[ทดลองอ่าน] อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 3 บทที่ 99

不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 3

 

月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน

นกแก้ว
แปล

 

— โปรย —

ที่สุดแล้วไม่ว่าเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ล้วนต้องการใครสักคนอยู่ข้างกาย
ฝูหลีเองก็เข้าใจข้อนี้ดี และดีใจที่ตนเองมีจวงชิงอยู่ข้าง ๆ
แต่ข่าวลือต่าง ๆ ที่ปรากฏในโลกออนไลน์กับในโลกผู้ฝึกตนนั่นมากไปหรือเปล่า
นี่เราเป็นแค่ ‘เพื่อนร่วมงาน’ และ ‘พี่น้อง’ กันเท่านั้นนะ
ทว่าสิ่งที่ถูกลือไปนั้นกลับเป็น ‘…’
แบบนี้แล้วจวงชิงจะไม่โกรธเกลียดจนตีตัวออกห่างเขาไปหรอกเหรอ
แต่ก็ไม่นี่…นอกจากไม่ออกห่างแล้วยังขยับมาใกล้ชิดมากเกินไปด้วยซ้ำ
ทั้งสองควรใส่ใจกับการจัดการเหล่าปีศาจมากกว่านี้นะ
ควรตั้งใจทำงานและใส่ใจสายตาของเพื่อนร่วมงานมากกว่านี้ด้วย
ทว่ามังกรทองตนนี้บทจะเอาจริงขึ้นมา เขาจะห้ามอีกฝ่ายได้ยังไงล่ะเนี่ย!

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 99

 

เรื่องใหญ่อย่างการผ่านด่านจิตใจเก้าประการสำเร็จกลับไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ว่าร่างเดิมเป็นกระต่ายหรือเปล่าเนี่ยนะ

คุนเผิงหันไปเหลือบมองกงฟู่ ก่อนจะโบกมือเสกให้เครื่องเรือนภายในห้องกลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้นหยิบพรมจากถุงเฉียนคุนมาปูบนพื้นแล้วลงนั่งขัดสมาธิ “เรื่องนี้ถามข้าไปก็เปล่าประโยชน์ ถามกงฟู่นู่น”

จวงชิงเห็นฝูหลีทำท่าจะลงจากอ้อมกอดเขาก็ยึกยักครู่หนึ่ง ทว่าหาได้ปล่อยมือไม่ กลับหย่อนตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพรมตามอย่างคุนเผิง

ฝูหลีซึ่งดูคุ้นชินกับการมีคนอุ้มอยู่แล้ว ไม่นานก็หาอิริยาบถสบาย ๆ นอนในอ้อมแขนจวงชิงดี ๆ

ขณะลูบขนปุกปุยบนหลังฝูหลี จวงชิงอดคิดไม่ได้ว่าตอนนั้นใครกันที่เป็นคนอุ้มฝูหลีบ่อย ๆ ถึงทำให้อีกฝ่ายชินกับการถูกคนอุ้มแบบนี้ จะเป็นพวกปีศาจบนบรรพตเงาหมอกเหล่านั้น หรือว่า…มนุษย์ที่ฝูหลีเรียกว่า ‘สัตว์เลี้ยง’ คนนั้น

กงฟู่เดินเข้ามาในห้อง พอเห็นสีขนฝูหลีที่ช่างสวยนักก็อดเอื้อมมือไปลูบไม่ได้

“ใต้เท้ากงฟู่” จวงชิงยื่นมือสกัดมือกงฟู่ทันที “ฝูหลีเป็นปีศาจที่เกิดสติปัญญาแล้ว เกรงว่าทำเช่นนี้จะไม่ค่อยเหมาะ”

“ผู้ใหญ่จะลูบขนเด็กสักหน่อย เขาเรียกลูบด้วยความเอ็นดู มีตรงไหนไม่เหมาะ” กงฟู่แสร้งไม่เข้าใจคำพูดจวงชิงแล้วเบี่ยงมือไปแปะหัวฝูหลีแทน ที่ไหนได้ จวงชิงเร็วกว่า จับฝูหลีแนบเข้าอ้อมอก

กงฟู่ถอนหายใจ นั่งลงข้างคุนเผิง “ปีศาจเด็กสมัยนี้นับวันชักจะไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่”

