[ทดลองอ่าน] ลำนำล่มแคว้น – เล่ห์บุปผาพิษ บทที่ 1.4

ลำนำล่มแคว้น – เล่ห์บุปผาพิษ
祸国•归程

 

สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
อาจือ แปล
Jadeline ปก

 

— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…

“สำนักหรูอี้” องค์กรมืดซึ่งมีรากฐานอยู่ในแคว้นเฉิง ลักพาตัวเด็กมาตลอดหลายปี เพื่อนำไปฝึกเป็นสายลับและมือสังหาร สร้างความสูญเสียแก่ครอบครัวนับไม่ถ้วน พวกเขาค่อยๆ รวบรวมความลับมากมายของทั้งสี่แคว้น และยื่นมืออันชั่วร้ายเข้าไปในราชสำนัก

สิบปีก่อน เจียงเจียง เด็กสาวร้านยาถูกลักพาตัวไป เป็นเหตุให้เฟิงเสียวหย่า คู่หมั้นของนางตามหาร่องรอยของนางนับจากนั้น สิบปีต่อมาเขาแต่งงานกับชิวเจียง ภรรยาคนที่สิบเอ็ด และทอดทิ้งนางไว้ที่เรือนพักบนเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ชิวเจียงผู้ลืมเลือนอดีตของตนไปแล้วหลบหนีไปในคืนหนึ่ง นางได้พบอี๋เฟยองค์ชายสามแคว้นเฉิง และร่วมเดินทางกลับสู่แคว้นเฉิง…

คนหนึ่งต้องการกลับไปตามหาความทรงจำของตน คนหนึ่งต้องการกลับไปทวงบัลลังก์คืน สองคนที่เหมือนน้ำกับไฟเคียงบ่าเคียงไหล่กันฝ่าพายุคาวฝนโลหิตมุ่งหน้าคืนสู่แคว้นเฉิง…แต่แล้วกลับพบว่า สำนักหรูอี้ที่ฝังรากลึกมานานนับร้อยปีดุจอสรพิษ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึงโดยไม่รู้สาเหตุ…

สี่แคว้นเริ่มเคลื่อนไหว มีเพียงเป้าหมายเดียว…กำจัดองค์กรร้ายสำนักหรูอี้!

ชิวเจียงคือเจียงเจียง หรือเป็นใครกันแน่…
หรูอี้ฟูเหรินคือใคร…
การตายของจีอิงมีเงื่อนงำอื่นอีกหรือไม่…

การเดินทางหวนคืนที่แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตนี้ จะกลับไปอย่างไร และจะกลับไปที่ใด

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

“น้อยๆ หน่อยเถอะ หากเยียนหวังสวรรคตในยามนี้ หวงโฮ่วก็จะเริ่มเปิดศึก ตีชิงตามไฟ หล่อเลี้ยงบ้านเมืองด้วยการทำสงคราม เช่นนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาความยากจน ยังสงบความขัดแย้งภายในได้ ทำหนึ่งอย่างได้ประโยชน์ถึงสอง นับเป็นเรื่องดียิ่ง!”

เฟิงเสียวหย่า “เสียดายที่พวกท่านต้องผิดหวัง เยียนหวังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ดี ไม่เคยแม้กระทั่งไอหรือเป็นหวัด เกรงว่าพวกท่านคงต้องรอไปอีกเจ็ดแปดสิบปี”

ฮวาจื่อเบิกตากว้าง “หากไม่ใช่เขา เช่นนั้นคงเป็นพ่อเจ้าที่ตาย”

เซวียไฉ่ระอาจนคร้านจะกระแอม

เฟิงเสียวหย่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบ “บิดาสิ้นบุญแล้วจริงๆ เมื่อสามปีก่อน”

