老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่
ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล
— โปรย —
“…ชีวิตนี้นอกจากคุณแล้ว จะไม่ชอบใคร ไม่นอกใจ ไม่จิ้น ตั้งใจรักแค่คุณคนเดียว”
แม้ว่าจะคิดแบบนี้และพูดแบบนี้ แต่เธอก็สงสัยว่าไอดอลของเธอจะมี “ผู้หญิงที่เขารัก” หรือไม่
แล้วผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครกันนะ…
จะต้องเป็นนางฟ้าบนโลกมนุษย์แน่ๆเลย
ต้องเป็นผู้หญิงที่จิตใจอ่อนโยนและใจดี คอยอยู่เคียงข้างเขาด้วยความรักเต็มเปี่ยม
ในหัวใจและในสายตามีเพียงแค่เขา…
เมื่อถึงตอนนั้น ขอเพียงชายหนุ่มที่เธอรักมีความสุขและปลอดภัย เธอจะเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
82
การสนับสนุนดาราเช่นนี้ปกติแล้วมักจะมีการจัดระดมเงินทุน นอกจากนี้ทางบ้านไซต์ยังสามารถหาเงินจากการขายแฟนกู๊ดส์ได้ด้วย ซึ่งหลายบ้านจะนำกำไรส่วนใหญ่ไปใช้กับการสนับสนุนไอดอลในวันคล้ายวันเกิด
การสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่และหรูหรากว่านี้ใช่ว่าไม่เคยมี ทว่าส่วนใหญ่แล้วมักเป็นการระดมเงินทุนกันเป็นกลุ่ม การสนับสนุนส่วนบุคคลที่ไม่หวังผลกำไรและไม่ได้ระดมเงินทุนอย่างที่ฝูสั่วอี่ทำนั้นหาได้ยาก อีกอย่างเธอก็ไม่เพียงเหมาป้ายโฆษณาในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายเดียวเท่านั้น แต่เหมาป้ายโฆษณาทั้งสองฝั่งของบันไดเลื่อนทางเข้าสู่แต่ละสถานี ไปจนถึงป้ายโฆษณาบนกำแพงสองฝั่งของทางเดินภายในสถานี ไม่เว้นกระทั่งป้ายโฆษณาที่อยู่ภายในอุโมงค์เดินรถอีกด้วย หากคำนวณคร่าวๆ อย่างไรก็ต้องใช้เงินสักหนึ่งล้านหยวนขึ้นไป
ฮือ อยากเป็นเพื่อนกับฝูสั่วอี่จัง
แฟนคลับ : [พวกเราไม่ใช่แค่ได้กอดขาท่านเทพแห่งการแต่งภาพ เธอยังเป็นคนรวยอีกด้วย ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน]
เหลียงเสี่ยวถัง : ถ้ารู้ว่าเธอเป็นใครแล้วพวกเธอจะร้องไห้
ทางสตูดิโอจัดงานวันคล้ายวันเกิดเล็กๆให้ฮั่วซี เพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบงานเลี้ยงคึกคักจึงแค่ซื้อเค้ก และทีมงานแต่ละคนก็เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆมาให้เขา ฮั่วซีจองโต๊ะร้านอาหารไว้ ถึงแม้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของตน แต่กลับเหมือนงานเลี้ยงอาหารขอบคุณทุกคนสำหรับความทุ่มเทในปีนี้เสียมากกว่า
พอดื่มเหล้าเป็นการให้เกียรติรอบหนึ่งและตัดเค้กแล้ว ระหว่างกินเค้ก ผู้ช่วยก็ถือโทรศัพท์มือถือมาให้เขา “เจ้านาย ปีนี้แฟนคลับจัดงานเป็นหน้าเป็นตาให้เจ้านายอีกแล้ว”
ภาพที่จัดมาให้ดูนั้นเป็นการสนับสนุนอย่างใหญ่โตของแฟนคลับภายในประเทศ เขาเหลือบมองอยู่สองครั้ง แล้วก็ถูกสไตล์ของภาพอันคุ้นเคยภายในสถานีรถไฟใต้ดินดึงดูดความสนใจไป
ผู้ช่วยเห็นสายตาของเขาชะงักนิ่งจึงอธิบาย “ได้ยินว่าทำในนามส่วนบุคคล”
เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ก็เหมือนแต่ก่อน ไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่ต่อต้าน ทางทีมงานไม่ต้องเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นนะ”
ผู้ช่วยรีบพยักหน้า
เขาอยู่ในงานเลี้ยงต่อไปอีกสักพักก็ยกแก้วขึ้นแล้วพูดว่า “ผมไปละ พวกคุณคุยกันต่อให้สนุกนะ”
เป็นเช่นนี้ทุกปีจนทุกคนต่างก็ชินเสียแล้ว จึงทำเสมือนมางานเลี้ยงเพื่อนร่วมงาน พอฮั่วซีไปก็ยิ่งคุยเล่นกันสนุกมากกว่าเดิม
เขาขึ้นมานั่งบนรถ เปิดโทรศัพท์มือถือ ในแถบสนทนามีข้อความอวยพรวันเกิดที่เซิ่งเฉียวส่งมาตอนเที่ยงคืน คนขับรถที่อยู่ด้านหน้าถามว่า “เจ้านายครับ จะให้ไปส่งที่บ้านไหมครับ”
เขาบอกที่อยู่บ้านของเซิ่งเฉียว พอถึงกลางทางค่อยโทรศัพท์หาเธอ คาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่รับ จนกระทั่งรถแล่นไปถึงลานจอดรถแล้ว เธอก็ยังไม่ได้โทรศัพท์กลับมา คาดว่าคงยุ่งเรื่องงานอยู่
ทางสตูดิโอจะไปร้องคาราโอเกะกันต่ออีก ฮั่วซีไม่ต้องการให้คนขับรถเสียเวลารออยู่ที่นี่กับเขาจึงลงจากรถแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “กลับไปสนุกกับพวกเขาเถอะ”
คนขับรถส่งเสียงตอบรับด้วยความดีใจ แล้วขับรถจากไป
เขาสวมหมวกและผ้าปิดปากขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นห้า เคาะประตู ไม่มีเสียงตอบรับจริงๆ จึงหันหลังผลักประตูทางหนีไฟเปิดออก หลอดไฟซึ่งควบคุมด้วยเสียงนั้นสว่างขึ้นครู่หนึ่งแล้วมืดลงอย่างรวดเร็ว รอบด้านมืดสนิท เขายืนพิงกำแพงอยู่นานถึงหนึ่งชั่วโมง
ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าพร้อมเสียงคนดังแว่วมา เขาได้ยินเซิ่งเฉียวเอ่ยว่า “กลับดีๆนะ ระวังตัวด้วย”
“รู้แล้ว เอ้า มือถือกับที่ชาร์จแบตฯของเธอ เอาไปเลย เหมือนแบตฯจะหมดแล้ว”
เธอบิดกุญแจเปิดประตูห้อง เสียงของลิฟต์ก็ค่อยๆเงียบหายไป
เขากลัวว่าจะทำให้เธอตกใจจึงรอให้เธอเข้าห้องไปก่อน ผ่านไปอีกสองสามนาทีถึงได้เดินออกมาแล้วไปเคาะประตู
เธอเข้าใจว่าเป็นผู้ช่วยที่ไปแล้วกลับมาอีกจึงรีบเปิดประตูอย่างรวดเร็ว พอเปิดประตู เห็นคนที่อยู่ด้านนอก ดวงตาก็เป็นประกายทันที “ฮั่วซี คุณมาได้ยังไงคะ”
เขาเดินเข้ามาแล้วปิดประตู
กลิ่นเหล้าลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
เธอพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “คุณดื่มเหล้ามาเหรอคะ”
น้ำเสียงของเขาเเหบเล็กน้อย จึงรู้สึกว่าเสียงทุ้มต่ำเป็นพิเศษ “ทางสตูดิโอจัดงานวันเกิดน่ะ เลยดื่มไปสองสามแก้ว”
“เมารึเปล่าคะ รู้สึกแย่ไหม”
เหล้าแค่นั้น ไม่ถึงขั้นเมาหรอก
เขาพยักหน้า ร่างกายเซเล็กน้อย
เซิ่งเฉียวพยุงเขาไว้ แล้วจับแขนของเขาพาดไหล่ของตน โอบเอวของเขา ก่อนจะกำเสื้อตัวนอกของเขาไว้แน่นด้วยความรู้สึกปวดใจเป็นที่สุด “ไปนั่งพักสักหน่อยนะคะ ฉันจะไปซื้อยาแก้เมามาให้”
เธอพยุงเขาไปนอนบนโซฟา แล้วหมุนตัวเพื่อจะออกไปซื้อยาแก้เมา แต่ฮั่วซีกลับคว้าข้อมือเธอไว้
