[ทดลองอ่าน] Drunk on You (th) เพราะนายคือ AWM ของฉัน ตอนที่ 5

AWM 绝地求生
Drunk on You (th) เพราะนายคือ AWM ของฉัน

 

 

漫漫何其多 ม่านม่านเหอฉีตัว เขียน
จิ้งจอกธารา แปล

 

— โปรย —

ฉีจุ้ย หรือ Drunk เทพแห่งวงการอีสปอร์ต
กัปตันทีมนักแม่นปืนผู้วางแผนเกมเป็นเลิศ
หากเขาได้ปืนสไนเปอร์ปีศาจอย่าง AWM มาครอบครอง
ศัตรูที่หมายตาย่อมไม่มีทางหลุดรอด
ทว่าอวี๋หยาง หรือ Youth หนุ่มนักแข่งอีสปอร์ตสุดน่ารัก
ผู้เป็นดุจปืน AWM หายากและเสนล้ำค่าของเทพฉี
กลับมาหลอกให้เขารักแล้วหักอกกันซะได้
แทนที่อีกฝ่ายทำร้ายใจเขาแล้วจะหนีไปให้ไกล
กลับพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสโมสรเดียวกับเขาเสียอย่างนั้น
คราวนี้มีหรือฉีจุ้ยจะปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดรอดไปได้
ไม่ว่าจะปืนหรือคนก็ต้องเป็นของเขาเพียงผู้เดียว

 

———————————————————–

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

5

 

พอออกจากไลฟ์สตรีมแล้ว ฉีจุ้ยไปรื้อหาของในห้องนั่งเล่นบนชั้นสอง เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด กล่องปฐมพยาบาลในบ้านแคมป์มีแค่ยาทั่วไปพวกยาลดไข้ ยาแก้หวัด แต่ไม่มียาทาแผลไฟไหม้

โชคดีที่ไม่ไกลจากแคมป์มีร้านขายยาที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉีจุ้ยออกจากบ้านไปเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก ขับรถออกไปซื้อยากลับมาหนึ่งหลอด

ตอนบ่ายเพิ่งถูกผู้จัดการเตือนไม่ให้ไปข่มขวัญเด็กๆ ด้วยเหตุนี้ฉีจุ้ยจึงลังเลอยู่เล็กน้อย ไม่กล้าเดินตรงไปยังห้องซ้อมชั้นหนึ่งในทันที

บังเอิญเหลือเกินว่าเขายืนรออยู่ไม่นานอวี๋หยางก็ออกมา

ฉีจุ้ยเอียงศีรษะเล็กน้อย มองแผลบวมแดงกลางฝ่ามือขวาของอวี๋หยางแล้วถามว่า “ไม่เจ็บเหรอ”

อวี๋หยางมองหน้าฉีจุ้ย ขอบตาแดงก่ำ ความรู้สึกปั่นป่วนว้าวุ่นอัดแน่นอยู่ในอก คำพูดมากมายเกินคณานับที่เก็บไว้ในใจมานานกว่าหนึ่งปีเอ่อท้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ อึดอัดจนอกแทบจะระเบิด

ริมฝีปากเขาเคลื่อนขยับเล็กน้อย แต่ไม่ทันเอ่ยปาก น้ำตาก็ไหลนองอาบแก้ม

อวี๋หยางเบือนหน้าไปอีกทาง ขบฟันแน่นเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ส่งเสียงสะอื้น

ฉีจุ้ยมองอวี๋หยางอยู่เงียบๆ

ถ้าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้คือการแสดง คงน่าเสียดายแย่ที่อวี๋หยางมาเป็นนักแข่งอีสปอร์ตอาชีพ เขาควรเดินออกประตูแล้วเลี้ยวซ้ายไปสมัครเรียนที่สถาบันภาพยนตร์ปักกิ่ง รับรองว่าเส้นทางอนาคตข้างหน้าต้องยิ่งใหญ่และยาวไกลกว่านี้แน่

ฉีจุ้ยจัดเสื้อยูนิฟอร์มทีมให้เข้าที่ แล้วก้าวเข้าไปหาหนึ่งก้าว “นาย…”

