[ทดลองอ่าน] ฝ่ากฎรักต่างโลก ตอนที่ 6

ฝ่ากฎรักต่างโลก

 Law of a Different World 

异世之万物法则

 

焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน

BlueFeather แปล

 

นิยาย 3 เล่มจบ

 

 heart ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing heart

…XOXO… 

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

———————————————————–

 

บทที่ 6

“ต่อให้การผ่าตัดสำเร็จ ผมก็ต้องตายอยู่ดี ไหน ๆ ผมก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว ไม่สู้เอาเวลาตรงนี้ไปทำในสิ่งที่มีความหมายมากกว่านี้จะดีกว่า” โจวชิงตอบ

“สิ่งที่มีความหมายมากกว่านี้คืออะไร”

“ผมไม่สนใจการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ ไม่สนใจประเด็นหรือหัวข้ออะไรทั้งนั้น สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงแค่เข้าใจโลกใบนี้และโลกภายนอกเท่านั้น”

“ฉันเข้าใจแล้ว” โจวอวี้วางมือลงบนหน้าผากของน้องชายอย่างแผ่วเบา “นายเพิ่งจะผ่าตัดมา พักผ่อนเถอะ”

รอจนกระทั่งโจวชิงหลับไปอีกครั้ง โจวอวี้จึงลุกออกไปนอกห้อง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดพลางมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง

โจวอวี้เป็นคนตัดสินใจอะไรได้รวดเร็ว ด้วยลักษณะงานของเขา สิ่งที่ต้องมีก็คือความเด็ดขาด

คนส่วนใหญ่ลังเลเพราะกลัวว่าจะสูญเสียอะไรไป แต่ความลังเลมักจะทำให้สูญเสียอะไรไปมากกว่า

สามวินาทีต่อมา เขาก็โทรไปหาซ่งจื้อ

“ผมไม่คิดว่าคุณจะให้คำตอบเร็วขนาดนี้ โจวอวี้” น้ำเสียงของซ่งจื้อยังคงไม่เร็วไม่ช้าเหมือนเคย

“คุณบอกผมว่าจุดประสงค์ที่พวกคุณไปยังโลกนั้นก็เพื่อทำการวิจัยทางชีววิทยาและเอาชนะโรคต่าง ๆ ของมนุษย์”

“ใช่แล้ว นั่นเป็นจุดประสงค์อย่างหนึ่ง”

“แล้วเนื้องอกสมองชนิดไกลโอมาล่ะ” โจวอวี้ถาม

“คุณเป็นคนที่ไม่ยอมรับการโกหก ผมก็จะไม่โกหกคุณ เนื้องอกรวมไปถึงเนื้องอกในสมอง แน่นอนว่ามันไม่ได้อยู่ในเนื้อหาการวิจัยหลักของเรา แต่ในโครงการวิจัยทั้งหมดที่เรากำลังทำอยู่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะพบวิธีรักษาเนื้องอกสมองชนิดไกลโอมา ตัวอย่างเช่นสัตว์ประหลาดเพอริตอนที่คุณเจอ มันสามารถขับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่เลือดเนื้อออกมาจากตัวมัน รักษาร่างกายของมันเองจนสมบูรณ์ ถ้าเราถอดกลไกของเซลล์นี้ออกได้ละก็อาจนำไปปรับใช้กับการซ่อมแซมตัวเองของเนื้องอกได้ หัวข้อการวิจัยของศาสตราจารย์โจวชิงครอบคลุมไปถึงเอ็มบริโอของพืช ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่มีความหมายมากเช่นเดียวกัน บางทีถ้าการวิจัยของเขามีความคืบหน้า อาจช่วยให้มีวิธีรักษาเขาได้”

“ตกลง ผมยอมรับการว่าจ้างของพวกคุณ แต่ผมมีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ”

“ว่ามาสิ”

“ผมจะอยู่กับน้องชาย”

“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์อยู่แล้วล่ะ โดยเฉพาะกับศาสตราจารย์โจวที่มีผู้คนรายล้อมมากหน้าหลายตา การมีคนพูดจารู้เรื่องอยู่ด้วยกันกับเขาก็คงจะทำให้ชีวิตของเขาสมบูรณ์ขึ้น เอาเป็นว่าผมจะส่งสัญญาว่าจ้างไปให้คุณ ส่วนงานปัจจุบันที่คุณทำอยู่ พวกเราจะจัดการลาออกให้คุณเอง”