เธอย่อตัวลงมาทำท่ากึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เขยิบเข้าใกล้เขามากขึ้นพลางกดเสียงต่ำและเบา “ฉันจะไปซื้อยา เดี๋ยวก็กลับมาแล้วค่ะ”
“ไม่ต้องกินยา ดื่มน้ำนิดหน่อยก็หายแล้ว”
เธอใช้หลังมืออังที่หน้าผากเขา อุณหภูมิปกติ ดูเหมือนจะดีกว่าที่งานเลี้ยงครั้งก่อนมาก จึงสบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “งั้นฉันไปต้มน้ำทำน้ำแกงสร่างเมาให้คุณ โอเคไหมคะ”
เขามองสีหน้าจริงจังของเธอครู่หนึ่งจึงยอมปล่อยข้อมือเธอ
ภายในห้องครัวก็วุ่นวายขึ้นมาทันที
ไม่นานเธอก็จัดการต้มน้ำแกงสร่างเมารอไว้บนเตา เธอจึงรินน้ำอุ่นใส่แก้วแล้วยกออกมาให้เขาก่อน เธอรองคอของเขาพร้อมออกแรงพยุงเขาให้ลุกขึ้นมานั่ง
เธอยื่นแก้วน้ำอุ่นให้เขา กึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าอยู่ข้างโซฟา ยังประคองหลังเขาเอาไว้ราวกับกลัวว่าเขาจะทรงตัวนั่งไม่อยู่แล้วหงายหลังไป
ลมหายใจของเธอเป่ารดอยู่บริเวณข้างหูและลำคอ
เขาออกแรงบีบแก้วน้ำอุ่นไว้แน่น แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ที่สถานีรถไฟใต้ดิน คุณเป็นคนทำใช่ไหม”
เธออึ้งไปก่อนส่งเสียง “อื้ม” เบาๆ
เขาเอ่ยพูดเสียงเบา “ใช้เงินสิ้นเปลือง” คล้ายเป็นเชิงตำหนิ ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับไม่มีแววตำหนิอยู่เลย
เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “ใช้เงินเพื่อคุณจะเรียกว่าสิ้นเปลืองได้ยังไง” กล่าวจบก็หยิบแก้วน้ำในมือของเขามาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา คิดจะประคองเขาให้เอนตัวลงนอน แต่เพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไป เส้นผมข้างหูจึงระผ่านริมฝีปากของเขา ในตอนที่เธอประคองเข้าไว้และโน้มตัวลงนั้น หูของเธอแดงระเรื่อ
แววตาของเขาเป็นประกายเข้มขึ้นชั่วขณะ วินาทีถัดมาเขาก็โอบเอวเธอไว้ แล้วออกแรกยกตัวเธอ ก่อนจะพลิกตัวมากดร่างเธอไว้กับโซฟาแทน เธอเบิกตากว้าง เซิ่งเฉียวยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางจึงเห็นขนตาของเธอได้อย่างชัดเจน ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแววแห่งความลนลานไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เขาใช้ข้อศอกยันร่างกายเอาไว้ ไม่ได้กดตัวลงไป แต่ก็รับรู้ได้ถึงความร้อนของร่างกายจากเอวของเธอที่อยู่ข้างฝ่ามือ นัยน์ตาของเขาเลยยิ่งเป็นประกายชัดเจนขึ้น
เซิ่งเฉียวตระหนกจนฟันกระทบกัน “ฮั่ว…ฮั่วซี คุณเมาแล้ว…”
เขาออกแรงมือกดโซฟา ค่อยๆโน้มตัวลงไป รับรู้ได้ถึงร่างกายที่จู่ๆก็แข็งทื่อของเธอ เขาซุกหน้าลงที่ข้างหูเธอ พ่นลมหายใจคลุ้งกลิ่นเหล้าออกมาบริเวณซอกคอของเธอ น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำราวกับพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้
“อื้ม ผมเมาแล้ว”
เธอเอ่ยตะกุกตะกัก “ฮั่ว…ฮั่วซี…อย่าเมาแล้ว…ทำอะไรมั่ว…มั่ว…”
