[ทดลองอ่าน] ฝ่ากฎรักต่างโลก เล่ม 2 ตอนที่ 53

ฝ่ากฎรักต่างโลก

 Law of a Different World 

异世之万物法则

 

焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน

BlueFeather แปล

 

นิยาย 3 เล่มจบ

 

 heart ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing heart

…XOXO… 

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

———————————————————–

 

บทที่ 53

 

เมื่ออธิบายจบ ดอกเตอร์รอนก็จากไป

“ดอกเตอร์รอนคนนี้…ดูน่ารักนะว่าไหม” อู๋อวิ้นที่นอนอยู่ใกล้กับโจวอวี้ลุกขึ้นพลางพูดออกมา

“ถ้าเทียบกับซ่งจื้อ ไม่ว่าใครก็ดูน่ารักไปหมดไม่ใช่หรือไง” หลี่เชียนลุกขึ้นนั่งด้วยเช่นกัน ใบหน้าของเขาบูดบึ้ง “เมื่อไรเราจะได้กลับฐานสักที นอนพื้นแบบนี้ทุกวัน เอวผมขัดยอกจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว…”

ฐานที่ห้าในเวลานี้ยังคงอยู่ในสภาวะปิดตัว

ซ่งจื้อถือกล่องหิ้วใบเล็กเดินไปตามทางเชื่อมที่ว่างเปล่า

ยามที่เคลื่อนผ่านไปยังแต่ละส่วนมีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่ดังก้องอยู่เพียงลำพัง เขาเข้าไปที่โรงรถ สตาร์ตเครื่องยนต์และออกจากฐานไป

รถยนต์แล่นไปภายใต้แผ่นฟ้าท่ามกลางผืนทรายสีเหลืองอร่าม

หลังจากที่ขับอยู่เกือบชั่วโมงซ่งจื้อก็ลงจากรถ เขาหยิบพลั่วเหล็กและตักทรายออกจนเผยให้เห็นประตูโลหะสีดำ ซ่งจื้อเปิดประตูด้วยลายนิ้วมือก่อนจะเดินลงไปพร้อมกับกล่องใบนั้น

ท่ามกลางฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาเป็นครั้งคราว รถอีกคันจอดอยู่ห่างจากซ่งจื้อไปไม่ไกลนัก หลังจากผ่านไปสิบวินาทีรถคันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไป ไม่นานฝุ่นทรายก็กลบร่องรอยที่เหลืออยู่จนมิด

ในที่สุดทีมที่นำโดยดอกเตอร์เสิ่นก็มีความก้าวหน้าจนสามารถพัฒนายาต้านไวรัสและคิดค้นวัคซีนออกมาได้สำเร็จ

“ดอกเตอร์เสิ่น คุณสุดยอดมาก! ในที่สุดเราก็กลับไปที่ฐานได้แล้ว” อู๋อวิ้นตบไหล่ดอกเตอร์เสิ่นจนอีกฝ่ายแทบจะล้มคว่ำ

“ไม่หรอกครับ ๆๆ …นี่ไม่ใช่ความดีความชอบของผมแค่คนเดียว แต่ยังเป็นของดอกเตอร์เหยาด้วย…คืนนั้นเขาเข้าใกล้ความจริงเกี่ยวกับไวรัสตัวนี้มากเกินไป เขาก็เลยถูก…” ดอกเตอร์เสิ่นยกมือกุมหน้าตัวเอง นึกถึงเพื่อนเก่าด้วยความรู้สึกหลากหลาย

“แต่ไม่ว่ายังไงงานวิจัยของคุณก็ก้าวหน้าเร็วมากจริง ๆ สามารถทำยาต้านและถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสที่ซับซ้อนได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แบบนี้ เทียบกับคุณแล้วผมดูไร้ประโยชน์ไปเลยล่ะครับ” โจวชิงยิ้ม

“นั่นเป็นเพราะตอนที่เราเจอคอขวด [1] ดอกเตอร์เจียงได้มาที่นี่ แนวคิดของเขาเปิดกว้างมาก แตกต่างจากตาแก่อย่างพวกเราที่ติดอยู่กับอะไรเดิม ๆ พวกเราใช้เวลาอยู่หลายวันหลายคืนก็ยังคิดไม่ออก แต่แค่ดอกเตอร์เจียงเสนอความคิดใหม่ ๆ ไม่กี่นาทีก็จุดประกายขึ้นมาได้แล้ว”

