่ทำการลู่เฉิง”
“อย่างนี้นี่เอง” สีหน้าหลงเซินราบเรียบ ดูไม่เหมือนดีใจ และไม่เหมือนไม่ดีใจ
ซ่งจื้อฉุนจับทางความคิดของอีกฝ่ายไม่ออก ได้แต่เอ่ยต่อไปว่า “แต่ก็ใช่ว่าไม่มีข่าวลือซุบซิบเสียทีเดียว มีคนตำหนิเรื่องที่คราวนี้เขารับเงินจากฮุ่ยอี๋กวงเป็นการส่วนตัว ถึงจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงรายงานไปที่สำนักงานแล้ว และใช้มันเพื่อก่อสร้างที่ทำการก็จริง แต่ยังไงก็เป็นการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่อยู่ดี ถ้าปล่อยให้เป็นแบบอย่าง กลัวว่าต่อไปจะมีคนลอกเลียนแบบ”
หลงเซินพูด “ลู่เฉิงได้งบประมาณน้อยเหรอ”
ซ่งจื้อฉุน “ค่อนข้างน้อยจริง ๆ นั่นแหละ ที่ผ่านมาผลงานของลู่เฉิงอยู่ในระดับกลาง ๆ สำนักงานสาขาเลยไม่ได้จัดสรรให้เยอะ ตอนนี้พวกเขาจะเปลี่ยนสำนักงานใหม่ เงินทุนตั้งต้นไม่พอ พอกองถ่ายฮุ่ยอี๋กวงเกิดเรื่องและไปขอความช่วยเหลือจากเขาครั้งนี้ ตงจื้อเลยทำเหมือนแต่ก่อน เอาค่าตอบแทนของอีกฝ่ายมาอุดเป็นค่าก่อสร้างสำนักงาน”
หลงเซินบอก “เอาอย่างนี้ ให้เขาส่งมอบเงินค่าตอบแทนทั้งหมดมา และให้เขียนรายงานวิจารณ์ตัวเอง ยกเลิกเรื่องครั้งนี้ไป แล้วค่อยให้ทางสำนักงานใหญ่จัดสรรเงินให้พวกเขาจำนวนหนึ่งเป็นรางวัลที่สร้างผลงานแทน แบบนี้พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย”
อู๋ปิ่งเทียนกับซ่งจื้อฉุนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เดินอ้อมเป็นวงใหญ่แบบนี้ แล้วมีอะไรแตกต่างกันไหม
ถ้าให้บอกว่ามีอะไรที่ไม่เหมือน นั่นก็คือการให้เงินในนามที่แตกต่างกัน สำนักงานใหญ่จัดสรรเงินให้ที่ทำการโดยตรง ดูเหมือนไม่เป็นไปตามกฎระเบียบก็จริง แต่ในนามเงินรางวัลที่มาจากความดีความชอบ ตรงกันข้าม มันเหมือนเป็นการใช้ชื่อของสำนักงานใหญ่เพื่อชมเชยและปูนบำเหน็จมากกว่า
มุมปากซ่งจื้อฉุนกระตุก “มีแต่คนบอกว่ารองอธิบดีอู๋ชอบให้ท้าย แต่ผมว่ารองอธิบดีหลงต่างหากที่ให้ท้ายเด็กตัวเองสุด ๆ”
อู๋ปิ่งเทียนไม่พอใจ “ผมให้ท้ายพวกตัวเองที่ไหน ผมน่ะขึ้นชื่อว่ามีความยุติธรรมมาตลอดโอเคไหม!”
