งานเลี้ยงแห่งวสันตกาล
春日宴
ไป๋ลู่เฉิงซวง 白鹭成双 เขียน
ม้าลาย แปล
นิยาย 4 เล่มจบ
___________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ บ้านอรุณ
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
๙
ทรราชน้อยแห่งราชวงศ์เป่ยเว่ย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลี่ไหวอวี้นั่งหน้ามุ่ยอยู่ในรถม้า
เจียงเสวียนจิ่นกำลังปิดตาพักเหนื่อย รถม้าเคลื่อนตัวมาตลอดทาง เขาเพิ่งรู้สึกได้ว่าช่างสงบเงียบหาใดเปรียบ จึงอดไม่ได้ที่จะลืมตาชำเลืองมองผู้ที่อยู่ข้างๆ
“กระไร ครั้งนี้ไม่พูดมากแล้วหรือ”
หลี่ไหวอวี้กอดอกท่าทางกระฟัดกระเฟียด “ข้าไม่อยากจากท่านไปถึงเพียงนี้ ท่านกลับรั้นจะหอบสังขารป่วยไข้มาส่งข้าให้ได้ ข้าช่างน่าเวทนาเหลือเกิน!”
เพียงได้ยินถ้อยคำนี้ จิตใจของเจียงเสวียนจิ่นก็คล้ายได้รับการปลอบประโลม กระทั่งเผยรอยยิ้มเจือจางบนดวงหน้า
สองวันนี้เขาถูกนางปลุกปั่นจนเสียจริต ยากยิ่งจะได้พบเห็นนางฉุนเฉียวสักครา เจ้าเมืองจื่อหยางผู้รักษากิริยามาโดยตลอดรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การเบิกบานใจเรื่องหนึ่ง
“เฮ้อ” หลี่ไหวอวี้เท้าคางพลางทอดถอนใจ หันมามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปหาเขา
“เจ้าจะทำอันใด!” เจียงเสวียนจิ่นตื่นตระหนก คว้ามือของนางไว้ได้ทันท่วงที
ปลายนิ้วของหลี่ไหวอวี้หยุดอยู่ห่างจากหน้าท้องของเขาหนึ่งชุ่น นางดึงมือกลับไปอย่างไม่พอใจพลันเบ้ปาก “ข้ากลับไปครานี้ หากครั้งหน้าจะเจอท่านอีกคงไม่ง่ายดาย ข้าต้องมีของแทนใจไว้สักชิ้นสิ”
เจียงเสวียนจิ่นนิ่วหน้า “ฝันไปเถิด!”
“ไม่เอาน่า” หลี่ไหวอวี้พลิกมือจับข้อมือเขาไว้พลางเขย่าไปมาด้วยท่าทางน่าสงสาร “ไม่ให้ป้ายหยก ให้ของสิ่งอื่นแทนก็ได้นี่!”
ล้อเล่นอันใดกัน! เจียงเสวียนจิ่นแค่นหัวเราะ กว่าจะหลุดพ้นจากคนผู้นี้ได้เลือดตาแทบกระเด็น หากเขาปล่อยให้นางมีโอกาสเข้าใกล้เขาได้อีก มิถือว่าเสียสติหรือ
“เจ้าว่าง่ายหน่อย”
หลี่ไหวอวี้ไม่สบอารมณ์ มองเขาด้วยนัยน์ตาเคียดแค้น ดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายกลับทอดมองไปเบื้องหน้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นนาง
รถม้าที่โคลงเคลงกว่าครึ่งชั่วยามหยุดลงในที่สุด
“นายท่าน” เฉิงซวีเลิกผ้าม่านขึ้นอย่างเป็นกังวล “ท่านยังอยู่ดีหรือไม่”
“มิเป็นไร” เจียงเสวียนจิ่นกระแอมไอ ลงจากรถด้วยใบหน้าซีดขาวและหันกลับไปมองผู้ที่อยู่ในรถ “ลงมา”
หลี่ไหวอวี้ยื่นศีรษะออกมาอย่างไม่สมัครใจ กวาดสายตามองกำแพงจวนที่คุ้นตา เบ้ปากและกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่สุขสบายเท่าอยู่ข้างกายท่าน”
เจียงเสวียนจิ่นหิ้วนางลงมาจากรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นางขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง แต่เฉิงซวีที่อยู่อีกด้านหนึ่งเคลื่อนไหวว่องไวหาใดเปรียบ เดินอ้อมไปส่งมอบเทียบนามที่ประตูใหญ่เป็นที่เรียบร้อย ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็มีผู้คนกลุ่มใหญ่กรูกันออกมาจากจวนหลังนั้น
“มิทราบว่าท่านเจ้าเมืองจะมา จึงมิได้เตรียมการต้อนรับ!” สตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งออกมาต้อนรับ ยอบกายคารวะ อย่างพินอบพิเทา “นายท่านเข้าวังไปแล้วยังมิกลับมาเจ้าค่ะ หากท่านเจ้าเมืองไม่รีบร้อน เชิญเข้าไปดื่มชาก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
เจียงเสวียนจิ่นพยักหน้า ดุนดันผู้ที่หลบอยู่ด้านหลังตนเองให้ออกมา “ข้ามาจวนของเจ้ามิได้มีเรื่องอื่นใด แม่นางผู้นี้…อาจเป็นผู้สูญหายไปจากจวนของเจ้ากระมัง”
สตรีสูงศักดิ์นางนั้นเงยศีรษะขึ้นมอง สบสายตากับหลี่ไหวอวี้อย่างประจวบเหมาะ
เพียงชั่วพริบตาเดียวหลี่ไหวอวี้อ่านความรู้สึกนานาประการที่ซ่อนอยู่ในแววตาของนางออก มีทั้งความประหลาดใจ ความโกรธเคือง ความรังเกียจ และความไม่เข้าใจผสมปนเปอยู่ในนั้น จากนั้นแทนที่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันทีเมื่อนางกะพริบตา
“นาง…นางคือคุณหนูสี่ของจวน สติไม่สมประกอบนานหลายปีแล้ว วันก่อนหายตัวไปไม่เห็นเงา หากนางล่วงเกินท่านเจ้าเมืองประการใด ขอท่านโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ!”
