你能不能不撩我
นายหยุดแกล้งฉันได้ไหม
焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน
สีน้ำ แปล
JYUN (Kang Jiyun) วาด
— โปรย —
ราชันนักขับฟอร์มูล่าวัน ‘วอห์น วินสตัน’ สูญเสียคู่แข่งและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว
ไปในอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด ทว่าหลังค่ำคืนวันแต่งงานของเพื่อนนักขับในวงการคนหนึ่ง
เขากลับตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าได้ย้อนเวลากลับไปตอนที่เจอ ‘อีวาน ฮันท์’ เป็นครั้งแรกอีกครั้ง!
ในวินาทีนั้นกาลเวลาที่หยุดนิ่งพลันแล่นรี่ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ครั้งนี้เขาจะชดเชยช่วงเวลา
ทั้งหมดที่มีและใช้โอกาสที่ได้มาอย่างคุ้มค่า ทุกนาที ทุก ๆ วินาที จะไม่สูญเปล่าอีกต่อไป
เพราะเขาไม่เคยอยากเป็น ‘เพื่อน’ กับฮันต์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…
ทว่านักขับหนุ่มมือใหม่กลับคิดว่าวินสตันก็แค่ ‘แกล้ง’ เขาเล่น คนที่ได้ฉายาจากสื่อว่า
‘ดาบน้ำแข็งแห่งความเร็ว’ คนนั้นน่ะเหรอที่จะอยากเป็นเพื่อนกับคนท้ายตารางอย่างเขา
และอีกอย่างถ้าอยากเป็นเพื่อนกันจริงๆ เขาจะพูดออกมาได้ยังไงว่า ‘ฉันอยากเอานาย’
เพื่อนกันเขาเล่นมุกใต้สะดือพรรค์นี้กันที่ไหนเล่า
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 5 ชอบแบบอ่อนโยนสักนิดหรือว่าป่าเถื่อนสักหน่อยล่ะ
“เอ่อ…ฉันกลับเองก็ได้”
วินสตันลดโทรศัพท์มือถือลง เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คนของบริษัทประกันก็มาถึงพอดี
ฮันต์จัดการธุระสำคัญเสร็จ ก่อนจะมองดูรถของตนถูกลากไปแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เมื่อหันหน้ากลับมาก็พบว่าวินสตันกำลังรอตนอยู่เช่นเดิม
ภายใต้ดวงไฟริมถนน เงาร่างของเขางดงามมาก แต่ก็ดูโดดเดี่ยวมากเช่นกัน
“ไปกันเถอะ” เขาเปิดประตูรถให้ฮันต์
ฮันต์หยิกหูของตัวเอง ‘ก็ได้วะ คนห่วย ๆ อย่างฉันจะได้นั่งรถของอัจฉริยะกลับบ้านแล้ว’
สายลมยามราตรีพัดผ่าน ฮันต์หลับตา เขาอยากรู้มากว่าวินสตันขับรถอย่างไร รวมทั้งวิธีควบคุมคลัตช์[1] แล้วก็การหมุนพวงมาลัยนั่นด้วย
เขาขับรถนิ่งมาก การหยุดรถตรงสี่แยกหรือการเลี้ยวเปลี่ยนทิศก็ล้วนทำให้คนรู้สึกสบาย
ความสบายแบบนี้ทำให้ฮันต์บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
“นายขับรถแบบนี้…ไม่เหมือนนักแข่งรถเอาซะเลย…”
วินสตันหันหน้ามา มุมปากยกขึ้น “นายอยากลองไหม”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮันต์เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายชัดขนาดนี้ มันราวกับมีนิ้วหมุนวนอยู่ภายในร่างกายเขารอบหนึ่ง สมองและหัวใจล้วนถูกม้วนเข้าสู่วังวนนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับถอนตัวออกอย่างเยือกเย็น
ฮันต์ลอบถอนหายใจ เขาเข้าใจสักทีว่าทำไมวินสตันถึงไม่เคยเผยรอยยิ้มต่อหน้าสื่อเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว เพราะมันจะไม่ใช่แค่เป็นหนังฆาตกรรม แต่มันยังบีบคั้นให้ผู้คนที่เห็นเข้าสู่ทางตันด้วยน่ะสิ!
