[ทดลองอ่าน] ฝ่ากฎรักต่างโลก เล่ม 2 ตอนที่ 48

ฝ่ากฎรักต่างโลก

 Law of a Different World 

异世之万物法则

 

焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน

BlueFeather แปล

 

นิยาย 3 เล่มจบ

 

 heart ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing heart

…XOXO… 

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

———————————————————–

 

บทที่ 48

 

ช่วงเวลานั้นเอง เจ้าหน้าที่ทีมคุ้มกันทุกคนที่อยู่ในโรงอาหารต่างลุกขึ้นเตรียมโหลดกระสุนปืนกันจ้าละหวั่น บรรยากาศที่ผ่อนคลายกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

โม่เย่ที่อยู่กับหานลี่ตลอดเวลาหมุนตัวกำลังจะพุ่งพรวดออกนอกโรงอาหาร แต่มันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันกลับไปมองหานลี่

หานลี่พยักหน้าให้มัน “ไปเถอะ!”

โม่เย่ทะยานออกไปทันที

ระหว่างทางที่โจวอวี้กับอู๋อวิ้นพาหลี่เชียนและโจวชิงกลับไปที่โรงอาหาร พวกเขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

“ช่วยด้วย!—-ช่วยด้วย!”

เสี่ยวจ้าวผู้ช่วยงานวิจัยของโจวชิงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ด้านหลังของเขามีนักวิจัยในเสื้อคลุมสีขาวสองคนตามมา นักวิจัยทั้งสองคนนั้นโก้งโค้งคล้ายกับกำลังจะมีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากปากของพวกเขา

น้ำตาของเสี่ยวจ้าวไหลพราก เขามองโจวชิงและพวกอู๋อวิ้นเหมือนกับมองฟางช่วยชีวิต “ศาสตราจารย์โจว! ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย!”

เสี่ยวจ้าวพุ่งเข้าไปกอดโจวชิง

ขณะที่นักวิจัยสองคนพ่นหนอนกร่อนกระดูกที่อยู่ในปากออกมาพร้อมกัน โจวอวี้กับอู๋อวิ้นลั่นไกเจาะหน้าผากของนักวิจัยสองคนนั้นอย่างไม่ลังเลจนร่างของพวกเขาล้มลงไปนอนกองกับพื้น

“เสี่ยวจ้าว! คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คุณต้องอยู่รวมกับคนอื่น ๆ ที่โรงอาหารไม่ใช่เหรอ” โจวชิงถามเสียงเข้ม

“พวกเราอยู่ในรถกันตั้งนาน ผมก็เลยอยากเข้าห้องน้ำ! มีผู้คุ้มกันสองคนพาผมไป แต่ใครจะคิดว่าตอนที่ผมออกมาจะเห็นพวกเขานอนอยู่บนพื้น! ผมคิดว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ก็เลยรีบวิ่งออกมาและตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ประตูทางเชื่อมที่กลับไปโรงอาหารปิด! แล้วนักวิจัยสองคนนั้นก็โผล่ออกมา ผมรู้สึกว่าท่าทางของพวกเขาดูแปลก ๆ ก็เลยถอยห่างจากพวกเขา แต่ยิ่งผมหนี พวกเขาก็ยิ่งไล่ตาม มีคนหนึ่งพ่นหนอนตัวใหญ่น่าขยะแขยงออกมาด้วย ตอนนั้นผมเสียหลักล้มพอดีก็เลยรอดมาได้! หลังจากนั้นผมก็วิ่งต่อจนมาเจอกับพวกคุณ!” เสี่ยวจ้าวยังคงหวาดกลัวไม่หาย

ทว่าโจวชิงกลับถูกโจวอวี้ดึงไปข้างหลัง

“นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร ขนาดฉันกับอู๋อวิ้นยังไม่มีทางหลบหนอนกร่อนกระดูกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นายกลับวิ่งมาถึงนี่ได้อย่างปลอดภัยเนี่ยนะ”

ความแข็งกร้าวในแววตาของโจวอวี้ทำให้เสี่ยวจ้าวแทบไม่กล้าเงยหน้า

“ผมหลบได้จริง ๆ …หรือว่าพวกคุณแค่อยากจะฆ่าผมเฉย ๆ” เสี่ยวจ้าวก้าวถอยหลัง เขาส่ายศีรษะไปพลางร้องไห้ไปพลาง

