ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
“ข้าไม่มีทางทิ้งให้คนที่ข้ารักต้องรอข้านานถึงเพียงนี้”
“เวลาสามปีเท่ากับสามสิบหกเดือน ชั่วชีวิตของคนเราจะมีสามปีได้สักกี่ครั้ง”
“ชีวิตคนเราสั้นนัก จะปล่อยให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเสียเปล่าไปได้อย่างไร”
ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอขี้โรค
แต่แท้จริงนางเข้มเเข็งจนน่าเกรงขามยิ่ง
จีหยวนซู่ รัชทายาทรูปงาม ปากร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น
เพื่อสตรีของตนแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้อย่างหน้าไม่อาย
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
68
ฮ่องเต้ชางหลงบทจะทำตัวเป็นอันธพาลก็ทำได้อย่างหน้าไม่อาย เขาจับประเด็นที่ทูตแคว้นไต้เม่ากล่าวดูแคลนแม่ทัพหญิงอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจิ้นไว้ไม่ปล่อย ยังจงใจกล่าวว่านี่เป็นความคิดของฮ่องเต้แคว้นไต้เม่าด้วย
ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหาเรื่อง แต่เฮ่อหย่วนถิงจำต้องกล่าวขออภัย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทำผิดต่อมโนธรรมในใจ ไม่กลัวข่าวลือเหลวไหลใดๆ เพคะ” เว่ยหมิงเย่ว์กังวลว่าฮ่องเต้ชางหลงจะถูกมองว่าเป็นอันธพาลไปจริงๆ “ถูกคนนินทาไม่กี่คำไม่เจ็บไม่คัน สิ่งสำคัญที่สุดยามนี้ก็คือสืบหาสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตของทูตแคว้นไต้เม่าเพคะ”
ขุนนางผู้บันทึกกิจวัตรประจำวันของฮ่องเต้ที่นั่งหลบอยู่มุมหนึ่งรีบหยิบพู่กันขึ้นมาขีดเขียนกระดาษทันที
ใจความว่า ฮ่องเต้ปกป้องแม่ทัพของตนเอง ขณะเดียวกันแม่ทัพเว่ยก็อดทนและมีจิตใจกว้างขวาง พร้อมกันนี้พระองค์ยังแสดงความเห็นใจทูตแคว้นไต้เม่าที่โชคร้ายต้องเสียชีวิต ทว่าความจริงแอบเหยียบย่ำพฤติกรรมต่ำช้าของพวกเขาซ้ำ
ในฐานะขุนนางผู้บันทึกกิจวัตรของฮ่องเต้ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง พวกเขาจดบันทึกการกระทำและคำพูดทุกคำของฮ่องเต้อย่างกระตือรือร้น แต่จะบันทึกออกมาอย่างไรนั้นก็แล้วแต่ความสามารถของพวกเขาแล้ว
“ขอฮ่องเต้ที่เคารพโปรดพระราชทานอภัย กระหม่อมต้องขออภัยอย่างยิ่งกับพฤติกรรมที่ผิดพลาดของขุนนางในคณะทูต” เฮ่อหย่วนถิงรู้สึกเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ ขุนนางผู้ติดตามแต่ละคนไม่มีผู้ใดทำเขาเบาใจได้เลย ช่วยก็ไม่ได้ช่วย แต่กลับเพิ่มภาระให้
แม้คุ้นเคยกับลักษณะของสตรีที่เป็นกุลสตรีอ่อนหวานแคว้นตน ทว่าเมื่อเห็นแม่ทัพหญิงแคว้นจิ้นผู้นี้ เขาก็ยังอดยกย่องชื่นชมไม่ได้
แค่มองผาดเดียวเขาก็i^hว่าแม่ทัพหญิงผู้นี้ยอดเยี่ยมเพียงใด ยิ่งอีกฝ่ายยอดเยี่ยมมากเท่าใด คนที่นินทานางยิ่งดูตื้นเขินและน่าหัวร่อมากเท่านั้น
