某某
ใครบางคน
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ
– โปรย –
เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้
เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง
เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)
แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป
1v1+he
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 7
ไป ๆ มา ๆ ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
ไม่รู้ว่าเซิ่งหมิงหยางกับเจียงโอวใช้วิธีอะไร แต่สุดท้ายเจียงเทียนก็ถูกรั้งตัวเอาไว้สำเร็จ เซิ่งวั่งที่เกาะประตูแนบหูฟังนั้นไม่ได้ความอะไรมากนัก แต่พอรวมสิ่งที่เห็นก่อนหน้าและการคาดเดาของตัวเองแล้ว เขาคิดว่าคงจะสำเร็จโดยอาศัยความน่าสงสารของเจียงโอว ขอแค่เธอเผยแววตาระแวดระวังเจือเว้าวอนนั่นออกมา เจียงเทียนก็ไม่กล้าพูดจาหักหาญน้ำใจอีก
เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นชั้นสองดังขึ้นเบา ๆ เซิ่งวั่งที่ยืนพิงประตูได้ยินเซิ่งหมิงหยางกล่าว “เสี่ยวเทียน เธอใช้ห้องนี้แล้วกันนะ”
ตรงข้ามห้องเซิ่งวั่งเป็นห้องหนังสือที่มีห้องน้ำในตัว ‘ห้องนี้’ ที่พ่อพูดคงหมายถึงห้องข้าง ๆ เขา บ้านหลังนี้มีอายุอานามไม่น้อย แม้เคยได้รับการรีโนเวททั้งหลังมาก่อนเลยกั้นเสียงได้ไม่เลวก็จริง แต่พออยู่ห้องข้างกันและใช้ผนังร่วมกันแล้วก็ย่อมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของกันและกันไม่มากก็น้อยอยู่ดี
เซิ่งวั่งรู้สึกเหมือนถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว และในความโมโหนั้นยังมีความอึดอัดอย่างน่าประหลาดปนอยู่ด้วย
จู่ ๆ มือถือก็สั่นสองที เซิ่งวั่งหลุบตา สไลด์เปิดหน้าจออย่างหมดอาลัยตายอยาก เจ้าปูยังคงอัปเดตความคืบหน้าของสองรุ่นพี่นั่นแบบเรียลไทม์
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ข่าวดี ในที่สุดพวกเขาก็แก้ขั้นแรกออกมาได้ ขนาดมีผนังกั้น ฉันยังรู้สึกได้ถึงความคึกของพวกเขาเลย ถึงหลังจากนั้นพวกเขาจะถูกอาจารย์ที่เดินตรวจดุก็เหอะนะ
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : เฮ้ ยังตื่นอยู่เปล่า
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ??
เซิ่งวั่งถือโทรศัพท์มาไว้ข้างปาก “นี่เพิ่งกี่โมงเอง ฉันยังไม่นอน”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : เที่ยงคืนครึ่งแล้วพี่ชาย นายล่ะ แกะโจทย์เป็นไงบ้าง
กระป๋อง : “ยังไม่ทันได้แก้เลย”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : หา? งั้นนายทำอะไรอยู่ตั้งนาน
กระป๋อง : “ดูละครฉากเล็กในครอบครัวน่ะ”
อย่างไรซะเจ้าปูก็เคยเป็นรูมเมตเขามาก่อน สนิทกันไม่เบา อีกฝ่ายจึงพอจะรู้เรื่องที่บ้านเขาบ้างไม่มากก็น้อย มือถือที่เอาแต่สั่นไม่หยุดพลันสงบลงสักพัก ผ่านไปครู่หนึ่งเจ้าปูถึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : สถานการณ์เป็นไง