จวงชิงผู้ฟังฝูหลีบ่นอย่างนี้มานานแล้วก็ก้มหน้ามองฝูหลี ส่วนฝูหลีหันหน้าเข้ากำแพง ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น จวงชิงอดบีบหูเจ้ากระต่ายไม่ได้ จากนั้น…ก็บีบอีกที เพราะสัมผัสนุ่ม ๆ นั่นมันรู้สึกดีมากจริง ๆ

ปีศาจตนอื่น ๆ ในตึกที่ถูกเหตุการณ์กะทันหันทำให้ไม่กล้านอนหลับอย่างสงบนอนจ้องหน้าต่างว่าง ๆ อยู่เนิ่นนาน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ดังมาอีก พวกเขาจึงสะบัดเศษกระจกบนผ้าห่มร่วงลงพื้นและพลิกตัวนอนหลับต่อ

ต่างก็อยู่ในโลกผู้ฝึกตน บนเตียงมีเศษกระจกนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นไรไป

ปีศาจสี่ตนนั่งล้อมเป็นสามเหลี่ยม ฝูหลีหยิบเครื่องดื่มสี่กระป๋องจากถุงเฉียนคุน ใช้เท้าหน้าดันสองกระป๋องไปฝั่งตรงข้าม อีกสองกระป๋องที่เหลือแบ่งกันระหว่างเขากับจวงชิง คุนเผิงมองจวงชิงช่วยฝูหลีเปิดฝากระป๋องแล้วยังเสียบหลอดให้ก็อดไม่ได้ กระซิบกระซาบในใจกับกงฟู่ว่า “วาสนาคุณชายแท้ ๆ ขนาดมังกรเคร่งขรึมอย่างจวงชิงยังมีความอดทนทำเรื่องพวกนี้ให้ได้”

กงฟู่เปิดกระป๋องกระดกดื่มอึกหนึ่งโดยไม่สนใจคุนเผิง หากแต่ถามรายละเอียดและเหตุการณ์เกี่ยวกับด่านเคราะห์ของฝูหลี หลังฟังช่วงที่ฝูหลีถกเถียงกับ ‘จิตวิญญาณแห่งเต๋าปลอม’ จบก็พลันรู้สึกยินดีในความโชคดีนี้

“อย่าไปฟังคุนเผิงพูดที่รู้สึกว่าเจ้าผ่านด่านเคราะห์ได้ง่ายดาย” กงฟู่วางกระป๋องเครื่องดื่มลง ใบหน้างดงามเคร่งขรึม “ความโลภเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิด แค่บางส่วนโลภมาก บางส่วนโลภน้อยเท่านั้น ที่เจ้าสามารถผ่านด่านเคราะห์ได้สบาย ๆ หาใช่เพราะโชคช่วย แต่เพราะเจ้ามีจิตใจที่เรียบง่ายและแน่วแน่ อย่างเช่นเคล็ดวิชาที่ทำให้สิ่งมีชีวิตคืนชีพได้นั้น สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแล้วน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง ใครเล่าไม่มีผู้จากไปที่คิดถึง ใครเล่าไม่เคยมีความคิดที่ว่า ‘หากเขายังมีชีวิตอยู่ก็คงดี’ ”

ฝูหลีซึ่งได้รับการฟูมฟักตั้งแต่เล็กจนโต วันนี้ต้องมาใช้ชีวิตข้างนอกเพียงลำพัง มีหรือจะไม่เคยคิดถึงญาติพี่น้องมิตรสหาย

อย่างเช่นการที่ญาติพี่น้องปรากฏตัวอีกครั้งในด่านจิตใจด่านที่แปด สำหรับฝูหลีแล้วเหมือนเป็นเหยื่อล่อชั้นดี หากเขาไม่สามารถยึดมั่นในจิตวิญญาณแห่งเต๋า เกรงว่าคงหลงไปกับโลกมายาอันสวยงาม ไม่อาจออกมาได้อีก

ด่านเคราะห์แปดด่านแรกยังนับว่าไม่เท่าไหร่ ที่อันตรายจริง ๆ คือด่านที่เก้า หากสภาพจิตใจฝูหลีตอนเลือกประตูสู่ตำหนักเทพเซียนและถกเถียงกับจิตวิญญาณแห่งเต๋าเกิดสั่นคลอนเพียงชั่วเสี้ยว ก็คงจมดิ่งอยู่ในฝันร้ายไม่ตื่น สุดท้ายตัวตายพลังตบะสลาย