“เราอ่านจดหมายลาตายที่ขุนนางของเจ้าทิ้งไว้แล้ว หากไม่ใช่รัชทายาทบอกเราว่าวันนั้นเจ้าเลี้ยงอาหารและรัชทายาทก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เราเกือบคิดว่าองค์หญิงฝูโซ่วบีบบังคับใต้เท้าหวังคนนี้จนตาย” ฮ่องเต้ชางหลงยกมือขึ้น จ้าวซานไฉนำเนื้อหาที่คัดลอกจากจดหมายลาตายฉบับนั้นส่งให้เฮ่อหย่วนถิง
เฮ่อหย่วนถิงอ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็ว สีหน้าโกรธเกรี้ยว “นี่เป็นการให้ร้ายองค์หญิงฝูโซ่วชัดๆ ฝ่าบาท กระหม่อมสงสัยว่าจดหมายฉบับนี้ผิดปกติ จะต้องมีผู้ใดจงใจสร้างเรื่องเพื่อทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราสองแคว้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ” ฮ่องเต้ชางหลงถอนหายใจหนักหน่วง “เราคิดเช่นเดียวกับเจ้า แผนร้ายนี้ไม่เพียงมุ่งร้ายแม่ทัพคนสำคัญของเรา แต่ยังมุ่งร้ายแว่นแคว้นและองค์ชายสามเองด้วย”
แผนร้ายครานี้ผู้โชคร้ายไม่เพียงแค่คนสกุลฮวา ยังมีผู้ที่ต้องรับเคราะห์อีกคนก็คือเฮ่อหย่วนถิงองค์ชายสาม ในฐานะที่เขามีตำแหน่งสูงสุดในคณะทูต มีขุนนางในความดูแลของเขาเสียชีวิตในเรือนรับรองของแคว้นจิ้น ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็ต้องถูกตำหนิแน่
หากเอาแต่เค้นหาคำตอบจากแคว้นจิ้น ก็อาจล่วงเกินฮ่องเต้แคว้นจิ้น จนก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้น เมื่อเขากลับไปจะต้องถูกบิดาลงโทษสถานหนัก
แต่หากเขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ปล่อยผ่านไป เมื่อข่าวนี้แพร่ไปถึงแคว้น จะต้องมีปัญญาชนจำนวนมากต่อว่าเขาว่าอ่อนแอ ไม่เพียงเสียชื่อเสียงยาวนานถึงหมื่นปี ทว่าการดำรงชีวิตต่อจากนี้ก็คงจะไม่สุขสบายเป็นแน่
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ เท่ากับเขาถูกคนแบกเอาไปวางบนตะแกรงย่างเนื้อ ไม่ใช่แค่ย่างข้างหลัง แต่เป็นการย่างกันซึ่งหน้า
ชั่วเวลาเพียงพริบตาเขาก็ตัดสินใจเด็ดขาด
“ขอฮ่องเต้แคว้นจิ้นผู้สูงศักดิ์โปรดทรงไต่สวนเรื่องนี้ให้กระจ่าง ลากตัวผู้บงการที่เหี้ยมโหดออกมาให้ได้ เพื่อปลอบขวัญดวงวิญญาณของใต้เท้าหวังผู้ล่วงลับพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอองค์ชายสามวางใจ เราต้องคืนความเป็นธรรมให้เจ้าแน่” ฮ่องเต้ชางหลงผงกศีรษะให้อย่างพึงใจ เขาไม่สนใจมองหลิวเหรินเจี้ยที่ยังยืนค้อมกายคำนับ หันไปปลอบเว่ยหมิงเย่ว์ครู่ใหญ่ พร้อมกับมอบของกำนัลกองพะเนินให้สกุลฮวาโดยมีข้ออ้างที่น่าฟังว่า เป็นของกำนัลปลอบใจ
เฮ่อหย่วนถิงนั่งเก้าอี้พลางรู้สึกกระอักกระอ่วนชอบกล ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นผู้เคราะห์ร้าย เหตุใดยามอยู่ต่อหน้าแม่ทัพเว่ยกับองค์หญิงฝูโซ่ว เขากลับรู้สึกร้อนตัว
