《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
บล็อกเกอร์สาวด้านอาหารทะลุมิติมาเป็น เจียงซูเหย่า
ผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
นางวางแผนบีบบังคับให้ เซี่ยสวิน
บุรุษหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครรับนางเป็นภริยา
นางผู้ไม่เหมือนใคร เพราะมองโลกตามหลักความเป็นจริง
ไม่เคยปรารถนาความรักจากสามี
ช่วงเวลาที่ออกเรือนกลับกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่นางมีอิสรเสรีที่สุด
ขอเพียงได้ทำอาหารที่ชื่นชอบและกตัญญูต่อมารดา
เท่านี้นางก็พึงใจแล้วจริงๆ
สามีน่ะหรือ…
ที่แท้ก็หล่อเหลาสมดังคำเล่าลือ เขาเป็นดั่งหิมะบนยอดเขาที่ขาวโพลน
เป็นดั่งโสมที่ส่องแสงสุกสกาวท่ามกลางหมู่เมฆ
เป็นสิ่งที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการถึง
บุรุษรูปงามระดับบนี้ไม่มีทางแตะต้องนาง
วันเวลาของนางหลังจากนี้ปลอดภัยแล้ว!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
3
ขณะที่คนทั้งหลายกินอาหารกันเงียบๆ เจ้าหัวผักกาดน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจ้องเจียงซูเหย่า “ท่านอาสะใภ้สาม!”
เจียงซูเหย่าก้มลงมอง ก็สบนัยน์ตากลมโตดำขลับคู่หนึ่ง
เรือนใหญ่ให้กำเนิดเด็กฝาแฝดคู่หนึ่ง คนหนึ่งอ้วน คนหนึ่งผอม คนหนึ่งคึกคัก ร่าเริง และกระฉับกระเฉง ขณะที่อีกคนสุภาพ เงียบขรึม พูดน้อย เจ้าเด็กอ้วนผู้นี้ดึงแขนเสื้อของเจียงซูเหย่า เจ้าเด็กผอมหลบอยู่หลังเขาเพื่อแอบมอง
เจียงซูเหย่าจำชื่อของพวกเขาไม่ได้ นางลูบศีรษะกลมๆ ของเจ้าเด็กอ้วนพลางกล่าวรวมๆ ว่า “พวกเจ้านี่เอง”
เจ้าเด็กอ้วนเป็นกันเอง ฉีกยิ้มฟันขาว “ใช่ขอรับ ได้เวลากินอาหารบำรุงสุขภาพของน้องสี่แล้ว”
ที่แท้อาหารบำรุงสุขภาพนั้นเคี่ยวให้เจ้าเด็กผอมกินนี่เอง
เจ้าเด็กอ้วนพูดจบ ก็รีบดึงเข้าสู่หัวข้อสนทนาที่ตนสนใจทันใด “ท่านอาสะใภ้สาม ท่านกำลังกินอันใด กลิ่นหอมมากขอรับ”
ไข่ม้วนยังเหลืออีกสองสามชิ้น ยังไม่หายร้อน เจียงซูเหย่าคีบให้เจ้าเด็กอ้วนชิ้นหนึ่ง “ชิมหรือไม่”
ไข่ม้วนมีสีสันงดงาม สีทองผสานแดงส้มของหูหลัวปัวและเขียวอ่อนของต้นหอม เป็นสิ่งที่เด็กชอบมากที่สุด
เจ้าเด็กอ้วนกัดคำโตๆ ครึ่งหนึ่ง ไม่เคยกินอาหารที่มีรสชาติเช่นนี้มาก่อน กินแล้วรู้สึกสดใหม่ จึงเยินยอว่า “อร่อย อร่อยจริงๆ ให้ข้ากัดอีกคำได้หรือไม่ขอรับ”
เจียงซูเหย่าป้อนเขาอีกหนึ่งคำ
เจ้าเด็กอ้วนกินอย่างมีความสุข แต่กลับไม่ลืมน้องชาย เขาดึงเจ้าเด็กผอมออกจากด้านหลัง “น้องสี่ เจ้ากินหรือไม่”
เจ้าเด็กผอมเงยหน้ามองเจียงซูเหย่าอย่างขลาดกลัว นัยน์ตาดำขลับใสกระจ่างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็น