“เสียใจด้วย…เช่นนั้นสิ้นบุญด้วยเหตุใดหรือ” ฮวาจื่องุนงงยิ่งนัก “คนเช่นเจ้า หากมิใช่เรื่องใหญ่อย่างเจ้าแคว้นตาย หรือบิดาตาย จะมีเหตุด่วนอันใดถึงขั้นต้องเร่งเดินทางไกลมาพบเซวียไฉ่”

“อันที่จริง…” เฟิงเสียวหย่าเอ่ยช้าๆ ราวกับต้องกลั่นกรองทุกคำก่อนเอ่ยออกมา “การมาพบเซวียไฉ่เป็นเรื่องรอง ที่ข้าเดินทางมาครานี้ จุดประสงค์หลักคือเพื่อพบท่าน”

“พบข้า?” ฮวาจื่อประหลาดใจ

“อืม” เฟิงเสียวหย่าพยักหน้า มองฮวาจื่อพลางเอ่ยช้าๆ “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการขอความเห็นจากท่าน”

“อะไรนะ”

“ข้าต้องการแคว้นเฉิง”

สีหน้าของฮวาจื่อพลันตะลึงงัน เขาแคะหูหลายที หันไปหาเซวียไฉ่ “ข้าฟังผิดไปหรือไม่ ดูเหมือนข้าจะได้ยินสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ”

“เจ้าไม่ได้ฟังผิด” สีหน้าของเซวียไฉ่เรียบเฉย ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในอารมณ์ใด “เฟิงเสียวหย่าต้องการแคว้นเฉิง”

เฟิงเสียวหย่ายิ้ม สายตาจดจ่อ เอ่ยกับฮวาจื่อ “ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมาเพื่อขอความเห็นจากท่านก่อน อดีตองค์ชายสาม…แห่งแคว้นเฉิง”

ฮวาจื่อมิใช่ฮวาจื่อ

ก่อนที่เขาจะเป็นฮวาจื่อ เขาคือองค์ชาย

อี๋เฟย…องค์ชายสามแคว้นเฉิง หนึ่งในสี่แคว้นแห่งใต้หล้า

สองปีก่อน เขาพ่ายแพ้แก่อี๋ซูผู้เป็นน้องสาวในศึกชิงบัลลังก์ นับจากนั้นเขาก็หนีออกจากแคว้นซึ่งเป็นแผ่นดินเกิด ปิดบังชื่อแซ่หลบอยู่ในแคว้นปี้ในฐานะที่ปรึกษาเล็กๆ ในราชสำนักของหวงโฮ่วเจียงเฉินอวี๋

จวบจนบัดนี้ อี๋ซูยังคงส่งคนตามล่าเขาไปทั่ว

ด้วยเหตุนี้ ตัวตนของเขาในแคว้นปี้จึงเป็นความลับสุดยอด ทั้งยังเป็นเผือกร้อนด้วย

เซวียไฉ่รับเผือกร้อนนี้ไว้ ค่อยๆ ตุ๋นมัน เพื่อเตรียมไว้ใช้งานในยามจำเป็นได้ทันที

อี๋เฟยเองก็รู้ดีแก่ใจว่าแคว้นปี้รับเขาไว้ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ได้แต่อยู่ต่อไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า

จนผ่านมาได้สองปีแล้ว

บัดนี้มีคนผู้หนึ่งมาบอกเขาว่าต้องการแคว้นเฉิง

หากคนผู้นี้เป็นคนอื่น อี๋เฟยย่อมคิดว่าเขาสติฟั่นเฟือน แต่เพราะคนผู้นี้คือเฟิงเสียวหย่า ทั้งยังมีเซวียไฉ่นั่งอยู่ด้วย ชั่วขณะนั้นเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า การเดินหมากครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น ส่วนเขา ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ดีหรือร้ายที่ต้องกลายเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานนี้