ในกลุ่มพวกเขาหลี่เชียนเป็นคนขี้ใจอ่อนที่สุด ทว่าเพียงแค่ขยับไปข้างหน้าครึ่งก้าว เขาก็ถูกโจวชิงจับไว้ “อย่า”

จังหวะเดียวกับที่เสี่ยวจ้าวก้าวถอยไป จู่ ๆ ไฟด้านหลังของเขาที่เปิดตลอดทั้งวันทั้งคืนก็ดับพรึบและเสี่ยวจ้าวก็หายเข้าไปในความมืด

โจวอวี้แจ้งให้ทุกคนทราบผ่านทางวิทยุสื่อสาร “ระวังเสี่ยวจ้าวที่เป็นผู้ช่วยงานวิจัยของศาสตราจารย์โจวด้วย! เขาน่าจะติดเชื้อหนอนกร่อนกระดูกแล้ว!”

“แล้วเราจะเอายังไงดี ไล่ตามเสี่ยวจ้าวหรือว่าจะไปโรงอาหาร” อู๋อวิ้นถาม

“แน่นอนว่าต้องกลับไปที่โรงอาหารและพาทุกคนออกจากสถานที่บ้า ๆ นี่”

พวกเขายังคงแนวรบรูปแบบเดิม อู๋อวิ้นถือปืนนำอยู่ข้างหน้า โจวชิงกับหลี่เชียนอยู่ตรงกลาง โจวอวี้หันหลังยกปืนเล็งไปในทิศทางที่เสี่ยวจ้าวหายตัวไปและรั้งอยู่ท้ายขบวน

ทว่ายามที่อู๋อวิ้นนำหลี่เชียนและโจวชิงเดินผ่านทางเชื่อมไป ประตูพลันปิดลงอย่างกะทันหัน โจวอวี้ที่เห็นหลี่เชียนกำลังจะถูกกระแทกไหล่พลันตอบสนองด้วยการถีบเขาไปอีกฝั่ง ทว่าตัวเองกลับถูกขังไว้ที่อีกด้านของทางเดิน

“โจวอวี้! โจวอวี้!” อู๋อวิ้นทุบประตูอย่างแรง

โจวอวี้พูดผ่านวิทยุสื่อสาร “ประตูนี้ปิดได้แสดงว่ามีคนควบคุมระบบของที่นี่และจับตาดูเราอยู่! อู๋อวิ้น นายพาหลี่เชียนไปที่ไหนก็ได้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ได้แล้วเข้าควบคุมระบบซะ!”

อู๋อวิ้นกัดฟัน เขารู้ว่าลำพังเพียงแค่กำลังของพวกเขาไม่มีทางเปิดประตูนี้ได้ “ได้! ฉันจะพาหลี่เชียนไปหาคอมพิวเตอร์! รักษาการติดต่อเอาไว้นะ!”

“ได้” โจวอวี้หันหลังกลับและจ้องเข้าไปในความมืดตรงหน้า

โจวอวี้เกือบจะมั่นใจแล้วว่าที่สถานีสังเกตการณ์แห่งนี้ติดเชื้อจากหนอนกร่อนกระดูกในระดับใหญ่เกิดจากฝีมือของมนุษย์และตอนนี้ผู้บงการก็กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เฝ้ามองดูทุกคนผ่านทางหน้าจอนั่น

ทว่าตลอดทางที่อู๋อวิ้น หลี่เชียน และโจวชิงเดินผ่าน ห้องวิจัยทุกห้องกลับถูกล็อกและพวกเขาก็ไม่มีทางเข้าไปได้เลย

“แม่งเอ๊ย…” อู๋อวิ้นกัดฟันกรอด เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของโจวอวี้ ยิ่งอีกฝ่ายอยู่ในความมืดนานเท่าไรก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น

อู๋อวิ้นหยิบวิทยุสื่อสารแจ้งคนในโรงอาหาร “อพยพทุกคนออกจากสถานีสังเกตการณ์”

ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือทางออกของสถานีสังเกตการณ์ถูกปิดตาย