“พี่ฉี! นี่ไลฟ์สตรีมแค่ครั้งเดียวกะจะทวงคืนพื้นที่ข่าวของทั้งสามเดือนที่หายไปในรวดเดียวเลยรึไง” เฮ่อเสี่ยวซวี่เดินวนรอบชั้นสามอยู่นานสองนานแต่ไม่เจอตัวฉีจุ้ย จนมีคนบอกว่าเขาหยิบกุญแจรถแล้วหายออกไป ผู้จัดการหนุ่มถึงมาดักรออยู่ตรงชั้นหนึ่ง ปรากฏว่าเจอตัวฉีจุ้ยตามคาด จึงเดินตรงเข้ามาหาพลางบ่นไปด้วย “ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย! พวกเรายังไม่ได้ประกาศเรื่อง Youth อย่างเป็นทางการเลย แล้วนี่นาย…เอ่อ…พวก…พวกนาย…”

ฉีจุ้ยหลับตา “เวรเอ๊ย…”

อวี๋หยางไม่อยากให้ใครเห็นสภาพน่าอับอายเวลาตัวเองร้องไห้ จึงรีบหันหลบไปอีกทางอย่างลนลานแล้วเช็ดหน้าแรงๆ

ฉีจุ้ยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหันไปมองเฮ่อเสี่ยวซวี่แล้วส่งเสียงเบาๆ “ชู่ว์…”

“อะไรของนายเนี่ย…” เฮ่อเสี่ยวซวี่งงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจสักนิดว่าสถานการณ์ตรงหน้าคืออะไร “ฉันก็แค่…ฉันก็แค่มีเรื่องจะคุยด้วย…”

ฉีจุ้ยนวดหว่างคิ้ว รู้สึกเหนื่อยใจอย่างที่สุด “ไว้ค่อยคุยกันได้ไหม”

เฮ่อเสี่ยวซวี่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ จึงตอบอึกอักเล็กน้อยว่า “ได้”

ฉีจุ้ยสะบัดมือไล่เขาให้รีบออกไป เฮ่อเสี่ยวซวี่เหลียวซ้ายแลขวา เห็นสมาชิกรุ่นเยาว์ในห้องซ้อมชั้นหนึ่งพากันชะเง้อมองจากด้านในห้องกระจก จึงพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “พวกนาย…ระวังอย่าให้กระทบสมาชิกคนอื่น อีกอย่าง…วันนี้ล่ายหัวเพิ่งย้ำชัดเจนว่าต้องคุมเวลางานและเวลาพักผ่อนให้ดี ผิดเวลาแม้แต่นาทีเดียวก็ถือว่าผิดกฎ สมาชิกรุ่นเยาว์ต้องกลับหอก่อนตีหนึ่ง ตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว Youth คอยดูเวลาให้ดีด้วย ส่วนพี่ฉี…ฉันไปรอที่ชั้นสามนะ”

ฉีจุ้ยหงุดหงิดมาก ตอบอย่างหมดความอดทนว่า “ไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว”

เฮ่อเสี่ยวซวี่รีบหลบออกไปตามคำสั่ง สมาชิกทีมสองกับทีมรุ่นเยาว์ยังคงชะเง้อคอมองพวกเขาผ่านกำแพงกระจกด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ฉีจุ้ยจึงหันไปกวาดตามองฝั่งห้องซ้อมแวบหนึ่ง ศีรษะกลมๆ ของสมาชิกทั้งหลายถึงหดกลับไปอยู่หลังจออย่างฉับไว แกล้งทำเป็นสาละวนอยู่กับการซ้อมตรงหน้า

“ทาวันละครั้ง ทาเสร็จก็เอาผ้าก๊อซพันทับอีกชั้น ไม่ต้องพันหนาเกินไปนะ” ฉีจุ้ยยื่นยาทาแผลไฟไหม้ให้อวี๋หยาง จากนั้นหยิบผ้าก๊อซกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงวอร์ม “ถ้าเจ็บมากจริงๆ ก็ลาหยุด ไม่ต้องไปลากับคนที่คุมพวกนายนะ ปกติพวกเขาไม่อนุญาตหรอก มาลากับฉัน…ฉันอนุมัติให้ได้”