อี๋เฟยจ้องเฟิงเสียวหย่าเงียบๆ อยู่นาน จากนั้นก็ยิ้ม ยิ้มอย่างเย้ยหยันและมีเล่ห์กระเท่ห์ “เจ้าคิดจะได้มาด้วยวิธีใด แม้ราษฎรแคว้นเฉิงจะโตแต่ตัว สมองไม่ดีนัก ทว่าพวกเขาไม่มีวันยอมให้คนต่างแดนมาเป็นเจ้าแคว้นของตนได้ง่ายๆ แน่ นอกเสียจากว่า…เจ้าจะแต่งงานกับอี๋ซู เป็นสวามีของเฉิงหวัง”

“อืม”

อี๋เฟยทรุดลงกับพื้น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ”

เซวียไฉ่ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา

ภายในห่อแพรต่วน มีจดหมายปักลายงูสีเงินฝีมือประณีต เพียงเห็นก็รู้ว่าเป็นสารที่ส่งมาจากวังหลวงแคว้นเฉิง อี๋เฟยเปิดออกอ่าน ภายในมีข้อความเพียงสามประโยค…

 

‘เฉิงหวังทรงเจริญวัย ถึงกาลสยมพรและอภิเษกสมรส

สมบัติแห่งแคว้น จักร่วมแบ่งปันกับคู่ครอง

วันที่เก้าเดือนเก้า ขอเชิญคุณชายฉือหลี่ว์[1]มาเยือนแคว้นเฉิง ร่วมหารือ ณ พระราชวังกุยหยวน‘

 

อี๋เฟยมุ่นคิ้ว ผ่านไปนานกว่าจะเงยหน้าขึ้นมองเฟิงเสียวหย่าด้วยสายตาแปลกๆ พลางเอ่ย “พ่อน้องเขย เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเช่นไร”

เดิมเขาจงใจหยอกเล่น แต่เฟิงเสียวหย่ากลับเอ่ยอย่างจริงจัง “ผู้ที่จะเข้ารับการคัดเลือกมีทั้งหมดแปดคน ในจำนวนนี้ ห้าคนมาจากห้าตระกูลใหญ่แคว้นเฉิง ตัวแทนจากแคว้นเยียนคือข้า ตัวแทนจากแคว้นอี๋คือหูจิ่วเซียน…”

“ช้าก่อน!” อี๋เฟยตัดบท “หูจิ่วเซียนรึ คหบดีอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าคนนั้นน่ะรึ”

“ถูกต้อง”

“เขาอายุเกือบห้าสิบแล้วมิใช่หรือ”

เฟิงเสียวหย่าตอบ “ข้าเองก็มีฟูเหรินสิบเอ็ดคน”

ก็…จริง…นะ!

อี๋เฟยทอดถอนใจ ข้าประเมินความสามารถในการเปิดรับคนของอี๋ซูต่ำเกินไปจริงๆ หญิงเช่นนาง ขอเพียงได้ชายที่เป็นประโยชน์ต่อตน ไม่ว่าชายผู้นั้นจะมีสถานะเช่นไร ล้วนเอามาขึ้นเตียงใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น กับแค่อายุห้าสิบจะเป็นไร แค่มีภรรยาอยู่แล้วสิบเอ็ดคนจะเป็นไร…

แต่พอเฟิงเสียวหย่าเอ่ยถึงผู้ที่จะเข้ารับการคัดเลือกคนสุดท้าย อี๋เฟยก็ต้องตะลึงงัน

เพราะคนผู้นั้นคือ…

เซวียไฉ่เงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ตัวแทนจากแคว้นปี้คือข้า”

 

ชิวเจียงกุมพวงเหรียญทองแดงไว้แนบอกพลางสาวเท้าไปอย่างรวดเร็ว หวังจะให้ตนเดินออกจากจวนไปได้อย่างราบรื่น ขอเพียงออกจากจวนนี้ไปได้ นางก็จะปลอดภัย

อี๋เฟยมอบโอกาสที่ดีมากให้นาง

ทว่าขณะที่ประตูใหญ่ของจวนอยู่ห่างออกไปเพียงสามฉื่อ นางกำลังจะก้าวพ้นประตูจวนออกไปแล้ว จู่ๆ ป้าจางก็โผล่มา และเรียกนางไว้…