“เราจะต้องถูกขังอยู่ที่นี่และกลายเป็นอาหารของหนอนกร่อนกระดูกอย่างนั้นเหรอ” หลี่เชียนถาม

ไม่ว่าอย่างไรความมืดก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกกลัว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มองไม่เห็นอะไรเลยเช่นนี้ โจวอวี้เพ่งสมาธิ เขารู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา

ทันใดนั้นเขาก็ดึงไฟฉายสำรองที่เหน็บอยู่ตรงต้นขาออกมา ลำแสงสว่างจ้าส่องกระทบเข้าที่ใบหน้าซีดเซียวของเสี่ยวจ้าวอย่างพอดิบพอดี

เขายิ้มและมองไปที่โจวอวี้ ท่าทางที่เหมือนกับศาสตราจารย์ลู่ทุกประการนั้นช่างน่าขนลุก

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายโก่งตัว โจวอวี้ก็เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว ปิดไฟฉายและเหนี่ยวไก กระสุนปะทะเข้ากับกำแพง

โจวอวี้กลั้นหายใจ ขยับทุกย่างก้าวอย่างระมัดระวัง เสี่ยวจ้าวอยู่ที่ไหน จะเข้ามาทางไหน โจวอวี้ตั้งใจฟังเสียงรอบกาย

ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกได้ถึงกระแสอากาศที่ปะทะเข้ากับร่าง โจวอวี้ย่อตัวลงอย่างรวดเร็วและยกปืนขึ้นยิงไปยังทิศทางนั้นตามความรู้สึกทันที ก่อนจะรีบย้ายตำแหน่งของตัวเองอย่างว่องไว

เขาได้ยินเสียงบางอย่างล้มลงในความมืด รวมไปถึงเสียงฉีกขาดของกล้ามเนื้อและเส้นเลือด

เขาเปิดไฟฉายอีกครั้ง แสงส่องลงบนใบหน้าที่ลืมตาโพลงของเสี่ยวจ้าวอย่างเหมาะเจาะ ปากของเขาฉีกออก หนอนกร่อนกระดูกตัวหนึ่งนอนตายอยู่ข้างนอก

โจวอวี้ปรับลมหายใจของตัวเองจนสงบลง เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ แต่เพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก

ช่วงเวลาที่เขายืนขึ้น ทางเชื่อมที่อยู่ด้านหน้าเขาก็เปิดออก ความมืดถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างอย่างกะทันหันทำให้โจวอวี้ลืมตาแทบไม่ขึ้น

ทว่าแสงไฟนี้ช่างเย็นเยียบ ยิ่งมันสว่างเท่าไรหัวใจก็ยิ่งหวาดหวั่นมากเท่านั้น

ทางที่เปิดออกมีเพียงแค่ทางเชื่อมตรงหน้า แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายอนุญาตให้โจวอวี้ก้าวไปข้างหน้าแต่ไม่ยอมให้ถอยกลับไป

อู๋อวิ้นในเวลานี้ร้อนใจมาก เขาไปที่หน้าประตูห้องทดลองและยกปืนยิงใส่ไปหลายนัด

“ไม่ได้ผลหรอก ถ้าประตูห้องทดลองสามารถพังได้ง่าย ๆ ด้วยกระสุนปืน มันก็ไม่ใช่ห้องทดลองของจวี้ลี่กรุ๊ปแล้วล่ะครับ” โจวชิงพูดขึ้น

“จริงสิ! โม่เย่ไง! พละกำลังของโม่เย่มหาศาลขนาดนั้น! มันอาจจะพังประตูเชื่อมพวกนี้ได้ก็ได้! แถมยังเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเออีกต่างหาก บางทีมันอาจควบคุมหนอนกร่อนกระดูกพวกนี้ได้เหมือนที่ทำกับวาฬยักษ์ทะเลทรายไง!” อู๋อวิ้นติดต่อหาหานลี่ทันที

“โม่เย่เหมือนจะรู้ว่าพวกนายตกอยู่ในอันตราย มันเลยไปหาพวกนายแล้ว!” คำตอบของหานลี่ทำให้ทุกคนถอนหายใจออกมา

“แล้ว…โม่เย่วิ่งไปไหน” อู๋อวิ้นขมวดคิ้ว “คราวหน้าให้โม่เย่พกวิทยุสื่อสารด้วยดีไหม”

“เราอย่าเอาแต่พึ่งโม่เย่สิ! มาลองดูกันก่อนว่ามีอะไรที่พวกเราทำได้บ้าง ถ้าเราใช้ระเบิดของอู๋อวิ้นมาระเบิดประตูล่ะ คิดว่ามันจะเป็นได้ไหมศาสตราจารย์โจว” หลี่เชียนถามโจวชิง

“อู๋อวิ้น คุณมีระเบิดกี่ลูก” โจวชิงถาม

“สามลูก เราจะลองใช้มันระเบิดประตูดูก็ได้!”

