ฝ่ากฎรักต่างโลก
Law of a Different World
异世之万物法则
焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน
BlueFeather แปล
นิยาย 3 เล่มจบ
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
———————————————————–
บทที่ 5
“ถ้าผมบอกว่าไม่เห็นด้วยล่ะ คุณจะเสียใจไหมที่ไม่ปล่อยให้ผมตายที่นั่น”
ซ่งจื้อส่ายศีรษะ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมไม่ใส่ใจหรอก”
“ผมไม่มีทางตกลงกับคุณ คุณหวังจะให้ผมเข้าร่วมโครงการวิจัยบ้าบอนั่นที่พรากเอาชีวิตเพื่อนร่วมทีมของผมไปจนหมดเนี่ยนะ อย่ามาตลกหน่อยเลย คุณคงไม่รู้สินะว่าส่วนลึกภายในจิตใจของผมมันร่ำร้องอยากจะฆ่าพวกคุณมากแค่ไหน” แววตาของโจวอวี้เย็นเยียบขึ้นมาทันที
“คุณไม่ได้พบกับโจวชิง น้องชายของคุณมานานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งจื้อพลันกล่าวขึ้นมา
รูม่านตาของโจวอวี้สั่นไหวกระชากคอเสื้อของซ่งจื้อจนยับย่น “พวกคุณทำอะไรกับโจวชิง จะลากเขาเข้ามาเกี่ยวด้วยหรือไง”
ซ่งจื้อตบที่หลังมือของโจวอวี้เบา ๆ เป็นเชิงบอกให้ปล่อย “ศาสตราจารย์โจว ผู้นำทางด้านสรีรวิทยาและเอ็มบริโอของพืช เขาเป็นบุคลากรทรงคุณค่าที่พวกเราเล็งเห็นถึงความอัจฉริยะและมากด้วยพรสวรรค์เป็นพิเศษ สำหรับนักวิชาการทุกคน การได้เข้ามามีส่วนร่วมในงานวิจัยที่สุดยอดที่สุดในสาขาของตัวเองคือสิ่งที่แสวงหามาทั้งชีวิต คุณไม่ควรใช้คำว่า ‘ลากเข้ามาเกี่ยว’ มาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับศาสตราจารย์โจว”
“พวกคุณใช้วิธีอะไรเกลี้ยกล่อมเขา”
โจวอวี้รู้จักน้องชายของตัวเองดี โจวชิงเป็นนักวิชาการที่ซื่อตรงก็จริง แต่เขาก็มีขีดจำกัดของตัวเอง
และโจวอวี้ก็เห็นว่าการวิจัยของจวี้ลี่กรุ๊ปในครั้งนี้มันล้ำเส้นที่น้องชายเขาขีดเอาไว้
ซ่งจื้อยืนขึ้นและจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย โจวอวี้ไม่ชอบคนที่สนใจรูปลักษณ์ของตัวเองตลอดเวลาสักเท่าไร แต่ซ่งจื้อกลับทำให้โจวอวี้รู้สึกถึงความเอาจริงเอาจังและการทำอะไรอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เราใช้วิธีไหนเกลี้ยกล่อมศาสตราจารย์โจว แต่เป็นคุณ…คุณไม่ได้กินข้าวหรือพูดคุยกับน้องชายตัวเองมานานแค่ไหนแล้ว รู้หรือเปล่าว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของเขาเป็นยังไง ต้องการอะไร คุณลองไปพบเขาดูสิ แล้วหลังจากนั้นถ้าคุณยังยืนกรานอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมรับไมตรีจากพวกเราจวี้ลี่กรุ๊ปจริง ๆ ละก็ ผมขอสัญญาด้วยเกียรติว่าจะไม่ไปรบกวนชีวิตของคุณอีก พวกเราจวี้ลี่กรุ๊ปรักษาสัญญาเสมอ”
พูดจบ ซ่งจื้อก็เดินออกจากห้องไป
โลกทัศน์ของโจวอวี้พลิกคว่ำภายในเวลาไม่กี่วินาที ไม่ทันจะได้เศร้าเสียใจกับการจากไปของเพื่อนร่วมทีม อีกปัญหาหนึ่งก็พุ่งเข้ามาเสียแล้ว
เขาทั้งเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด ผ่านประสบการณ์เป็นตาย ได้ยินเรื่องโลกคู่ขนานที่ชื่อ ‘นิเบลุงเกน’ ไหนจะมีคนต้องการว่าจ้างให้เขาไปที่โลกคู่ขนานนั่น แถมล่าสุดนี้เขายังได้รับการเตือนว่าให้ติดต่อกับน้องชายให้มากหน่อย
เรื่องทั้งหมดนี้ราวกับเป็นแผนที่ถูกจัดฉากเอาไว้เป็นอย่างดี
โจวอวี้ใช้เวลาฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด หนึ่งเดือนต่อมาเขาก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่ซ่งจื้อเตรียมไว้ให้