“ตรงนี้เป็นเขตเมือง เฟอร์รารี่ซิ่งไม่ขึ้นหรอก…” ฮันต์ยักไหล่
“งั้นก็ไปในที่ที่ซิ่งได้สิ”
วินสตันหมุนพวงมาลัยแล้วพุ่งทะยานออกนอกเมือง
“เฮ้! นายจะไปไหน”
“นายกลัวฉันไหม” อีกฝ่ายมองเขานิ่ง ๆ
“กลัวอะไร”
“กลัวว่าฉันจะพานายไปที่ไหนสักแห่งแล้วขังนายไว้ในที่มืดมิดไร้แสงตะวัน นอกจากฉันแล้วนายก็จะไม่ได้เจอใครอีก เป็นอย่างนี้ไปชั่วชีวิต”
น้ำเสียงของเขายังคงเย็นเยียบ ทว่ามันกลับมีอะไรบางอย่างกำลังโหมไหม้ด้วยความคลุ้มคลั่ง
ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ รอยยิ้มบางเบาเมื่อครู่ล้วนกลายเป็นภาพมายา มันไต่ระดับจากเย็นชาไปจนถึงโหดร้าย
ฮันต์เผลอกลืนน้ำลาย เขาควานมือไปเช็กประตูรถตามสัญชาตญาณ
“ฉันล็อกไว้แน่นแล้ว นายจะกระโดดลงไปก็ได้ แต่จากความเร็วในตอนนี้ ความน่าจะเป็นที่นายจะตกลงไปตายไม่น้อยไปกว่าการตกตึกสิบชั้น” วินสตันเลี้ยวรถอย่างเยือกเย็น
แสงไฟโดยรอบมืดลงทุกขณะ แทบจะไม่มีรถคันไหนผ่านมาทางนี้เลย
วินสตันดูเหมือนจะก่อเหตุฆาตกรรมอย่างอ่อนโยน และตนก็คือเหยื่อของเขา
ฮันต์รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางฆ่าตนแน่…แต่ถ้าเกิดวินสตันคือฆาตกรโรคจิตอะไรพวกนั้นจริงๆ ล่ะ
เมื่อสองวันก่อนเหมือนจะเห็นบนหนังสือพิมพ์เขียนว่ามีศพวัยรุ่นสักคนถูกทิ้งไว้นอกเมือง กระดูกตามร่างหักหลาย แห่ง…
“นายชอบให้ฉันอ่อนโยนสักนิดหรือว่าป่าเถื่อนสักหน่อยล่ะ” เสียงของเขาเบามากราวกับเสียงกระซิบของคนรักกัน
ทว่ามันกลับคล้ายเค้าลางแห่งความตาย และอันตรายอย่างถึงที่สุด
ฮันต์อ้าปากพะงาบ ๆ สันหลังเย็นยะเยือก และความรู้สึกนั้นก็เหมือนกับจะแช่แข็งลิ้นของเขาเอาไว้ จนพูดอะไรไม่ออก
“ทำไมไม่ตอบฉันล่ะที่รัก นายไม่ปรารถนาเลยเหรอ”
รถขับเร็วมากขึ้นทุกที บริเวณโดยรอบรกร้างไร้บ้านคน ประสาทสัมผัสของฮันต์รับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขากำลังประเมินว่าตนพอจะปล้นรถแล้วหนีไปได้ไหม
อย่างเช่นว่าทุบวินสตันให้สลบ แย่งพวงมาลัยมาคุม ถีบเขาลงจากรถ แล้วตนก็ขับรถกลับบ้าน!
อย่าโง่น่า! เวลานักขับเข้าโค้ง น้ำหนักเฉลี่ยของหมวกกันน็อกบวกกับแรงโน้มถ่วงอยู่ที่ยี่สิบสี่กิโลกรัม ความสามารถ ในการแบกรับน้ำหนักส่วนคอของวินสตันต้องแข็งแรงมากแน่ ตนจะทุบเขาให้สลบจากระยะห่างแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ
“ทำไมไม่ตอบฉันล่ะ” เสียงของเขาอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม
“ฉัน…ฉัน…” ฮันต์พยายามอ้าปาก อยากจะพูดคำที่สามารถสงบสติอารมณ์ของไอ้บ้าในชุดสูทคนนี้ได้ ต่อให้แค่ ประโยคเดียวก็ยังดี แต่เขากลับพูดไม่ออกสักประโยค
แม่ง! ปกติก็ดี ๆ อยู่หรอก! ทำไมพอถึงเวลาสำคัญดันพูดไม่ออกล่ะ!