เซิ่งวั่งกดปุ่มเสียงค้างอยู่หลายวินาทีก็ปล่อยออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพิมพ์แทน
เจ้าปูที่ได้รับข้อความเสียงว่างเปล่าพิมพ์เครื่องหมายคำถามกลับมาเป็นพืด
เด็กหนุ่มไม่สนใจ เขายืนพิงประตูพลางก้มหน้าก้มตาใช้แป้นเก้าช่อง[1]พิมพ์ : คนที่อนาคตจะกลายเป็นแม่เลี้ยงของฉันกับลูกชายของเธอย้ายเข้ามาน่ะ ลูกชายที่ว่าอยู่ห้องข้างฉันนี่แหละ ฉัน…
ฉันอะไรล่ะ คำพูดพวกนี้บอกคนอื่นไปก็ไม่มีความหมาย แถมยังดูคิดเล็กคิดน้อยไปหน่อย ประเด็นสำคัญคือมันดูง้องแง้ง ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์สุดเท่ของเขา เซิ่งวั่งคิดได้ดังนั้นก็ลบข้อความที่พิมพ์ค้างไว้ออก ก่อนจะอัดเสียงพูด “ไม่มีอะไร ไอ้หลานที่มาอยู่ข้างห้องฉันชั่วคราวนั่นน่ะ ตามมารยาทฉันควรเรียกหมอนั่นว่าพี่ด้วยนะ”
ประโยคนี้กล่าวได้ค่อนข้างกำกวม เจ้าปูนึกว่าเป็นญาติห่าง ๆ สักคน เขาจึงเลิกห่วงเป็นการชั่วคราว
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : งั้นนายได้เรียกปะ
กระป๋อง : “ไม่มีทาง ปกติฉันไม่มีมารยาทอยู่แล้ว”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ฮ่า ๆ ๆ งั้นก็ไล่เขาดิ
กระป๋อง : “อยากไล่อยู่เหมือนกัน นายมีหมาอยู่ตัวนึงไม่ใช่เหรอ ไว้ขอยืมหน่อย ฉันจะให้มันไปฉี่รดทั่วห้องนั้นเลย ดูซิว่าใครจะยังอยู่ไหว”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : เชี่ย เลิกบรรยายได้แล้ว ฉันได้กลิ่นโชยมาละเนี่ย
เซิ่งวั่งอารมณ์ดีขึ้น หลังจากปากแจ๋วเสร็จเขาก็พลันนึกขึ้นได้ถึงท่าทางของเจียงเทียนตอนที่ยืนอยู่นอกรั้วบ้านคนเดียว ไฟข้างถนนส่องมาทำให้เงาของเจ้าตัวถูกลากยาวขึ้น ทั้งดูหยิ่งทะนง และก็…ดูโดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน
คุณชายน้อยจิ๊ปากหนึ่งทีก่อนจะเอ่ย “ช่างมันเถอะ น่ารำคาญ ขอแค่เขาอย่ามาคุยกับฉัน อย่ามารบกวนฉันอ่านหนังสือก็พอ ไม่ต้องไปให้ค่า ฉันไปแก้โจทย์ต่อละ”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : เอ๋? เดี๋ยวสิ
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : พอพูดถึงแก้โจทย์แล้วก็นึกขึ้นมาได้ ในเมื่อนายต้องเรียกเขาว่าพี่ งั้นไอ้หลานข้างห้องนั่นก็คงอายุมากกว่านายใช่ปะ
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : อย่างน้อยก็โตกว่า ม.5? หรือนายจะเอาข้อสุดท้ายไปให้เขาช่วยดูล่ะ ถ้าแก้ได้ก็พอดีเลย แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็ยังทำให้เขาได้อี๋กลางดึกบ้างแหละ
วิธีคิดของอีกฝ่ายออกจะแปลกเกินไปแล้ว เซิ่งวั่งถูกฝ่ายตรงข้ามทำให้อึ้งไป เขาตอบกลับอย่างไม่ลังเล
กระป๋อง : “นายกำลังทำให้ฉันอี๋มากกว่า ฉันไปละ!”