ทุกด่านดูเหมือนง่ายดาย ทว่าอันตรายยิ่งนัก กงฟู่ถึงขนาดอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าฝูหลีไม่ได้เจอกับปีศาจที่สั่งสอนเลี้ยงดูเขามาเหล่านั้น เขาอาจกลายเป็นจอมปีศาจผู้ที่ปีศาจทั้งปวงศิโรราบก็เป็นได้ กระนั้นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกลับดีเสียกว่า มีเพื่อน มีชีวิต ซ้ำยังมีความคิดอยากสอบข้าราชการ เป็นจอมปีศาจแล้วดีตรงไหน ที่มีชีวิตรอดใต้สายตาของสวรรค์ล้วนแล้วแต่เป็นพวกขี้ขลาด รู้จักเจียมตัวไม่ใช่หรือ กลายเป็นจอมปีศาจไปในขณะที่ความรุ่งโรจน์ของโลกปีศาจในอดีตไม่เหลือแล้ว สุดท้ายเกรงว่าคงต้องตายด้วยน้ำมือสวรรค์อยู่ดี

“เจ้า…ไม่ใช่กระต่ายธรรมดาจริง ๆ นั่นแหละ” กงฟู่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ตอนข้ายังไม่กลายเป็นจอมปีศาจและอาศัยอยู่วังชิงหลงกับท่านพ่อ ท่านพ่อเคยเล่าให้ข้าฟังว่า บนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตนามว่าโห่ว ได้รับพลังวิญญาณฟ้าดินรวมตัวกลายเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม ร่างกายเกิดจากหินห้าสี ร่างแรกเล็กดั่งหนูกระต่าย หากมีวาสนาเติบโตเต็มวัย ร่างจักกลายเป็นดั่งกระต่ายสุนัข ทรงพลังอานุภาพ กลายเป็นเจ้าผู้อยู่เหนือทั้งปวง

“อย่างไรก็ตาม หินห้าสีช่างหายากยิ่งนัก อีกทั้งมีพลังวิญญาณเท่าไหร่กันเชียวที่สามารถรวมตัวกลายเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมได้ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่กำเนิดโลกมาจนถึงปัจจุบันจึงมีแต่เจ้าตนเดียวเท่านั้น” รอยยิ้มกงฟู่อ่อนโยนขึ้น “พูดตามภาษาปัจจุบัน เจ้าก็คือสัตว์หายากของโลกผู้ฝึกตน”

กงฟู่ยื่นมือไปทางหัวฝูหลีอีกครั้ง แล้วก็ถูกจวงชิงสกัดอีกครั้งเช่นเดิม

รอยยิ้มบนใบหน้ากงฟู่แข็งค้าง อุตส่าห์บอกข้อมูลสำคัญให้ขนาดนี้แล้ว ทำไมเจ้ามังกรตนนี้ถึงยังไม่ตกใจจนลืมเรื่องนี้อีกนะ

“ดูเหมือนมีอะไรไม่ถูกต้องนะ” ฝูหลีกัดหลอดแล้วดูดน้ำสองสามอึก “ในเมื่อตอนนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างข้าน้อยกำเนิดขึ้น แล้วเหตุใดท่านเทพมังกรจึงรู้ว่าสิ่งมีชีวิตอย่างข้าเรียกว่าโห่ว หรือว่าท่านเทพมังกรอาศัยว่าเป็นเทพผู้ปกปักแผ่นดินทิศหนึ่งเมื่อนับนิ้วทำนายได้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดกำเนิดใหม่เมื่อไหร่ จึงตั้งชื่อส่ง ๆ ล่วงหน้าไว้สักชื่อ”

กงฟู่ “…”

ปัญหานี้กงฟู่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเหมือนกัน แม้ในใจจะแอบเห็นด้วยกับที่ฝูหลีพูด ทว่าย่อมไม่อาจให้ท่านพ่อเสียหน้าต่อหน้าเด็กรุ่นหลังได้ “แน่นอนว่าไม่ใช่ การกำเนิดของสรรพสิ่งบนโลกล้วนมาพร้อมโชคชะตา ชื่อเรียกของเผ่าพันธุ์จึงย่อมมาพร้อมกับพรจากฟ้าดินด้วย จะตั้งส่งเดชได้อย่างไร เจ้ากำเนิดมาทีหลัง ทั้งยังอายุน้อย ไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”