“จะไปที่ใดรึ”

ชิวเจียงจำต้องหยุด ตอบไปตามซื่อ “ไปซื้อสุราให้ใต้เท้าฮวาจื่อเจ้าค่ะ…”

“ข้ารู้ว่าเขาให้เจ้าไปซื้อสุรา แต่ที่ข้าถามคือ เจ้ารู้หรือว่าจะไปซื้อที่ใด”

ชิวเจียงอึ้งไป

ป้าจางเดินเข้ามาหานาง คว้าพวงเหรียญทองแดงไปจากมือนาง คะเนน้ำหนักแล้วยิ้มแฉ่ง

“ข้ารู้ว่าที่ใดมีสุราขาย มากับข้า” ป้าจางหันหลังเดินนำทางไป ชิวเจียงมองประตูใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงสามฉื่อ ตัดสินใจสู้ยิบตา แต่ขณะกำลังรวบรวมความกล้าเตรียมพุ่งไปที่ประตู นางก็เห็นทหารสวมชุดเกราะเงินกลุ่มหนึ่ง

นางรีบหันกลับไปทางเดิม เดินตามหลังป้าจางไป

ป้าจางไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของชิวเจียง นางนำทางไปพลางเอ่ย “เจ้านี่โชคดีจริงๆ เผอิญวันนี้หลานชายข้าที่เป็นพ่อค้าเร่มาส่งเครื่องหอมที่จวน ในตู้สินค้าของเขามีสุราอยู่พอดี เป็นสุราดีด้วยนะ คุ้มค่าอัฐใต้เท้าฮวาจื่อแน่นอน!”

ชิวเจียงขานรับอย่างส่งๆ แต่ในใจเสียดายโอกาสยิ่งนัก อดหันกลับไปมองไม่ได้

ป้าจางหันมา มองตามชิวเจียงไปยังนอกประตูจวน “อ้อ เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ ได้ยินว่าคนพวกนั้นคือกองอารักขาหญิงที่ติดตามคุณชายเฟิง ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด แม่นางสวมเกราะเงินสามสิบสามคนนี้ก็จะติดตามไปที่นั่นด้วย ทุกคนงามปานหยกปานบุปผา คุณชายเฟิงท่านนี้ ช่างรู้จักเสพสุขเสียจริงๆ”

ชิวเจียงยิ้มขื่น

นางย่อมรู้ดี แม่นางเหล่านี้มีชื่อเหมือนกันทั้งหมด พวกนางถูกเรียกว่า “เฟิงเจิง”[2]

ความหมายก็คือ “ว่าว” ที่ “เฟิง” เสียวหย่าคอยควบคุมอยู่

ไม่ว่าเฟิงเสียวหย่าจะอยู่ที่ใด เฟิงเจิงก็จะอยู่ที่นั่น

แม้พวกนางจะอายุยังน้อย แต่ทุกคนล้วนมีวรยุทธ์สูง ยามปกติจะทำหน้าที่คุ้มกันเฟิงเสียวหย่า

จะว่าไปเฟิงเสียวหย่าก็เป็นคนประหลาด อย่างเช่นการที่เขามีผู้ติดตามเป็นแม่นางมากมาย แต่คนที่คอยดูแลรับใช้ในชีวิตประจำวันของเขาจริงๆ กลับเป็นสารถีสองคนของเขา…คนหนึ่งชื่อเมิ่งปู้หลี อีกคนชื่อเจียวปู๋ชี่[3]

พวกเขาปรนนิบัติอาบน้ำ หวีผม สวมเสื้อผ้า บังคับรถม้า…ทำทุกอย่างที่ควรเป็นหน้าที่ของสาวใช้ให้เฟิงเสียวหย่า เรียกได้ว่าเฟิงเสียวหย่าไม่ต้องขยับนิ้วมือแม้เพียงนิ้วเดียว

ช่างเกียจคร้านไม่มีใครเกิน!