น้ำเสียงประโยคสุดท้ายฟังดูเกรี้ยวกราดเล็กน้อย ทำเอาเจ้าปูโป๊ยกั้กป๊อดและเงียบลงตามคาด
หลังเซิ่งหมิงหยางจัดการเรื่องเจียงเทียนเสร็จ ฝีเท้าของเขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะหยุดลงหน้าประตูห้องเซิ่งวั่ง อีกฝ่ายเรียกเสียงเบา “ลูกชาย?” เสียงของเขาไม่ดังและก็ไม่ได้เคาะประตู ราวกับกลัวว่าจะรบกวนใครเข้า
ความจริงแล้วเซิ่งวั่งยืนอยู่แค่หลังประตู สองพ่อลูกมีเพียงประตูกั้น เด็กหนุ่มได้ยินชัดเจน แต่กลับไม่ขานรับ
“ลูกชาย?” เซิ่งหมิงหยางเรียกอีกที
เซิ่งวั่งยังคงไม่ตอบ
ผ่านไปสักพักเขาได้ยินเซิ่งหมิงหยางกล่าวกับเจียงโอวเสียงแผ่วเบา “ขึ้นห้องมาชั่วโมงกว่าแล้ว คงนอนแล้วละ”
“นอนแล้วจริงเหรอ” เจียงโอวชะงักเล็กน้อย
“น่าจะนะ” เซิ่งหมิงหยางคาดการณ์พลางเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง เขางึมงำ “จะตีหนึ่งแล้ว พวกเราลงไปกันก่อนเถอะ”
เสียงฝีเท้าที่ตั้งใจเดินให้เบาค่อย ๆ ออกห่างจากห้องลงไปทางบันได เซิ่งวั่งได้ยินพ่อพูดแว่ว ๆ ว่า “พรุ่งนี้ผมต้องรีบไปให้ทันไฟลท์เช้า ฝากคุณดูแลหน่อยนะ”
จนกระทั่งเสียงความเคลื่อนไหวจากชั้นล่างเงียบลงแล้วเซิ่งวั่งถึงเดินกลับมาที่โต๊ะ เขากวาดหนังสือไปด้านข้าง ก่อนหย่อนตัวนั่งลงบนโต๊ะ เท้าสองข้างเหยียบขอบเก้าอี้ แบบฝึกหัดวางอยู่บนเข่าที่ตั้งฉากขึ้น เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาจ้องอยู่เนิ่นนานเป็นสิบนาที ในหัวก็ยังสะเปะสะปะคลำหาทางไม่เจอเลยสักนิด
เขาเงยหน้าขึ้น ร่างช่วงบนเอนไปด้านหลังเล็กน้อย
จากมุมนี้จะมองเห็นหน้าต่างห้องด้านข้างที่ดึงผ้าม่านปิดไว้แค่ครึ่ง แสงไฟจากโคมส่องลอดผ้าม่านมากระทบกับกระจกหน้าต่าง ดูท่าแล้วเจียงเทียนต้องกำลังปั่นการบ้านอยู่เหมือนกันแน่
ไม่รู้ว่าทำการบ้านฟิสิกส์เสร็จหมดหรือยัง…
น่าจะเสร็จหมดแล้ว เห็นอีกฝ่ายแก้โจทย์การบ้านตอนคาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำอยู่ ถ้านานขนาดนี้แล้วยังทำไม่เสร็จ คงเสียชื่ออัจฉริยะน่าดู
แล้วถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายก็ทำข้อสุดท้ายไม่เป็นล่ะ
แต่คนอื่นเขาสอบได้คะแนนเต็มนะ
บางทีในหัวของเซิ่งวั่งคงมีเจ้าปูอาศัยอยู่ด้วย จึงเอาแต่เถียงกับเขาอย่างนั้นอย่างนี้ไม่หยุด
แบบฝึกหัดกับศักดิ์ศรี ยังไงก็ต้องเลือกสักอย่าง
ปากกาในมือเซิ่งวั่งหมุนควงอย่างรวดเร็วเป็นรอบที่ N จนในที่สุดก็ถูกตบลงบนโต๊ะ : ฉันเลือกศักดิ์ศรีโว้ย!