ฝูหลีพยักหน้าอย่างคล้อยตาม ที่แท้ชื่อเผ่าพันธุ์ของปีศาจก็ละเอียดอ่อนขนาดนี้ เขามองอุ้งเท้าปุกปุยของตัวเองก่อนจะคอตกในทันใด

จวงชิงซึ่งคอยสังเกตอีกฝ่ายตลอด เห็นเขาจู่ ๆ ก็ห่อเหี่ยวจึงรีบปลอบด้วยการลูบขนบนตัวฝูหลี “เป็นอะไรไป”

ฝูหลีผินหน้ามองจวงชิงพลางยกอุ้งเท้าปิดหน้า ถามอย่างขัดเขินนิด ๆ “ชะ…เช่นนั้นโห่วเป็นสัตว์มงคลหรืออสูรร้ายหรือขอรับ”

กงฟู่ชะงักเล็กน้อยด้วยคิดไม่ถึงว่าฝูหลีจะถามคำถามนี้ มันนึกว่าฝูหลีจะถามคำถามเช่นว่า ‘โห่วต้องฝึกบำเพ็ญอย่างไร มีความร้ายกาจตรงไหนกันแน่ถึงจะเป็นเจ้าเหนือทั้งปวงได้’

“ทำไมถึงถามเช่นนี้เล่า” กงฟู่ยิ้มหน้าชื่นตาบานราวกับพบเรื่องน่ายินดีที่สุดในชีวิต

ฝูหลีถูกรอยยิ้มกงฟู่ทำให้ขวยอายเข้าไปใหญ่ รู้สึกว่าคำถามของตัวเองเด็กน้อยเกินไปจริง ๆ เขาเอาหน้าซุกวงแขนจวงชิงพร้อมกับกล่าว “ตามระเบียบของโลกผู้ฝึกตน อสูรร้ายโดยกำเนิดไม่สามารถสอบรับราชการในโลกมนุษย์ ต่อให้คะแนนดีแค่ไหนก็ไม่ได้”

เมื่อฟังดังนี้แล้วกงฟู่จึงหัวเราะเสียงดังลั่น จนกระทั่งจวงชิงทนไม่ไหวถลึงตาใส่ กงฟู่ถึงกลั้นเสียงหัวเราะแล้วตอบยิ้มๆว่า “แน่นอนว่าเจ้าเป็นสัตว์มงคล ไม่มีปีศาจตนไหนมงคลเกินไปกว่าเจ้าแล้ว”

ฝูหลีกะพริบตา ตอบยิ้มๆอย่างพออกพอใจ “เช่นนั้นก็ดี”

เขาจะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบรับราชการต่อ

“เจ้าเพิ่งผ่านด่านเคราะห์มา พักผ่อนดี ๆ เถิด ข้ากับเจ้าสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกกลับก่อน ไม่อยู่กวนเจ้าแล้ว” กงฟู่ดึง ๆ แขนเสื้อคุนเผิง “ไปเถอะ”

เดิมคุนเผิงอยากจะนั่งกับฝูหลีต่ออีกหน่อย ที่ไหนได้ กงฟู่กลับลากมันออกไปอย่างกับปลาตายต่อหน้าเด็กรุ่นหลังโดยไม่ไว้หน้ามันสักนิด มันโมโหจนโวยวายไม่หยุด “อย่าดึง ๆ นี่มันเสื้อใหม่ข้านะ”

ตอนนี้พวกมันไม่มีเงินเดือน เป็นผู้ใหญ่ที่อาศัยเด็กเลี้ยงดู กินฟรี ดื่มฟรี ลำพังเรื่องกินก็สิ้นเปลืองมากอยู่แล้ว อย่างน้อยด้านเสื้อผ้าอย่างไรประหยัดหน่อยก็น่าจะดีกว่า

“ช่วงเวลาน่ายินดีแบบนี้ปล่อยให้เด็ก ๆ เขาอยู่กันตามลำพังไม่ได้หรือ” กงฟู่ปล่อยอีกฝ่ายทิ้ง