อวี๋หยางส่ายหน้า ตอบเสียงงึมงำอยู่ในคอ “ไม่ต้องหรอกครับ ไม่กระทบการซ้อมหรอก”

“ไม่กระทบงั้นเหรอ” ฉีจุ้ยหัวเราะเล็กน้อย แต่ไม่บังคับอีกฝ่าย “แล้วแต่นายละกัน…”

ฉีจุ้ยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลา…เที่ยงคืนห้าสิบสี่นาที

นักแข่งรุ่นเยาว์ทำผิดกฎแค่ครั้งเดียวเท่ากับเงินเดือนหายไปทั้งเดือน ฉีจุ้ยคิดว่าวันนี้คงไม่มีเวลาคุยกันมากนัก จึงบอกเขาว่า “นายกลับไปก่อนเถอะ ถ้ามีอะไร…ไว้ค่อยคุยกัน”

“ผมไม่กลัวเรื่องผิดกฎหรอกนะครับ” จู่ๆ อวี๋หยางก็โพล่งขึ้นมา แต่พูดจบก็ก้มหน้า ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อว่า “ผมกลับหอตอนตีสามตีสี่บ่อยๆ”

“มีคนเล่าให้ฟังแล้ว” ฉีจุ้ยเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามต่อ “นายติดต่ออวี๋เฉี่ยนซี ขอให้เขารับนายเข้าทีมเหรอ”

อวี๋หยางพยักหน้า

ฉีจุ้ยยิ้มบาง “เขาใจกว้างขนาดนั้นเชียว ฉันไม่เคยเห็นเขาทำอะไรให้ใครฟรีๆ เลยนะ นายไปรับปากอะไรไว้เขาถึงยอมช่วย”

อวี๋หยางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ผมบอกไม่ได้”

ฉีจุ้ยเดาไว้แล้วว่าอวี๋เฉี่ยนซีต้องขู่อะไรอวี๋หยางเอาไว้ แต่เขาไม่สนใจ ต่อให้อวี๋หยางไม่พูด เขาก็มีวิธีรู้จนได้ เผลอๆ จะรู้ลึกยิ่งกว่าถามจากอวี๋หยางเสียอีก

ฉีจุ้ยเอนตัวพิงกำแพงอีกครั้ง ตามองอวี๋หยางท่ามกลางโถงทางเดินที่เงียบสงัด

แล้วจู่ๆ ฉีจุ้ยก็ถาม “เมื่อกี้ตอนอยู่ในเกม นายโกหกหรือเปล่า”

ฉีจุ้ยมองหน้าอวี๋หยางเงียบๆ แล้วพูดเสียงราบเรียบว่า “นายควรฉลาดกว่านี้ อย่ามาเล่นลูกไม้เดิมๆ กับฉัน บอกความจริงมา”

อวี๋หยางช้อนนัยน์ตาขึ้นมอง ลังเลอยู่อึดใจก่อนจะพยักหน้า

นายชอบฉีจุ้ยไหม

            ชอบ

ฉีจุ้ยนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มหยันแล้วหันหลังเดินขึ้นไปชั้นบน

อวี๋หยางอึ้งอยู่อึดใจ เขาจำรอยยิ้มถากถางแบบนั้นของฉีจุ้ยได้ขึ้นใจ เมื่อหนึ่งปีก่อนตอนโยนโทรศัพท์มือถือคืนให้ ฉีจุ้ยก็ยิ้มแบบเดียวกัน จากนั้นก็หายตัวไปและไม่กลับมาอีก

ชั่วขณะนั้นหัวใจของอวี๋หยางเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขาอ้าปากแล้วแต่สุดท้ายก็เป็นดังคาด เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“ผะ…ผะ…ผม!” มือขวาของอวี๋หยางกำหมัดแน่น ฝ่ามือมีเหงื่อผุดพราย เขารวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี กลั้นใจพูดออกไปด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “ผม! ผมมาที่…HO…HOG”

อวี๋หยางกัดฟันแน่น พยายามเค้นแต่ละคำจากปากอย่างยากลำบาก “ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะ ทีมเก…เก่ง…”