คำสุดท้ายนั้นไม่อาจเอ่ยออกมา
เขาหัวเราะเบาๆหนึ่งครั้ง
จะให้เธอคิดว่าเขาเมาแล้วทำอะไรมั่วซั่วไม่ได้
เขาหยัดตัวขึ้น ผละแขนออกจากบริเวณเอวของเธอ แล้วลุกขึ้นจากโซฟา ใบหน้าเธอแดงซ่าน หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างแรง แม้แต่ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง ช่าง…
เขาเดินไปเข้าห้องน้ำ เปิดก๊อกแล้วสาดน้ำเย็นใส่หน้าตนเอง
ตอนที่เขาเดินออกมา เธอก็หลบเข้าไปอยู่ในครัวแล้ว
อุณหภูมิในห้องครัวยังสูงยิ่งทำให้เธอร้อนรนเข้าไปใหญ่ หัวใจเต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
ฮือ ไอดอลที่เมาสะลึมสะลือช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นอายของฮอร์โมนเพศชายเคล้ากับกลิ่นเหล้าทำเอาเธอหลงใหลจนแทบบ้าจริงๆ แต่ในฐานะที่เธอเป็นแฟนคลับที่รักไอดอลจากใจจริง! จะฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งไอดอลได้อย่างไร!
โชคดีที่เธอเข้มแข็งพอจะกัดฟันอดทนเอาไว้ได้!
ฮือ ให้ตายเถอะ
สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ควรจะเรียกว่าอะไร โดนกดกับโซฟาเหรอ ฮือ
รอจนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ยกน้ำแกงสร่างเมาออกมา ขณะนั้นฮั่วซีกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา
ทำไมคนที่เมื่อครู่มึนเมาไม่ได้สติ กลับดูมีสติได้มากขนาดนี้ล่ะ
หลังจากปล่อยให้น้ำแกงเย็นลง เขาก็ซดน้ำแกงสร่างเมา เซิ่งเฉียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลางเอนตัวทับเท้าแขนโซฟากอดโทรศัพท์มือถือเอาไว้ก็พูดขึ้นว่า “ฮั่วซี โพสต์วันเกิดบนเวยปั๋วของคุณดูขอไปทีมากเลย! เขียนแค่สองสามประโยคเอง แม้แต่รูปก็มัวมาก!”
“รูปในชีวิตประจำวันช่วงนี้ก็มีแค่ภาพนั้น”
“โพสต์ภาพเซลฟี่ก็ยังดีนี่คะ!”
“ไม่มี”
เธอก้มหน้าสักพัก แล้วเงยหน้ายิ้มตาหยี “งั้นถ่ายตอนนี้เป็นไงคะ เซอร์วิสแฟนคลับ!”
ฮั่วซียิ้ม “วันเกิดผม ผมยังไม่ได้ขออะไรคุณเลย คุณกลับเป็นฝ่ายขอผมซะงั้น”
เซิ่งเฉียว “ฉันเป็นคนขอคุณที่ไหน ฉันเป็นตัวแทนของแฟนคลับมากมายที่มาบอกความในใจของพวกเขาให้เจ้าตัวรับรู้ต่างหาก”
เธอเปิดเชาฮว่าให้เขาดู “คุณดูสิๆ รูปของพี่ชายที่แม้แต่หน้าก็ยังเห็นไม่ชัด! พอขยายใหญ่แล้ว องค์ประกอบบนใบหน้าก็มัวไปหมดเลย! ทำไมคุณสามีไม่โพสต์ภาพเซลฟี่ล่ะ!” เธอถอนหายใจ “ทุกคนบ่นกันยกใหญ่เลย”
ฮั่วซีจ้องมองเธอพลางทำท่าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม พอถูกเขาจ้องเธอก็ตื่นตระหนก ภาพเมื่อครู่ก็เลยผุดขึ้นมาในสมอง ใบหน้าเธอแดงระเรื่อจึงรีบก้มหน้างุด “ช่างเถอะๆ ไม่ถ่ายก็ช่าง”
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงดังแชะๆ พอเงยหน้าขึ้นมองพบว่าฮั่วซีกำลังถือโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปตัวเองอยู่
เธอดีใจขึ้นมาทันที จึงเขยิบเข้าไปใกล้ราวกับสุนัขตัวน้อยๆ “ส่งมาให้ฉันค่ะ ส่งมาให้ฉัน ฉันช่วยคุณเอง!”