คุนเผิงกลิ้งกับพื้นหนึ่งตลบแล้วลุกขึ้นพลางปัด ๆ ก้น

“เด็กมันผ่านด่านเคราะห์สำเร็จทั้งที พวกเราในฐานะผู้ใหญ่ก็ควรจะชี้แนะสักสองสามอย่าง อย่างน้อยก็มอบของขวัญแสดงความยินดีหน่อย เจ้าลากข้าออกมา คิดจะประหยัดของขวัญหรือไงฮึ!” คุนเผิงไม่กลัวที่จะประเมินกงฟู่ในแง่ร้ายที่สุด

“หัวเจ้ามีผมไม่กี่เส้นอยู่แล้ว ไม่กลัวว่าหัวจะสว่างแยงตาชาวบ้านเขาหรือไร[1]” พัดด้ามจิ้วปรากฏบนมือกงฟู่แล้วตบแปะ ๆ ลงบนหัวคุนเผิง “ดูจากที่มังกรน้อยปกป้องฝูหลีแน่นหนาขนาดนั้น เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ

“สองคนนั่นเป็นคู่กันน่ะสิ”

แอ๊ด…

เสียงประตูห้องเปิดดังขึ้นด้านหลังทั้งสอง ซ่งอวี่ยื่นหน้าออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ใต้เท้าทั้งสองอยากเข้ามาดื่มชาสักถ้วยไหมขอรับ”

คุนเผิงกับกงฟู่ชะงัก ตอนนี้ถึงเพิ่งคิดได้ว่าห้องพวกมันอยู่ชั้นบนของห้องฝูหลี ไม่ใช่ชั้นล่าง คุนเผิงจัด ๆ เสื้อผ้าแล้วกระแอมไอ “ไม่ต้องหรอก พวกข้าได้เวลากลับไปพักผ่อนแล้ว”

“เช่นนั้น…เดินดี ๆ นะขอรับ” ซ่งอวี่กลัวเหลือเกินว่าลูกพี่ทั้งสองจะตีกันหน้าห้องตัวเองขึ้นมา

คุนเผิงปรายตามองซ่งอวี่ที่ตัวสั่นงันงกก่อนจะหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วหันหน้าเดินขึ้นชั้นบน ไม่อยากจะยอมรับว่าเจ้าซวนอวี่ตนนี้เป็นปีศาจที่เหลือรอดจากยุคบรรพกาลเหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายใจปลาซิวเล็กเสียยิ่งกว่าปลายเข็ม

หลังลากกงฟู่เข้าห้องตัวเองเรียบร้อย คุนเผิงร่ายอาคมกันเสียงในห้อง “เจ้าโกหกเขา”

“โกหกใคร” กงฟู่เอนตัวนอนบนพื้นอย่างเกียจคร้าน

“เจ้ากระต่ายน้อยฝูหลีนั่น” คุนเผิงพูดเสียงเฉียบขาด “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าโห่วที่แท้จริงเป็นสัตว์อสูรได้อย่างไร แต่ก็ไม่ใช่สัตว์มงคลแต่กำเนิดแน่ ก่อนหน้านี้เจ้ายัง…”

“สัตว์มงคลแล้วอย่างไร อสูรร้ายแล้วอย่างไร” กงฟู่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ทุกวันนี้ข้าปลงตกแล้ว จะสัตว์มงคลหรืออสูรร้ายก็แค่มีพลังพิเศษแต่กำเนิดเท่านั้น อสูรร้ายก็ใช่ว่าจะชั่วช้าเลวทรามเสมอไป สัตว์มงคลก็ใช่ว่าจะยึดมั่นคุณธรรมทุกตน ในเมื่อฝูหลีดีใจที่ตัวเองเป็นสัตว์มงคล เช่นนั้นเขาก็คือสัตว์มงคล เจ้ามีความคิดเห็นอื่นหรือ”

คุนเผิง “เปล่า เจ้าพูดได้ดี”

ในที่สุดเจ้ามังกรไร้ยี่ห้อนี่ก็พูดจาเข้าท่าสักที

 

หลังจากคุนเผิงกับกงฟู่จากไปแล้วซ่งอวี่ก็พรูลมหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนึกถึงบทสนทนาที่แอบฟังเมื่อครู่แล้วพลันรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวชอบกล

ลูกพี่ฝูหลีของมันคบหากับมังกรทองตนนั้นแล้ว?