เจียงซูเหย่าใจละลายทันควัน ก้มลงป้อนเขา เขากัดคำเล็กๆ คล้ายลูกแมวน้อยที่กินอาหาร และเคี้ยวช้าๆ ทำให้เจียงซูเหย่ารู้สึกกังวลอยู่บ้าง
“อร่อยหรือไม่” เจ้าเด็กอ้วนที่อยู่ด้านข้างถาม
เจ้าเด็กผอมพยักหน้าช้าๆ เจียงซูเหย่าพรูลมหายใจโล่งอก
เจ้าเด็กอ้วนมีพรสวรรค์ด้านการพูด เขาอธิบายว่า “น้องสี่ชอบกินของหวาน อาจเป็นเพราะปกติดื่มยาขมๆ มามากกระมัง เขาไม่ค่อยอยากอาหาร กินอาหารได้น้อยมาก จึงผอมกว่าข้ามาก”
เมื่อฝาแฝดทั้งสองเดินเข้ามา เหล่าหญิงรับใช้ที่เก็บจานชามอยู่ก็ยืนนิ่ง หญิงรับใช้รุ่นใหญ่ที่รับใช้เด็กฝาแฝดเดินตามพวกเขาเข้าครัว เปิดฝาถ้วยออกตรวจสอบความร้อน เมื่อเห็นอาหารบำรุงสุขภาพยังเคี่ยวไม่เสร็จ ก็ยืนรออยู่ด้านข้าง
เจียงซูเหย่านึกขึ้นได้ว่าฮูหยินใหญ่เป็นคนดูแลกิจธุระต่างๆ ในจวน อีกประเดี๋ยวตนยังต้องไปหานางที่เรือนใหญ่เพื่อหารือเรื่องห้องครัวเล็ก จึงรออาหารบำรุงสุขภาพอยู่ในห้องครัวใหญ่พร้อมกับพวกเขา
ครั้นเห็นเจ้าเด็กอ้วนตัวกลม จู่ๆ นางก็นึกถึงของหวานที่ทำง่ายและรวดเร็วอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ว่างไม่มีอันใดทำ มิสู้ลองทำดูสักหน่อย
เจียงซูเหย่านำฝักข้าวโพดตากแห้งที่วางอยู่มุมหนึ่งของครัวมาแกะเป็นเม็ดๆ แล้วโยนลงหม้อ ปิดฝาอย่างรวดเร็ว มีเสียงดังเผียะผะอื้ออึงในหม้อ
เจ้าเด็กอ้วนชะโงกหน้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็น หญิงรับใช้รุ่นใหญ่ตกใจรีบลากเขาออกมาไกลๆ กลัวว่าหม้อจะระเบิด
ไม่ใช่นางคนเดียวที่หวาดกลัว ทุกคนขยับออกไปไกลไม่มากก็น้อย
แม้เจียงซูเหย่าเพิ่งแสดงฝีมือ แต่ความประทับใจที่หญิงรับใช้ของนางมีต่อนางยังคงไม่มากนัก
หม้อหนักมาก เจียงซูเหย่าพยายามออกแรงจับหูหม้อแล้วหมุนเป็นวงกลม เพื่อให้แน่ใจว่าเมล็ดข้าวโพดได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง
เสียงดังเผียะผะเบาลง ผ่านไปสักพักก็ไม่มีเสียงเมล็ดข้าวโพดแตกในหม้ออีก เจียงซูเหย่ายกหม้อลงจากเตา หลังอบอีกสักครู่ ก็เปิดฝาหม้อออกท่ามกลางสายตาฉงนของคนทั้งหลาย
เมล็ดข้าวโพดส่วนใหญ่แตกหมดแล้ว
จากนั้นนางตั้งหม้อสะอาดใบหนึ่ง เทน้ำมันและน้ำตาลลงในหม้อที่เย็น แล้วสั่งให้หญิงรับใช้ก่อไฟแรงปานกลาง น้ำตาลละลายและเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว จนค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน นางใช้ตะเกียบจิ้มดู เมื่อน้ำตาลยืดเป็นเส้นก็ถือว่าน้ำตาลไหม้เคี่ยวเสร็จแล้ว
นางเทข้าวโพดคั่วที่แตกดีแล้วลงในน้ำตาลไหม้ คนให้เข้ากัน ข้าวโพดคั่วเคลือบน้ำตาลไหม้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ข้าวโพดคั่วสีขาวเคลือบด้วยน้ำตาลไหม้หอมหวาน เห็นแล้วช่างน่ากิน