โจวอวี้ยกยิ้ม ดูท่าจวี้ลี่กรุ๊ปจะมีอำนาจเหลือล้น เรียกฟ้าเรียกฝนได้จริง ๆ

“ผมรู้สึกได้ว่าคุณกำลังยิ้มอยู่ คุณคงคิดว่าจวี้ลี่กรุ๊ปมีอำนาจล้นฟ้าล่ะสิ”

“เปล่าหรอก บนโลกใบนี้ย่อมต้องมีคนที่อยู่บนยอดพีระมิดเป็นธรรมดา”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งตารอพบคุณ โจวอวี้” น้ำเสียงของซ่งจื้อแฝงไปด้วยรอยยิ้มอย่างชัดเจน เขาคาดหวังผลลัพธ์เช่นนี้มานานแล้ว

ในคืนนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายทรัพยากรบุคคลของจวี้ลี่กรุ๊ปที่อยู่ในชุดสูทก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล เพื่อเซ็นสัญญาจ้างงานกับโจวอวี้

ขณะที่โจวชิงยังคงหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา

ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็อธิบายเงื่อนไขสัญญาให้โจวอวี้ฟังทีละข้อ ร่ายยาวตั้งแต่ข้อตกลงในการเก็บความลับไปจนถึงเงินเดือน สวัสดิการต่าง ๆ และค่าทำขวัญในกรณีที่เสียชีวิต

“อีกหนึ่งสัปดาห์จะมีเจ้าหน้าที่มารับคุณโจวไปเข้ารับการฝึกอบรม กรุณาเตรียมตัวให้พร้อมด้วยนะครับ”

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณ”

โจวอวี้อยู่กับโจวชิงตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาสองคนพี่น้องก็ยังคงไม่มีอะไรที่ตรงกันเหมือนเคย เวลาส่วนใหญ่ของโจวชิงมักจะหมดไปกับการพักผ่อนและอ่านเอกสารวิชาการ

ขณะที่โจวอวี้ใช้โทรศัพท์มือถือไล่อ่านข่าวออนไลน์ ค้นหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจวี้ลี่กรุ๊ป

แหล่งเงินทุนที่แข็งแกร่งของคนกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไม่ได้เลย แม้แต่ตัวตนของประธานบริษัทก็ยังเก็บเป็นความลับ โจวอวี้ค้นดูผลงานชั้นยอดต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม เห็นถึงความยอดเยี่ยมและล้ำสมัย ทว่าเขากลับรู้สึกได้ถึงหมอกทึบที่ปกคลุมจวี้ลี่กรุ๊ปเอาไว้ราง ๆ

ครบหนึ่งสัปดาห์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ชายในชุดสูทคนหนึ่งก็มาที่โรงพยาบาล โจวอวี้พยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนจะหันไปบอกโจวชิงว่าตนมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการในที่ทำงาน ถ้าเสร็จเรื่องแล้วจะกลับมาหาโจวชิงใหม่

โจวชิงนิ่งอึ้ง โจวอวี้ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้อะไรแล้วหรือยัง

ยานพาหนะสี่ล้อหุ้มเกราะพาเขาไปส่งที่สนามบิน โดยที่โจวอวี้ไม่ได้คาดคิดว่าเครื่องบินทั้งลำจะมีเขาอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น

หลังบินระฟ้าอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง เจ้านกเหล็กก็แลนดิ้งลงสู่สนามบินส่วนตัวของจวี้ลี่กรุ๊ปโดยสวัสดิภาพ โจวอวี้ไม่แน่ใจว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่ สถานที่แห่งนี้คล้ายกับฐานทัพ กวาดสายตาไปทางไหนก็เห็นเจ้าหน้าที่ติดอาวุธครบมืออยู่ทั่วทุกที่ มันทำให้โจวอวี้อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่คงไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตจากอีกโลกที่ดุร้ายยิ่งกว่าเพอริตอนอยู่หรอกนะ

จุดตรวจของฐานแห่งนี้เมื่อเทียบกับสถาบันก่อนหน้าแล้วมีความเข้มงวดยิ่งกว่ามาก

โจวอวี้เดินตามเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลที่มารับเขาเข้าไปข้างในฐาน ก่อนอีกฝ่ายจะเชิญเขาเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งภายในห้องนั้นมีบุคคลสามคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะกลมก่อนแล้ว

คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปีที่มีดวงตากลมโตราวกับสงสัยใคร่รู้ อยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่ง

ข้าง ๆ กันนั้นเป็นผู้หญิงอายุประมาณสามสิบห้าปี ผมของเธอตัดสั้นแลดูเป็นคนเรียบร้อย ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความเก่งกล้าสามารถ