โจวชิงถอนหายใจ “ถึงผมจะรู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ได้คงไม่ดีเท่าไร แต่ก็ต้องลองดู”

โจวอวี้ถือปืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

เขารู้ว่าต่อให้ตัวเองไม่ขยับไปข้างหน้า ศัตรูที่ซุกซ่อนอยู่ก็จะมาหาเขาเอง

ผ่านไปสิบวินาที ทางเชื่อมยังคงเงียบสงบราวกับโลกทั้งใบกำลังหลับใหล หัวใจของโจวอวี้เต้นแรง เขาบอกกับตัวเองว่าแม้แต่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเขาก็เห็นมันมาแล้ว

ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้นราวกับมันกำลังทดสอบความอดทนของเขา

โจวอวี้รักษาท่าทางระแวดระวังไว้อยู่เสมอ แขนที่ยกปืนขึ้นไม่มีอาการสั่นเลยแม้แต่น้อย

เขารู้ว่าการแข่งขันในครั้งนี้ ไม่เขาก็อีกฝ่าย ใครที่หมดความอดทนและก้าวไปข้างหน้าก่อนจะแพ้

ช่วงเวลาหนึ่งอึดใจ เขาพลันได้ยินเสียงดังโครมมาจากทางเชื่อมข้างหน้าและมีอะไรบางอย่างตกลงมาจากด้านบน

ไหล่ของโจวอวี้เกร็งขึ้นทันที เพราะมันเป็นกลุ่มผู้คุ้มกันที่โดนหนอนกร่อนกระดูกชอนไชเข้าไปจนกล้ามเนื้อเริ่มเปื่อยยุ่ย!

พวกเขายังอยู่ในฐาน!

โจวอวี้เบิกตากว้าง ดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมาอย่างไร้จุดหมายของหนึ่งในนั้นพลันจ้องเขม็งมาทางเขา

โจวอวี้เหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล ทว่าร่างกายนั้นกลับยืดหยุ่นและคล่องแคล่วกว่าที่โจวอวี้คิด อีกฝ่ายพลันโยกตัวไปด้านข้าง ผู้คุ้มกันคนอื่นก็กระจายตัวออกไป กระสุนจึงเฉียดไหล่ของผู้คุ้มกันคนหนึ่งและกระแทกเข้ากับประตู

ทั่วทั้งทางเดินคล้ายจะสั่นสะเทือน

คนทั้งแปดพุ่งเข้าหาโจวอวี้โดยพร้อมเพรียงกัน

โชคยังดีที่โจวอวี้ยอมอดทนไม่ก้าวไปข้างหน้า ไม่อย่างนั้นในระยะประชิดเช่นนั้นเขาคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะลงมือ!

แววตาของผู้คุ้มกันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ ใบหน้าเน่าเปื่อยจนไม่อาจแยกแยะอวัยวะทั้งห้า แขนขาเชื่อมกันด้วยกระดูก ดูเหมือนพวกมันจะถือเอาโจวอวี้เป็นอาหารบำรุงมื้อสุดท้าย หนอนกร่อนกระดูกถูกพ่นออกมาจากปากประหนึ่งหัวลูกศรไร้ก้าน

เวลานับศตวรรษเสมือนถูกบีบอัดเป็นวินาทีในชั่วพริบตา

โจวอวี้เหนี่ยวไก ส่งกระสุนนัดแรกไปจัดการหนึ่งในนั้น หนอนกร่อนกระดูกในปากเขาระเบิดห่างจากโจวอวี้ไปหนึ่งช่วงแขน ทว่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีอีกเจ็ดคนวิ่งกรูเข้ามาอย่างสับสนปนเป โจวอวี้จำเป็นต้องตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าจะยิงใครก่อน จะยิงใครหลัง และยิงอย่างไร!