เจียงซูเหย่าหยิบเข้าปากชิ้นหนึ่ง น้ำตาลไหม้ที่เคลือบผิวยังไม่เย็น เปลือกนอกยังกรอบไม่พอ แต่หวานพอแล้ว สรุปแล้วถือว่าประสบความสำเร็จกว่าที่จินตนาการเอาไว้
หลังนางเปิดฝา กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วครัว เมื่อเห็นนางหยิบขึ้นมาชิม สุดท้ายเจ้าเด็กอ้วนก็ทนไม่ไหว สลัดหญิงรับใช้รุ่นใหญ่ออกแล้ววิ่งเข้าไปหาเจียงซูเหย่า ถามอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “เป็นอย่างไรบ้างๆ รสชาติเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เจียงซูเหย่าป้อนเขาชิ้นหนึ่ง คนทั้งสอง คนหนึ่งเป็นกันเอง อีกคนร่าเริง เห็นอยู่ว่าวันนี้เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ แต่กลับเหมือนเป็นพี่สาวน้องชายที่รู้จักกันมานานแล้วก็มิปาน
เจ้าเด็กอ้วนยัดข้าวโพดคั่วใส่ปาก น้ำตาลเคลือบชั้นนอกเย็นลงเล็กน้อยแล้ว เมื่อกัดลงไป รู้สึกค่อนข้างกรอบ ข้าวโพดคั่วหอมหวานนุ่มละมุน ความหวานเข้มข้นของน้ำตาลไหม้ไม่ได้กลบรสของข้าวโพด หวานแต่ไม่เลี่ยน เพราะความขมเล็กน้อยของน้ำตาลไหม้พาให้หวานน้อยลง
“อืม…” เจ้าเด็กอ้วนเบิกตากว้าง เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารรสชาติดีแล้ว ความแปลกใหม่ของข้าวโพดคั่วทำให้เขากินได้มากขึ้น “อร่อย”
เขากวักมือเรียกน้องชาย คิดจะแบ่งปันอาหารรสเลิศกับน้องชาย
เจียงซูเหย่าหยิบชามใบใหญ่แล้วเทข้าวโพดคั่วทั้งหมดลงไป ก่อนยื่นให้เจ้าเด็กผอม เจ้าเด็กผอมมองนางอย่างหวาดหวั่นผาดหนึ่ง แต่มิอาจต้านทานความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อข้าวโพดคั่วได้ จึงรับชามใบใหญ่ไว้
บังเอิญว่าอาหารบำรุงสุขภาพเสร็จพอดี เจียงซูเหย่าจูงมือเจ้าเด็กอ้วน “ไปกันเถิด เดินไปด้วยกินไปด้วย”
คนกลุ่มหนึ่งเดินไปทางเรือนใหญ่อย่างเอิกเกริก
เจ้าเด็กผอมไม่ค่อยอยากอาหาร แต่กลับกินข้าวโพดคั่วอย่างเอร็ดอร่อย เอาใส่ปากไม่หยุด เมื่อไปถึงเรือนใหญ่ ข้าวโพดคั่วก็เหลือแค่ครึ่งชามแล้ว
ในลานเรือนครึกครื้น มีเหล่าพ่อบ้านและหมัวมัวยืนเรียงแถวหน้าเรือน มีสมุดบัญชีกางอยู่บนโต๊ะ ฮูหยินใหญ่สวีซื่อ[1]กำลังตรวจบัญชี
เมื่อเจียงซูเหย่าเห็นเช่นนั้นก็มิกล้ารบกวน เดิมคิดจะหาเวลาอื่นมาหาสวีซื่ออีกครั้ง สวีซื่อกลับเรียกนางไว้
“น้องสะใภ้สาม” สวีซื่อปิดสมุดบัญชี ดวงหน้าประดับยิ้มเป็นมิตร นางลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกสองสามก้าว โบกมือไล่บ่าวไพร่ให้แยกย้าย แล้วสั่งให้คนยกน้ำชาและของว่างเข้ามา
การต้อนรับที่อบอุ่นทำเจียงซูเหย่าเวียนหัว
สวีซื่อแก่กว่าเจียงซูเหย่าหลายสิบปี แต่นางปฏิบัติต่อเจียงซูเหย่าอย่างสนิทสนม ราวกับว่าพวกนางเป็นพี่สาวน้องสาวที่สนิทชิดเชื้อ กระทั่งเจียงซูเหย่าเริ่มสงสัยว่านี่เป็นการสนทนาอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างพวกนางทั้งสองหรือไม่