“อะไรนะครับ ดอกเตอร์เจียงมาที่นี่เหรอ เขาอยู่ที่ไหนครับ” ดวงตาของโจวชิงเจิดจ้าขึ้นมาทันที

“เขามาที่นี่โดยยานส่งตัว อยู่แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับไปแล้วล่ะครับ” รอนตอบ

“พระเจ้า! คุณน่าจะแนะนำให้ผมรู้จักเขานะ! ผมมีคำถามเกี่ยวกับไวรัสพืชที่อยากจะถามเขาเยอะแยะเลย!” สีหน้าของโจวชิงดูเสียใจอย่างสุดซึ้ง

“แต่ตอนนั้นคุณหลับอยู่ แล้วก็…ผมอยากให้ปัญหาของโลกอีกฝั่งหนึ่งคลี่คลายลงและให้ดอกเตอร์เจียงกลับมาก่อน ถึงตอนนั้นคุณจะปรึกษาอะไรกับเขาก็ถามเขาได้เท่าที่ต้องการเลย” รอนเอ่ยเสริม

โจวชิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน ตอนที่ดอกเตอร์เจียงกลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้

“อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิด” โจวอวี้กล่าว

โจวชิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “นั่นสิ ผมควรจะเอาความสามารถในการคิดไปคิดเรื่องที่มีประโยชน์ ว่าแต่ดอกเตอร์เสิ่นครับ กับดอกเตอร์เจียงนี่พวกคุณถือเป็น ‘คนแก่’ หมดเลยเหรอครับ ดอกเตอร์เจียงเขาอายุน้อยแค่ไหน”

“อา…เรื่องนี้…ตอนที่ผมเห็นเขาครั้งแรก ผมคิดว่าเขาอยู่มัธยมปลายน่ะ” ดอกเตอร์เสิ่นตอบ

“อา ฉันเกลียดพวกดอกเตอร์เด็กแบบนี้จริง ๆ ยิ่งเด็กและมีความสามารถมากเท่าไรก็ยิ่งเอาแต่ใจตัวเอง” อู๋อวิ้นกดคลึงตาตัวเอง “ฉันไม่อยากเจอเขาเลย”

ทุกคนหัวเราะออกมา

“แล้วก็เมื่อสักครู่ผมได้รับการติดต่อจากซ่งจื้อ ตอนนี้การวิจัยของที่นี่มีความคืบหน้าแล้ว เขาอยากให้พวกคุณพานักไวรัสวิทยาและผลการวิจัยกลับไปยังฐานที่ห้า หากช้าไปมากกว่านี้ ฐานที่ห้าจะกลายเป็นเมืองแห่งความตายแล้ว คนที่อยู่ที่นั่นจะยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ และซ่งจื้อก็จะยิ่งควบคุมสถานการณ์ไม่ได้”

“เข้าใจแล้ว” โจวอวี้พยักหน้า

“ผมจะกลับไปกับพวกคุณด้วย” หลี่เชียนพูดขึ้น

“นายน่ะเหรอ ชีวิตที่นี่ไม่เลวนะ มีขนมปังเนยแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะติดเชื้อไวรัสด้วย นายแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะกลับไป” อู๋อวิ้นถามอย่างสงสัย

“แน่ใจสิ ผมเป็นคนออกแบบระบบของฐานที่ห้า คนที่จะปกป้องฐานได้ก็คือยอดฝีมืออย่างผมเท่านั้น ถ้าคนในฐานที่ห้าแตกตื่นขึ้นมาจริง ๆ คุณซ่งก็ต้องการความช่วยเหลือจากผม ถ้าเป็นผมละก็ แค่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็จับคุณขังไว้ในห้องจนอดตายได้แล้ว” หลี่เชียนส่งนิ้วกลางให้อู๋อวิ้น

“ผมก็จะไปด้วย” ไม่รอให้โจวอวี้ได้พูดอะไรโจวชิงก็เอ่ยต่อทันที “ผมยังมีงานวิจัยที่สำคัญมากต้องทำ ผมอยากกลับไปที่ห้องวิจัยของผม”

นอกเหนือไปกว่านั้นก็คือไม่ว่าโจวอวี้จะไปที่ไหนหรือเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายก็ตาม เขาอยากจะเป็นคนแรก ๆ ที่รู้เรื่อง