ส่วนฝั่งตรงข้ามของเธอก็คือชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปี อีกฝ่ายสวมแว่นตากรอบดำ สวมเสื้อสเวตเตอร์สีเข้มทับด้วยเสื้อโค้ต ท่าทางดูโบราณคร่ำครึ

โจวอวี้นั่งลง คนเหล่านี้ไม่มีใครคิดที่จะคุยกับใคร และโจวอวี้ก็ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ชายร่างสูงใหญ่ในชุดลายพรางคนหนึ่งก็เดินเข้ามา แขนเสื้ออีกฝ่ายม้วนขึ้นไปถึงต้นแขน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อทรงพลังที่ไม่ได้มีไว้แค่โชว์อย่างไร้ประโยชน์จากการฝึกในโรงยิม กล้ามเนื้อทุกมัดที่เห็นอยู่นี้ล้วนผ่านการกรำศึกมาจากสมรภูมิจริงทั้งสิ้น

หน้าผากของอีกฝ่ายมีรอยแผลเป็นลึกพาดผ่าน ทว่าไม่ได้ดูน่าเกลียด ตรงกันข้ามมันกลับให้ความรู้สึกถึงความเป็นชายฉกรรจ์ที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานานหลายปี สายตาของเขากวาดมองคนทั้งสี่ที่นั่งอยู่อย่างพิจารณา

ยามที่เขาเผยรอยยิ้มออกมา ความดูดีนั้นกลับเฉยชาและไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น

เขาวางมือลงบนขอบโต๊ะและโน้มตัวลงมาพลางเอ่ย “ที่นี่มีหัวกะทิด้านไอทีระดับโลก แพทย์สนามมากประสบการณ์ วิศวกรชั้นสูง แล้วก็…”

สายตาของเขาหยุดลงที่ร่างของโจวอวี้ ภายในดวงตานั้นแฝงไปด้วยความขี้เล่นอย่างชัดเจน

โจวอวี้มองอีกฝ่ายอย่างสงบ เสมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดมาทำให้เขาหวั่นไหวได้

“ผมอู๋อวิ้น เป็นครูฝึกของพวกคุณในการฝึกอบรมครั้งนี้”

อู๋อวิ้นยักไหล่ยิ้ม ๆ “ผมเป็นคนไม่มีโชค [1] เหมือนกับชื่อนั่นแหละ ผมสอนนักเรียนมาแล้วอย่างน้อยก็หลายร้อยคน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครอยู่รอดจนถึงตอนนี้ได้เลย พวกเขาล้วนตายอยู่ในนิเบลุงเกนนั่น ส่วนใหญ่หาศพไม่พบ”

“โชคร้ายจริง ๆ …” ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นตากรอบดำส่งเสียงจิ๊จ๊ะเบา ๆ

อู๋อวิ้นได้ยินอย่างชัดเจน แต่เขาไม่สนใจและพูดต่อ “นักเรียนของผมเหล่านั้น ส่วนใหญ่มักมีความมั่นใจในตัวเองสูงแต่ขณะเดียวกันก็ขาดการควบคุมจิตใจ ผมสอนในสิ่งที่พวกเขาต้องจำและต้องทำ แต่พวกเขาก็ไม่จำกันเลยสักคน”

ชายสวมแว่นกรอบดำสำลักเล็กน้อย

อู๋อวิ้นกระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะกลมอย่างสบาย ๆ และเอี้ยวตัวไปมองโจวอวี้ “พวกคุณรู้ไหมว่าสิ่งมีชีวิตกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของนิเบลุงเกนตัดสินและล่าเหยื่อยังไง”

ไม่มีใครตอบ

“ผมไปที่นั่นเพื่อออกแบบระบบ จวี้ลี่กรุ๊ปบอกว่างานของผมมีแค่ปรับระบบตามความต้องการของงานวิจัยในฐานท้องถิ่นไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม” ชายหนุ่มตากลมโตพูดโพล่งอย่างไม่แยแส

อู๋อวิ้นยกยิ้ม “อ้อ นายคือคนที่เลิกเรียนสแตนฟอร์ดกลางคันคนนั้น คนที่แทบจะทำให้ระบบของธนาคารต่างประเทศล่มจนเป็นอัมพาต หลี่เชียนใช่ไหม”

