[ทดลองอ่าน] อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 1 บทที่ 2

不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 1

月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน

นกแก้ว
แปล

— โปรย —
โลกมนุษย์ยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นทุกที
แต่คนเป็นมนุษย์เองกลับไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง
ก็ใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าความแปรปวนปั่นป่วนของท้องฟ้า ทะเล อากาศจะเกี่ยวข้องกับปีศาจได้
ถ้า ‘ฝูหลี’ ไม่เริ่มเดินทางมาอยู่ในเมืองหลวงของมนุษย์อย่างจริงจัง
บางทีเขาเองก็คงไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน และเรื่องนี้ก็จะเป็นความลับต่อไป
แต่ในเมื่อวันนี้เขามาแล้ว แถมยังมาเพราะมีความคิดอยากลองรับราชการดูอีกด้วย
ปีศาจแก่เฒ่าเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนบอกว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
แต่เขากลับไม่ลดละความพยายาม จนกระทั่งได้รับโอกาส
ทว่า…โอกาสที่ว่านี้ไม่ใช่ได้รับราชการกับพวกมนุษย์หรอกนะ
แต่เขาต้องไปช่วยปราบปีศาจน่ะ
ก็แหม ใครใช้ให้เขาแสดงฝีมือซะจนใครเห็นก็ต้องเรียกเขาว่า ‘ลูกพี่’ ล่ะ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 2

 

ตอนฝูหลีมาหาผู้รับเหมาจ้าวซานเสียง เขากำลังนั่งล้อมวงดื่มเบียร์กับคนงานชายฉกรรจ์ที่เปลือยท่อนบน บนโต๊ะเล็กๆ วางถุงพลาสติกอยู่หลายใบ ข้างในเป็นพวกเต้าหู้พะโล้ หัวหมู ถั่วลิสงแกะเปลือก และอื่น ๆ

พอเห็นเขามา จ้าวซานเสียงก็วางตะเกียบ ลากเก้าอี้พลาสติกสกปรก ๆ แถวนั้นออกมาพร้อมเรียกเขาอย่างเป็นกันเอง “มา ๆ ๆ มานั่งกินด้วยกัน”

เหล่าชายฉกรรจ์เห็นฝูหลีหน้าตาขาวหมดจด ขาเป็นขา เอวเป็นเอว ก็อดแซวไม่ได้ “ญาติฝ่ายไหนของพี่น่ะพี่จ้าว หน้าตาดีเชียว”

“เฮ้!” จ้าวซานเสียงดึงฝูหลีมานั่งก่อนตอบ “นี่เป็นคนบ้านเดียวกับข้าเอง จะมาทำงานด้วย”

“พวกเราทำงานใช้แรงงานนะพี่ เขาจะทำไหวเรอะ” บรรดาชายฉกรรจ์หัวเราะเฮฮา เห็นชัดว่าล้อเล่นแบบนี้กันเป็นประจำ เดิมพวกเขาคิดจะเล่นมุกใต้สะดือด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมเห็นฝูหลีนั่งเจี๋ยมเจี้ยมเรียบร้อยบนเก้าอี้แล้วกลับกระดากปากเกินจะพูดออกมา

“เห็นขาว ๆ แบบนี้แต่แรงเจ้าหนูนี่ไม่น้อยเลยนา” จ้าวซานเสียงตบบ่าฝูหลีปุ ๆ พลางชี้ไปที่ก้อนหินแถวนั้น “มา แสดงให้พวกอา ๆ ดูหน่อยซิ”

ฝูหลีมองจ้าวซานเสียงเหมือนมีอะไรอยากพูด คนพวกนี้ยังมีชีวิตมาไม่นานเท่าเขาเลย ให้เรียกพวกเขาว่าอา ไม่เอาเปรียบไปหน่อยหรือ

“อย่ามัวอึ้งน่า ไป ไปเปิดโลกพวกเขาหน่อย” จ้าวซานเสียงหยิบตีนเป็ดขึ้นมาแทะด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

“ครับ” ฝูหลีลุกขึ้นเดินไปมองหินทางด้านซ้าย นั่นน่าจะเล็กไปหน่อย เขาหันไปมองหินทางด้านขวาที่ใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งแล้วหันกลับไปมองจ้าวซานเสียงอีกที เมื่อเห็นสายตาสนับสนุนจากอีกฝ่าย เขาก็ก้มลงอุ้มหินทางขวาขึ้นมา

บรรดาชายฉกรรจ์ปากอ้าตาค้าง ไม่ได้สติอยู่พักใหญ่ ๆ “พี่จ้าว คนบ้านพี่น่าจะไปเข้าทีมชาติแข่งยกน้ำหนักสร้างชื่อเสียงให้ประเทศนะ”

หินนี่กะน้ำหนักคร่าว ๆ ก็หลายร้อยจิน[1]เชียวนะ!