“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเตรียมรถแฮมเมอร์ให้พวกคุณ แล้วผมก็ยินดีมากที่ได้ร่วมงานกับทุกคน หวังว่าในอนาคตเราจะได้ร่วมงานกันอีก” รอนจับมือกับโจวชิงและดอกเตอร์เสิ่นเพื่อบอกลา

แล้วคนหนึ่งกลุ่มและแฮมเมอร์สามคันก็เดินทางกลับฐาน

อู๋อวิ้นกับโจวอวี้คุ้มกันดอกเตอร์เสิ่น โจวชิง และหลี่เชียน คราวนี้รถเคลื่อนตัวไปได้อย่างราบรื่น แทบจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใด ๆ เกิดขึ้นเลยตลอดทาง

โจวอวี้เท้าคาง สายตาหลุบมองโม่เย่ที่หลับสนิทอยู่บนตักตัวเองอีกทั้งยังส่งเสียงกรนออกมาเบา ๆ เขารู้สึกได้ว่าความสงบของเส้นทางนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับมันอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะนายเหรอ อันตรายพวกนั้นถึงได้ถอยห่างจากเรา

โจวอวี้ยกมือขึ้นแตะตั้งแต่หัวของโม่เย่ไล่ไปตามคอจนถึงแผ่นหลัง

โม่เย่คล้ายกับจะรู้สึกสบายตัวมาก ปีกเล็ก ๆ ของมันขยับไปตามสัมผัสของโจวอวี้

ยามที่พระอาทิตย์ตกดิน พวกเขาก็กลับมาถึงฐานที่ห้าในที่สุด

ชั่วขณะที่ประตูเปิดออก อู๋อวิ้นก็พ่นลมหายใจออกมา

“เป็นอะไร” โจวอวี้ถาม

“เหมือนอยู่กันคนละโลกเลย” อู๋อวิ้นตอบ

รถแฮมเมอร์เคลื่อนตัวเข้าไปในฐาน ประตูปิดลง ทุกอย่างดูเย็นยะเยือกและเงียบเหงา ภายในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ

สุดเส้นทางคือร่างที่อยู่ในชุดสูท ซ่งจื้อผู้เอาจริงเอาจังอยู่เสมอ

ด้านหลังของเขามีเจ้าหน้าที่คุ้มกันสองคนในชุดป้องกัน

อู๋อวิ้นผิวปากทักทาย “สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณซ่ง คุณไม่สวมชุดป้องกันแบบนี้คงไม่ใช่ว่าคุณติดเชื้อแล้วก็เลยไม่จำเป็นต้องใส่มันหรอกนะครับ”

สายตาของซ่งจื้อมองผ่านอู๋อวิ้นไปยังโจวอวี้

“ยินดีต้อนรับ เรารอพวกคุณอยู่นานแล้ว” ซ่งจื้อพูด

ยาต้านไวรัสที่พัฒนาโดยดอกเตอร์เสิ่นถูกนำไปใช้งานอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์สองคนที่เพิ่งจะแสดงอาการได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โรคระบาดในครั้งนี้กำลังจะผ่านพ้นและเงาแห่งความตายที่ปกคลุมฐานทั้งหมดก็สลายหายไปในที่สุด

คืนนี้โจวอวี้ไม่ได้รีบเข้านอน เขานั่งดูภาพยนตร์เรื่อง ‘เต่านินจา’ กับโม่เย่อยู่ที่โรงอาหาร

ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่ต้องนั่งอยู่บนโต๊ะและแหงนหน้าดูภาพยนตร์ เวลานี้โม่เย่เรียนรู้ที่จะซุกอยู่ในวงแขนของโจวอวี้ ก่อนจะพิงหัวกับไหล่ตามไป ถือเอาโจวอวี้เป็นโซฟามนุษย์โดยที่โจวอวี้ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

“คุณจะทำให้มันเสียนิสัย”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ซ่งจื้อมาอยู่ข้างตัวโจวอวี้และวางกระป๋องเบียร์ไว้ตรงหน้า

การมาของซ่งจื้อทำให้โม่เย่ไม่พอใจเล็กน้อย มันแสร้งทำเป็นไม่เห็นซ่งจื้อและดูภาพยนตร์ต่อไป

“มันช่วยผมไว้หลายครั้งและมันก็น่าไว้วางใจยิ่งกว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์”

“คุณหมายถึงผมหรือเปล่า” ซ่งจื้อถามกลับ

โจวอวี้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองบนริมฝีปากของซ่งจื้อ

“ผมอยากจะถามคุณมานานแล้ว คุณจงใจส่งผมไปทำภารกิจที่เสี่ยงที่สุดและมีสิทธิ์ไม่ได้กลับมามากที่สุดใช่ไหม”

“ใช่” ซ่งจื้อตอบออกมาตามตรงโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย

“ทำไม คุณอยากให้ผมตายเหรอ”

“เพราะภารกิจพวกนั้นสำคัญกับผมมาก เป็นภารกิจที่คนธรรมดาไม่อาจทำสำเร็จ ผมจึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่คุณ ถ้าคุณทำมันไม่สำเร็จ ก็คงไม่มีใครสามารถทำได้แล้ว”

“ทำงานพวกนั้นสำเร็จแล้วคุณจะได้ประโยชน์อะไร” โจวอวี้ถามต่อ

“เพื่อให้จวี้ลี่กรุ๊ปเชื่อมั่นว่าผมมีความสามารถมากพอที่จะนั่งตำแหน่งนี้และยังตั้งใจทำประโยชน์ให้กับจวี้ลี่กรุ๊ปอยู่” ซ่งจื้อตอบ

“แล้วยังไง การได้อยู่ในตำแหน่งนี้จวี้ลี่กรุ๊ปจะจ่ายเงินเดือนสูง ๆ ให้คุณเหรอ คุณไม่ได้ขาดแคลนเงินนี่คุณซ่ง”

“เพราะมีเพียงตำแหน่งนี้เท่านั้นที่ผมจะสามารถปกป้องสิ่งที่สำคัญที่สุดได้ หากมีคนอื่นมาคว้าตำแหน่งนี้ไป ผมมั่นใจว่าเขาจะใช้อำนาจทุกอย่างทำลายสิ่งที่ผมใส่ใจ” ซ่งจื้อเปิดกระป๋องเบียร์ให้โจวอวี้

“คุณจะติดสินบนผม?” โจวอวี้ถาม

“จะคิดอย่างนั้นก็ได้” ซ่งจื้อยิ้ม

“ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งคุณรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้…เพราะผมก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน แม้แต่ในนีเบอลุงเงินเองก็ยังไม่มี ‘ความเป็นอมตะ’ สักวันหนึ่งก็ต้องหยุดลงไม่ช้าก็เร็ว” พูดจบซ่งจื้อก็ลุกขึ้น

ก่อนจะจากไปเขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “โจวอวี้ คุณมีความเห็นอะไรไหม”

“นีเบอลุงเงินยังมีไวรัส เราทุกคนต้องระวัง นี่ถือเป็นคำแนะนำได้ไหม”

“แน่นอน ราตรีสวัสดิ์” สิ้นคำนั้น ซ่งจื้อก็เดินผละออกไป

โจวอวี้จงใจขยำหน้าท้องของโม่เย่ เนื้อของมันนุ่มนิ่มมากราวกับมาร์ชเมลโล่

“ไง แอบฟังผู้ใหญ่คุยกันสนุกไหม”

โม่เย่แลบลิ้นตั้งใจจะเลียแก้มของโจวอวี้ ทว่ากลับถูกโจวอวี้ยัดอะไรบางอย่างเข้าปากเสียก่อน

โม่เย่เคี้ยวมันอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าดูงงงวย มันอ้าปาก เผยให้เห็นหมากฝรั่งที่ติดหนึบกับฟันบนและล่างของมัน

โจวอวี้หัวเราะ

หนึ่งเดือนต่อมา ไวรัสที่แพร่มาจากแมงกะพรุนนีเบอลุงเงินก็ถูกกำจัดออกจากฐานไปในที่สุด

พวกเขาถึงกับจัดปาร์ตี้ฉลองกันในโรงอาหาร แม้ว่าซ่งจื้อจะเพิ่มเบียร์และบุหรี่ให้กับทุกคนแค่อย่างละหนึ่งก็ตาม

ความสุขและความสนุกสนานอบอวลไปทั่วทุกพื้นที่

อู๋อวิ้นถึงกับจับมือหลี่เชียนเต้นรำ แม้หลี่เชียนจะไม่พอใจสุด ๆ ที่ตัวเองต้องเต้นในตำแหน่งผู้หญิงก็ตาม

“ศาสตราจารย์โจวล่ะ ทำไมเขาไม่มาสนุกด้วยกัน” อู๋อวิ้นที่พาหลี่เชียนเต้นเอ่ยถามโจวอวี้ตอนที่เข้าไปใกล้อีกฝ่าย

