โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 101 เปิดเผย
มีบางเรื่องที่ไม่คิดและไม่อยากเก็บซ่อนปิดบังอีกต่อไป
การแต่งตัวของอวี๋ซินหรัน ‘ผู้หญิง’ คนที่สามในทีมเริ่มเหมือนกับ ‘แม่บุญธรรม’ ทั้งสองของเธอไปโดยอัตโนมัติ เวลาไปไหนมาไหนเด็กน้อยจะสวมหมวกแก๊ป ถัดลงมามีแว่นกันแดดสีดำสำหรับเด็ก เลื่อนลงมาก็ยังมีหน้ากากผ้าปิดปากสีขาวขนาดใหญ่… อ้อ เรื่องที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ ปัจจุบันหน้ากากผ้าได้กลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเวลาออกไปทำภารกิจของทีมโอตาคุไปแล้ว ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่แบ่งแยกว่าเป็นหญิงหรือชาย ทุกคนล้วนแต่งกายแบบนี้กันหมด โดยเฉพาะสองสาว ขนาดเวลาออกไปซื้ออาหารในช่วงกลางวัน พวกเธอก็คาดหน้ากากไปด้วย เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมถอดเด็ดขาด
สวีเหมยและซ่งหลิงหลิงแต่งตัวเรียบง่ายธรรมดามาก ถ้าไม่เข้ามาดูใกล้ๆ จะมองไม่ออกเลยว่าสองคนนี้เป็นผู้หญิง ส่วนอวี๋ซินหรันด้วยความที่ยังเด็กมากจึงให้ใส่ชุดเด็กผู้ชายไปเสียเลย ซึ่งแน่นอนว่าในบ้านก็มีกระโปรงอยู่หลายตัวไว้ให้หนูน้อยใส่เล่นอยู่บ้าน
หลังจากรอมาสามชั่วโมงเต็ม เวลาที่พวกหลัวซวินต้องอยู่กักตัวก็สิ้นสุดลง พวกเขาลุกขึ้นไปเอารถและขับกลับเข้าไปในเขตฐานที่มั่น
“วันนี้บนถนนมีผู้คนพลุกพล่านมากทีเดียว” ดูเหมือนส่วนใหญ่จะเป็นผู้คนที่เร่งเดินเท้าอพยพมาขออาศัยอยู่ในฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้นในช่วงหลายวันมานี้จึงมีคนทยอยเดินทางเข้าสู่ฐานที่มั่นอย่างไม่ขาดสาย
หลัวซวินพูดพลางสอดส่ายสายตามองดูรถและผู้อพยพซึ่งผ่านการตรวจสอบและกักตัวครบเวลาในช่วงเดียวกันอย่างอดไม่ได้ ถึงแม้จะพอจำคนบนรถบรรทุกคันนั้นได้ว่าเป็นใคร แต่เขากลับนึกไม่ออกจริงๆ ว่ากลุ่มคนที่ทิ้งรถสองคันนั้นไว้มีใครบ้าง และรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
เดิมทีคนเหล่านั้นต่างมาจากคนละทิศคนละทาง แล้วมารวมตัวกันระหว่างทาง แต่พวกที่ได้นั่งอยู่ในรถคันหน้าของขบวนต้องมีคุณสมบัติบางอย่างมากพอตัว อาจเป็นเจ้าของรถ บ้างเป็นผู้มีพลังพิเศษ หรืออาจเป็นไปได้ว่ามีทักษะบางอย่างเหนือกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นบรรดาชายหญิงอภิสิทธิ์ชนที่ใช้เส้นสายของคนใหญ่คนโต…
สายตาเหยียนเฟยตวัดมองรถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ริมถนนใกล้ๆ กัน เห็นคนบนรถคันนั้นกวาดตามองถนนหนทางไปทั่ว เขาจึงพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้มีคนหนีมาอยู่ในฐานที่มั่นกันเยอะมาก พรุ่งนี้เช้าฉันคงต้องเสริมความแข็งแกร่งให้บ้านพวกเราเพิ่มอีกสักรอบ” เขาไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้หลัวซวินเคยบอกให้เสริมความแข็งแรงของตัวบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น