จ้าวซานเสียงก็สะดุ้งตกใจไปเหมือนกัน ตอนแรกเขากะให้ฝูหลียกหินก้อนเล็กข้าง ๆ ไม่ได้หวังให้เขาทำลายสถิติโลกสักหน่อย! โลกปีศาจของพวกเขามีกฎอยู่ว่า ห้ามปีศาจแข่งกีฬากับมนุษย์ หากโดนผู้คุมโลกปีศาจพบเข้าได้ถูกจับเข้าซังเตแน่นอน

“ฮ่า ๆ” จ้าวซานเสียงหัวเราะแห้ง ๆ เอ่ยเบี่ยงประเด็น “เจ้าเด็กนี่แรงเยอะตั้งแต่เด็ก แต่เรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง ไม่เหมือนลูก ๆ พวกเอ็งหรอก สอบทีไรก็ได้ห้าอันดับแรกของห้อง”

พอได้ยินคนชมลูกตัวเอง เหล่าชายฉกรรจ์ก็พูดคุยอย่างกระตือรือร้นทันที พากันใช้คำพูดถ่อมตัวอวดลูก

ฝูหลีโยนหินใหญ่ทิ้งแล้วกลับมานั่งข้าง ๆ จ้าวซานเสียงซึ่งหยิบตีนเป็ดขึ้นมาแทะ ถ้าเขามองไม่ผิด ร่างเดิมของจ้าวซานเสียงน่าจะเป็นเป็ดหัวเขียวนะ

จ้าวซานเสียงแทะตีนเป็ดอย่างรวดเร็วและเกลี้ยงเกลา กระดูกที่พ่นออกมาไม่เหลือเนื้อติดสักนิด ฝูหลีอดคิดไม่ได้ว่าเขานี่สมกับเป็นปีศาจบ้านนอกไม่เคยเปิดหูเปิดตา ที่แท้เป็ดไม่เพียงแต่กินพวกเดียวกัน แม้แต่หมูวัวแกะกระต่ายก็ไม่เว้น

จวบจนทุกคนดื่มเบียร์กินเนื้อกันอิ่มหนำสำราญแล้ว จ้าวซานเสียงก็พาฝูหลีกลับห้องเช่าตัวเอง พอกำชับกำชาเด็กหนุ่มไม่กี่ประโยคเสร็จก็ไปนอนกรนดังลั่นดุจฟ้าร้อง

คืนนั้นฝูหลีนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่เพราะตอนกลางคืนจ้าวซานเสียงลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ต่ำกว่าห้ารอบ

ยามแสงแรกของดวงตะวันเริ่มฉาย ฝูหลียืนไหว้เคารพพระอาทิตย์ตรงข้างหน้าต่าง พอหันกลับมาเห็นจ้าวซานเสียงยังหลับอุตุก็ส่ายหัวถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง มนุษย์โลกก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ มีแต่พวกปีศาจนี่แหละที่นับวันยิ่งถดถอย พวกปีศาจประเภทนกที่เขารู้จักเมื่อก่อนทั้งเก่งทั้งขยันขันแข็ง ก่อนนอนไหว้พระจันทร์ ตื่นต้อนรับพระอาทิตย์ ไหนเลยจะเหมือนกับตอนนี้…

จิตใจปีศาจสมัยนี้สู้สมัยโบราณไม่ได้จริง ๆ

 