ผู้ที่เสียใจอย่างสุดซึ้งยังคงเป็นหลิวเหรินเจี้ย ถ้ารู้แต่แรกว่าคำพูดไม่กี่คำของเขาจะก่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ ยามนั้นเขาไม่มีทางพูดจาส่งเดชเป็นแน่
ข้อเท็จจริงของคดีนี้กระจ่างชัดอย่างรวดเร็ว จดหมายลาตายที่ใต้เท้าหวังทิ้งไว้นั้นเป็นจดหมายปลอม ผู้ปลอมจดหมายฉบับนี้ก็คือเด็กรับใช้ข้างกายเขา คนของศาลต้าหลี่ยังค้นพบจดหมายที่มีตัวอักษรเลือนรางฉบับหนึ่งในห้องของใต้เท้าหวัง เหมือนเขาได้รับคำสั่งจากใครสักคนให้จงใจก่อเรื่องขึ้นเพื่อให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นจิ้นกับแคว้นไต้เม่าให้ได้
เดิมแผนการนี้จะสร้างความบาดหมางระหว่างคนสกุลฮวากับคณะทูตแคว้นไต้เม่าในงานเลี้ยงพระราชทานที่กำลังจะมีขึ้น แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคนสกุลฮวาส่งของกำนัลของแคว้นไต้เม่ากลับคืน ทำให้องค์ชายสามรู้เรื่องที่คนของตนพูดดูหมิ่นแม่ทัพเว่ยก่อนเวลาอันสมควร ผู้บงการเบื้องหลังเกรงว่าใต้เท้าหวังจะทำแผนเสีย จึงให้เด็กรับใช้สังหารเขา แล้วจัดฉากว่าเขาฆ่าตัวตายเพราะเกรงกลัวสกุลฮวา ถือโอกาสใส่ร้ายสกุลฮวาไปด้วย
“ผู้ใดจะเดาได้ว่าองค์หญิงน้อยที่อ่อนแออ่อนหวานของสกุลฮวาคนนั้นจะอารมณ์ร้าย ไม่ยอมเห็นแก่หน้าแคว้นไต้เม่า คืนของกำนัลที่พวกเขามอบให้” เผยจี้ไหวอ่านผลการสืบสวนคดีนี้แล้วอดรำพึงรำพันถึงความโชคดีของสกุลฮวาไม่ได้
หากเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างงานเลี้ยงพระราชทาน แล้วใต้เท้าหวังถูกฆ่าตายยามนั้น เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่รู้กันทั่วแผ่นดิน ถึงยามนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ปิดข่าวไม่อยู่
“เห็นได้ว่าบางครั้งการแสดงความไม่พอใจออกมาไม่เพียงส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ แต่ยังส่งผลดีต่อวงศ์สกุลด้วย” โก่วจิ้งฉีรองหัวหน้าศาลต้าหลี่หอบเอกสารทางการปึกใหญ่เข้ามา “เห็นได้ว่าสวรรค์คงไม่ต้องการเห็นขุนนางผู้ภักดีได้รับความอยุติธรรม”
“พวกเราคนของศาลต้าหลี่เชื่อเรื่องโชคชะตาตั้งแต่เมื่อไร” เผยจี้ไหวช่วยโก่วจิ้งฉีปิดผนึกเอกสารเหล่านั้น “วันนี้สมควรเป็นเจ้าเข้าเวร ข้ากลับก่อนแล้ว”
โก่วจิ้งฉีหยิบเอกสารที่ถูกผนึกว่าเป็นเอกสารลับของคดีอื่นๆ บนตู้เก็บของ “เจ้าว่าผู้บงการเบื้องหลังคดีนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายคดีก่อนหน้านี้หรือไม่”
เผยจี้ไหวปัดฝุ่นบนตัว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “คดีก่อนหน้านี้หลายคดีล้วนพัวพันถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับอิงอ๋องไม่มากก็น้อย แต่ครานี้ไม่ค่อยเหมือน”