ฮั่วซียื่นโทรศัพท์มือถือให้เธอ
อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก คนหน้าตาดีจะถ่ายอย่างไรก็ย่อมดูดี เธอปรับแสงและสีอย่างง่ายๆ แล้วเบลอภาพด้านหลังอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “คุณเป็นสมาชิกวีไอพี สามารถแก้ไขโพสต์เวยปั๋วแล้วเปลี่ยนภาพได้ค่ะ!” แต่ฮั่วซีขี้เกียจแก้ไขโพสต์จึงโพสต์ใหม่เสียเลย
ฮั่วซี : [ภาพเซลฟี่ให้พวกคุณเป็นการชดเชย]
ซีกวง : [กรี๊ดดดด!]
เซิ่งเฉียว ฮือ ไอดอลของฉัน เอาใจแฟนคลับสุดๆ!
ฮั่วซีเลื่อนดูคอมเมนต์ของแฟนคลับสักพักแล้วก็ออฟไลน์ไป ถามเสียงเรียบว่า “มีเวลาอีกแค่สองวันก็ต้องเข้ากองละครแล้ว เตรียมตัวเป็นยังไงบ้าง”
เซิ่งเฉียวดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความพร่ำเพ้อถึงผู้ชายตรงหน้า แล้วเอ่ยอย่างไม่มั่นใจว่า “ก็โอเคนะคะ…”
“ผู้กำกับหวังเป็นคนเงียบๆ ค่อนข้างเก็บตัว แต่เวลาอยู่ในสถานที่ถ่ายทำจะเข้มงวดมาก ในสายตาเขาไม่มีคำว่าดาราหรือศิลปิน มีแค่นักแสดงเท่านั้น ตอนเปิดกล้องแรกๆ อาจจะโดนดุด่าบ้างก็อย่าเก็บมาใส่ใจ รู้ไหม”
“รู้แล้วค่ะ!”
“สถานที่ถ่ายทำอยู่ที่หางโจว ถึงอากาศจะเริ่มอุ่นแล้ว แต่อุณหภูมิตอนกลางวันกับกลางคืนต่างกันมาก ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิถ้ามีฝนอากาศก็อาจจะหนาว จัดเสื้อผ้าที่เหมาะสมไปด้วยนะ”
“ค่ะ!”
“รู้จักนักแสดงคนอื่นๆหมดรึยัง”
“หา” เธองุนงง “ยุ่งมากเลยลืมดูค่ะ มีใครบ้างเหรอคะ”
“พระรองคือฟู่จื่อชิง ความสัมพันธ์ของพวกคุณดูเหมือนจะไม่เลวนี่”
เซิ่งเฉียว “!!!”
คราวนี้สบายละ!
มีฟู่ฟู่ที่คอยสอนการแสดงให้เธอทีละนิดได้แบบนี้ ยังจะมีอะไรให้กลัวอีก!
“นักแสดงชายอีกคนเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่เซ็นสัญญากับสตูดิโอของผมด้วย ชื่อจางเหวินจวิน เป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสคนหนึ่งเลย”
คนที่ฮั่วซียอมเซ็นสัญญาด้วยจะต้องเป็นคนดีเหมือนกับเขาแน่นอน! เซิ่งเฉียวพยักหน้าด้วยความดีใจอย่างต่อเนื่อง
“นางรองคือหลินอิ่นถง”
เซิ่งเฉียวผงะไปชั่วครู่ รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูเล็กน้อยให้ตายเถอะ นี่มันรุ่นพี่ที่บังคับให้เธอกินมะเขือม่วงไม่ใช่เหรอ!