“เขาอยากนำอัตราความก้าวหน้าของงานวิจัยที่ลดลงกลับคืนมาน่ะ” โจวอวี้ตอบ

“ฮึ คนพวกนี้ช่างน่าเบื่อจริง”

ทว่าโม่เย่กระตือรือร้นอยากจะลองเต้นรำกับโจวอวี้ โจวอวี้จึงทำแบบเดียวกับที่เต้นกับเด็ก เขาจับดึงอุ้งเท้าหน้าของโม่เย่และหมุนกับมันอยู่สองครั้ง ตอนนี้มีคนที่อคติกับโม่เย่น้อยลงแล้ว และทุกคนก็เริ่มเคยชินกับการเห็นมันอยู่ที่โรงอาหาร

หลังจากที่หมุนด้วยกันกับมันไปเรื่อย ๆ โจวอวี้พบว่าทุกสิ่งรอบตัวไม่มีอะไรที่สำคัญเลยนอกจากดวงตาของโม่เย่

ความสุขของมันช่างเรียบง่ายอย่างแท้จริง

หลังเที่ยงคืนปาร์ตี้ก็จบลง ทุกคนกลับไปที่ห้องนอนไม่ก็กลับไปที่ตำแหน่งประจำการของตัวเอง

คาร์ลอสในตอนนี้รั้งอยู่ในห้องวิจัย สายตาจับจ้องไปยังไอโดลันที่อยู่ในภาชนะเลี้ยงดู

ตอนที่ไวรัสกำลังระบาด เขาป้องกันตัวเองอยู่ที่นี่ ไม่เคยย่างเท้าออกไปจากห้องวิจัยเลยแม้แต่ก้าวเดียว แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับคนอื่น ๆ ด้วย นอกจากดื่มน้ำและกินอาหารที่เก็บไว้ในห้องทดลอง สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่พูดคุยกับไอโดลันที่อยู่ในภาชนะเลี้ยงดูเท่านั้น

เขาคาดหวังอย่างยิ่งว่ามันจะเชื่อใจเขาเหมือนที่โม่เย่ยึดติดกับโจวอวี้

มันเกือบจะโตได้ที่แล้ว แถมรูปร่างหน้าตาของมันก็คล้ายกับโม่เย่มาก ดวงตาที่ปิดสนิทคู่นั้นทำให้คาร์ลอสอดคาดเดาไม่ได้ว่ายามที่มันลืมตาขึ้นมาจะเป็นสีอะไร

จะเป็นสีอำพันแบบเดียวกับโม่เย่ไหม

ไอคิวของมันจะสูงเท่าโม่เย่หรือเปล่า แล้วมันจะสนใจหรือวาดฝันถึงโลกมนุษย์บ้างไหม

คาร์ลอสทาบมือลงบนภาชนะเลี้ยงดู จินตนาการถึงอุณหภูมิของมัน ผิวสัมผัสของมัน

“ฉันจะตั้งชื่อให้นายว่าอะไรดี ถ้าจะให้คล้องกับโม่เย่ เอาเป็น…ไป๋โจ้ว [2] ดีไหม ขอโทษนะ ฉันตั้งชื่อไม่ค่อยเก่งเท่าไร บางทีโจวอวี้อาจจะมีชื่อดี ๆ ให้นาย”

ชั่วขณะนั้น ไอโดลันที่อยู่ในภาชนะเพาะเลี้ยงก็พลันลืมตาขึ้น เผยให้เห็นม่านตาที่ไม่ใช่สีอำพันกระจ่างใส แต่เป็นสีแดงดั่งเลือด!

คาร์ลอสผงะถอยอย่างตกใจ

เขาคิดว่าตัวเองตาฝาดจึงขยี้ตาดูซ้ำ ๆ ทว่าไอโดลันตัวนั้นกลับลืมตาอยู่จริง ๆ แม้มันจะไม่มีท่าทีใด ๆ แต่คาร์ลอสก็มองเห็นถึงความกระหายเลือดและจิตสังหารอยู่ในดวงตาคู่นั้น

มันกับโม่เย่เปรียบเสมือนกระจกสองด้าน หนึ่งบ้าคลั่ง หนึ่งเยือกเย็น

คาร์ลอสกลืนน้ำลาย เขาพลันมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ตัวเองฟูมฟักขึ้นมาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ชวนให้คนรักเอ็นดูและมีสติปัญญาอย่างโม่เย่!