“ใช่” หลี่เชียนเลิกคิ้วเล็กน้อย

“นายคิดว่าทำไมจวี้ลี่กรุ๊ปถึงจ้างนายล่ะ” อู๋อวิ้นถาม

“เพราะผมเป็นอัจฉริยะในด้านนี้ และพวกคุณก็หาคนที่เก่งกว่าผมไม่ได้” หลี่เชียนตอบ

น้ำเสียงของเขานิ่งสงบมาก ทว่าแววตากลับหยิ่งผยอง

อู๋อวิ้นยกยิ้มและมองไปที่โจวอวี้ “นายคิดว่ายังไง โจวอวี้”

โจวอวี้รู้ว่าอู๋อวิ้นจับตาดูตัวเองตั้งแต่ที่เข้ามาในห้อง หรือไม่อู๋อวิ้นก็จับตาดูเขามาก่อนหน้านี้แล้ว

“เพราะตำแหน่งที่สำคัญอย่างวิศวกรระบบมันว่าง” โจวอวี้ตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“แล้วทำไมมันถึงว่างล่ะ” อู๋อวิ้นจี้ถามต่อ

“เพราะเขาตายแล้ว” โจวอวี้สบตากับอู๋อวิ้น

“วิศวกรระบบมีหน้าที่อยู่แค่ในห้องปฏิบัติการ ไม่จำเป็นจะต้องออกไปข้างนอก อีกทั้งยังมีคนฝีมือดีจำนวนมากปกป้องเขา แล้วแบบนี้เขาจะตายได้ยังไง” อู๋อวิ้นที่มองสบสายตากับโจวอวี้พลันรู้สึกกดดันขึ้นมา

“เพราะพวกเขาโดนฆ่าตายกันหมด” ยามที่โจวอวี้พูดประโยคนั้นออกมา ใบหน้าของคนอื่น ๆ ยกเว้นอู๋อวิ้นก็เปลี่ยนสีไปทันที

ภาพที่ผุดอยู่ในหัวของโจวอวี้คือภาพการตายอย่างอนาถของเพื่อนร่วมทีม

“ใช่แล้ว” อู๋อวิ้นหันไปมองหลี่เชียนที่มีใบหน้าซีดเผือด “นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนายถึงถูกว่าจ้าง ถ้านายคิดที่จะรับงานนี้ ตอนที่อยู่ในนิเบลุงเกน นายจะต้องจดจำทุกคำที่ฉันพูดเอาไว้ให้ดี”

ทุกคนกลืนน้ำลายลงคอ ไม่เว้นแม้แต่หลี่เชียนที่ก่อนหน้านี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจก็ยังกลับมาตั้งใจฟัง

“กลับไปที่คำถามแรก สิ่งมีชีวิตกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของนิเบลุงเกน ล่าเหยื่อโดยใช้หลักเกณฑ์อะไร” อู๋อวิ้นมองไปที่โจวอวี้อีกครั้ง

เวลานี้ อีกสามคนที่อยู่ในห้องรู้สึกถึงท่าทีพิเศษที่อู๋อวิ้นมีต่อโจวอวี้กันหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นโจวอวี้ก็ยังไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา

อู๋อวิ้นยังคงไม่ละสายตาไปจากโจวอวี้ เหมือนกับถ้าไม่ได้คำตอบจากเขา อู๋อวิ้นก็จะไม่พูดอะไรต่อ

“ความกลัว” โจวอวี้ตอบ

“หือ ทำไมถึงเป็นความกลัวล่ะ” ผู้หญิงคนเดียวในห้องแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอไม่เข้าใจ

“เพราะที่นั่นไม่ใช่โลกที่เราอาศัยอยู่ คุณต้องอย่าเอาความรู้ความเข้าใจจากโลกของเราไปตัดสินสิ่งมีชีวิตในนิเบลุงเกน” อู๋อวิ้นตอบ “หากพวกคุณโชคร้ายถูกล้อมจากสัตว์ประหลาดที่ชื่อเพอริตอน…”

ทันใดนั้นโปรเจกเตอร์ที่อยู่ด้านหลังของอู๋อวิ้นก็สว่างขึ้นมาเป็นภาพวิดีโอหนึ่ง

ภาพที่อยู่หลังเลนส์สั่นไหวไปมา แสดงให้เห็นว่ามันเป็นภาพจากกล้องที่ถูกติดไว้กับร่างกายของใครบางคน

ในตอนที่ร่างน่าเกลียดน่ากลัวของเพอริตอนปรากฏขึ้น คนทั้งสามที่อยู่ในห้องก็พลันเอนหลังติดเก้าอี้โดยไม่รู้ตัว

 

[1] ชื่อของตัวละคร 吴云 พ้องเสียงกับคำว่า 无云 แปลว่า คนที่ไม่มีโชค

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า