“พี่สะใภ้ใหญ่ หากท่านยุ่ง อย่างนั้นข้าค่อยกลับมาภายหลังก็ได้เจ้าค่ะ” เจียงซูเหย่ากล่าว
“เจ้ามาได้ประจวบเหมาะ ข้าเพิ่งทำงานเสร็จพอดี” สวีซื่อส่ายหน้ายิ้มๆ ดึงเจียงซูเหย่าให้นั่งลง “น้องสะใภ้มาหาข้ามีธุระใดหรือ”
ภายนอกสวีซื่อเป็นกันเอง แต่ในใจคาดเดาถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของเจียงซูเหย่า แต่งงานวันแรกเจ้าสาวไม่อยู่ปรนนิบัติแม่สามี และไม่อยู่เป็นเพื่อนสามี แต่กลับวิ่งมาหาพี่สะใภ้อย่างนางที่นี่หมายความว่าอย่างไร
ใคร่ครวญเล็กน้อย นางนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเจียงซูเหย่า ก็รู้สึกดูแคลนอยู่บ้าง
คาดว่าเซี่ยสวินคงหลบหน้านางไปไกล นางไม่ร่ำไห้อยู่ในเรือน แต่ยังมีหน้าออกมาเดินเพ่นพ่าน ดูท่าคงเป็นอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ช่างหน้าหนานัก
เจียงซูเหย่าไม่รู้ความคิดในใจของสวีซื่อ เดิมยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ไม่คิดว่าสวีซื่อจะมีไมตรีเช่นนี้ ความไม่คุ้นเคยบรรเทาลงไม่น้อย ขณะที่นางชมสวีซื่อในใจ ก็หยิบของว่างที่สวีซื่อเลื่อนมาให้นางกิน
ขนมถั่วเขียวหวานละมุน ละลายในปาก ความหวานเล็กน้อยนี้เหมาะกับกินคู่กับน้ำชามาก
หลังกินไปสองสามคำก็เช็ดนิ้วจนสะอาด เพิ่งนึกธุระขึ้นมาได้
“จริงสิ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามาวันนี้เพราะอยากหารือกับท่านเรื่องห้องครัวเล็กสักหน่อย”
ในใจสวีซื่อดูถูกท่าทางการกินของเจียงซูเหย่า จู่ๆ ก็ได้ยินนางเอ่ย สวีซื่ออึ้งงันพักหนึ่งค่อยถามว่า “ว่าอันใดนะ”
เจียงซูเหย่าคิดว่าสวีซื่อเป็นกันเอง ใจดี ใจกว้าง เพราะเหตุนี้จึงเปิดอกพูดอย่างไม่เกรงใจ “ข้าเห็นห้องครัวเล็กของเรือนสามถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งาน ยามนี้ข้าแต่งเข้ามาแล้ว จึงคิดจะทำความสะอาดห้องครัวเล็กเจ้าค่ะ”
สวีซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง “เจ้าอยากกินอันใดก็สั่งห้องครัวใหญ่โดยตรงก็ใช้ได้แล้ว” เมื่อเก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัวเล็กแล้ว ยังต้องแบ่งคนไปทำงานที่นั่นด้วย บัญชีในแต่ละเดือนไม่ว่าจะมาจากที่ใดยุ่งยาก ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ
เจียงซูเหย่าย่อมไม่เข้าใจความทุกข์ร้อนของสวีซื่อ “ห้องครัวใหญ่อยู่ไกลเกินไป ไม่สะดวกที่จะเดินกลับไปกลับมา อีกอย่าง ข้าชอบทำอาหาร การทำที่ห้องครัวใหญ่มีแต่จะเกะกะขวางทาง”
สวีซื่อไม่เคยคบค้าสมาคมกับสตรีอย่างเจียงซูเหย่าที่อยากพูดอันใดก็พูดออกมาตรงๆ ในใจนางค้อนประหลับประเหลือก ต่อหน้ายังคงยิ้มอบอุ่น “นี่…ขอไม่ปิดบังน้องสะใภ้ หากต้องเปิดห้องครัวเล็กจริง ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน…”