คนหน้าตาดี ไม่ว่าอยู่ที่ไหนมักมีชัยไปกว่าครึ่ง แม้แต่ที่ไซต์ก่อสร้างก็เหมือนกัน

ในเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ด้วยความหน้าตาดีแถมขยันทำงาน เลิกงานยังนั่งอ่านหนังสือตรงที่พักคนงาน ฝูหลีจึงสร้างความประทับใจให้ใครหลายคน แม้แต่ป้าอ้วนแม่ครัวประจำไซต์ เวลาตักข้าวให้ฝูหลียังจงใจเพิ่มเนื้อให้สองชิ้น

“เสี่ยวหูเอ๊ย อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ” อาจางที่เข้ามาทักเป็นคนฉู่ตง[2] บางครั้งออกเสียง ฝ กับ ห ไม่ชัด แต่ว่านิสัยดีมาก เห็นฝูหลีต้องทิ้งการเรียนมาทำงานตั้งแต่อายุน้อย ๆ เลยให้ลูกชายที่ปิดเทอมฤดูร้อนเอาหนังสือเรียนเก่า ๆ กับสมุดโน้ตมาจากบ้าน

“นี่เป็นสมุดจดโน้ตของลูกชายอา ลองเอาไปดูว่าใช้ได้ไหม” อาจางวางหนังสือกับสมุดโน้ตเก่า ๆ ในมือตรงหน้าฝูหลี

ฝูหลีหยิบมาดู บางเล่มแม้จะเก่า แต่สะอาด อยู่ในสภาพดี ลายมือประณีตบรรจง เห็นได้ชัดว่าเจ้าของทะนุถนอมแค่ไหน

“ขอบคุณครับอาจาง” ฝูหลีวางสมุดหนังสือลงอย่างระมัดระวัง “ผมอ่านเสร็จแล้วจะเอามาคืนนะครับ”

“ไม่ต้องหรอก ปีนี้ลูกชายอาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปเรียบร้อย ไม่ต้องใช้หนังสือพวกนี้แล้ว” สีหน้าอาจางเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม “ไม่กี่วันก่อนเขาได้หนังสือตอบรับจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเมืองหลวงมา มะรืนนี้อากับแม่เขาเลยจะพาไปสำรวจรอบ ๆ เมืองหลวงสักหน่อย จะได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแถวนั้น”

มีหนังสือตอบรับจากมหาวิทยาลัยก็จะได้เรียนมหาวิทยาลัย พอเรียนจบแล้วก็สามารถสอบเป็นข้าราชการได้สินะ

พอคิดถึงตรงนี้ ดวงตาฝูหลีเผยแววเลื่อมใส “ลูกชายอาจางนี่สุดยอดไปเลย” มนุษย์นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งจริง ๆ มีอายุแค่ไม่กี่สิบปี แต่สามารถจดจำความรู้มากมายขนาดนั้นไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่เหมือนเขา ใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่ามาหลายปี

“ไม่ขนาดนั้นหรอก ๆ” ท่าทางเคารพเลื่อมใสของฝูหลีนำความปลื้มใจมาสู่อาจาง ยังไงก็จะลากเด็กหนุ่มไปกินข้าวที่บ้านให้ได้ ฝูหลีปฏิเสธไม่ลงจริง ๆ เลยได้แต่ติดสอยห้อยตามไปด้วย

 

ภรรยาอาจางแซ่หวัง ทำงานที่ไซต์ก่อสร้างนี้เช่นกัน แม้งานก่อสร้างจะทั้งเหนื่อยทั้งลำบาก แต่ขอแค่ทางผู้ว่าจ้างไม่ค้างค่าจ้าง ปีๆหนึ่งก็สามารถเก็บเงินได้ไม่น้อย ปกติสองสามีภรรยากินอยู่อย่างประหยัดจนแทบจะหักเหรียญเป็นสองส่วนแบ่งใช้ แต่เมื่อฝูหลีเปิดม่านเดินเข้าไป กลับพบว่าบนโต๊ะวางกับข้าวหลายอย่าง แถมยังมีเป็ดย่างจานใหญ่

เด็กผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งกำลังวางชามกับตะเกียบพอดี ครั้นเห็นคนแปลกหน้าอย่างฝูหลีก็ชะงัก ก่อนจะยิ้มให้อย่างอาย ๆ แล้วหันตัวกลับไปช่วยน้าหวังเก็บเช็ดเตา