ไม่ถูกต้อง! จะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่!

คาร์ลอสพลันรู้สึกถึงอันตราย

เขาต้องการหลบจากสายตาของไอโดลันตัวนั้น แต่เมื่อเขาขยับไปทางซ้าย แววตาของมันก็ขยับตามเขามาทางซ้าย เขาเดินไปทางขวา แววตาของมันก็ขยับตามมาทางขวา

ตามติดประหนึ่งเงาตามตัว

สิ่งนี้ทำให้คาร์ลอสยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยกว่าเดิมราวกับเขาเป็นเหยื่อที่มันเล็งเอาไว้

เขาพลันนึกถึงคำพูดของโจวอวี้ที่อยากให้เขาหยุดวิจัยไอโดลันตัวนี้ โม่เย่เองก็ดูจะไม่ชอบมันสักเท่าไร บางทีทั้งหมดนั่นอาจจะมีเหตุผลที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องบังเอิญ!

คาร์ลอสบอกกับตัวเองว่าสิ่งผิดพลาดนี้ต้องถูกจัดการก่อนที่มันจะโต! ไม่ว่าซ่งจื้อจะตั้งคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาอย่างไร คาร์ลอสก็รู้ว่าตัวเองต้องทำ!

เขากลืนน้ำลาย กำหมัดแน่น ตัดสินใจในทันทีว่า ‘เขาต้องไปที่คอมพิวเตอร์และป้อนคำสั่งให้ปล่อยก๊าซพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาทเข้าไปในภาชนะเลี้ยงดู!’

เขาจะไม่ปล่อยให้มันมีชีวิตออกนอกภาชนะเลี้ยงดูอย่างเด็ดขาด!

ชั่ววินาทีที่เขาตัดสินใจ เสียงกระจกแตกก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง หัวใจคาร์ลอสพลันหดเกร็ง เขาหันหลังกลับ เห็นภาชนะเลี้ยงดูแตกกระจาย ของเหลวภายในรั่วออกมาจนเกิดเสียงดังจ้อก ทว่าไอโดลันไม่อยู่ข้างในแล้ว

มุมเพดานของห้องทดลอง ไอโดลันหมอบอยู่ตรงนั้น แขนขาเกาะติดฝ้าเพดานอย่างมั่นคง เมื่อมันขยับตัว ปีกด้านหลังก็ทิ้งดิ่งลงมาก่อนจะคลี่ออกอย่างช้า ๆ ราวกับสุนัขล่าเนื้อแห่งขุมนรก

ดวงตาสีเลือดที่จับจ้องไปยังคาร์ลอสดูแปลกประหลาด ชวนขนลุกขนพองอย่างถึงที่สุด ราวกับมันรู้ว่าคาร์ลอสคิดอะไรอยู่จึงมองไปที่คาร์ลอสอย่างดูแคลน

คาร์ลอสก้าวถอยหลัง สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือล็อกห้องทดลองให้สนิท อย่าเปิดโอกาสให้เจ้าสิ่งนี้ออกไปได้

เขารีบพุ่งไปที่คอมพิวเตอร์อย่างไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น ทว่ายังไม่ทันที่ปลายนิ้วของเขาจะได้แตะเครื่องสแกนลายนิ้วมือ เขาก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลกระแทกจนล้ม

ชั่วขณะที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้น ความเจ็บปวดแสนสาหัสพลันแล่นเข้าสู่สมอง เขารู้เลยว่ากระดูกซี่โครงของตัวเองถูกกระแทกจนหักไปแล้ว

คาร์ลอสกระเสือกกระสนจะลุกขึ้น แต่ไอโดลันตัวนั้นก็กดร่างเขาเอาไว้ เขาเห็นเงาที่ทอดตัวอยู่บนพื้น รับรู้ได้ว่าไอโดลันกำลังกางปีกออก เพียงแค่พริบตาเดียว ปีกของมันก็จ้วงแทงเข้าไปในร่างของคาร์ลอส

“อ๊าก—” คาร์ลอสกรีดร้อง ทว่าไม่นานเขาก็ไม่อาจส่งเสียงออกมาได้อีกต่อไป

ไอโดลันขย้ำคอของคาร์ลอสและออกแรงดูด

คาร์ลอสเบิกตากว้าง คอหอยถูกกักไว้จนไม่อาจส่งเสียงใด ๆ ได้ เลือดของเขากำลังไหลออกจากร่างไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับความเจ็บปวดและความกลัวตายอย่างไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบ

ไอโดลันตัวนั้นดื่มด่ำกับความหวาดกลัวของเขา

นี่คือไอโดลันเหรอ

ทำไมถึงเป็นแบบนี้

เขาไม่อยากตาย…ไม่อยากตายจริง ๆ …

เสียงหัวใจดังก้องอยู่ภายในหู ไม่นานมันก็เต้นช้าลงๆ

ในที่สุดมันก็หยุดเต้น คาร์ลอสเสียชีวิตทั้งที่ยังลืมตาโพลง

ไอโดลันค่อย ๆ ขยับไปด้านข้าง มันจับจ้องร่างของคาร์ลอสเงียบ ๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มประหลาดออกมา

กระดูกของมันส่งเสียงดังกรอบแกรบ มันยกคอขึ้นยืดเส้นที่ตึงแน่นออกราวกับเป็นการงอกใหม่หลังการแตกหัก

ยามที่มันก้มหน้าลงและหันหัวกลับมา ร่างกายของมันก็เติบโตขึ้นอีกหนึ่งในสามส่วนของขนาดตัวก่อนหน้า

สิบนาทีต่อมา ผู้ช่วยงานวิจัยของคาร์ลอสก็มาที่ประตูสองชั้น เขาเปิดประตูชั้นแรกก้าวเข้าไป ตามด้วยเปิดประตูบานที่สอง ช่วงเวลาที่ประตูแง้มออก เขาก็ถูกเงาสายหนึ่งจู่โจมปานสายฟ้าแลบ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ร่างสีดำก็ปิดประตูบานที่สองและหมอบลงอย่างอดทนในพื้นที่ว่างระหว่างประตูทั้งสองบาน มันอยู่อย่างเงียบเชียบรอให้ใครสักคนมาเปิดประตูบานนี้

คืนนี้ที่ฐานจะมีการส่งตัวเหล่านักวิจัยและเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่สิ้นสุดสัญญากลับสู่โลกเดิม

ยานส่งตัวสนามแม่เหล็กกำลังอยู่ในระหว่างการอ่านค่าเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ซ่งจื้อยืนกอดอกอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ที่ติดอยู่บนผนังมากมายนับไม่ถ้วน แสงสว่างวูบวาบจากการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลตกกระทบลงบนใบหน้าของเขา

หลี่เชียนนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ใต้ตาของเขาปรากฏรอยคล้ำลึกโหล ในฐานะผู้ออกแบบระบบ เขาจำเป็นต้องทำให้มั่นใจว่าระบบชุดนี้จะสามารถรองรับการวาร์ปได้โดยที่ไม่เกิด ‘อุบัติเหตุ’ ใด ๆ

แม้ในช่วงระยะเวลาสองปีมานี้จวี้ลี่กรุ๊ปแทบจะไม่เคยเกิดอุบัติเหตุระหว่างการวาร์ปเลย แต่มันก็มีความเสี่ยงยิ่งกว่าการปล่อยยานอวกาศที่มีคนไปด้วยมาก ข้อผิดพลาดจากการอ่านค่าอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดา

เวลานั้นเอง หลี่เชียนที่เผลอวูบหลับไปเพราะอดหลับอดนอนก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นภาพบนหน้าจอที่นักวิจัยส่งตัวอย่างคนหนึ่งเปิดประตูบานแรกของห้องวิจัยของคาร์ลอสและโดนไอโดลันสีดำจู่โจมจนล้ม

หลี่เชียนสะดุ้งโหยงจนกาแฟบนโต๊ะหกรดลงมาบนกางเกงของเขา โชคดีที่กาแฟนั้นเย็นชืดไปแล้ว

หลี่เชียนไม่สนใจแม้แต่จะเช็ด เขากะพริบตาปริบ ๆ จ้องภาพในจอมอนิเตอร์

“นั่นโม่เย่เหรอ เป็นไปไม่ได้…โม่เย่จะทำร้ายนักวิจัยได้ยังไง”

“มีอะไรงั้นเหรอ” เสียงของซ่งจื้อดังขึ้นที่ข้างหูหลี่เชียน

หลี่เชียนอ้าปากพะงาบ มือชี้ไปยังไอโดลันบนหน้าจอที่กำลังเดินอยู่ตรงทางเชื่อม “คะ…คุณซ่ง…นั่นโม่เย่เหรอ”

ซ่งจื้อโน้มตัวลงมาและหรี่ตามองไปที่จอภาพ ไอโดลันตัวนั้นคล้ายกับรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนกำลังมองมันอยู่ มันพลันหันมาทางกล้องวงจรปิด

ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นน่าหวาดหวั่นเสียจนหลี่เชียนแทบตกจากเก้าอี้

ซ่งจื้อรีบติดต่อไปที่ห้องวิจัยของคาร์ลอสทันที “คาร์ลอส! คุณอยู่ข้างในหรือเปล่า! รีบตอบกลับด้วย!”