“ก็ไม่เชิงว่าไม่เกี่ยวข้องกันเสียทีเดียว องค์หญิงน้อยสกุลฮวาเองก็เคยเกือบหมั้นหมายกับอิงอ๋อง” โก่วจิ้งฉีปิดประตูตู้เก็บของ “หลายวันก่อนคนของพวกเราสืบได้ว่าไม่นานมานี้อิงอ๋องเคยบอกองค์หญิงฝูโซ่วว่าจะสู่ขอนางเป็นชายา แต่องค์หญิงฝูโซ่วปฏิเสธ”
ได้ยินว่าฮวาหลิวหลีปฏิเสธอิงอ๋อง เผยจี้ไหวไม่แปลกใจแต่อย่างใด ความจริงแล้วด้วยฐานะขององค์หญิงฝูโซ่ว ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือไม่แต่งกับองค์ชายคนใดเลย แบบนี้จึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ทว่าระหว่างรัชทายาทกับองค์หญิงฝูโซ่วนั้น…
ใต้หล้านี้ไม่เคยขาดโศกนาฏกรรมแห่งความรัก แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงมีหนุ่มสาวนับไม่ถ้วนที่ทยอยเดินบนเส้นทางนี้
อิงอ๋องและสนมเสียนสองแม่ลูกที่มิได้ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีอีกครั้ง ยามนี้ตกตะลึงคาดไม่ถึง
สนมเสียนมองเล่อหยางผู้หยิ่งผยองตรงหน้าแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นเล่อหยางที่สมองมีปัญหา หรือนางหูเฝื่อนกันแน่
“ลูกของข้าโง่เขลาไร้เดียงสา ยังวู่วามมักง่าย เกรงว่าคงไม่คู่ควรกับแก้วตาดวงใจขององค์หญิง” สนมเสียนอยากพ่นน้ำชาในปากใส่หน้าเล่อหยางเหลือเกิน ให้ดรุณีอย่างเซี่ยเหยาเป็นสะใภ้ของนาง ยังเทียบไม่ได้กับยามนั้นที่จะให้ฮวาหลิวหลีเป็นสะใภ้ของนาง
อย่างน้อยคนเขาก็หน้าตาดีกว่าเซี่ยเหยา ลูกที่ถือกำเนิดจะต้องหน้าตาดีกว่าเป็นแน่
“พี่สะใภ้ อิงอ๋องเป็นพี่ชายคนโต ต้องการสตรีที่จะช่วยสนับสนุนหน้าที่การงานของเขา ต่อไป…จะทำอันใดก็จะสะดวก” เล่อหยางยิ้มสำรวม “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
สนมเสียนรู้สึกว่าไม่เห็นจะดีเลย
ก่อนหน้านี้องค์หญิงนางนี้มักมองตนด้วยหางตา เวลาเรียกตนก็เรียกว่าสนมเถียน ไม่ต้องกล่าวถึงคำว่าพี่สะใภ้ แม้แต่จะเรียกบรรดาศักดิ์ที่ตนได้รับแต่งตั้งก็เหมือนจะหยามเกียรติปากของนางด้วยซ้ำ
“องค์หญิงมีอันใดก็พูดตามตรง ไม่ต้องเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ เรียกสนมเถียนเหมือนเมื่อก่อนก็ได้” สนมเสียนพูดอย่างเฉยเมย “ชาติกำเนิดข้าไม่สูงส่งอย่างองค์หญิง ไม่ค่อยสนใจว่าใครจะเรียกอย่างไร”
“เรื่องที่ข้าไม่ค่อยรู้ความในอดีต ขอพี่สะใภ้อย่าได้ถือสาเลย” เล่อหยางรู้ว่าสนมเสียนไม่พอใจนาง แต่ในใจของนางรู้ดีว่าเทียบกับสิ่งเหล่านี้แล้ว สนมเสียนต้องการให้บุตรชายครองบัลลังก์มากกว่า
สนมเสียนยกถ้วยชา ไม่พูดไม่จา
“พู่กันของปัญญาชนเป็นอาวุธไร้รูป” เล่อหยางหว่านล้อมต่อ “ฐานะของสกุลเซี่ยในแดนใต้เป็นอย่างไร คิดว่าเจ้าเองก็คงรู้ดี การให้เด็กทั้งสองแต่งงานกัน ล้วนดีสำหรับพวกเราสองคน”
“เหอะ” สนมเสียนหัวเราะเยาะ “องค์หญิงพูดจนคนสกุลเซี่ยร้ายกาจถึงเพียงนี้ คิดจะทำอันใดกันแน่ ก่อกบฏหรืออย่างไร!”