ใช่ ๆ ๆ พวกคุณว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ต่างกันเลย ซ่งจื้อฉุนนึกในใจอย่างขอไปที
“ถึงยังไงต่อไปตงจื้อก็ยังต้องทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของสำนักงานสาขาต่อ ทำแบบนี้จะทำให้สำนักงานสาขาเขม่นเขาได้นะ ยังไงเรื่องซุบซิบนินทาบางอย่างก็ไม่ได้ส่งผลอะไร ไม่ว่าจะพูดยังไง เงินก้อนนี้ก็ส่งมอบให้ส่วนกลางเต็มจำนวนไปแล้ว และเขาก็เขียนรายงานขึ้นมาแล้วด้วย สำนักงานสาขาไม่ได้มีแผนจะทำอะไรเขา” ซ่งจื้อฉุนโน้มน้าว
หลงเซินรับฟัง เขาพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เรื่องนี้จึงผ่านไปแต่เพียงเท่านี้
ซ่งจื้อฉุนถอนหายใจโล่งอก
ประชุมเสร็จก็เป็นเวลาเลิกงาน หลงเซินตรงกลับไปที่ห้องนอน ให้อาหารแมว รดน้ำต้นไม้จิ๋ว เห็นโทรศัพท์มือถือข้างมือโดยไม่ตั้งใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เปิดสมุดโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาหมายเลขที่คุ้นเคย
เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องปกป้องลูกศิษย์ต่อหน้าคนนอก แต่ก็ต้องเตือนอีกฝ่ายด้วยว่าอย่าทำอะไรผลีผลามเกินไป จะได้ไม่โดนจับผิด ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กทุกครั้งไป
วันไหนที่ไม่ระวัง บางทีตงจื้ออาจสะดุดล้มก้าวใหญ่
โทรศัพท์ดังอยู่นาน เสียงแจ้งเตือนว่าไม่สามารถติดต่อได้ชั่วคราวลอยมาจากปลายสาย
คงจะปิดเครื่องไปแล้ว
หลงเซินเหลือบดูเวลา หกโมงเย็น อีกนานกว่าจะถึงเวลาเข้านอน
โทร.ไปอีกหลายครั้งก็ยังเหมือนเดิม
เขาจึงเปลี่ยนหมายเลขเสียเลย
มู่ตั่วกับจางชงต้องทำเรื่องโอนย้ายสำนักงานเก่าของที่ทำการ หลายวันมานี้บริษัทตัวแทนหาตัวคนซื้อได้แล้ว จึงยุ่งอยู่กับขั้นตอนการส่งมอบให้อีกฝ่าย เพิ่งเดินออกจากบริษัทตัวแทนเพื่อเตรียมไปกินมื้อเย็น ก็ได้รับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก
มู่ตั่วไม่คิดมาก กดรับสาย “สวัสดีค่ะ?”
เสียงผู้ชายไม่คุ้นหูลอยมาจากปลายสาย “สวัสดี ฉันเป็นอาจารย์ของตงจื้อ โทรศัพท์เขาติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาปิดเครื่องหรือเปล่า”
มู่ตั่วตะลึงงัน ก่อนกระวีกระวาดบอก “ใช่ค่ะ ไฟลต์บินตอนเย็นไปเซี่ยงไฮ้ ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังอยู่บนเครื่องบิน”
อีกฝ่ายพูด “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก”
น้ำเสียงสุภาพ แต่ยากจะปกปิดความน่าเกรงขาม แค่ได้ยินก็รู้เลยว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับการออกคำสั่ง มู่ตั่วรีบบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ เห็นอีกฝ่ายไม่มีธุระอะไรแล้วถึงค่อยวางสาย
จางชงกำลังคิดว่าจะไปกินอะไร จู่ ๆ ก็เห็นมู่ตั่วหยุดเดินกะทันหัน อดรู้สึกงุนงงไม่ได้
“ทำไมเหรอ”
มู่ตั่วพูดงง ๆ “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ อาจารย์ของตงจื้อก็คือรองอธิบดีหลงจากสำนักงานใหญ่ไม่ใช่เหรอ”
จางชง “เหมือนจะใช่ ทำไมเหรอ”
มู่ตั่วถอนหายใจเศร้า ๆ “เมื่อกี้ฉันไม่ได้โยงสถานะสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน!”
จางชงเกาหัว “แต่คุณก็ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดใช่ไหมล่ะ”
หญิงสาวรู้สึกแปลก ๆ “รองอธิบดีหลงมีเบอร์ฉันได้ยังไง หรือเขาเคยถามตงจื้อไว้ล่วงหน้า หรือไปขอมาจากคนอื่น?”
จางชงเอ่ย “สำนักงานใหญ่เก็บข้อมูลเบอร์โทรศัพท์พวกเราไว้หมด ถึงตงจื้อไม่บอก แต่ด้วยขอบเขตอำนาจของเขา ตรวจสอบสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร”
มู่ตั่วทอดถอนใจ “ลูกศิษย์ปิดมือถือ เขาเป็นห่วงก็โทร.มาหาฉันเลย ทำไมฉันถึงไม่มีอาจารย์ที่ห่วงใยลูกศิษย์แบบนี้บ้างนะ”
จางชงบอกยิ้ม ๆ “อย่าอิจฉาไปเลย คุณไม่เคยได้ยินเหรอ สำนักงานใหญ่มีบิ๊กทรีคอยถือหาง!”
มู่ตั่ว “บิ๊กทรีอะไร”
จางชงหัวเราะลั่น เล่าข่าวลือซุบซิบในสำนักงานใหญ่ให้หล่อนฟัง “ผมได้ยินมาจากศิษย์พี่ ตอนแรกเป็นบิ๊กทูถือหาง หมายถึงรองอธิบดีอู๋กับนักพรตหลี่ ที่ปรึกษาหลี่รุย หลังรองอธิบดีหลงรับลูกศิษย์ก็เพิ่มมาอีกหนึ่งคน กลายเป็นบิ๊กทรี ได้ยินว่ารุ่นพวกตงจื้อยังมีหลี่อิ้งอีกคน เป็นลูกชายของนักพรตหลี่ คุณต้องดีใจที่เขาไม่ได้มาฝึกงานที่ลู่เฉิง ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องรับสายเพิ่มอีกคน!”