นางพูดยานคาง หวังว่าเจียงซูเหย่าจะเข้าใจ
เจียงซูเหย่ากำลังยื่นมือไปหยิบขนมเกาลัดอย่างชั่วร้าย เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็โบกมืออย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ามีเงิน” นางเดิมก็ไม่คิดจะให้สวีซื่อออกเงินอยู่แล้ว
“เอ่อ” คำพูดเต็มท้องของสวีซื่อติดอยู่ในลำคอ
หลายปีก่อนเรือนรองเปิดห้องครัวเล็ก นางกับโจวซื่อฮูหยินรองทะเลาะกันทั้งที่แจ้งและที่ลับหลายครั้ง สุดท้ายยังคงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ตัดสินใจให้ปิดห้องครัวเล็ก
ก่อนหน้านี้คิดว่าเจียงซูเหย่ามาขอเงินนาง นึกไม่ถึงว่าจะตัดสินใจควักเงินตนเอง
เจียงซูเหย่าเดิมมีความคิดของคนยุคปัจจุบัน ถึงอย่างไรการใช้จ่ายกินดื่มย่อมใช้เงินของผู้อื่นไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางตกใจกระอึกกระอักของสวีซื่อ ทันใดนั้นนางก็กังวล กลืนขนมเกาลัดลงไปทั้งชิ้น ก่อนหันไปถามไป๋เสาว่า “เงินของข้าคงพอกระมัง”
“เรียนฮูหยิน พอเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรก็แค่เปิดห้องครัวเล็กเท่านั้น ค่าใช้จ่ายนี้ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเจ้าค่ะ” ไป๋เสาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการแก่งแย่งชิงดีระหว่างเซียงหยางปั๋วฮูหยินกับอนุภรรยาทั้งเจ็ด กล่าวได้ว่าเป็นนักเรียนชั้นยอดของวิชาต่อสู้ภายในเรือนหลัง ย่อมมองออกว่าสวีซื่อดูถูกเจียงซูเหย่า
นางในฐานะหญิงรับใช้รุ่นใหญ่ได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญบ่อยครั้ง จึงคุ้นเคยกับผู้คนของเรือนต่างๆ ในจวนเซี่ยกั๋วกง บิดาของสวีซื่อฮูหยินใหญ่เป็นขุนนางตงฉิน มีความสามารถและมีชื่อเสียง สวีซื่อเองก็เป็นสตรีที่มีความรู้สูงและมีชื่อเสียงในเมืองหลวง อาศัยชื่อเสียงสองอย่างนี้ถึงได้แต่งเข้าจวนเซี่ยกั๋วกง ทว่าชื่อเสียงดีจะมีประโยชน์ใด เทียบกับเรือนที่มีบรรดาศักดิ์กงหรือโหวที่ร่ำรวยมั่งคั่งแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่ผียากจนกลุ่มหนึ่ง
เมื่อสวีซื่อได้ยินคำพูดของไป๋เสา รอยยิ้มบนใบหน้าก็แข็งค้าง
หลังนางแต่งเข้าจวนเซี่ยกั๋วกงกล่าวได้ว่าสุขุมรอบคอบและระมัดระวังดังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ เกรงว่าหากทำได้ไม่ดีพอจะทำให้ผู้อื่นดูหมิ่น นางควบคุมเรื่องค่าใช้จ่าย อาหาร เสื้อผ้าอย่างเข้มงวด ไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยเหตุนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใจแคบ
เจียงซูเหย่าไม่คิดว่าการขอเงินจากกองกลางเป็นเรื่องดี ทว่า…ไฉนฟังแล้วน่ารำคาญแบบนี้