สีหน้าของเล่อหยางเย็นชาขึ้นทันควัน
“อย่าคิดว่าบุตรีของท่านจะเป็นแม่ไก่ที่ออกไข่ทองคำ ถึงนางจะทำจากทองคำ แต่ก็เป็นแค่แม่ไก่ ไม่ใช่พญาหงส์” สนมเสียนหัวเราะเยาะ “คิดจะยัดเยียดสตรีที่รัชทายาทไม่ต้องพระประสงค์ให้บุตรชายของข้า คิดว่าพวกเราสองแม่ลูกเป็นใคร เป็นพวกเก็บของเก่าหรือ!
“ข้าไม่สนว่าสกุลเซี่ยร้ายกาจเพียงใด แต่ข้าไม่ถูกใจ” สนมเสียนลุกขึ้น ได้โอกาสระบายอารมณ์ที่เก็บกดมานานปีแล้ว สนมเสียนจึงด่าอย่างสะใจ “ถ้าคิดว่าตนเองร้ายกาจเพียงนั้นจริงๆ ก็คงไม่ต้องส่งบุตรีไปเป็นสินค้าไปมา ในเมื่อทางโน้นไม่สนใจ ทางข้าก็ไม่ถูกใจ ใครอยากแต่งก็แต่งไป อย่าทำให้ข้าพะอืดพะอม”
“ดีมาก!” เล่อหยางโกรธจัดจนเปล่งเสียงหัวเราะ “เถียนซื่อ[1] วันนี้เจ้าหยามเกียรติข้าอย่างไร ข้าจำไว้ขึ้นใจแล้ว”
“จำได้ก็จำไป องค์หญิงหน้าตาท่าทางเหมือนคนดี แต่ทำตัวคล้ายแม่เล้า หมิงเฮ่าของข้าเป็นเด็กดี รับบุตรีท่านไม่ไหวหรอก” สนมเสียนทำท่าถ่มน้ำลายลงพื้น “เดินดีๆ เล่า ข้าไม่ส่ง”
เล่อหยางเดือดดาล คล้ายเบื้องหน้าดำมืดไปหมด ตอนเดินออกมายังเตะแจกันดอกไม้ของตำหนักหลินชุ่ยแตกสองใบ
“ฮึ่ม” สนมเสียนเห็นแจกันแตกแล้วก็ไม่โมโห กลับสะบัดผ้าเช็ดหน้าอย่างสบายอารมณ์ “นางแพศยา คิดจะใช้พวกเราสองแม่ลูกเป็นหมาก เห็นข้าปัญญาอ่อนหรืออย่างไร”
ว่าแล้วนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดหน้าแล้วส่งเสียงร่ำไห้ไร้น้ำตาพลางวิ่งไปยังตำหนักเฉินหยาง
เป็นสตรีแล้วถูกน้องสามีรังแก ก็ต้องฟ้องสามีตนเองไม่ใช่หรือ
บุตรชายนำแจกันสองใบนั้นกลับมามอบให้นางโดยเฉพาะ แม้สีสันสดใสไปสักหน่อย รูปแบบอัปลักษณ์ไปสักนิด แต่ก็เป็นความตั้งใจดีของเขา
อิงอ๋องที่นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่งโดยไม่มีโอกาสอ้าปากพูดตั้งแต่ต้นจนจบ เหลือบมองหน้าประตูที่ว่างเปล่าอย่างตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเหม่อลอยราวกับกำลังมองฉากรบใหญ่ฉากหนึ่ง
ว่าไปแล้ว การที่ท่านแม่ด่าเขาในเวลาปกตินั้นถือว่าอ่อนโยนมากแล้ว
จะอย่างไรก็ดี เขาเป็นบุตรชายในอุทรย่อมได้รับการปฏิบัติดีกว่าผู้อื่น
อิงอ๋องเดินออกจากตำหนักหลินชุ่ยไปไม่ไกลเท่าไรก็เห็นบุตรีคนรองของเล่อหยางชมดอกไม้อยู่ในอุทยาน จึงรีบหมุนตัวแล้วเดินหนี