ฉีจุ้ยหันกลับมา อวี๋หยางอายจนไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ “แต่…เพราะ…เพราะคุณ”

สายพิณเส้นหนึ่งในใจของฉีจุ้ยซึ่งไม่เคยถูกใครแตะต้องมาเนิ่นนานพลันส่งเสียงแผ่วเบาหนึ่งครั้ง สั่นสะท้านจนหัวใจเขาปวดแปลบเล็กน้อย

“นาย…” ฉีจุ้ยลูบข้อมือตัวเองเบาๆ โดยไม่รู้ตัว “นี่เหรอคือเรื่องที่นายโกหก”

อวี๋หยางพยักหน้าน้อยๆ ใบหน้าแดงก่ำ

อวี๋หยางเงยหน้า พยายามพูดอย่างยากเย็น “เรื่องคุณ…กับผม…”

นาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งตรง ประตูห้องซ้อมชั้นหนึ่งเปิดดังปึง สมาชิกทีมรุ่นเยาว์ทยอยเดินออกมา อวี๋หยางกระอักกระอ่วนอย่างที่สุด ล่ายหัวเดินลงมาจากชั้นสอง พอเห็นอวี๋หยางก็ปรี่เข้ามา “อยู่นี่เอง! มากับฉันหน่อย จะได้ดูรีเพลย์เกมที่นายแข่งวันนี้”

อวี๋หยางยังพูดไม่จบประโยค เขากลัวว่าฉีจุ้ยจะเดินจากไปจึงหันไปมองอีกฝ่ายอย่างร้อนรน สมาชิกทีมรุ่นเยาว์สองคนเดินขวางอยู่ตรงกลาง ล่ายหัวจึงไม่ทันเห็นฉีจุ้ย เขาขมวดคิ้วแล้วเร่งอีกว่า “เร็วสิ วันนี้พวกเขาทำเราเสียเวลาไปเยอะแล้ว รีบดูรีเพลย์จะได้รีบนอน”

ฉีจุ้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน

อวี๋หยางยังคาใจจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ จนถูกล่ายหัวเร่งอีกหลายรอบถึงยอมเดินตามไป

 

**********

 

“ท่านเทพฉี ฉันเจอโพสต์เรื่องนาย เป็นประเด็นดังตอนนี้เลย อยากมาดูหน่อยไหม” บนชั้นสาม ปู่น่าน่ากำลังกินมื้อดึกพลางหัวเราะร่วนจนปวดท้องไปหมด “นายเพิ่งจบสตรีมไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีคนโพสต์วิดีโอบันทึกสตรีมของนายบนเวยปั๋วแล้ว ฮ่าๆๆๆ แฟนคลับนายคนหนึ่งรู้ภาษาเยอรมันระดับแปด เขาทำซับแปลไว้หมดเลย ฮ่าๆๆๆ ฉันว่านายใช้ได้เลยนะรอบนี้ เอาจริงๆ ใครจะแกล้งคนเก่งไปกว่ากัปตันฉีขี้แกล้ง”

ตอนแรกเฮ่อเสี่ยวซวี่คิดจะตีมึนปล่อยให้เรื่องจบไปเงียบๆ ไม่นึกว่าพลังแฟนคลับของฉีจุ้ยจะรุนแรงจนชวนตะลึง ตอนนี้ทั้งเว็บบอร์ดและเวยปั๋วมีแต่โพสต์ประเด็นร้อนเรื่องฉีจุ้ย เฮ่อเสี่ยวซวี่เห็นว่าหมดทางเยียวยาจึงตัดสินใจแชร์วิดีโอคลิปนั้นบนเวยปั๋วทางการของ HOG แล้วพิมพ์ [ฮ่าๆๆๆ] ตามน้ำไปด้วย จากนั้นก็โยงประเด็นเพื่อแนะนำ Youth ในฐานะสมาชิกใหม่ของสโมสรไปเสียเลย

“นาย! เป็นเพราะนายแท้ๆ เลย!” เฮ่อเสี่ยวซวี่บ่นไม่หยุด “พวกเรายังไม่ทันตัดสินใจเลยว่าจะให้ Youth อยู่ทีมไหน นายดันสร้างข่าวให้เขาซะแล้ว! ตอนนี้คนรู้กันหมดแล้วว่า Youth มาอยู่กับเรา นี่ทางสโมสรสั่งให้ฉันออกประกาศทางการวันพรุ่งนี้ แล้วฉันจะเขียนประกาศยังไงเนี่ย”