กระสุนลั่นออกไปโดยไม่ต้องคิด โจวอวี้เบี่ยงตัวหลบหนอนกร่อนกระดูกตัวหนึ่งก่อนจะย่อตัวลง รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างวิ่งผ่านแผ่นหลังไปอย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้นและยิงไปอีกนัด ใช้มือข้างเดียวยันพื้นและส่งตัวเตะชายที่วิ่งเข้ามาตรงหน้า ก่อนจะถอยหลังเพื่อเพิ่มระยะห่างอย่างว่องไว โจวอวี้อาศัยความรู้สึกในการระบุตำแหน่งและยิงออกไปอีกหนึ่งนัด

โจวอวี้เปลี่ยนซองกระสุนอย่างคล่องแคล่ว เพียงแค่ยกปืนขึ้น ผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว ยามที่สบเข้ากับดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น เขาก็เห็นหนอนกร่อนกระดูกในปากของอีกฝ่ายกำลังจะพุ่งออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของโจวอวี้ราวกับกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า โจวอวี้ยกปากกระบอกปืนขึ้นยิงใส่หัวเข่าของอีกฝ่ายทันที นิวโรทอกซินแพร่กระจายและลุกลามไปยังหนอนกร่อนกระดูกอย่างไม่รอช้า ถึงขนาดที่โจวอวี้รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ลดฮวบของสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงตัวนั้น

เมื่อผู้คุ้มกันคนนั้นล้มลง โจวอวี้พลันตกใจกับอีกสองคนที่เหลือที่เข้ามาถึงตรงหน้า ทางซ้ายหนึ่ง ทางขวาหนึ่ง ทว่ามันก็สายเกินไป

โจวอวี้ยกปืนขึ้น บอกกับตัวเองว่าฆ่าหนึ่งก็หนึ่ง!

ยามที่เขายิงคนทางซ้ายและกำลังจะถูกหนอนกร่อนกระดูกทางด้านขวากัด จู่ ๆ มันก็ระเบิดออก

โจวอวี้เบิกตากว้างและหลบตามสัญชาตญาณ ทว่าก็ยังสายเกินไปที่จะหลบเลี่ยงเลือดและน้ำหนองที่สาดกระจาย

ชั่ววินาทีนั้น มือหนึ่งพลันยื่นออกมาจากทางด้านหลังของโจวอวี้ บังใบหน้าของโจวอวี้เอาไว้ แผ่นหลังของโจวอวี้ชนเข้ากับแผงอกของใครบางคน

หัวใจพลันบีบรัด

ที่นี่ยังมีคนอื่นนอกจากเขา!

ใช่ผู้คุ้มกันที่ติดเชื้อหรือเปล่า

โจวอวี้กระแทกศอกไปด้านหลัง อีกฝ่ายขยับถอย ชั่ววินาทีนั้นเขาพลันรู้สึกถึงอะไรอุ่น ๆ ขบเข้าที่ติ่งหู

เป็นอุณหภูมิที่คุ้นชินและรู้สึกปลอดภัย…โจวอวี้หมุนตัวและยกปืนขึ้น ก่อนจะมองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคย

ผิวขาวกระจ่างใส โครงหน้างดงามทว่าเครื่องหน้าไม่ได้อ่อนหวาน คิ้วและดวงตาของเขาแลดูเกียจคร้านอย่างเมฆคล้อยลมอ่อน ทว่าใบหน้านั้นอ่อนเยาว์และบริสุทธิ์

“คุณหนีเร็วเกินไปแล้ว ผมยังอยากกอดต่ออีกสักหน่อยอยู่เลย”

เขาก้าวมาข้างหน้า เข้าประชิดปากกระบอกปืนของโจวอวี้อย่างไม่เกรงกลัว

“กระสุนของฉันมีนิวโรทอกซิน” โจวอวี้พูด

ทว่าอีกฝ่ายกลับแนบตัวเข้ามามากกว่าเดิม เขาก้มลงเล็กน้อย ใบหน้าเอียงไปด้านข้างคล้ายกับจะมองตาของโจวอวี้ให้ชัด ๆ