ไม่มีการตอบกลับใด ๆ

“เปิดกล้องวงจรปิดในห้องวิจัยของคาร์ลอส! เดี๋ยวนี้!”

ความยุ่งเหยิงพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าซ่งจื้อ คาร์ลอสนอนคว่ำอยู่บนพื้น ศีรษะแทบจะถูกบิดไปด้านหลัง

นักวิจัยสองคนเสียชีวิตอยู่ก่อนแล้วที่หลังประตูสองชั้น

หลี่เชียนยกมือปิดปากตัวเอง เขาเกือบจะอ้วกออกมา

“มันคือไอโดลัน…ที่คาร์ลอสเพาะเลี้ยง…”

ซ่งจื้อพลันหมุนตัว ปรบมือเป็นสัญญาณก่อนจะแจ้งกับทุกคน “ยุติภารกิจส่งตัวชั่วคราว! หน่วยรบทั้งหมดเตรียมตัว!”

ข้อความนั้นก่อให้เกิดความแตกตื่น

ทุกคนต่างพูดคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ขอให้หน่วยรบทุกคนเตรียมพร้อมและระวังให้ดี! กักตัวนักวิจัยทุกคนไว้ในห้องของตัวเองหรือไม่ก็ห้องวิจัยทันที ไม่อนุญาตให้ออกมาข้างนอกโดยเด็ดขาด!”

“รับทราบครับคุณซ่ง!” หลี่เชียนป้อนรหัสลงไปทันที

“ห้องวิจัยของคาร์ลอสปล่อยนิวโรทอกซินได้ไหม” ซ่งจื้อถาม

“ผมจะลองดู!” หลี่เชียนป้อนข้อมูลลงบนแป้นพิมพ์และพยักหน้า “ได้ครับ ผมจะป้อนคำสั่งให้เปิดประตูสองชั้นแล้วปล่อยนิวโรทอกซินออกมา แต่ผมไม่แน่ใจว่าพิษที่แพร่กระจายไปตามทางเชื่อมนอกห้องวิจัยจะมีความเข้มข้นมากพอที่จะส่งผลกับมันหรือเปล่า”

“ลองดูก็รู้”

เมื่อนิวโรทอกซินแพร่กระจายออกไปและไหลทะลักไปยังไอโดลันตัวนั้น มันกลับทำเพียงแค่หันไปมองอย่างเฉยเมยและปล่อยให้ตัวเองถูกสารพิษเข้าปกคลุมจนทั่วร่าง

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที หลี่เชียนกับซ่งจื้อก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง พวกเขามองตัวมันที่เดินออกมาจากหมอกพิษอย่างสบาย ๆ

“เป็นไปได้ยังไง มันไม่เป็นอะไรเลย!” หลี่เชียนไม่เข้าใจจริง ๆ

“เพราะ…มันกลั้นหายใจ” ซ่งจื้อกำหมัดแน่น

“มันกลั้นได้นานแค่ไหนครับ”

“ท่าทางของมันเฉยชามาก น่าจะกลั้นได้นานทีเดียว” ซ่งจื้อกุมศีรษะตัวเองด้วยความเจ็บใจ

เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษทีมหนึ่งรีบรุดไปยังพื้นที่วิจัยของคาร์ลอส ก่อนที่จะเปิดประตูพวกเขาได้รับคำเตือนจากหลี่เชียนว่าไอโดลันกำลังรออยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของประตู

ซ่งจื้อรับไมโครโฟนมาและพูดกับพวกเขา “หลังจากที่ประตูเปิดแล้วอย่าได้ลังเล สาดกระสุนเข้าไปได้เลย!”

เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษปักหลักพร้อมรับมือกับศัตรู วินาทีที่หลี่เชียนสั่งระบบให้เปิดประตู พวกเขาก็เปิดฉากระดมยิงอย่างบ้าคลั่ง

 

[1] หมายถึง อุปสรรคหรือการพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า