ฉีจุ้ยรู้ดีว่าตัวเองผิดจึงไม่ได้เถียงอะไร ชายหนุ่มนั่งประจำที่ของตัวเอง แล้วตอบอย่างคลุมเครือว่า “ถ้ายังไม่ได้ตัดสินใจก็จัดการซะสิ วันนี้ฉันยิงสู้กับเขาหนึ่งเกม ส่วนอีกเกมเล่นอยู่ทีมเดียวกัน ฝีมือไม่เลว เทคนิคถือว่าผ่านเกณฑ์”

“ผ่านเกณฑ์บ้าบออะไรเล่า! เขาไม่ผ่านการประเมินสภาพจิตใจนักกีฬาสามครั้งติด ความเห็นของนักจิตวิทยาการปรึกษาประจำทีมคือยังให้เขาเข้าทีมสองไม่ได้ด้วยซ้ำ” เฮ่อเสี่ยวซวี่เครียดจัด “ถ้าจะประกาศอย่างเป็นทางการก็ต้องเซ็นสัญญา แล้วจะเซ็นอะไร เซ็นยังไง จะให้เขาเข้าทีมสองจริงๆ น่ะเหรอ”

หัวคิ้วของฉีจุ้ยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เมื่อกี้นายว่าไงนะ”

เฮ่อเสี่ยวซวี่กระแทกเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “ถามว่าจะให้เขาเซ็นสัญญาอะไร! เซ็นอะไรหา!”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น…” หัวคิ้วของฉีจุ้ยยิ่งขมวดมุ่นกว่าเดิม “ยุคนี้แล้ว ยังมีคนไม่ผ่านการประเมินสภาพจิตใจอีกเหรอ”

เฮ่อเสี่ยวซวี่ถอนหายใจพลางพยักหน้า “มีสิ แถมปัญหาของเขาดูจะรุนแรงมากด้วย ไม่งั้นนายคิดว่าทำไมฉันถึงยื้อเวลายังไม่เซ็นสัญญา ปล่อยเขาอยู่ทีมรุ่นเยาว์แบบนี้ล่ะ”

การประเมินสภาพจิตใจนักกีฬา เปรียบได้กับการทดสอบว่านักกีฬาวิ่งระยะไกลมีขาที่แข็งแรงครบทั้งสองข้างหรือไม่ บางสโมสรเวลารับสมาชิกใหม่ไม่มีการทดสอบข้อนี้ด้วยซ้ำ ฉีจุ้ยเป็นนักแข่งอีสปอร์ตมาแปดปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีนักแข่งอาชีพไม่ผ่านการทดสอบนี้

“เขา…” คล้ายว่าเมฆหมอกขมุกขมัวภายในใจของฉีจุ้ยกำลังจะถูกพัดให้กระจายหายไป “อวี๋หยางเขา…”

“ทีมสองขาดตำแหน่งจู่โจมอยู่พอดี อวี๋หยางชำนาญการต่อสู้ระยะประชิด น่าจะเหมาะกับตำแหน่งนี้” เฮ่อเสี่ยวซวี่พูดเองเออเองขัดจังหวะความคิดของฉีจุ้ย ผู้จัดการหนุ่มยังลังเลไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร จึงเงยหน้าถามฉีจุ้ยว่า “งั้นเราให้เขาเข้าทีมสองเป็นกรณีพิเศษดีไหม”

ฉีจุ้ยหลุดจากภวังค์ หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่”

คราวนี้เฮ่อเสี่ยวซวี่สติขาดผึง “งั้นนายจะเอายังไง! นี่นายเอาคืนฉันที่บังคับให้นายไลฟ์สตรีมใช่ไหม!”

ฉีจุ้ยถอดเสื้อแจ็กเก็ต มองที่นั่งว่างติดกับโต๊ะของเขาแล้วพูดว่า “ทีมหนึ่งของพวกเราขาดผู้เล่นตัวสำรอง”

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า