ห้านาทีต่อมาคุณชายน้อยก็พาศักดิ์ศรีที่แตกเป็นผุยผงมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องข้าง ๆ ยกมือขึ้นลงอยู่สามที กว่าจะทำใจเคาะประตูแบบไม่เต็มใจ
“ใคร” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเจียงเทียนดังมาจากอีกฟากประตู
ถึงแม้คนคนนี้จะ ‘อาศัยใต้ชายคาคนอื่น’ แต่ก็ไม่มีท่าทีเกรงอกเกรงใจหรือระมัดระวังเลยสักนิด ถามว่า ‘ใคร’ กลับมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ นี่ถ้าถามอีกทีก็จะทำเอาเซิ่งวั่งมุดหัวกลับห้องแล้ว เท้าซ้ายของเด็กหนุ่มชักขึ้นเล็กน้อยก่อนจะวางกลับที่เดิม ยืนเท้ากรอบประตู ใช้กลยุทธ์แกล้งหูหนวก
พอไม่ได้รับคำตอบ เจียงเทียนก็เดินลากรองเท้าใส่ในบ้านเข้ามาใกล้ ที่จับประตูส่งเสียงดังกริ๊ก ประตูถูกแง้มออกแค่ครึ่งเดียว
เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าตัวคงคาดไม่ถึงว่าผู้มาเยือนจะเป็นเซิ่งวั่ง เลยยืนอึ้งอยู่ชั่วครู่ แต่คงยังจำความแค้นที่ตัวเองถูกลากเข้าบ้านเพราะอีกฝ่ายได้ สีหน้าจึงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ดูไปแล้วเหมือนคนกำลังปวดฟันหรือปวดตรงไหนสักแห่ง
“ทำหน้าอะไรของนาย” เซิ่งวั่งเอ่ยขึ้น
“มีอะไรก็ว่ามา” ชัดเจนว่าเจียงเทียนไม่อยากพูดมาก
เซิ่งวั่งอ้าปากพะงาบก่อนจะยื่นมือออกมา “คืนปากกามา”
เจียงเทียนจ้องเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อยู่สองวินาทีแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้อง
พอเห็นว่าหน้าประตูว่างเปล่า เซิ่งวั่งก็หันศีรษะไปตบปากตัวเองทีหนึ่ง
ไอ้หล่อ นายป๊อดเหรอ ขอถามแค่นี้ว่านายป๊อดเหรอ! เขาถากถางตัวเองในใจอยู่ระลอกใหญ่ ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเกียจคร้านในพริบตาที่เจียงเทียนเดินกลับมาหน้าประตู
เจียงเทียนยื่นปากกาให้แล้วถาม “มีอะไรอีกไหม”
“แค่นี้แหละ” เซิ่งวั่งตอบ
อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะปิดประตูโดยไม่พูดมาก
“…”
เด็กหนุ่มจ้องปากกาอยู่หลายวินาที ก่อนจะค่อย ๆ ชูนิ้วกลางใส่ประตู แล้วไสหัวกลับห้องตัวเองไปรบราฆ่าฟันกับชีทการบ้านฟิสิกส์ต่อ
นักเรียนที่มีผลการเรียนราบรื่นมาโดยตลอดอย่างเขาย่อมต้องเคยทำโจทย์ผิดบ้างอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี นักเรียนแบบนี้มักจะมีนิสัยแก้ยากร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าหากหาทางแก้โจทย์ออกมาไม่ได้ก็จะนอนไม่หลับ
เขาลองเปลี่ยนวิธีคิดอยู่หลายรูปแบบ แต่ทุกครั้งแก้ไปได้แค่ครึ่งก็จะถูกขีดฆ่าทิ้ง คนที่เคยทำโจทย์มามากมักจะมีสัญชาตญาณแบบนี้อยู่…ถึงจะยังไม่ได้คำตอบจากการแก้โจทย์ แต่แค่ดูวิธีทำก็รู้แล้วว่าน่าจะมีส่วนไหนที่ผิดพลาด
เซิ่งวั่งจมอยู่ในวังวนแห่งความผิดพลาด เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ยี่สิบนาที ในที่สุดก็ปาปากกาทิ้ง
เมื่อครู่นี้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่แต่กับบอลลูกเล็ก หยดน้ำ ความหนืด พอยืนขึ้นถึงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนอกประตู ไม่รู้ว่าเจียงเทียนออกจากห้องมาทำอะไร
ทำโจทย์จนเป็นบ้าแล้วเลยออกมาเดินเล่น?
เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่เดียวก็เดินไปจับที่จับประตู
พอประตูเปิดออก อากาศชื้นก็ปะทะเข้าหน้า เซิ่งวั่งถึงกับชะงักเพราะพบว่าเจียงเทียนเพิ่งออกมาจากห้องน้ำของห้องฝั่งตรงข้าม เจ้าตัวเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสีเทาตัวโคร่ง เรือนผมสีดำสนิทที่เกือบแห้งถูกอีกฝ่ายเสยไปด้านหลัง ดูก็รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
ในมืออีกฝ่ายถือผ้าขนหนูเอาไว้ เขาเอียงศีรษะไล่น้ำในหูเสร็จถึงช้อนตามองมาทางเซิ่งวั่งแล้วถาม “มีอะไรอีก”
เซิ่งวั่งหมุนปลายเท้าเดินตรงไปทางบันได “จะลงไปกินน้ำ ไปอาบน้ำของนายต่อเหอะ”
เขาคว้าน้ำเย็นออกมาจากตู้เย็นขวดหนึ่ง พอเปิดฝาออกก็พบว่าดื่มไม่ลง จึงได้แต่หอบหิ้วขึ้นชั้นสองไปแล้วมุดเข้าห้องตัวเองอย่างหมดสภาพ
น้ำเย็นถูกวางแนบหน้าผากเซิ่งวั่ง เขาฟุบอยู่กับโต๊ะสักพักจนความง่วงเริ่มเข้าโจมตี ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมตัวเองสำเร็จ…เห็น ๆ อยู่ว่าพวกเขาต้องอยู่บ้านเดียวกันไปอีกระยะหนึ่ง จะให้อึดอัดแบบนี้ต่อไปคงไม่ไหว ยังไงก็ต้องมีบันไดมาเชื่อมให้ทุกอย่างดีขึ้นสักหน่อย
โจทย์ฟิสิกส์ข้อนี้นี่แหละคือบันได
เซิ่งวั่งลุกขึ้นเป็นรอบที่สาม รอบนี้ตัดสินใจหยิบชีทไปด้วย ไม่ทำคือไม่ทำ แต่ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด
เขาเตรียมใจจะไปเคาะประตูห้องข้าง ๆ ไว้แล้วเรียบร้อย แต่ใครจะไปรู้ว่าพอเปิดประตูออก เจียงเทียนก็ยืนหันข้างพิงผนังอยู่ตรงนั้น มือซ้ายของเจ้าตัวจับผ้าขนหนูเช็ดผมอย่างไม่ใส่ใจนัก ส่วนมือขวาถือโทรศัพท์ สายตาหลุบมองหน้าจอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนดังปกติ
“นายมายืนหน้าประตูห้องฉันทำไม” เซิ่งวั่งตกใจแทบตาย
“รอจับกระต่ายหน้าโพรง” เจียงเทียนตอบในขณะที่เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมือถือ
เซิ่งวั่ง “…”
ถ้าไม่ใช่เพราะสีหน้าบึ้งตึง เด็กหนุ่มคงสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกเขาเล่น
เจียงเทียนเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงพร้อมถามขึ้น “เข้า ๆ ออก ๆ หลายรอบแล้ว นายคิดจะทำอะไรกันแน่”
เซิ่งวั่งซ่อนชีทในมือเอาไว้ด้านหลัง ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ยังพูดไม่ออกสักคำ สุดท้ายถึงปริปากออกมาว่า “เกี่ยวอะไรกับนายเล่า” จากนั้นก็ปิดประตูลง
ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