ฮั่วซีเห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนก็ถามเสียงเบาว่า “เป็นอะไรไป ไม่ถูกกันเหรอ”
เธอรีบส่ายศีรษะ เม้มปากยิ้ม “นึกไม่ค่อยออกว่าเธอเป็นใครค่ะ แต่ตอนนี้นึกออกแล้ว! แล้วมีใครอีกคะ”
“ยังมีพวกรุ่นพี่อาวุโสจ้าวจื่อเฟิง คุณครูหรงอวี้ คุณครูหลัวเจี้ยนกังที่เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ ได้เข้าฉากกับพวกเขาคุณจะได้เรียนรู้อะไรเยอะเลยละ”
เธอจดจำชื่อเหล่านั้นอย่างแม่นยำ ก่อนเข้ากองละครจะต้องทำความรู้จักกับคนเหล่านี้ให้หมด ท่องจำอยู่นาน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโหวงเหวง จึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฮั่วซี ถ้าฉันแสดงได้ไม่ดีจะทำยังไงคะ”
เขาลูบผมที่กระเซิงเล็กน้อยของเธอเบาๆ “มีผมอยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ”
ก็เพราะว่ามีคุณอยู่ด้วยฉันถึงกังวลว่าจะแสดงได้ไม่ดีน่ะสิ
ฮือ
วันรุ่งขึ้นอัลบั้มใหม่ของฮั่วซีวางแผง เซิ่งเฉียวกดสั่งซื้อหนึ่งร้อยอัลบั้มทันที เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปเข้ากองละครที่หางโจวแล้ว เธอจึงกรอกที่อยู่บ้านของเป้ยหมิงฝานลงไปให้เขาช่วยรับแทน
ตอนบ่ายก็แวะไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาของเซิ่งเฉียวสองสามชั่วโมง พอใกล้พลบค่ำ ติงเจี่ยนก็ช่วยเธอเตรียมสัมภาระอยู่ในห้องเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าร้อน เสื้อคลุมตัวนอก ของใช้ในชีวิตประจำวัน และของใช้จำเป็นล้วนต้องเอาไปด้วยเช่นกัน
ระยะเวลาในการถ่ายทำคือสามเดือน ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆเลย ก่อนจะออกเดินทางทั้งสองคนจึงล็อกประตูหน้าต่างเป็นอย่างดี แล้วคนขับรถก็พาพวกเขาไปส่งที่สนามบิน
ครั้งนี้โจวข่านไม่ได้ตามไปด้วย เพราะในกองละครมีช่างแต่งหน้าอยู่แล้ว จึงมีเพียงติงเจี่ยนกับฟางไป๋ที่ไปด้วย ตารางการเข้ากองละครนั้นมีการประกาศให้ทราบล่วงหน้า พอถึงสนามบินก็เห็นแฟนคลับมากมายมารอส่ง
ทะเลสีเงินล้อมรอบเธอจนกระทั่งเดินไปถึงจุดตรวจค้น ทุกคนต่างก็เอ่ยกำชับเธอให้ระวังเรื่องนู้นเรื่องนี้กันยกใหญ่ เพราะหลังจากเข้ากองละครไปแล้ว การไปเยี่ยมก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย
พอถึงจุดตรวจค้น เธอโบกมือลาทุกคน แฟนคลับของเซิ่งเฉียวต่างก็อาลัยอาวรณ์ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางราวกับเป็นมารดาว่า “หนูลูก อยู่ในกองนอกจากถ่ายละครแล้วก็ต้องรักษาระยะห่างกับฮั่วซีไว้ให้ดีเลยนะ!”
“เฉียวเฉียวที่รัก พลังของพวกเราสู้กับดาราระดับท็อปได้แค่คนเดียวนะ สองคนสู้ไม่ไหวจริงๆ!”
เซิ่งเฉียว “…”
ลำบากพวกเธอจริงๆเลย