“งั้นคุณลองดูไหมว่ามันฆ่าผมได้หรือเปล่า”

ดวงตาของเขางดงามทว่าสายตากลับทรงอำนาจอย่างเหลือล้นราวกับจะดึงสติของโจวอวี้ออกมาเหวี่ยงเป็นวงกลมจนไร้ที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น

โจวอวี้รู้สึกควบคุมการหายใจลำบากคล้ายกับสูญเสียจังหวะที่ควรมีไปเป็นครั้งแรก

“นายเข้ามาได้ยังไง!” โจวอวี้จ้องอีกฝ่ายเขม็ง

เด็กหนุ่มชี้ไปที่ด้านบนศีรษะ โจวอวี้พบว่าช่องระบายอากาศถูกเปิดและถอดใบพัดออกไปแล้ว

เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มโดยที่ริมฝีปากปิดสนิท แววตาเจือไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เขากดตัวเข้าหากระบอกปืนของโจวอวี้มากขึ้น ขณะที่โจวอวี้ทำได้แค่ล่าถอยออกไป

เด็กหนุ่มคนนี้รู้เส้นตายของโจวอวี้ดีกว่าใคร ทว่าด้วยท่าทางที่เอาแต่ใจของเขากลับบีบให้เส้นตายของโจวอวี้ต้องถอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าใครคือคนที่เลี้ยงหนอนกร่อนกระดูกพวกนี้” เด็กหนุ่มพูด ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้โจวอวี้มาก ใกล้เสียจนลมหายใจของเขาปัดป่ายไปทั่วริมฝีปากของโจวอวี้อย่างยากที่จะเพิกเฉยได้

“พวกมันถูกเลี้ยงไว้?”

นี่มันอยู่นอกเหนือจากที่โจวอวี้คาดการณ์ไว้มาก

นิ้วของเด็กหนุ่มแตะปลายนิ้วที่เกี่ยวไกปืนของโจวอวี้ สัมผัสแผ่วเบาเพียงแค่ครั้งเดียวก็ปลดเอาปืนออกมาได้แล้ว

โจวอวี้เบิกตากว้าง การกระทำทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงขนาดที่เขาไม่ทันได้ตอบสนองใด ๆ

เด็กหนุ่มเดินนำโจวอวี้ไปยังทางเชื่อม ก้าวผ่านศพของผู้คุ้มกัน ก่อนจะหันกลับมาและพบว่าโจวอวี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“คุณกลัวผมเหรอ” เด็กหนุ่มขยับยิ้ม แสงไฟเย็นเยือกที่ส่องมาจากด้านหลังทำให้มุมปากของเขากดลึกขึ้นกว่าเดิมจนแผ่กลิ่นอายลึกลับออกมา

“แน่นอนว่าไม่” สีหน้าของโจวอวี้หนักแน่น ก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไป

โจวอวี้สงสัย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามจากตรงไหนดี

ทางเดินข้างหน้าพวกเขาถูกปิดตาย เด็กหนุ่มทำเพียงแค่เผยรอยยิ้มบาง เขาทาบฝ่ามือลงบนประตู ออกแรงเกร็งไหล่เพียงเล็กน้อย ประตูทั้งบานก็ถูกผลักจนล้มตึง

มันร่วงลงเสียงดังและเสียงยามที่มันกระแทกกับพื้นก็ดังก้องอยู่ในทางเดิน

โจวอวี้สูดหายใจเข้าลึก เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวไปด้านข้างก่อนจะมองโจวอวี้ราวกับคอยให้เขาก้าวมาหา กระทั่งโจวอวี้เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า เขาก็ยื่นปืนที่ห้อยอยู่กับนิ้วส่งคืนให้

“แม้ว่าคุณจะไม่จำเป็นต้องใช้มัน ยามที่ผมอยู่ที่นี่ แต่ผมคิดว่า…คุณคงอยากทำลายเจ้านั่นด้วยตัวของคุณเอง”

โจวอวี้รับปืนของตัวเองกลับมา ในจังหวะนั้น เด็กหนุ่มก็พลันโน้มตัวเข้าหา ดวงตากระจ่างใสราวกับผิวน้ำที่สะท้อนกับแสงแดดคู่นั้นช่างดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