สติไม่สมประกอบนานหลายปีแล้วงั้นหรือ หลี่ไหวอวี้ตะลึงงันกับถ้อยคำนี้
คุณหนูสี่ของจวนงั้นหรือ เจียงเสวียนจิ่นตกใจกับฐานะของนาง
ทั้งสองเงยศีรษะขึ้นมองป้ายจารึกสีชาดแผ่นใหญ่ที่แขวนอยู่ด้านบนของประตูใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกัน ด้านบนเขียนไว้ด้วยตัวอักษรสีทองสี่พยางค์…จวนตระกูลไป๋
จวนขุนนางที่ตั้งอยู่ใกล้ทางหลวง ซ้ำยังแซ่ไป๋ เป็นจวนของผู้ใดมิได้ นอกเสียจากผู้ตรวจการไป๋เต๋อจ้ง
ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างทราบกันดีว่าบุตรสาวลำดับที่สี่ของไป๋เต๋อจ้งสติไม่สมประกอบ! หลี่ไหวอวี้รู้สึกสลดใจเหลือเกิน นางหยิบยืมร่างกายของผู้ใดไม่หยิบยืม มาหยิบยืมร่างกายของคุณหนูสี่แห่งตระกูลไป๋! กาลก่อนตาเฒ่าไป๋เต๋อจ้งผู้นั้นคอยหาเรื่องนางเนืองนิจ บัดนี้นางต้องมาเป็นบุตรสาวของเขา เรียกเขาว่าท่านพ่องั้นหรือ
นี่มันเรื่องล้อเล่นอันใดกัน!
สีหน้าของเจียงเสวียนจิ่นย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ปรายตามองหลี่ไหวอวี้เล็กน้อยคล้ายว่านึกอันใดออก ทันใดนั้นแววตาก็ดูลุ่มลึกลงราวกับครุ่นคิดบางอย่างอยู่
“ท่านเจ้าเมืองดูคล้ายจะไม่สบายใช่หรือไม่” สตรีสูงศักดิ์นางนั้นไม่ทราบว่าเขากำลังคิดอันใด จึงเอียงกายยอบกายคารวะ เป็นการเชื้อเชิญ “เชิญนั่งพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
เดิมเจียงเสวียนจิ่นตั้งใจว่าส่งนางเสร็จจะไป แต่ตอนนี้เขาไปมิได้แล้ว
“เช่นนั้นต้องรบกวนแม่นางแล้ว” เขากล่าว
“นายท่าน” เฉิงซวีเดินตามอยู่ด้านหลังเขา กระซิบแผ่วเบาอย่างเป็นกังวล “ร่างกายของท่าน…สมควรกลับไปพักผ่อนนะขอรับ”
เจียงเสวียนจิ่นกระแอมไอเล็กน้อย กล่าวด้วยเรียวปากซีดขาว “มิเป็นไร ยามนี้มีธุระที่สำคัญกว่า”
ธุระที่สำคัญกว่าอย่างนั้นหรือ เฉิงซวีนิ่งอึ้งไป ครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของคุณหนูสี่สกุลไป๋กับสกุลเจียง พลันนึกบางอย่างได้ จากนั้นจึงก้มศีรษะไม่กล่าวอันใดต่อ
หลี่ไหวอวี้เรียกสติกลับคืนมา กำลังคิดจะกล่าวบางอย่างกับเจียงเสวียนจิ่น แต่ไป๋เมิ่งซื่อ [1] นางนั้นที่เดินขนาบข้างนางกลับยื่นมือมาผลักนางอย่างรุนแรง ทำให้นางเซถลาไปสองก้าวมาเดินรั้งอยู่ด้านหลัง
“ซี้ด…” หลี่ไหวอวี้มองนางด้วยความไม่เข้าใจ
ไป๋เมิ่งซื่อมิได้สนใจนาง เพียงนำทางแก่เจียงเสวียนจิ่นที่อยู่ด้านหน้าด้วยรอยยิ้มไปพลาง กำชับบางอย่างกับบ่าวรับใช้ด้วยเสียงแผ่วเบาไปพลาง
บ่าวรับใช้ที่ได้รับคำสั่งถลกแขนเสื้อขึ้น มุ่งหน้ามายังหลี่ไหวอวี้
“อ๊ะ จะทำอันใด” นางเบิกตากว้าง
บ่าวรับใช้หลายคนปิดปากนางโดยไม่เหลือโอกาสให้นางได้กล่าวอันใด จับตัวนางไปโดยไม่รอช้า