“นายชอบกุญแจมือแบบไหน”
“…”
กุญแจมือ? กุญแจมือบ้าอะไร!
“แส้ล่ะ ชอบแบบใหญ่หน่อยหรือว่าเล็กหน่อย”
เมื่อวินสตันใช้เสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของเขาถามประโยคนี้ออกมา มันเหมือนกับมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจเขาไว้ ทำให้เลือดของฮันต์ลดฮวบอย่างไร้สาเหตุ
ทุบเขาให้สลบ ต้องทุบเขาให้สลบ!
“ถ้านายไม่พูด ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องถนอมนายยังไง” มุมปากของวินสตันยกสูงขึ้น แต่ฮันต์กลับรู้สึกว่าในสมองคล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมาจริง ๆ แล้ว
ฉันไม่ต้องการให้นายมารักใคร่ถนอมอะไรทั้งนั้นแหละ!
แม่งประสาทเส้นไหนแดกวะ!
“ทำไมนายยังไม่พูดอีกล่ะ”
“ฉัน…คิดว่า…มุกของนาย…ไม่ตลกเลยสักนิด” ฮันต์ใช้แรงกายเกือบหมดถึงค่อยทำให้ลิ้นที่แข็งทื่อของตนเริ่มม้วนได้
จะติดอ่างไม่ได้ จะให้อีกฝ่ายดูออกว่าพอตัวเองตื่นเต้นแล้วจะพูดติด ๆ ขัด ๆ ไม่ได้
“ทำให้นายตกใจจริง ๆ สินะ”
รถหยุดลง วินสตันกุมพวงมาลัยพลางมองฮันต์
รอยยิ้มเย็นชาเจือกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ เมื่อครู่หายไปแล้ว แต่ในดวงตากลับแฝงแววซุกซนอย่างเห็นได้ชัด
วินาทีนี้ฮันต์มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเมื่อครู่วินสตันแกล้งตน
“ฉันไม่ได้ตกใจ แค่รู้สึกว่านายทำเกินไป”
เมื่ออารมณ์สงบลง ลิ้นก็ผ่อนคลายตาม น้ำเสียงจึงเปล่งออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“นายตกใจ” วินสตันพูด
น้ำเสียงแม้ไม่ได้ฟังดูยืนกรานหนักแน่น ทว่ามันกลับทำให้คนฟังรู้สึกว่าเขากำลังพูดถึงข้อเท็จจริง
“ฉันเปล่า”
ฮันต์จ้องวินสตันด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มที่
ไอ้หมอนี่ ถ้านายกล้าถามว่าเมื่อกี้ฉันติดอ่างใช่ไหม ฉันจะอัดนายจนความจำเสื่อม!
“นายไม่เคยดู แผนฆ่าท้าความเร็ว เหรอ” วินสตันเอ่ยถาม
“อะไรนะ”
“หนังเรื่องหนึ่ง”
“หา?”
“พวกเรามาถึงแล้ว”
“ถึงที่ไหน”
“ที่ที่จะซิ่งรถได้”
ฮันต์พบว่าตัวเองตามความคิดของวินสตันไม่เคยทันเลย
เป็นเพราะความคิดกับการตอบสนองเปลี่ยนทิศทางไว จึงมักทำคะแนนสูง ๆ ในกรังด์ปรีซ์ได้งั้นเหรอ
ฮันต์มองตามสายตาของวินสตันไปก็พบว่าพวกเขาได้มาถึงลานวิ่งที่ปิดไว้แห่งหนึ่งแล้ว
“ที่นี่คือสนามทดสอบรถ[2]นอกเมืองนิวยอร์กของเฟอร์รารี่”
เออ…ทีมใหญ่นี่มันรวยจริง ๆ!
วินสตันใช้บัตรบลูทูธเปิดประตูเสร็จ พวกเขาก็ขับรถเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย
“เฮ้ แบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ” ฮันต์กังวลนิด ๆ
วินสตันเป็นคนของทีมเฟอร์รารี่ แต่เขาไม่ใช่
“มีแค่พวกเราสองคน หรือนายกังวลว่าฉันจะทำอะไรนายที่นี่”
เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว!