ริมฝีปากของเขาขยับเข้าใกล้โจวอวี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนโจวอวี้จินตนาการถึงอุณหภูมิและสัมผัสของมันโดยไม่รู้ตัว วินาทีที่หัวใจของโจวอวี้เต้นไม่เป็นจังหวะ เด็กหนุ่มก็กลับไปยืดหลังตรงและยิ้ม “ไปกันเถอะ”

เขาหมุนตัวและเดินต่อ โจวอวี้มองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเมื่อกี้ตัวเองถึงได้สติหลุดไปชั่วขณะ

ภายในทางเชื่อมยังคงเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขาสองคน ยามที่ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวเสียงฝีเท้าสองเสียงก็ค่อย ๆ รวมเข้าหากันเป็นหนึ่ง

มันทำให้โจวอวี้รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ ส่วนเด็กหนุ่มตรงหน้าก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากความสิ้นหวังของตัวเอง

เขาถูกหนอนกร่อนกระดูกกลืนไปแล้วใช่ไหม

เด็กหนุ่มพลันหยุดฝีเท้าลง เขายกยิ้มและกวักมือเรียกโจวอวี้ โจวอวี้เดินไปที่ข้างตัวของอีกฝ่าย เมื่อมองตามสายตาไปเขาก็เห็นห้องวิจัยห้องหนึ่ง

ยามที่มองผ่านกระจกของประตูสองชั้นเข้าไป โจวอวี้เห็นนักวิจัยหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ เธอมองโจวอวี้อย่างหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นระริก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง

โจวอวี้หันหน้าไปด้านข้างและสังเกตเห็นว่ามีปืนจ่ออยู่ที่ศีรษะของนักวิจัยคนนั้น ทว่าเป็นเพราะประตูบังอยู่เขาจึงมองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย

“มีคนบังคับให้เธอควบคุมระบบเฝ้าระวังของที่นี่?” โจวอวี้ขมวดคิ้ว

เด็กหนุ่มขยับยิ้มอย่างไร้ความเห็น เขาวางมือลงบนประตูบานแรกแล้วประตูบานนั้นก็หลุดออกไป

เป็นอีกครั้งที่โจวอวี้ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตระดับเอสตนนี้ ขนาดโม่เย่ยังสามารถฝ่าทางเชื่อมพวกนี้ไปได้ สิ่งมีชีวิตระดับเอสอย่างเขาคงไม่ต้องพูดถึง

เด็กหนุ่มเดินผ่านประตูชั้นแรกเข้าไป ก่อนจะยกเท้าขึ้นและถีบประตูบานที่สองจนหลุดออกไปตาม ๆ กันอย่างง่ายดาย บานประตูกระแทกเข้าที่โต๊ะของนักวิจัยพร้อมกับเสียงร้องกรี๊ดที่ดังขึ้น

โจวอวี้เดินเข้าไปและมองร่างที่อยู่ข้างตัวเธอ อีกฝ่ายคือคนที่อยู่ในทีมคุ้มกันและกำลังถือปืนจ่อไปที่ศีรษะของนักวิจัย

ใบหน้าของเขาเปื่อยยุ่ยและมีเลือดกำเดาไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา ยามที่โจวอวี้ก้าวเข้าไป เขาก็ขยับไปอยู่ข้างหลังของนักวิจัยคนนั้นทันที

เขาไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ทว่ายามที่โจวอวี้ยกปืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้า อีกฝ่ายก็กดปากกระบอกปืนไปที่หลังศีรษะของนักวิจัยหญิง บ่งบอกเป็นนัยว่าถ้าเข้ามาใกล้เขาจะฆ่าเธอ

นักวิจัยหญิงสะดุ้ง ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา เธอหลับตาปี๋ หวาดกลัวว่าหัวใจตัวเองจะไม่ได้เต้นอีกต่อไป “ฉันขอโทษ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ…ช่วยฉัน…ช่วยฉันด้วยค่ะ…”

ชายที่ถูกหนอนกร่อนกระดูกฝังตัวอยู่ในร่างก้มศีรษะลงอยู่บ่อย ๆ ราวกับกำลังอดกลั้นไม่ให้ปล่อยหนอนกร่อนกระดูกที่อยู่ในร่างออกมาอย่างยากลำบาก