หากเป็นคุณหนูสี่ในกาลก่อนคงไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ยอมให้จับไปแต่โดยดี ทว่ายามนี้นางคือผู้ใดเล่า ทรราชน้อยแห่งเป่ยเว่ยเชียวนะ องค์หญิงใหญ่ตันหยางที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ทั่วราชสำนักมิอาจต่อกร! มีหรือจะยอมถูกบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คนรังแก
หลี่ไหวอวี้ถีบบ่าวรับใช้ที่ปิดปากนางกระเด็นไปไกลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จับบ่าวรับใช้อีกคนที่ปิดปากนางทุ่มลงพื้นอย่างเลือดเย็น
“พลั่ก” เสียงวัตถุกระแทกพื้นดังขึ้น คนทั้งหลายพากันชะงักฝีเท้า
“พวกเจ้าช่างไม่เจียมตัวเสียจริง คิดจะเล่นไม้นี้กับข้างั้นหรือ” เท้าข้างหนึ่งของหลี่ไหวอวี้เหยียบอยู่บนท้องของบ่าวรับใช้นั้น มือเท้าเอวกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ถามดีๆ มิยอมตอบ บังคับให้บิดา [2] ต้องลงมือ! ยามนี้กล่าวมาเถิด คิดจะทำอันใด”
บ่าวรับใช้ที่ถูกเหยียบอยู่น้ำลายฟูฟ่องท่วมปาก ดวงตาเหลือกขาว ร่างชักเกร็งจนพูดอันใดไม่ออก
เจียงเสวียนจิ่นปรายตามอง ไป๋เมิ่งซื่อหันกลับมาอย่างตกตะลึงเช่นกัน “เกิดอันใดขึ้น”
“เจ้าถามข้าว่าเกิดอันใดขึ้น ข้าก็อยากถามเจ้าเช่นกัน!” หลี่ไหวอวี้เก็บเท้ากลับมา แค่นหัวร่อ ช้อนตาขึ้นมองนาง “คนของข้ามาเป็นแขก เจ้ากลับให้คนจับข้าไป หมายความว่าอย่างไร คิดจะแย่งคนของข้างั้นหรือ”
“ผู้ใดเป็นคนของเจ้า!”
“แย่งคนอันใดกัน!”
เจียงเสวียนจิ่นและไป๋เมิ่งซื่อเอ่ยถามนางพร้อมกัน
หลี่ไหวอวี้แคะหู ยิ้มให้เจียงเสวียนจิ่นก่อน “คนดี นี่เป็นเรื่องจริง มีอันใดต้องเขินอาย” จากนั้นหันไปหรี่ตามองไป๋เมิ่งซื่อ “หากเจ้ามิได้คิดจะแย่งคน ไยจึงต้องลงมือกับข้า”
ไป๋เมิ่งซื่อมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา ลืมแม้แต่จะกล่าวตำหนินางที่เสียมารยาท “เจ้า…เจ้าไม่ปัญญาอ่อนแล้วหรือ”
ไป๋จูจี คุณหนูสี่สกุลไป๋ สามปีก่อนเนื่องจากป่วยด้วยโรคร้ายแรงส่งผลให้พิการทางสมอง นับแต่นั้นก็เหมือนคนไม่เต็มบาท นี่เป็นเรื่องที่คนในจวนตระกูลไป๋ต่างทราบดี ทว่าคนตรงหน้าผู้นี้สวมทับด้วยใบหน้าของคุณหนูสี่สกุลไป๋ แต่กลับมีสติครบถ้วนสมบูรณ์อย่างยิ่ง ไม่เพียงครบถ้วนสมบูรณ์ ซ้ำยังกำเริบเสิบสาน “ข้าไม่ได้ปัญญาอ่อนอยู่แล้ว” นางเบ้ปากใส่ จากนั้นก็ถลาตัวไปหาเจียงเสวียนจิ่นและจับแขนเสื้อเขาไว้แน่น
[1] ซื่อ แปลว่า แซ่ ใช้ต่อท้ายแซ่เดิมของสตรีที่ออกเรือนแล้ว ซึ่งในที่นี้แซ่เดิมของสตรีนางนี้คือ เมิ่ง และมักจะเขียนต่อท้ายนามสกุลของสามี เพื่อให้รู้ว่าเป็นฮูหยินของสกุลใด
[2] คำว่า “บิดา” ในบริบทนี้เป็นคำเรียกตัวเองอย่างภาคภูมิในเชิงคำหยาบ เทียบได้กับคำว่า “กู” ในภาษาไทย