ห้องเช่าเล็กมาก มีเตียงสองหลังกับโต๊ะแบบง่าย ๆ หนึ่งตัว ส่วนที่วางเตาใช้แผ่นไม้กระดานวางประกอบกันตั้งอยู่นอกระเบียง ถังแก๊สตรงมุมระเบียงเปื้อนคราบน้ำมันเต็มไปหมด

“เสี่ยวหูมาแล้วเหรอ มานั่งเร็ว ๆ” พอน้าหวังเห็นฝูหลีก็ก้มลงเช็ดเก้าอี้พลาสติกก่อนเอามาวางตรงหน้า “ยังเหลือกับข้าวอีกอย่าง ใกล้จะเสร็จแล้วละ”

ฝูหลีเอ่ยขอบคุณแล้วนั่งลง

พัดลมตั้งพื้นส่งเสียงครืด ๆ ทว่าไม่ได้ทำให้ภายในห้องเช่านี้เย็นขึ้นสักเท่าไหร่ ข้าวปลายังไม่ทันกิน แผ่นหลังอาจางก็เปียกชื้น เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้าแล้ว ดังนั้นฝูหลีที่ตัวแห้งสนิทตรงหน้าพวกเขาจึงดูเหมือนตัวประหลาด

พอสังเกตเห็นจุดนี้ ฝูหลีก็พยายามทำหน้าให้แดง พร้อมขับเหงื่อให้ผุดซึมออกมาตรงหน้าผาก

ชายวัยกลางคนส่วนใหญ่พอเหล้าเข้าปากทีไรก็พูดมากทุกที อาจางก็เช่นกัน แม้ตอนนี้จะเช่าห้องเก่า ๆ อยู่ แต่ก็มีใจเป็นห่วงอาณาเขตทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศของประเทศ จนอยากเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ลงทัณฑ์พวกกลุ่มผูกขาดอำนาจเสียเอง

ตรงกันข้าม ลูกชายอาจางดูไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่ เอาแต่กินข้าวเงียบ ๆ ฝูหลีแอบสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเติมข้าวถ้วยที่สามแล้ว

หลังจากกินข้าวเสร็จ อาจางกับน้าหวังออกไปซื้อแตงโม ปล่อยให้คนหนุ่มทั้งสองได้สนทนาพูดคุยกัน

จางเผิงลอบมองฝูหลีอยู่หลายที เห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้างมาให้ก็แก้มแดงทันใด เด็กหนุ่มอมพะนำอยู่เป็นนานกว่าจะเปิดปากพูด “พ่อบอกว่า นายเรียนด้วยตัวเองเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหรอ”

ฝูหลีผงกหัว “ใช่แล้ว หนังสือของพวกมนุ…หนังสือสมัยนี้ยากมาก ฉันอ่านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”

“ถ้าตอนเด็กเรียนพื้นฐานมาไม่ดี เนื้อหาของ ม.ปลายก็จะยากหน่อย” พอพูดถึงเรื่องการเรียน จางเผิงก็เริ่มพูดเยอะขึ้น “ไม่งั้นนายลองเรียนเนื้อหาของ ม.ต้นด้วยตัวเองก่อนไหม แล้วค่อยดูของ ม.ปลาย มันจะง่ายขึ้นเยอะ”

“ความหมายของนายคือ ความรู้ ม.ต้นของฉันไม่ค่อยดีใช่ไหม” ฝูหลีจ้องจางเผิงตาโต

จางเผิงกลัวว่าคำพูดตัวเองจะเป็นการทำร้ายจิตใจฝูหลี พอเงยหน้าขึ้นเห็นดวงตากลมโตแวววาวก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ “มะ…ไม่ใช่อย่างนั้น ก็คือ…อาจจะ…เนื้อหาที่นายเรียนเมื่อก่อนมันอาจจะนานมากแล้วเลยลืมน่ะ ไม่ได้หมายถึงนายเรียนไม่เก่งนะ”

สำหรับคนที่ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ค่อยพูดโกหกอย่างจางเผิง การสามารถคิดคำแก้ตัวอย่างสมบูรณ์แบบภายในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีก็นับว่าก้าวหน้ามากแล้ว

“เปล่า ฉันรู้สึกว่านายพูดมีเหตุผลมาก” ฝูหลีพยักหน้าหงึก ๆ “เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อหนังสือ ม.ต้นที่ร้านหนังสือตอนนี้เลย”