เจียงซูเหย่าไม่ทันเห็นรอยยิ้มที่เปลี่ยนเป็นแข็งค้างของสวีซื่อ นางกล่าวอย่างเบิกบานว่า “อย่างนั้นก็ดี พี่สะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านบอกพ่อบ้านให้หาช่างก่อสร้างฝีมือดีจำนวนหนึ่ง ข้าต้องการปรับปรุงห้องครัวเล็กน้อย นอกจากนี้การเลือกซื้อผักผลไม้ อาหาร และอื่นๆ ของข้าก็ให้เหมือนกับอาหารส่วนรวมตามปกติ รบกวนให้พ่อบ้านหารือกับไป๋เสาด้วยเจ้าค่ะ”
สวีซื่อผงกศีรษะให้หญิงรับใช้ไปเรียกพ่อบ้าน เจียงซูเหย่าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ครั้นไป๋เสากับพ่อบ้านหารือกันแล้ว ก็ลุกขึ้นขออำลา
นางไม่คิดว่าทุกอย่างจะราบรื่น ยามที่สวีซื่อเดินออกมาส่ง เจียงซูเหย่าถอนหายใจแล้วจับแขนเสื้อของสวีซื่อ “พี่สะใภ้ ท่านดีจริงๆ” ผู้ใดบอกว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของพวกนางค่อนข้างราบรื่นหรอกหรือ
สวีซื่อชักแขนออกโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ “น้องสะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว”
เจียงซูเหย่ายังคงกระตือรือร้น “อย่างนั้นข้าขอตัวก่อน หลังจากนี้ข้ามาหาพี่สะใภ้ใหญ่และมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ พี่สะใภ้ใหญ่คงไม่รังเกียจกระมัง”
สวีซื่อนึกถึงขนมสองจานที่เจียงซูเหย่ากินจนหมดเมื่อครู่ ก็พยายามรักษารอยยิ้ม ส่ายหน้า กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่รังเกียจ”
เจียงซูเหย่าเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม เดินไปแล้วยังเอี้ยวตัวกลับมาโบกมือให้นางด้วย
สวีซื่อยืนอยู่ใต้ชายคาเรือนมองตามหลังเจียงซูเหย่า เห็นรอยยิ้มเจิดจ้าของเจียงซูเหย่า ยิ่งมองยิ่งทิ่มแทงใจ ยิ่งมองก็พบว่ามีเจ้าตัวเล็กสองคนโผล่ออกจากด้านข้างกะทันหัน หนึ่งอ้วนหนึ่งผอมเดินตามหลังเจียงซูเหย่าไปไกลแล้ว
นางกะพริบตา เพ่งมองอย่างละเอียดอีกครา เจ้าตัวเล็กสองคนนี้ไม่ใช่บุตรชายฝาแฝดของนางหรอกหรือ ไฉนถึงวิ่งตามเจียงซูเหย่าไปแล้วเล่า
นางหันกลับมามองหญิงรับใช้รุ่นใหญ่อย่างประหลาดใจ หญิงรับใช้รุ่นใหญ่ก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน รีบสั่งให้คนติดตามไปด้วย
พวกนางจับต้นปลายไม่ถูก เจียงซูเหย่าเองก็เช่นกัน
นางมองเจ้าก้อนแป้งทั้งสองที่เดินตามนางมา รู้สึกกังขา ถามว่า “ไฉนพวกเจ้าถึงตามข้ามา”
เจ้าตัวอ้วนดึงแขนเสื้อของนาง “ข้าอยากไปเล่นกับท่านอาสะใภ้สามขอรับ”
เจียงซูเหย่าไม่รู้ว่านางทำให้เจ้าเด็กอ้วนชมชอบได้อย่างไร อาจเป็นเพราะ…นางหน้าตาดีกระมัง
นางลูบคางขบคิด แขนเสื้ออีกข้างก็ถูกคนดึง ก้มลงมองก็เห็นเป็นเจ้าเด็กผอม
“ข้าอยากกินขนม” เสียงของเขาเบามาก นัยน์ตาใสเป็นประกาย