ที่ชั้นเดียวกับซ่งอวี่มีปีศาจอยู่ทั้งหมดสามตน หลังจากช่องประตูห้องหนึ่งปิดแน่นสนิท กลุ่มแชตกลุ่มหนึ่งก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที

ยอดกระบี่ไร้เทียมทาน : [อย่าเพิ่งนอน ๆ ความรักระหว่างพี่ฝูกับเจ้านาย ขนาดจอมปีศาจบรรพกาลกงฟู่ยังรับรู้แล้วเลยนะ]

ปิ่นประจำกายจักรพรรดินี : [อย่าเล่นอะไรไม่เข้าเรื่องกลางดึกกลางดื่นน่า]

ยอดมัจฉาอันดับหนึ่งในใต้หล้า : [เมื่อครู่…ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน]

เรื่องนี้เดิมเป็นเพียงเรื่องล้อกันเล่นจริงครึ่งเท็จครึ่งของทุกคน แต่พอได้ยินท่านกงฟู่พูดเองแบบนี้ พวกเขาถึงกล้ายืนยันว่าที่แท้เจ้านายก็คบหากับพี่ฝูแล้วจริง ๆ

เคอสุดเท่ : [เรื่องดีนะ เจ้านายคบกับพี่ฝูแล้ว ไม่แน่อาจจะใจกว้างขึ้น]

แม่นางย่วนผู้งามล่มเมือง : [เหอะ ๆ นายคิดเยอะเกินไปแล้ว ปกติผู้ชายขี้งกพอแต่งงานไปจะขี้งกยิ่งกว่าเดิม เพราะต้องประหยัดเงินมากขึ้นเอาไปเลี้ยงแฟนต่างหาก]

ยอดกระบี่ไร้เทียมทาน : [มนุษย์สองคนนี่ยังไม่นอนเหมือนกันเหรอ]

แม่นางย่วนผู้งามล่มเมือง : [เสียงดังกันขนาดนี้ นอนไม่หลับแล้ว]

ปิ่นประจำกายจักรพรรดินี : [นอนไม่หลับก็ดี ฉันมีขนมอยู่ ไว้เดี๋ยวไปหา]

แม่นางย่วนผู้งามล่มเมือง : [ได้เลย ฉันซื้อลิปสติกใหม่มา เธอรีบมาลองสีดู]

ฉาวอวิ๋นเปิดประตูห้อง เมื่อเห็นไฟตรงทางเดินถูกแรงสั่นสะเทือนจนพังหมดทุกดวง ผนังเริ่มหลุดล่อนก็แอบตกใจ อาคารนี้วางค่ายกลรักษาความปลอดภัยไว้ ต่อให้ปีศาจระเบิดพลังวิญญาณ อย่างมากก็ทำลายภายในห้องตัวเองเท่านั้น ไม่มีทางทำให้ตึกทั้งหลังกลายเป็นสภาพนี้ได้เด็ดขาด

เธอเงยหน้ามองเหนือโถงทางเดิน เท้าเหยียบย่างเศษกระจกบนพื้นส่งเสียงกรอบแกรบ ก่อนจะก้มหน้ามองใต้ฝ่าเท้า แล้วเลี้ยวเดินไปทางห้องของสวีย่วน

 

ข้างหน้าต่างโล่งว่าง ครั้นฝูหลีพบว่าไม่สามารถใช้อิทธิฤทธิ์เสกกระจกกลับคืนสู่สภาพเดิม เขาเหลือบมองจวงชิงอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้างโดยไม่ส่งเสียงอะไร

“กระจกพวกนี้ลงอาคมไว้ พอแตกแล้วเลยไม่สามารถคืนสภาพเดิมได้” แม้ตอนนี้ใบหน้าฝูหลีจะเป็นกระต่าย ทว่าจวงชิงก็ยังมองความคิดในใจอีกฝ่ายออก “กระจกแตกไปกี่บานเดี๋ยวผมจะให้ฝ่ายบัญชีคำนวณให้ ทรัพย์สินที่เสียหายผมจะให้ทางฝ่ายบัญชีหักจากเงินเดือนคุณ”