นี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งวั่งรู้ซึ้งถึงคำกล่าวนี้ ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้กับโจทย์ข้อนั้น ทั้งร่างถลาลงบนเตียงอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านแล้วหลับไปในที่สุด เขาอดนึกย้อนไปถึงวินาทีที่ปิดประตูไม่ได้ เจียงเทียนเหมือนจะกวาดตามองมาที่ปลายนิ้วของเขา ไม่รู้ว่าเห็นชีทหรือเปล่า
เวลา 6.10 น. เซิ่งวั่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่สะท้านไปถึงวิญญาณ เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก
ห้องนอนของเขามีห้องน้ำในตัว ไม่ต้องไปแย่งใช้ห้องน้ำกับเจียงเทียนที่ห้องฝั่งตรงข้าม เพราะฉะนั้นการล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวจึงกินเวลาไม่มากเท่าไหร่ รอจนกระทั่งเขาเก็บของหิ้วกระเป๋าลงมาถึงพบว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ตื่นสายที่สุด…
สมัยก่อนตอนเขาตื่นนอน สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในบ้านมีเพียงตัวเขากับป้าแม่บ้านเท่านั้น
พอวันนี้มีคนเพิ่มขึ้นกะทันหันก็ทำเอาตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อย ความที่เพิ่งตื่นนอนส่งผลให้ใบหน้าของเขามีคำว่า ‘มึนงง’ สลักเอาไว้ตัวโต จนกระทั่งเจียงโอวถือชามออกมาจากครัว เขาถึงตื่นจากภวังค์
ตอนนั้นเจียงเทียนยืนอยู่หน้าประตู กำลังย่อตัวเปลี่ยนรองเท้าอยู่ ดูท่าคงจะตื่นเช้ากว่าไก่โห่ คาดว่าคงเป็นเพราะอยากลดการเจอหน้ากันโดยไม่จำเป็นก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นอาจต้องไปเรียนพร้อมกับเซิ่งวั่ง
ความจริงแล้วเซิ่งวั่งเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน เมื่อเช้าตอนแปรงฟันยังคิดอยู่เลยว่าจะแยกกันเข้าโรงเรียนยังไง แต่พออีกฝ่ายทำเข้าจริง เขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ชอบกล เขาใช้ชีวิตในสังคมมากว่าสิบหกปี ด้วยความที่ย้ายถิ่นฐานบ่อย แม้จะมีความสัมพันธ์ชนิดสนิทแน่นแฟ้นไม่เยอะนัก แต่ก็มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาโดยตลอด
เจียงเทียนเป็นคนแรกเลยที่รังเกียจเขาแบบนี้
ขณะที่กำลังเหม่ออยู่นั้น มือถือที่เจียงเทียนวางอยู่บนตู้รองเท้าก็สั่นหลายที เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นคว้ามือถือมาปราดมอง
วินาทีนั้นสีหน้าของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาดขึ้น เหมือนจะเครียดเกร็ง แต่ก็คล้ายจะอึ้งงันในขณะเดียวกัน
จากนั้นนิ้วมือของเขาก็แตะหน้าจอทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว ใส่รองเท้าและกล่าวโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “จี้หวนอวี่โอนเงินมาให้ผม ผมโอนให้แม่แล้ว”
เซิ่งวั่งนิ่งอึ้งไปสักพักถึงรู้สึกตัวว่าเจียงเทียนกำลังบอกแม่ของตนเองอยู่