เจียงซูเหย่ามีปฏิกิริยา คิดได้ว่า “ขนม” ที่เขากล่าวถึงคงเป็นข้าวโพดคั่ว
“ชามเมื่อครู่กินหมดแล้วหรือ”
เจ้าเด็กผอมพยักหน้า
“อืม…ขนมนั่นกินเยอะไม่ได้ เด็กๆ กินมากเกินไปจะไม่ย่อย” นางไม่เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เด็ก ๆ สมควรกินขนมขบเคี้ยวให้น้อยลง
เจ้าเด็กผอมพยักหน้า รู้สึกน้อยใจ แต่ยังคงดึงแขนเสื้อของเจียงซูเหย่าต่อจนเดินไปถึงเรือนสาม
เมื่อถึงเรือนสาม เจียงซูเหย่าไม่มีเวลาสนใจพวกเขาอีก นางทุ่มเทแรงกายแรงใจกับการสร้างห้องครัวเล็ก
นางไม่ปิดบังยามขีดเขียนตัวอักษรและวาดภาพ เพื่อให้ช่างก่อสร้างทำเตาอบขนมปังอย่างง่ายๆ ไว้นอกห้องครัวเล็ก
เจ้าหัวผักกาดทั้งสองเฝ้าดูอย่างสนใจและตื่นเต้น ยิ่งกว่านั้นยังทำท่าคล้ายจะก่อความวุ่นวาย เจียงซูเหย่ารีบห้ามปราม หลังส่งเสียงเอะอะโวยวายแล้ว สุดท้ายเตาอบขนมปังก็ก่อรูปเป็นหูแมวคู่หนึ่ง
เมื่อตะวันตกดิน เซี่ยสวินกลับจากการขี่ม้า สาวเท้าไปที่เรือนใหญ่โดยไม่รู้ตัว เห็นเหล่าหญิงรับใช้ยุ่งวุ่นวายอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ก็ตระหนักได้ว่าเขาแต่งงานแล้ว
เขาเดิมตัดสินใจหันหลังเดินจากไป แต่บรรดาหญิงรับใช้คำนับเขาทีละคน ทำให้เจียงซูเหย่าที่กำลังกินอาหารเย็นหันมองเขา
เวลานี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนนัก เขาไม่รู้ว่าควรจะจากไปหรืออยู่ต่อดี ขณะสบตากับเจียงซูเหย่า ก็มีเสียงเด็กดังขึ้นทำลายความน่ากระอักกระอ่วนนี้ลง
“ท่านอาสาม!”
เซี่ยสวินสังเกตเห็นเจ้าก้อนแป้งทั้งสองนั่งอีกด้านหนึ่งของโต๊ะยาวหน้าประตูเรือน
เขาผ่อนลมหายใจโล่งอก มีหลานชายตัวน้อยทั้งสองอยู่ด้วย ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่กับเจียงซูเหย่าตามลำพัง
เซี่ยสวินเดินไปหาพวกเขา “อาเจา อาเย่า พวกเจ้ามาหาอาสามหรือ”
แม้ปากเขาจะถามเช่นนี้ แต่มีคำตอบอยู่ในใจนานแล้ว
อาเจา(เจ้าเด็กอ้วน)มักเกาะติดเขาแจ ครั้งนี้คงมาหาเขาโดยเฉพาะ ทว่าน่าเสียดายที่เขาออกจากจวนเพราะต้องการหลบหน้าเจียงซูเหย่า พวกเขาจึงเจอแต่นาง
เซี่ยสวินรู้สึกละอายใจและจนปัญญา กางแขนออก รอให้เจ้าเด็กอ้วนโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขา และให้เขาอุ้มชูขึ้นสูงเหมือนยามปกติ
…ทว่าเขายกแขนค้างอยู่หลายอึดใจ
เซี่ยเจาเหลือบมองแวบหนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใด หลังกลืนอาหารในปากแล้ว ค่อยกล่าวว่า “ไม่ขอรับ” จากนั้นก็ไม่พูดแม้แต่คำเดียว รีบหยิบตะเกียบคีบอาหารขึ้นมากินต่อราวกับอดใจไม่ไหว
เซี่ยสวินยืนห่างจากเรือนใหญ่สิบกว่าก้าว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เข้าใจถึงความรู้สึกที่ถูกละเลย
[1] แปลว่า นามสกุล ใช้เรียกต่อท้ายแซ่ของหญิงที่แต่งงานแล้ว