หลัวซวินอึ้งไปสักพัก ก่อนหันไปยิ้มให้เหยียนเฟยแล้วบอกว่า “ตอนนี้ไม่รู้ในบ้านเป็นยังไงบ้างแล้ว ทางที่ดีขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรเลย…” หลังจากมีเหตุการณ์โจรขึ้นบ้านครั้งนั้น ตอนออกนอกฐานที่มั่นคราวนี้จึงรู้สึกห่วงบ้านอยู่ตลอด
ครั้นเหยียนเฟยเห็นคนรักปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้วจึงคลี่ยิ้มตาม “ถ้าไม่มีผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะมาสร้างปัญหา ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรหรอก” เมื่อไม่นานมานี้เหยียนเฟยเพิ่งใช้โลหะที่เหลืออยู่ในบ้านเสริมความแข็งแรงให้กับประตู หน้าต่าง ไปจนถึงผนังทุกด้าน จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล นอกเสียจากว่าจะมีผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะมาหาเรื่อง
มีรถจอดเต็มหน้าประตูศูนย์พักพิงชั่วคราวหลายแห่ง บางส่วนเป็นคนที่เพิ่งอพยพมาถึงฐานที่มั่นวันนี้ ตอนนี้จึงกำลังทยอยขนของลงจากรถ และมีบางส่วนเป็นคนที่มาถึงตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อน ซึ่งตอนนี้กำลังขนของออกจากศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อย้ายไปอยู่ในบ้านที่ทางการเพิ่งจัดสรรให้
หลัวซวินกวาดตามองคนพวกนั้นแวบหนึ่ง พอขับรถกลับมาถึงเขตชุมชนก็จับตาสังเกตเป็นพิเศษ เพราะอยากดูว่ามีคนเข้ามาอยู่ในห้องใต้ดินบ้างหรือเปล่า…ห้องใต้ดินในเขตชุมชนแทบเป็นห้องที่จัดสรรให้คนเข้าพักเป็นล็อตท้ายๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้ฐานที่มั่นชั้นในมีเหตุการณ์ไวรัสซอมบี้ระบาด ดังนั้นจึงมีผู้คนย้ายไปอยู่ฐานที่มั่นชั้นนอกกันเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่เพิ่งย้ายมาใหม่เหล่านี้จึงได้รับการจัดสรรให้พักอาศัยอยู่เขตชั้นในแทน
“ดูอะไรอยู่เหรอ” เหยียนเฟยถามเพราะนึกสงสัยอีกครั้ง หลังจากเห็นหลัวซวินลงจากรถมาก็เอาแต่ก้มหน้าคล้ายมองหาอะไรบางอย่าง
“เปล่า แค่ดูเฉยๆ น่ะ” หลัวซวินส่ายหน้าแล้วรีบหันไปล็อกรถ จากนั้นก็หอบกระเป๋าที่ใส่หนังสือเดินขึ้นตึกไปพร้อมกับทุกคนและเหยียนเฟยที่ควบคุมโลหะไปด้วยกองหนึ่ง
ที่โชคดีมากก็คือ…การออกไปนอกฐานที่มั่นของทีมโอตาคุในครั้งนี้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น หรือมีคนมาคอยสังเกตการณ์ แต่เวลาแค่สองวันก็สั้นเกินไปจริงๆ จึงไม่มีใครเก่งถึงขั้นฉวยโอกาสตอนพวกเขาไม่อยู่บ้านงัดประตูหรือเลื่อยตัดเหล็กดัดหน้าต่างเพื่อเข้ามาขโมยของได้ ดังนั้นตอนพวกเขากลับมาถึงจึงมั่นใจได้ว่าประตูเหล็กบานใหญ่ตรงทางขึ้นไปยังสองชั้นของพวกตนยังปกติดี ส่วนประตูหน้าต่างห้องก็ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ทุกอย่างยังคงสภาพดีเช่นเดิม
เมื่อวางข้าวของที่ขนกลับมาเสร็จแล้วก็พูดคุยกันเล็กน้อยไม่กี่ประโยค ก่อนจะแยกย้ายกลับเข้าห้อง… พักผ่อนกันเถอะ!