ชิวเจียงนึกเสียดสีอยู่ในใจ พลางเดินตามป้าจางไปยังลานด้านหลัง มีพ่อค้าเร่คนหนึ่งรออยู่ที่นั่นแล้ว พอเห็นพวกนางสองคน เขาก็รีบเดินเข้ามาหา “ท่านอา เป็นอย่างไรบ้าง”

“สุราล่ะ”

“อยู่นี่” พ่อค้าเร่เปิดชั้นวางสินค้า ข้างในมีสุราสองเหยือกจริงๆ “ท่านอาวางใจได้ ล้วนเป็นสุราดีทั้งสิ้น ถ้าซื้อข้างนอกอย่างน้อยต้องร้อยห้าสิบเหวิน[4] แต่ข้าคิดท่านแค่แปดสิบเหวินก็พอ” พ่อค้าเร่กุลีกุจอยื่นเหยือกสุราให้นาง ป้าจางพยักพเยิดให้เขาส่งให้ชิวเจียง แต่ชิวเจียงกลับไม่ยอมรับไว้

ป้าจางแปลกใจ “เป็นอะไรไป”

ชิวเจียงกัดริมฝีปาก “ป้าจาง สุรานี่…ใช้ไม่ได้…”

ป้าจางยังไม่ทันพูดอะไร พ่อค้าเร่ก็โวยวายทันที “นางหนูนี่พูดจาอะไรของเจ้า เหตุใดจึงบอกว่าสุราข้าใช้ไม่ได้ สุราข้าจะใช้ไม่ได้ได้อย่างไร นี่สุราใบไผ่เขียวที่บ่มสิบปีเชียวนะ! สั่งเข้ามาเป็นพิเศษจากแคว้นอี๋ที่เลื่องชื่อเรื่องสุรา!”

ชิวเจียงส่ายหน้า “ไม่…ไม่ใช่…”

สีหน้าของป้าจางเริ่มไม่พอใจ “หมายความว่าอย่างไร”

ชิวเจียงมองป้าจางอย่างขลาดกลัว “ใต้…ใต้เท้าฮวาจื่อให้เงินมาหนึ่งร้อยเหวิน”

“แล้วอย่างไร”

“งานเลี้ยงที่ท่านอัครเสนาบดีจัด ไม่…ไม่ได้เตรียมสุรา หมายความว่า มีเพียงใต้เท้าฮวาจื่อคนเดียวที่ดื่ม”

“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่”

“พวกตงเอ๋อร์เคยบอกข้าว่า ใต้เท้าฮวาจื่อเป็นคนจู้จี้จุกจิกมาก ในเมื่อเขาให้เงินมาหนึ่งร้อยเหวิน ย่อมหมายความว่า เขาต้องการสุราชั้นดีที่มีราคาหนึ่งร้อยเหวิน”

พ่อค้าเร่เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าหมายความว่าสุราสองเหยือกของข้าราคาไม่ถึงหนึ่งร้อยเหวินอย่างนั้นรึ ท่านอา นี่ข้าเห็นแก่ท่านหรอกนะ จึงคิดราคาเพียงแปดสิบเหวิน! หากเป็นคนอื่น…”

“ข้ารู้ ข้ารู้ เจ้าใจเย็นก่อน…” ป้าจางหันไปดุชิวเจียง “มัวรีรออะไรล่ะ รีบเอาเงินให้เขาสิ แล้วนำสุรากลับไปให้แขก ชักช้าประเดี๋ยวแขกจะว่าเอาได้!”