“อือ” ฝูหลีคิดในใจ ถ้าหักแบบนี้ต่อไปไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่ปีถึงจะได้เงินเดือน

“ทว่าอาคมพวกนี้ผมเป็นคนร่ายเอง เพราะฉะนั้นผมไม่เก็บค่าแรงแล้วกัน” จวงชิงอุ้มฝูหลียืนขึ้น “ไม่มีหน้าต่างแบบนี้คงอยู่ไม่สะดวก ผมพาคุณไปนอนบ้านผมชั่วคราวดีกว่า ไว้ติดตั้งหน้าต่างเสร็จแล้วค่อยย้ายกลับมา”

“แล้วคนอื่น ๆ ในตึกล่ะจะทำยังไง” ฝูหลีรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

“พวกเขามีที่อยู่ของตัวเองกัน คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ฝูหลีเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า ที่แท้นอกจากตัวเองแล้ว เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในแผนกเขามีบ้านเป็นของตัวเองกันหมด ณ เวลานี้เขาเผลอลืมนึกถึงพวก ‘เกาะเด็กกิน’ อย่างกงฟู่กับคุนเผิงไปเสียสนิท

“พวกเราเดินกลับกันเถอะ” จวงชิงเดินออกนอกกรมควบคุมแล้วเงยหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าพลางพูดกับฝูหลี “คุณติดขัดอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีปัญหา เอาที่คุณสบายใจก็พอ” ฝูหลีกวัดแกว่งหาง ไหน ๆ เขาก็ไม่ได้เป็นคนเดินเองอยู่แล้ว

หลังจากเดินเงียบ ๆ มาได้สักระยะ จวงชิงก็พรูลมหายใจยาว “ถึงจะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี แต่ยังไงก็แสดงความยินดีที่ตบะคุณรุดหน้านะ”

“ขอบคุณ” ฝูหลีเกยหัวกับไหล่จวงชิง “ลางสังหรณ์ผมแม่นอย่างว่า ที่แท้ผมไม่ใช่กระต่ายธรรมดาจริง ๆ ด้วย แต่เป็นโห่ว คุณเคยอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับโห่วหรือเปล่า”

“ไม่เคย ผมเคยได้ยินแต่สัตว์ปีศาจชนิดหนึ่งชื่อจินเหมาโห่ว มันคือโห่วขนทอง แต่ไม่เหมือนกับคุณ” ลมโชยมาค่อนข้างหนาวทำให้จวงชิงโอบกำบังฝูหลีแน่นยิ่งขึ้น “คุณสุดยอดกว่าสัตว์ปีศาจตนนั้นเยอะ”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น”

จวงชิงขำกับความหน้าไม่อายของฝูหลี ชายหนุ่มยิ้มไม่บ่อยนัก ยามยิ้มก็ยิ้มไม่กว้างเท่าใดนัก จึงให้ความรู้สึกเย็นชาไม่ชวนเข้าใกล้ หากแต่ทรงเสน่ห์เย้ายวน เสียดายก็แต่ฝูหลีไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น หรือต่อให้เห็นก็คงไม่เข้าใจความงามนี้

“ตอนนี้ผมเป็นจอมปีศาจแล้ว ต่อไปถ้ายังมีปีศาจออกมาอาละวาดอีกคุณก็ไม่ต้องออกมาขวางผมแล้วนะ เป็นมังกรทองดี ๆ อยู่แล้ว อย่าได้เปลี่ยนเป็นมังกรขนล้านเลย” ฝูหลีใช้อุ้งเท้าหน้าตบ ๆ บ่าจวงชิง “บางครั้งคุณก็มีสิทธิ์พักผ่อน แอบอู้ได้บ้าง ภาระหนักอึ้งของโลกผู้ฝึกตนไม่ควรให้คุณแบกรับไว้คนเดียว”

“ถ้าผมไม่แบกรับแล้วบรรดาปีศาจน้อยในโลกผู้ฝึกตนจะมีที่ไหนให้พักพิง อีกทั้งไม่รู้ว่าจะมีปีศาจไม่รู้ความออกมาอาละวาดมากน้อยแค่ไหน” จวงชิงเอามือรองใต้ก้นฝูหลี “ผมเองก็ไม่มีห่วงอะไร มีงานให้ทำชีวิตจะได้มีสีสันขึ้นมาบ้าง”