มุกใต้สะดือแบบนี้มันช่างแตกต่างกับเวลาที่เขาให้สัมภาษณ์สื่อและอยู่บนสนาม F1 ลิบลับ!
“นายคือวอห์น วินสตัน จริงเหรอ” ฮันต์เอียงศีรษะถาม
“ใช่”
“งั้นนายรู้ไหมว่าถ้าฉันใช้ปากกาอัดเสียงอัดคำที่นายพูดไว้…”
“ถ้านายต้องการ คราวหน้าฉันเอามาให้นายได้นะ”
“ฉันว่านะ นายเป็นผู้ชายจริงจังจนนิ่งเป็นรูปปั้นไปเลยน่ะดีที่สุด”
“ได้ ไว้คราวหน้า” วินสตันขับรถไปยังจุดที่ทำเครื่องหมายออกสตาร์ตไว้บนสนามทดสอบรถ
“เฮ้ย นายจะซิ่งรถที่นี่จริงดิ”
“นายไม่อยากรู้เหรอว่าความเร็วเท่าไรกันแน่ถึงจะทำให้เครื่องยนต์ของรถสปอร์ตอย่างเฟอร์รารี่ระเบิดได้”
ฮันต์เท้าศีรษะของตัวเอง “รู้ตัวไหมว่าภาพลักษณ์ของนายมันพังหมดแล้ว”
“ฉันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
“ก็ได้…ในเมื่อนายตัดใจให้เครื่องยนต์เฟอร์รารี่ของนายระเบิดได้ ฉันก็ไม่แคร์…”
เสียงของฮันต์เพิ่งจบ วินสตันเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล เครื่องยนต์คำรามครั้งหนึ่งก่อนรถสปอร์ตจะพุ่งทะยาน ออกไปอย่างบ้าคลั่ง
หลังศีรษะของฮันต์เกือบกระแทกจมเบาะที่นั่ง
การแข่ง F1 สนามหนึ่งเท่ากับรถไฟเหาะเกินห้าสิบรอบ
ตามหลักแล้วฮันต์ไม่มีทางรู้สึกกลัว แต่เมื่อวินสตันเร่งความเร็วอย่างบ้าคลั่งบนทางตรง หลังเข้าโค้งใบหน้าของฮันต์ก็แทบจะแนบติดกระจกรถ
ต่อด้วยการดริฟต์[3]เข้าโค้ง ฮันต์จำต้องเอนตัวไปทางวินสตัน ศีรษะแทบจะกดลงบนบ่าของอีกฝ่าย
ประหนึ่งเข้าสู่อุโมงค์แห่งกาลเวลา ฮันต์เพิ่งสังเกตเห็นว่าทั้งสนามทดสอบรถไม่มีแสงไฟเลย อาศัยแค่ไฟจาก รถเฟอร์รารี่และปฏิกิริยาตอบสนองของวินสตันเท่านั้น!
ไม่มีหน้ากากกันไฟ ไม่มีหมวกกันน็อก แรงบดขยี้ที่มาตามลมปะทะใบหน้าของฮันต์จนยับยู่ กระทั่งการหายใจก็ยังกลายเป็นเรื่องยาก
วิธีขับรถสปอร์ตแบบนี้ สิ่งที่ใฝ่หาไม่ใช่ความเร็วที่ทำให้เครื่องยนต์ระเบิด แต่เป็นการฆ่าตัวตายต่างหาก!