โจวอวี้คลายนิ้วออกเล็กน้อย เขาขยับเท้าเคลื่อนตัวอยู่ในรัศมี มองหามุมและโอกาสในการยิง

“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะฆ่าผู้หญิงคนนี้ซะ” เด็กหนุ่มกระตุกมุมปาก รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยการหยอกเย้าและไม่เห็นชีวิตของนักวิจัยหญิงคนนั้นอยู่ในสายตา

ดวงตาของโจวอวี้หรี่ลง สายตาเลื่อนไปมองเด็กหนุ่มคนนั้น “ด้วยความสามารถของนาย ต่อให้ไม่ต้องใช้กระสุนก็จัดการกับหนอนกร่อนกระดูกได้อยู่แล้วนี่”

“ผมชอบดูเธอหวาดกลัว” เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่นักวิจัยหญิงอย่างรื่นรมย์

สีหน้าของโจวอวี้เย็นลง เขาใช้สายตาเย็นชามองไปที่นักวิจัยหญิงคนนั้น ป้ายที่อยู่บนอกเขียนชื่อของเธอเอาไว้ “ถ้าคุณยังไม่พูดความจริง ผมจะยิงแล้วนะ ดอกเตอร์หลิน”

“…อะไรกัน…” ดอกเตอร์หลินตะลึง

“ง่ายมาก เวลาที่หนอนกร่อนกระดูกฝังอยู่ในแต่ละร่างมีจำกัด เมื่อสารอาหารที่อยู่ในร่างหมดลง มันย่อมต้องเลือกร่างกายอื่นเพื่อรับสารอาหาร ร่างโฮสต์ที่อยู่ข้างหลังคุณ เห็นได้ชัดว่าใกล้จะตอบสนองความต้องการของหนอนกร่อนกระดูกไม่ได้แล้ว แต่เขาก็ยังอดทนยอมไม่เข้าสู่ร่างกายคุณ สิ่งมีชีวิตของที่นี่ล้วนมีสติปัญญา โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตระดับบีอย่างหนอนกร่อนกระดูก ผมนึกเหตุผลที่มันอดทนไม่โจมตีคุณได้แค่สองข้อเท่านั้น ข้อแรกคือร่างกายของคุณถูกหนอนกร่อนกระดูกกัดกินไปแล้ว ส่วนอีกข้อก็คือคุณกับหนอนกร่อนกระดูกพวกนี้มีความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างและชีวิตของคุณก็มีประโยชน์กับพวกมันมากกว่าการเป็นกาฝาก”

“พวกมันไว้ชีวิตฉันก็เพื่อให้ฉันควบคุมระบบ…ขังพวกคุณไว้ที่นี่ เพียงเท่านี้พวกมันก็จะได้รับสารอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ …ถ้ามีแค่ฉันคนเดียว ไม่ช้าพวกมันก็จะมีสารอาหารไม่พอ!” ดอกเตอร์หลินร้องไห้ไปพลางอธิบายไปพลาง

ทว่าท่าทางของโจวอวี้กลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ถึงท่าทางของดอกเตอร์หลินจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ในสายตาของเธอกลับมีการเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้อยู่ และการเตรียมตัวรับมือนี้ก็ไม่ได้มีไว้สำหรับหนอนกร่อนกระดูก แต่มีไว้สำหรับโจวอวี้

ถึงอย่างนั้นโจวอวี้ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะยิงมนุษย์ที่ไม่ได้เป็นกาฝากหรือไม่

เวลานั้นเอง เด็กหนุ่มก็ขยับเข้าไปใกล้ทีละก้าวด้วยท่าทางเกียจคร้านสุด ๆ โดยไม่สนใจผู้คุ้มกันที่ถูกหนอนกร่อนกระดูกสิงสู่และยืนอยู่ด้านหลังดอกเตอร์หลินเลยแม้แต่น้อย

เขาวางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะและโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดอกเตอร์หลินเอนถอยไปโดยไม่รู้ตัว หลังศีรษะจึงชิดเข้ากับปืน

“ความจริงปืนนั่นไม่มีกระสุนถูกไหม เธอน่าจะกังวลว่าจะทำยังไงถ้าปืนมันเกิดลั่นและยิงเธอเข้าจริง ๆ”

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า