ยามที่เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นสู่ท้องฟ้า โจวอวี้ก็พบว่าตัวเองอยู่ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่มาโดยตลอด สายลมตีม้วนจนฝุ่นทรายฟุ้งกระจายออกไปเป็นระลอก ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับจมอยู่ใต้ผืนน้ำ
เมื่อมาถึงเมือง โจวอวี้ก็ตรงกลับไปที่ห้องพักแบบสตูดิโอของตัวเอง เพียงชั่วครู่เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้บังคับบัญชา ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะถูกลงโทษ แต่กลายเป็นว่าผู้บังคับบัญชาให้เขาหยุดงานหนึ่งเดือนเพื่อพักรักษาตัวแทน
โจวอวี้เผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรมันก็เหมือนเป็นเวลาที่จวี้ลี่กรุ๊ปให้เขาได้ ‘คิดไตร่ตรอง’
เขาได้รับโทรศัพท์จากเหมยซี เธอเป็นห่วงเขามาก เพียงแค่ได้ยินโจวอวี้พูดคำว่า “เสี่ยวเหมย” เธอก็ร้องไห้โฮใส่โทรศัพท์ทันที
ดีที่ผู้บังคับบัญชาไม่ได้ซักไซ้เรื่องความบกพร่องในหน้าที่ของเหมยซีและเจ้าหน้าที่ประสานงานอีกสองคน พวกเขาทั้งสามควรจะหยุดโจวอวี้ไว้ตั้งแต่แรกแต่ก็ไม่ได้ทำ หน่วยของโจวอวี้ถูกกวาดล้างจนเกือบหมด เหมยซีเองก็ถูกแยกให้ไปอยู่กับหน่วยอื่น
เมื่อเหมยซีถามโจวอวี้ว่าเจออะไรในสถาบันวิจัยกันแน่ โจวอวี้ก็ตอบเพียงแค่ “เสี่ยวเหมย เธอใช้ชีวิตของเธอต่อไปให้ดีเถอะ เรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ไม่ต้องรู้หรอก”
บางครั้งการยอมหลับตาลงเสียบ้าง ก็มีความสุขมากกว่าการไล่ตามความจริง
เหมยซีเข้าใจและไม่ซักไซ้ไล่เรียงเขาต่ออีก
“งานศพของจ้าวเฉิงกับเฉินชงล่ะ” นิ้วมือของโจวอวี้พลันแข็งทื่อ
แม้ไม่ได้ตั้งใจจะนึกถึง แต่ภาพก่อนตายของพวกเขายังคงติดตรึงฝังแน่นอยู่ในใจโจวอวี้ไม่หาย
“งานศพจบลงแล้ว เบื้องบนบอกว่าพวกเขาเสียชีวิตในหน้าที่ ร่างถูกเผาก่อนจะส่งคืนญาติ”
สาเหตุการตายของพวกเขาถูกเก็บงำเป็นความลับ จะปล่อยให้คนในครอบครัวเห็นร่างของพวกเขาไม่ได้
“ฉันจะไปเยี่ยมพวกเขา” โจวอวี้หลุบตาลง
หลังจากนั้นเหมยซีก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
โจวอวี้ไปถึงสุสานในตอนบ่าย เขายืนมองหลุมฝังศพและรูปที่ติดอยู่บนป้ายหลุมศพของเพื่อนร่วมทีมเงียบ ๆ
วันถัดมา เขาซื้อตั๋วและขึ้นเครื่องบินไปยังอีกเมืองหนึ่งเพื่อเยี่ยมโจวชิง น้องชายของตัวเอง
โจวชิงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในวงการ แม้จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยแต่ก็สามารถกล่าวบรรยายได้อย่างลึกซึ้งด้วยสำนวนที่เรียบง่าย
โจวอวี้มาถึงมหาวิทยาลัยเอฟแล้วโทรศัพท์หาน้องชาย ก่อนจะพบว่ามันปิดเครื่องอยู่ เขาจึงตรงไปที่ห้องทำงานของโจวชิง แต่กลายเป็นว่าได้พบกับผู้ช่วยงานวิจัยสองคนของเขาแทน
“สวัสดีครับ ผมมาหาศาสตราจารย์โจว”
“ตอนนี้ศาสตราจารย์โจวไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครมาจากไหนครับ องค์กรวิจัย ประชุมสัมมนา หรือบริษัทไบโอเทค”
ชื่อเสียงของโจวชิงเป็นที่เลื่องลือมาก จึงไม่แปลกที่จะมีคำเชิญขอความร่วมมือส่งมาไม่ขาดสาย แต่เขาเป็นคนที่เข้าสังคมไม่เก่ง หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ ผู้ช่วยของเขาจะเป็นคนบอกปฏิเสธแทน