มือของเจียงโอวที่กำลังตักโจ๊กให้เซิ่งวั่งชะงักไป เธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนังแล้วถามอย่างประหลาดใจ “วันนี้วันที่เท่าไหร่ เขาโอนเงินให้ลูกตั้งแต่หกโมงกว่าเลยเหรอ”
คนถูกถามหยุดการเคลื่อนไหว เซิ่งวั่งเห็นเจ้าตัวขมวดคิ้วเข้าหากัน ดูท่าจะไม่อยากคุยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“ไม่มีอะไร แม่แค่ถามเฉย ๆ” เจียงโอวสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของลูกชายจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ลูกจะไปโรงเรียนตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ ไม่รอไปพร้อมกับเสี่ยววั่งเหรอจ๊ะ”
“อืม มีธุระครับ” เจียงเทียนโกหกโดยไม่กะพริบตา ก่อนจะจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง
เพราะผลกระทบจากน้ำตาลในเลือดต่ำหลังเพิ่งตื่นนอน ปฏิกิริยาเซิ่งวั่งจึงเชื่องช้ากว่าปกติ เขายังค้างอยู่ที่คำว่า ‘จี้หวนอวี่’ อยู่เลย ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
จนกระทั่งเขายื่นมือไปรับชามมาโดยอัตโนมัติ จนถูกโจ๊กคำแรกลวกลิ้นแล้ว เขาถึงพลันนึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วเซิ่งหมิงหยางเคยเปรยว่าสามีเก่าของเจียงโอวชื่อว่าจี้หวนอวี่
งั้นนั่นก็เป็น…พ่อของเจียงเทียน?
ได้ยินเซิ่งหมิงหยางเคยเล่าว่า เจียงโอวกับสามีคนก่อนหย่ากันอย่างสงบ ไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีการหักหน้าแหกอกจนเข้าหน้ากันไม่ติดด้วย แม้ลูกชายจะอายุยังน้อย แต่ก็สุขุมรู้ความแต่เด็ก กระทั่งเอ่ยปากห้ามก็ยังไม่เคย
ดังนั้น คนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาสิบสามปีจึงแยกทางกันทั้งอย่างนั้น ต่อมาจี้หวนอวี่กับเพื่อนก็ไปสร้างธุรกิจด้วยกันที่เมืองนอก ส่วนเจียงโอวเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูกชาย และพวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก
เซิ่งวั่งไม่แน่ใจสถานการณ์โดยละเอียดเท่าไหร่ อย่างน้อยเท่าที่ดูในตอนนี้จี้หวนอวี่ก็ยังรู้จักที่จะโอนเงินให้ลูกชายเป็นประจำ เจียงโอวก็ไม่ได้มีท่าทีเคียดแค้นเคืองโกรธแต่อย่างใด แค่นั้นก็นับว่าเป็นความโชคดีในโชคร้ายแล้ว แต่พอดูจากปฏิกิริยาของเจียงเทียนแล้ว เจ้าตัวเหมือนจะไม่ค่อยชอบพ่อตัวเองเลยนะ แถมยังคล้ายจะ…ดูเกลียดชังอีกต่างหาก
ทว่าอย่างไรแล้วมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเซิ่งวั่ง เขาเพียงแค่หยิบเอามาคิดผ่าน ๆ ก่อนจะไม่เก็บมาใส่ใจอีก
เขาตั้งใจไว้ว่าจะไม่รับความสนิทสนมจากเจียงโอว แต่ก็หักหาญน้ำใจคนอื่นไม่ลงเช่นกัน ดังนั้นอาหารเช้ามื้อนี้จึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนชวนทรมานจนให้ความรู้สึกเหมือนอาหารมื้อสุดท้ายก่อนโดนประหาร