“อิงอ๋อง…” แม้เซี่ยเหยาจะไม่ชอบอิงอ๋อง แต่นางรู้ว่ามารดาตั้งใจจะให้นางแต่งให้อิงอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นเขาจึงกล่าวทักทายก่อน
ที่ไหนได้ ยังไม่ทันทักทาย อิงอ๋องก็รีบเดินหนีราวกับนางเป็นสัตว์ร้ายน่าสะพรึงกลัว
“สมองมีปัญหา” เซี่ยเหยาด่าเบาๆ คำหนึ่งด้วยความกรุ่นโกรธ นางหมุนตัวเดินไปอีกทาง บังเอิญชนขันทีคนหนึ่งที่หอบม้วนภาพไว้ในอ้อมแขน
“เจ้าเป็นขันทีตำหนักใด เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ” หญิงรับใช้คนสนิทของเซี่ยเหยารีบประคองนาง แล้วเตะภาพที่หล่นอยู่แทบเท้าออก
เชือกแดงที่มัดม้วนภาพคลายออก เผยให้เห็นภาพวาดช่วงหนึ่ง
“นี่ภาพบ้าบออันใด” หญิงรับใช้คนนั้นด่าอีกหลายคำก่อนประคองเซี่ยเหยาเดินกลับไปที่ระเบียงทางเดิน
เพลิงโทสะในใจเซี่ยเหยาลุกโชน ปกติคนจิตใจดีอ่อนโยนอย่างนางไม่เคยด่าขันทีที่ทำความผิดอย่างไม่ตั้งใจ ทว่าพอโกรธก็ได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้หญิงรับใช้ประคองจากไป
“องค์ชายห้า” หลังประตูวงเดือน มีคนยืนมองนางสีหน้าไร้ความรู้สึก เซี่ยเหยาสะดุ้ง เมื่อเห็นชัดว่าคนผู้นั้นคือจีเยี่ยนชิวองค์ชายห้า นางจึงคลี่ยิ้มอ่อนแรง “คารวะองค์ชายห้า”
คิดไม่ถึงว่าองค์ชายห้าที่ปกติอ่อนโยน เข้ากับผู้อื่นได้ดี จะมองนางแวบเดียวด้วยสายตาเย็นชาแล้วหมุนตัวเดินจากไปไม่พูดไม่จา
เซี่ยเหยา “…”
สมององค์ชายในวังหลวงแต่ละคนล้วนมีปัญหา
ไม่มีผู้ใดปกติเลยสักคนหรือ
ฮวาหลิวหลีได้ยินว่ารัชทายาทสั่งให้คนมารับนางเข้าวังเพราะเตรียมของกินอร่อยๆ ไว้ที่ตำหนัก นางไม่แม้แต่จะแสร้งปฏิเสธตามมารยาท ตกปากรับคำโดยพลัน
เพิ่งเดินเข้าประตูวัง เห็นองค์ชายห้าพาขันทีน้อยเดินคอตกเศร้าสร้อยมาทางนี้ นางหยุดเดิน คำนับอีกฝ่าย
“องค์หญิงฝูโซ่ว” องค์ชายห้าเห็นฮวาหลิวหลีแล้ว ใบหน้ามึนตึงคล้ายมีรอยยิ้ม “จะไปที่ใดหรือ”
“ข้ามีธุระที่ตำหนักบูรพาเจ้าค่ะ นี่องค์ชายมาจากที่ใดหรือ” ฮวาหลิวหลีไม่อยากบอกองค์ชายห้าว่านางจะไปกินของอร่อยๆ ที่ตำหนักบูรพา แต่เมื่อเห็นสีหน้าน้อยใจของสองนายบ่าวแล้วก็รู้สึกเสียใจที่นางปากมากเกินไป