“ผมชื่อโจวอวี้ เป็นพี่ชายของศาสตราจารย์โจว”
เมื่อโจวอวี้พูดจบ ท่าทางของผู้ช่วยทั้งสองก็เปลี่ยนไปทันที
“คุณคือผู้บังคับการโจวนี่เอง ศาสตราจารย์ไม่ได้บอกหมายเลขห้องผู้ป่วยให้คุณทราบเหรอครับ”
โจวอวี้ใจชาวาบ โจวชิงเข้าโรงพยาบาลงั้นเหรอ ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องเลย
เขาทำตัวเป็นปกติ ไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกไป นอกจากการคล้อยตามคำพูดของผู้ช่วย “ครับ เขาลืมบอกผม พวกคุณก็น่าจะรู้นิสัยของเขาดี เรื่องสำคัญมักลืมตลอด”
“ศาสตราจารย์โจวอยู่ที่โรงพยาบาลครบวงจรอันดับหนึ่งในเมือง ห้องผู้ป่วยพิเศษ 3 ครับ”
“ขอบคุณครับ”
ลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักพลันลุกลามอยู่ในใจของโจวอวี้ โจวชิงป่วยแล้วทำไมถึงไม่บอกพี่ใหญ่คนเดียวอย่างเขา แล้วไหนจะพักอยู่ห้องผู้ป่วยพิเศษอีก…เขาป่วยเป็นอะไรกันแน่
ยี่สิบนาทีต่อมาโจวอวี้ก็มาถึงโรงพยาบาลครบวงจรอันดับหนึ่ง และเขาก็ได้รู้ว่าโจวชิงเพิ่งได้รับการผ่าตัดเอาเนื้องอกสมองชนิดไกลโอมา [1] ออกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หมอของโจวชิงบอกกับโจวอวี้ว่ามันเป็นเนื้อร้ายและมีโอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นได้อีก แม้การผ่าตัดของโจวชิงจะสำเร็จด้วยดี แต่หมอก็คาดการณ์ว่าจะกลับมาเป็นอีกภายในครึ่งปีถึงหนึ่งปีนี้ และในอนาคตสมองของโจวชิงจะค่อย ๆ ถูกเนื้องอกเบียดตัว จนอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น การเคลื่อนไหว และการหายใจไปอย่างช้า ๆ
ปลายนิ้วของโจวอวี้สั่นระริก
เขาสูญเสียเพื่อนร่วมทีมไปโดยไม่อาจจะกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
ตอนนี้เขากำลังจะสูญเสียโจวชิงไปอีกคน แม้เขาจะยินดีทำทุกอย่างเพื่อช่วยน้องชายของเขา แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีปัญญาจะไปต่อกรกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
โจวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียงของโจวชิง รอให้อีกฝ่ายตื่น ขณะที่ในหัวมีแต่คำพูดของซ่งจื้อดังวนเวียนไปมา
“คุณไม่ได้กินข้าวหรือพูดคุยกับน้องชายตัวเองมานานแค่ไหนแล้วล่ะ รู้หรือเปล่าว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของเขาเป็นยังไง ต้องการอะไร คุณลองไปพบเขาดูสิ แล้วหลังจากนั้นถ้าคุณยังยืนกรานอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมรับไมตรีจากพวกเราจวี้ลี่กรุ๊ปจริง ๆ ละก็ ผมขอสัญญาด้วยเกียรติว่าจะไม่ไปรบกวนชีวิตของคุณอีก พวกเราจวี้ลี่กรุ๊ปรักษาสัญญาเสมอ”
ความหมายของคำพูดซ่งจื้อคือเขาต้องการใช้ชีวิตโจวชิงเป็นเครื่องต่อรองเพื่อแลกกับสุดยอดเทคโนโลยีของจวี้ลี่กรุ๊ปที่จะสามารถรักษาโจวชิงให้หายได้ใช่ไหม
โจวอวี้เป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและหนักแน่นมากคนหนึ่ง เขารู้อยู่เสมอว่าสูญเสียอะไรไปบ้าง ได้รับอะไรกลับมาบ้างจากความทุ่มเทพยายามของตัวเอง สิ่งไหนที่ต้องทำ สิ่งไหนที่ต้องปกป้อง เขาก็ลงมือทำอย่างสุดชีวิตแม้จะไม่ได้รับอะไรกลับมาเลยก็ตาม
หลายชั่วโมงผ่านไป โจวอวี้ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงไม่ขยับไปไหน แม้จะมีหมอกับพยาบาลสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาตรวจดูอาการของโจวชิงหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจทำให้โจวอวี้หลุดออกจากภวังค์ได้