“ไม่เป็นไร ต่อไปผมจะช่วยคุณแบกรับเอง” ฝูหลีตบ ๆ อุ้งเท้าบนบ่าจวงชิงอีกรอบ “ตอนนี้ผมเป็นจอมปีศาจ ภายภาคหน้ามีเรื่องอะไรผมจะปกป้องคุณเอง ไม่ให้คุณรู้สึกเบื่อ”

จวงชิงหยุดฝีเท้ากึก “จริงเหรอ”

“จริงสิ”

“คุณจะอยู่กับผมไปตลอด?”

ฝูหลีตอบ “ผมดูเป็นปีศาจหลอกเด็กเหรอ”

จวงชิงหัวเราะในลำคอ ไม่ได้แย้งฝูหลีว่าอีกฝ่ายก็เพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเหมือนกัน “ขอบคุณ”

“ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราคนกันเองอยู่แล้ว”

“จริงด้วย พวกเรา…” จวงชิงลูบขนนุ่ม ๆ บนหลังฝูหลี “พวกเราไม่แบ่งแยกใครเป็นใครอยู่แล้ว”

“โย่ว! พี่ชาย” ในตอนนี้เอง เด็กหนุ่มสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาข้าง ๆ จวงชิง ก่อนจะหยุดรถแล้วตะโกนเสียงดัง “พี่นี่ดีกับสัตว์เลี้ยงจังเลยนะ! อุ้มไม่เมื่อยเหรอ”

“หน้าหนาวอากาศหนาว พื้นก็สกปรก แถมเขาก็เริ่มง่วงแล้ว อุ้มเอาสะดวกกว่าน่ะ” จวงชิงตอบคำถามคนแปลกหน้าอย่างอารมณ์ดี

“พี่ชายโอ๋มันน่าดูเลย” เด็กหนุ่มยกนิ้วโป้งให้จวงชิง

“ช่วยไม่ได้ เพราะชอบเลยทำใจเห็นเขาลำบากไม่ลง” จวงชิงเอ่ยยิ้มๆ

รอจนเด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์จากไปแล้ว ฝูหลีถึงได้พูดอย่างฮึดฮัด “มนุษย์สองคนนั้นตาไม่มีแววเสียเลย ผมดูเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ต้องการคนเลี้ยงดูเหรอ”

“พวกเราอย่าลดตัวไปถือสาหาความกับมนุษย์โง่เขลาพวกนั้นเลย”

ฝูหลีวางหัวลงที่เดิม ทว่าหลังจากผ่านความตื่นเต้นเมื่อครู่ไป ตอนนี้ก็ชักรู้สึกง่วงขึ้นมาจริง ๆ อ้อมแขนของมังกรน้อยจวงทั้งอบอุ่นทั้งมั่นคง หากไม่เพราะตอนนั้นเขาสัญญากับสัตว์เลี้ยงคนนั้นไว้ว่าจะไม่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงอีก เขาละก็อยากจะเลี้ยงมังกรน้อยจวงด้วยอีกตน

ผู้เฒ่าวานรขาวเคยบอกว่า ‘เพื่อนที่เห็นเพื่อนลำบากไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีแน่นอน’

“ฝูหลี…

“ฝูหลี?”

จวงชิงตบ ๆ ตัวฝูหลีที่ผล็อยหลับไป ก่อนจะส่ายหัวพลางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

หลับไปทั้งอย่างนี้จริง ๆ ด้วย ดูท่าที่ผ่านด่านจิตใจเก้าประการมา ที่รุดหน้ามีแต่พลังตบะ ส่วนสมองยังคงเหมือนเดิม

โง่ขนาดนี้แต่ยังมีชีวิตรอดมาจนป่านนี้ได้ อาศัยโชคล้วน ๆ สินะ

 

[1] คนจีนจะเปรียบก้างขวางคอคู่รักว่าเป็นเหมือนหลอดไฟ ในที่นี้กงฟู่จึงถือโอกาสเหน็บแนมหัวล้าน ๆ ของคุนเผิงว่าเป็นเหมือนหลอดไฟ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า