เด็กหนุ่มฝืนกลืนโจ๊กลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาส่งเสียงบอกลาแล้วออกจากบ้าน
เสี่ยวเฉินเพิ่งกลับจากการส่งเซิ่งหมิงหยางพอดี และมารับเซิ่งวั่งได้ตรงเวลา เสียงงุนงงของเขาถามมาจากที่นั่งด้านหน้า “คุณเซิ่งให้ลุงส่งคุณกับเสี่ยวเทียนไปด้วยกัน อีกคนล่ะ”
“ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าแล้ว” เซิ่งวั่งกลอกตามองบนก่อนจะเร่งเร้า “ลุงรีบขับเร็ว ผมยังมีโจทย์อีกข้อที่กำลังรอความช่วยเหลืออยู่นะ”
คาบเช้าของชั้น ม.5 โรงเรียนพวกเขาเริ่มตอนเจ็ดโมง แต่นักเรียนส่วนมากจะมาถึงห้องเรียนก่อนประมาณยี่สิบนาที ส่วนที่ปั่นการบ้านก็มานั่งปั่นกันงก ๆ ส่วนที่มาเช็กคำตอบก็เช็กกันไป
สมัยอยู่โรงเรียนก่อน ๆ เซิ่งวั่งมักจะเดินเข้าห้องเรียนตอนออดดังเสมอ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขากระตือรือร้นขนาดนี้
ในห้องเรียนโหวกเหวกครึกครื้นราวกับตลาดสด ไม่มีสักคนที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงที่นั่งตัวเอง หากไม่ได้มะรุมมะตุ้มอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าหรือโต๊ะด้านหลัง ก็ข้ามโต๊ะไปหาตัวช่วยที่อยู่ไกลกว่านั้น คนที่เกินเรื่องหน่อยก็จัดการถือชีทการบ้านเดินวนรอบห้อง เรียกได้ว่ากินเรียบทุกโต๊ะ
เกาเทียนหยางที่นั่งหน้าเซิ่งวั่งก็เป็นหนึ่งในคนที่กินเรียบไม่เว้น ขณะนี้กำลังเตร่อยู่แถวกลุ่มที่นั่งไกลที่สุด เซิ่งวั่งที่อยู่แถวหลัง ๆ เลยได้แต่ช่างเขา
อย่างไรเสียตัวเองก็ไม่มีคนให้ร่วมสุมหัวด้วยอยู่แล้ว
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังนั่งทำชีทการบ้านอย่างหดหู่อยู่นั้น เสียงลากเก้าอี้ของเจียงเทียนจากที่นั่งด้านหลังพลันดังขึ้น จากนั้นเงาร่างสูงก็เดินผ่านข้างกายเขา นิ้วอีกฝ่ายเคาะโต๊ะเขาเสียงดัง ‘ก๊อก’
อะไรเล่า
เซิ่งวั่งชะงัก เจียงเทียนกลับไม่ได้ชะงักฝีเท้าไปด้วย เขาเดินออกไปทางประตูหน้าห้องเพื่อไปยังห้องพักครู
จนกระทั่งร่างของอีกฝ่ายหายลับไปตรงโถงทางเดิน เขาถึงพบว่าบนโต๊ะมีโพสต์-อิทขนาดเท่าฝ่ามือเพิ่มมา บนนั้นมีสูตรสมการกับขั้นตอนวิธีคิดเป็นโขยงเขียนไว้
เมื่อคืนเซิ่งวั่งนั่งแกะโจทย์ตาแตกอยู่ตั้งหลายชั่วโมง จึงดูออกในแวบแรกเลยว่านี่คือวิธีแก้โจทย์ฟิสิกส์ข้อสุดท้าย
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ด้านล่างสุดของโพสต์-อิทยังมีลายมือหวัด ๆ เขียนเอาไว้อีกประโยค : คราวหน้ารบกวนอย่าปากมากยุ่งไม่เข้าเรื่องอีก
[1] คือ แป้นพิมพ์ที่เลียนแบบจากโทรศัพท์มือถือปุ่มกดในสมัยก่อน ซึ่งบนตัวเลข 1-9 จะมีตัวอักษรกำกับเอาไว้ให้พิมพ์สะกดเรียบเรียงเป็นคำ