“เดี๋ยวก่อน” จางเผิงเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อน “ข้างนอกอากาศร้อนขนาดนี้ ร้านหนังสือก็ไม่แน่ว่าจะมีหนังสือเรียนด้วย นายซื้อทางเน็ตดีกว่า”

“ทางเน็ต?” ฝูหลีอึ้ง “นายหมายถึงในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่มีหนังสือพวกนี้ขายเหรอ”

จางเผิงนึกว่าตัวเองโลกแคบมากแล้ว ไม่นึกว่าจะยังมีคนโลกแคบมากกว่าตนถึงขั้นไม่รู้จักการซื้อของออนไลน์ ได้ยินพ่อบอกว่าฝูหลีกำพร้าทั้งพ่อและแม่ ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในภูเขาห่างไกลมาโดยตลอด ได้แต่ทำงานแบกหามที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อให้ได้เรียนหนังสือ วันเวลาที่ผ่านมาคงผ่านความลำบากมาไม่น้อย

“นายไม่ต้องซื้อหรอก ฉันโทร.หาเพื่อนให้เขาส่งหนังสือเรียนสมัยก่อนมาแทนแล้วกัน” จางเผิงรู้สึกสงสารฝูหลีจับใจ “ไหน ๆ ก็ไม่ได้ใช้หนังสือเก่า ๆ พวกนั้นอยู่แล้ว”

“นั่นจะได้ยังไง” แม้ปากพูดเกรงใจ แต่ฝูหลีก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีของจางเผิง

นั่นก็เพราะ เขา ไม่ มี เงิน

ขณะกำลังพูด จู่ ๆ ฝูหลีก็ได้ยินเสียงวี้ ๆ ดังมาจากทางถังแก๊ส เขาถามจางเผิงอย่างสงสัย “ข้างในถังนั่นใส่อะไรไว้เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงดังขึ้นมา”

จางเผิงหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบลุกขึ้นคว้าแขนฝูหลีลากออกไปข้างนอก “รีบวิ่งเร็ว!”

 

อาจางกับน้าหวังสองสามีภรรยากลับมาจากซื้อแตงโม เห็นคนออเต็มหน้าประตูห้องเช่าตัวเองก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบเบียดฝูงชนเข้าไป “เกิดอะไรขึ้น”

บรรดาผู้เช่ารอบ ๆ ล้วนเป็นคนงานในไซต์ก่อสร้างทั้งนั้น พอเห็นสองผัวเมียกลับมาก็แย่งกันเล่า จับใจความได้ว่าอากาศร้อนจัดเอย ถังแก๊สระเบิดเอย ทำเอาน้าหวังตกใจจนร้องไห้โฮลั่น

“แม่!” แว่นตาจางเผิงตกไปไหนแล้วไม่รู้ เขาเดินออกมาจากฝูงชน ประกายตาดูหม่นลง “ผมไม่เป็นอะไรครับ”

จังหวะที่ถังแก๊สระเบิด ฝูหลีกันเขาไว้ข้างหลังตัวเอง ดังนั้นนอกจากเข่าถลอกแล้ว เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น พอคิดถึงภาพเด็กหนุ่มกำพร้าพ่อแม่ผู้รักการเรียนเลือดอาบตัว ถูกหามขึ้นรถพยาบาลไป ดวงตาจางเผิงก็แดงก่ำ

เขาติดหนี้ชีวิตอีกฝ่ายแล้ว

 

ณ แผนกเฝ้าระวังปีศาจ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่กำลังพิมพ์งานได้รับรายงานจากปีศาจพลเมืองดี

“มีปีศาจพลเมืองดีโทร.มาแจ้งว่า เกิดเหตุระเบิดบริเวณไซต์ก่อสร้างฝั่งตะวันตกของเมือง พร้อมกับมีปราณปีศาจแผ่ออกมา เขาสงสัยว่าจะเป็นปีศาจออกอาละวาด”

 

[1] หน่วยวัดน้ำหนักของจีน เท่ากับประมาณครึ่งกิโลกรัม

[2] ชื่อเมืองสมมุติ อ้างอิงมาจากรัฐฉู่

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า