เมื่อฮันต์เหลือบตาดูมาตรวัดความเร็ว หัวใจก็แทบระเบิด เพราะความเร็วมันเกินกว่าค่าความเร็วของรถสปอร์ต ที่เฟอร์รารี่ประกาศอย่างเป็นทางการไปตั้งนานแล้ว
หลังวิ่งครบสามรอบวินสตันจึงค่อยลดความเร็ว เมื่อรถสปอร์ตหยุดลง ฮันต์ก็นั่งอึ้งอยู่กับที่ ไม่กระดุกกระดิกสักนิด
“คิดอะไรอยู่” ตัวต้นเรื่องนิ่งมากทีเดียว
ฮันต์ไม่พูดไม่จา
เขาคิดจริง ๆ นะว่าจุดจบสุดท้ายของพวกเขาคือการพุ่งออกนอกลานวิ่ง กระแทกเข้ากับเขตกันชน แล้วก็ถูกถุงลมนิรภัยอัดทับจนบี้แบน
“ไม่ต้องตื่นเต้น ความเร็วของรถสปอร์ตไม่มีทางเร็วเกินเอฟวัน” วินสตันปลดเข็มขัดนิรภัย มือหนึ่งค้ำเบาะเอาไว้ก่อนจะเอนตัวมาทางฮันต์
เวลานี้ฮันต์ถึงได้เข้าใจในที่สุดว่าตอนวินสตันขับรถอยู่ในเขตเมือง ความรู้สึกลื่นไหลอันราบเรียบนั่นเรียกว่า ‘ความปลอดภัย’
และการใฝ่หาความเร็วแบบไร้ขีดจำกัดบนสนามทดสอบรถเรียกว่า ‘ความบ้าคลั่ง’
เขาไม่เข้าใจว่าคนคนหนึ่งจะผสานสองบุคลิกไว้ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร
เส้นผมของวินสตันยามนี้ยุ่งเหยิง โบหูกระต่ายของเขาถูกปลดออกนานแล้ว มันถูกแขวนอย่างไม่ใส่ใจอยู่ข้างหนึ่ง และคอเสื้อก็แหวกออก
ป่าเถื่อน…นี่คือนิยามที่แล่นวาบเข้ามาในสมองของฮันต์ตอนนี้
“สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วคิดว่าให้เปลี่ยนการควบคุมสมองของนายไปที่ปลายลิ้น ตอนนี้บอกฉันซิ นายกลัวไหม”
เสียงของวินสตันสงบและอ่อนโยน
“ไม่กลัว”
ท่ามกลางเสียงของเขา ดูเหมือนว่าฮันต์จะหาตัวตนกลับมาได้แล้ว
“ถ้านายไม่กลัว งั้นตอนนี้นายคิดอะไรอยู่”
“…ทรงผมฉัน…เละหมดแล้วใช่ไหม”
วินสตันเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ฮันต์รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมอนี่กำลังยิ้ม
นิ้วมือของเขาปัดผ่านใบหูของฮันต์ จัดเส้นผมให้เขาอย่างเบามือ
“ตอนนี้ดีแล้ว”
ความสนิทสนมแบบในงานเลี้ยงนั่นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ฮันต์รู้สึกว่าตนต้องเคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อนแล้วแน่ ๆ แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
“เฮ้…คนสารเลว ขนาดไฟบนถนนนายก็ยังไม่เปิด! ถ้าพวกเราพุ่งออกไปจะทำยังไง!”
“นี่คือสนามทดสอบรถที่ฉันเคยขับมานับครั้งไม่ถ้วน”
ความหมายคือหลับตาขับก็ไม่มีทางชน
“…เอาเถอะ”
“สนามแข่งของฟอร์มูล่าวันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“อะไรนะ”
“เวลาแข่งนายทำให้ตัวเองตึงเครียดเกินไป”
[1] คืออุปกรณ์ควบคุมการต่อและตัดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังกระปุกเกียร์ ซึ่งคลัตช์จะทำให้รถมีความเสถียรและทำให้การเปลี่ยนเกียร์สะดวกและนุ่มนวลมากขึ้น
[2] คือสนามสำหรับใช้ทดสอบสมรรถนะของรถเพื่อพัฒนาและปรับปรุงรถก่อนการแข่งขัน โดยแต่ละทีมจะมีสนามทดสอบรถของตัวเอง เช่นสนามฟีโอราโน่ของทีมเฟอร์รารี่
[3] เทคนิคการขับรถเข้าโค้งโดยอาศัยหลักการโอเวอร์สเตียร์ กล่าวคือ การปล่อยให้ล้อหลังลื่นไถลมากกว่าล้อหน้า ด้านท้ายของรถจะปัดออก ทำให้รถเคลื่อนเป็นแนวขวาง จากนั้นผู้ขับจะบังคับพวงมาลัยพร้อมเหยียบคันเร่งเพื่อควบคุมให้รถสไลด์ไปในทิศทางที่ต้องการ