“หากข้านำสุราสองเหยือกนี้กลับไป จะถูกตำหนิหนักยิ่งกว่า…” ชิวเจียงยืนกราน

ป้าจางอ้าปากค้าง เป็นครั้งแรกที่นางเห็นความดื้อรั้นของชิวเจียง “เจ้า…รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไร”

ชิวเจียงยื่นมือไปรับสุรามาเหยือกหนึ่ง เขย่าสองสามครั้ง แล้วเปิดจุกออก เห็นฟองลอยฟอดอยู่บนผิวสุราในเหยือก จากนั้นฟองก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ชิวเจียงเทสุราลงพื้น

ของเหลวสีเหลืองอำพันไหลนองเต็มพื้นศิลาคราม

สีหน้าของพ่อค้าเร่กับป้าจางเปลี่ยนไปทันที

ไม่รอให้ป้าจางระเบิดโทสะ ชิวเจียงก็ชิงเอ่ย “ป้าจาง ท่านดู สุราใบไผ่เขียวควรมีสีทองอมเขียวมรกต ใสไร้ตะกอน ทั้งฟองสุรายังต้องคงอยู่นาน จึงจะเป็นสุราคุณภาพดี แต่สุราเหยือกนี้ นอกจากฟองจะหายไปอย่างรวดเร็วแล้ว ยังมีตะกอนอยู่เยอะมาก ข้าไม่ต้องดื่มก็รู้ว่าเป็นสุราด้อยคุณภาพ หากเอาไปให้ใต้เท้าฮวาจื่อดื่ม เขาย่อมรู้ว่าเป็นสุราเลว ลำพังข้าถูกลงโทษนั้นไม่เป็นไร แต่หากทำให้ชื่อเสียงของจวนท่านอัครเสนาบดีเสื่อมเสีย ย่อมเป็นเรื่องใหญ่”

ป้าจางขยับปากจะพูด ท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง

ชิวเจียงถอนใจแล้วเอ่ย “มิสู้เอาเช่นนี้ รบกวนพี่ชายท่านนี้ช่วยออกไปซื้อสุราชั้นดีมาสองเหยือก เงินหนึ่งร้อยเหวินนี้ให้เขาไปทั้งหมด ข้าไม่ขอไว้แม้แต่อัฐเดียว ซื้อสุราได้น้อยหน่อยไม่เป็นไร แต่ต้องเป็นสุราที่สมราคา”

“ก็…มีแต่ต้องทำเช่นนั้นล่ะ! เจ้ายังไม่รีบไปอีก?” ป้าจางเตะพ่อค้าเร่ทีหนึ่ง

“ได้ๆๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” พ่อค้าเร่ว่าพลางรับเงินจากชิวเจียง จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ป้าจางมองชิวเจียงอย่างประเมิน พลางเอ่ยช้าๆ “สาวใช้อย่างเจ้านี่รู้เยอะจริงนะ แยกแยะสุราดีสุราเลวออกเสียด้วย”

“แม่ของบ่าวบ่มสุราเป็น ได้ซึมซับมาจากนาง จึงรู้เรื่องพวกนี้…”

“รู้มากก็ไม่มีประโยชน์ คนเป็นบ่าวน่ะ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ…” ป้าจางหรี่ตาอย่างมีนัย

ชิวเจียงรีบตอบ “บ่าวทราบดีเจ้าค่ะ! วันนี้พี่ชายท่านนี้ช่วยไปซื้อสุราให้บ่าว นับเป็นบุญคุณยิ่งใหญ่ล้นฟ้า บ่าวจะจดจำไว้”

ป้าจางยิ้มน้อยๆ “อืม นับว่าเจ้าเป็นคนฉลาด”

 

 

[1] หมายถึง นกกระเรียนมงกุฎแดง

[2] แปลว่า ว่าว

[3] ชื่อ “ปู้หลี” กับ “ปู๋ชี่” เมื่อนำมารวมกันจะมีความหมายว่า ไม่ทอดทิ้งกัน

[4] หน่วยเงินจีนโบราณ 1,000 เหวิน (อีแปะ) เท่ากับ 1 ก้วน (พวง) 1 ก้วน เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า