ตอนที่โจวอวี้ได้สติกลับคืน ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว นาฬิกาส่งเสียงบอกเวลาเที่ยงคืน แม้แต่ทางเดินก็เงียบสนิท ไม่รู้ว่าโจวชิงที่นอนอยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร และไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่สายตาของเขาจับจ้องมาที่โจวอวี้อย่างสงบ
“โจวชิง นายตื่นแล้ว…”
เมื่อถูกโจวชิงใช้แววตาที่ชัดเจนจ้องมองเขาอย่างละเอียดในความมืด โจวอวี้ก็พลันบื้อใบ้ไม่รู้จะพูดอะไร
“ผมไม่คิดว่าพี่จะมา” โจวชิงเปิดปากพูดอย่างช้า ๆ
เสียงของเขาแหบแห้ง ใบหน้าซีดไร้สีเลือด ร่างกายก็ดูซูบผอมลงไปเยอะ
“ฉันเป็นพี่นายนะ” โจวอวี้เอ่ย
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขากับโจวชิงเริ่มติดต่อกันน้อยลง อาจจะเป็นเพราะโจวชิงหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยและตัวเขาเองก็ยุ่งอยู่กับภารกิจ หรือเป็นเพราะพวกเขาต่างก็อยู่กันคนละเมือง จึงพบปะกันน้อยลง ความสัมพันธ์ของพี่น้องจึงลดลงไปโดยปริยาย
“ขอโทษที่ผมไม่ได้บอกเรื่องอาการป่วย ผมแค่คิดว่า…บอกพี่ไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี พี่มักจะ…ออกไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ ผมกลัวจะทำให้พี่เสียสมาธิ” โจวชิงหลุบตาลง
“การผ่าตัดของนายสำเร็จด้วยดีก็จริง แต่ไม่ว่ายังไงจุดที่ผ่าตัดก็คือสมอง มันเป็นส่วนที่มีความซับซ้อนสูง แตะโดนเส้นประสาทแค่นิดเดียวก็อาจจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวหรืออะไรอื่น ๆ ของนายได้”
“ผมรู้” โจวชิงยิ้ม “ตั้งแต่ที่รู้สึกตัวมาจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่รู้สึกไม่สบายตรงไหน เมื่อกี้ตอนที่พี่นั่งเหม่ออยู่ ผมก็กำลังคิดทบทวนถึงงานวิจัยที่กำลังทำ นั่นแสดงว่าการคิดและความจำของผมน่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร ผมลองขยับนิ้วมือนิ้วเท้า มันยังรู้สึกดีอยู่ คนที่ทำการผ่าตัดให้ผมก็คือแดเนียล เบนน์ ศัลยแพทย์ด้านสมองอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ”
โจวอวี้ขมวดคิ้วมุ่น
ศัลยแพทย์ด้านสมองอันดับหนึ่งของโลก แดเนียล เบนน์ ไม่ใช่คนที่โจวชิงจะเชิญมาได้อย่างแน่นอน
“จวี้ลี่กรุ๊ป” โจวชิงตอบคำถามโจวอวี้ไปตามตรง
“เงื่อนไขล่ะ”
“เงื่อนไขก็คือผมต้องเข้าร่วมโครงการวิจัยของพวกเขาที่ชื่อ ‘แหวนแห่งนิเบลุงเกน’ ที่อยู่อีกโลกหนึ่ง” โจวชิงพูดพลางสังเกตท่าทางของโจวอวี้ไปด้วย แต่โจวอวี้กลับมีท่าทีสงบคล้ายกับมันเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว “พี่ไม่ถามผมเหรอว่าจวี้ลี่กรุ๊ปเป็นบริษัทที่วิจัยงานอะไร อะไรคือ ‘นิเบลุงเกน’ พี่ดูไม่แปลกใจเลยตอนที่ผมพูดว่าอีกโลกหนึ่ง แสดงว่าพี่รู้อยู่แล้วใช่ไหม”
“โจวชิง นายจะตายแน่ เพราะนายยังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตจากโลกนั้น”
เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าโจวอวี้จะเอ่ยออกมา
[1] เนื้องอกในระบบประสาทบริเวณก้านสมอง สามารถลุกลามเป็นมะเร็งร้ายได้ ปัจจัยของโรคอาจเกิดจากพันธุกรรม หรือการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์