“เช้าตรู่วันนี้ข้าเกิดแรงบันดาลใจ เลยวาดภาพดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เดิมคิดจะนำไปถวายเสด็จพ่อ แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ทำให้ภาพวาดสกปรก” แม้แต่ท่าทางหมองหม่นขององค์ชายห้าก็ยังงามสง่า “ในฐานะลูก จะถวายสิ่งของที่สกปรกแล้วได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงนำภาพนี้กลับมา”
สิ้นเสียง เขาก็หยิบภาพวาดในมือขันทีน้อยมาคลี่ให้ฮวาหลิวหลีดู “องค์หญิงรู้สึกว่าภาพนี้เป็นอย่างไร”
พูดตามตรง ฮวาหลิวหลีมองไม่ออกว่าฝีมือวาดภาพขององค์ชายห้าพัฒนาขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อเผชิญกับแววตาคาดหวังของอีกฝ่ายแล้ว มโนธรรมในใจของนางก็มิได้มีราคาค่างวดใดๆ
“ฝีมือวาดภาพขององค์ชายดูคล้ายจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว” ฮวาหลิวหลีจ้องภาพนั้นครู่หนึ่ง สีหน้าขึงขัง กล่าวว่า “ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความหมายแฝงในภาพนี้พิเศษมาก ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้านำแสงสว่างเรืองรองมาสู่ผืนแผ่นดิน แผ่นดินใกล้ชิดกับดวงตะวัน เป็นภาพดวงตะวันร้อนแรงเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา”
องค์ชายห้ายิ้มเขิน “ความจริงแล้วก็ไม่ได้ดีอย่างที่องค์หญิงกล่าว แต่ข้าพอใจภาพวาดนี้มาก เดิมคิดจะมอบภาพนี้ให้องค์หญิง แต่…”
ภาพที่คิดจะมอบให้ฮ่องเต้ตอนแรก ถึงมอบให้ไม่ได้ แต่จะส่งให้ผู้อื่นต่อก็ไม่เหมาะสม
“สุภาพชนไม่ชิงของรักของผู้อื่น” ฮวาหลิวหลีชิงพูด “ภาพนี้ขององค์ชายน่าประทับใจยิ่ง แม้ข้าไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ก็จดจำมันไว้ในใจแล้วเจ้าค่ะ”
“องค์หญิงเข้าใจเรื่องการวาดภาพจริงๆ” องค์ชายห้าปรารภ “สมกับเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ทัพใหญ่ทั้งสอง ไม่ว่าทัศนคติหรือความใจกว้างก็ไม่เหมือนผู้อื่น ข้าเลื่อมใสนัก”
องค์ชายห้าชื่นชมฮวาหลิวหลีจากใจจริงคำรบหนึ่งก่อนออกนอกวัง สีหน้ายิ้มแย้ม
ผู้ที่ถูกชมว่าดีเลิศประดุจเป็นสิ่งที่มีอยู่บนนภา แต่ไม่มีบนผืนแผ่นดินอย่างฮวาหลิวหลี “…”
เวลาที่องค์ชายทั้งหลายชมใคร ล้วนกระตือรือร้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ
[1] ซื่อ แปลว่า แซ่ ใช้ต่อท้ายแซ่เดิมของหญิงที่ออกเรือนแล้ว