เจ้าตัวเล็กยังคงมายืนรอรับทั้งคู่อยู่ด้านหลังประตู มันกระดิกหางด้วยความความดีใจสุดชีวิต ก่อนหน้านี้เวลาหลัวซวินกับเหยียนเฟยออกไปทำงานนอกบ้านก็มักปล่อยให้มันไปเล่นกับอวี๋ซินหรันทั้งวัน พอตกบ่ายค่อยไปรับกลับมา แต่เมื่อวานพวกเขาไม่มีทีท่าจะปล่อยมันออกไปเลย วันนี้ก็ไม่อยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน จึงทำให้เจ้าตัวเล็กที่ปกติมีเด็กหญิงตัวน้อยเล่นเป็นเพื่อนทุกวันอดรู้สึกเหงาไม่ได้ นี่ถ้าในบ้านไม่มีตู้เลี้ยงนกกระทาไว้แก้เบื่อคลายเหงา คาดว่าป่านนี้เจ้าตัวเล็กคงรื้อรองเท้าสลิปเปอร์มากัดจนขาดกระจุยไปแล้ว
หลัวซวินเกาพุงเจ้าตัวเล็กที่ตื่นเต้นดีใจจนคึกคักเกินเหตุเป็นการรับขวัญถึงจะพอทำให้มันยอมสงบลงได้ จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ
หลังจากผลัดชุดที่ไปทำภารกิจนอกฐานที่มั่นออกและกำลังเตรียมตัวจะไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว หลัวซวินก็เห็นเหยียนเฟยนั่งมองเขาอยู่บนโซฟา อีกฝ่ายเห็นว่าเขาหันไปสบตาเข้าพอดี ก็ตบที่นั่งข้างตัวปุๆ
สีหน้าของหลัวซวินนิ่งค้างไปพักหนึ่งทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตนตกปากรักคำอีกฝ่ายไว้ว่าอะไร เขาก้มหน้าคอตก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เหยียนเฟยเหมือนคนยอมรับชะตากรรม เขาปล่อยให้เหยียนเฟยกอด แล้วตัวเองก็เอนหลังพิงแต่โดยดี
เหยียนเฟยไม่พูดอะไรสักคำ มือใหญ่ลูบไล้ไปตามแนวลำคอ แต่ก็เพียงผ่านๆ ไม่ใช่การเล้าโลมแต่อย่างใด เหมือนปกติที่เขาเล่นกับเจ้าตัวเล็กเท่านั้น เมื่อเจ้าตัวเล็กเห็นว่าเจ้านายทั้งสองกำลังนั่งเล่นอยู่บนโซฟาก็รีบเสนอหน้าเข้าไปมีส่วนร่วม มันกระโดดขึ้นไปเบียดกระแซะข้างๆ หลัวซวินที่อยู่ในอ้อมกอดของเหยียนเฟย เจ้าตัวยุ่งซุกหัวเข้าไปแทรกระหว่างด้านหลังของหลัวซวินกับสีข้างของเหยียนเฟยจนตัวติดแหง็กขยับไม่ได้ ทว่ามันก็ไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างใด
ทั้งสองเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็กเหมือนเป็นลูกชายของตัวเองมาตั้งแต่ต้น จึงไม่รู้สึกผิดปกติอะไรกับการที่มันขึ้นมานอนเบียดกับพวกตนอยู่บนโซฟา หลัวซวินปิดเปลือกตาเอนกายหนุนตักเหยียนเฟย สัมผัสความอบอุ่นตรงข้างแก้มและลำคอ ความว้าวุ่นใจก่อนหน้านี้ของหลัวซวินก็ค่อยๆ สงบลง เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบาว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะเล่ายังไงดี…ฉันพอจะรู้เรื่องราวที่เกิดหลังจากวันสิ้นโลกอยู่บ้าง…คือรู้มาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุวันสิ้นโลกแล้ว”
เหยียนเฟยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร เขาเองก็นึกสงสัยมาแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีใครบ้างที่อยู่ดีๆ ก็กักตุนเสบียงและข้าวของสารพัดไว้เต็มบ้านขนาดนี้ ตั้งแต่ของกินของใช้ไปจนถึงเมล็ดพืช กระถางต้นไม้ หรือแม้แต่เครื่องกลั่นน้ำก็ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เหยียนเฟยแปลกใจมากกว่าก็คือ…หลัวซวินยังเก็บดินสำหรับเพาะปลูกพืชไว้ในบ้านเยอะมาก
อย่างอื่นยังพอทำเนา บอกว่าเป็นงานอดิเรกหรือนิสัยความเคยชินก็ได้ แต่การเก็บดินสำรองไว้ในบ้านมากมายขนาดนี้…ไหนจะยังมีเสบียงอาหารและธัญพืชที่เก็บไว้กินได้นานเป็นปีสองปีอีก ของพวกนี้เก็บไว้นานเกินไปก็หมดอายุได้
ลองมาดูตอนนี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เก็บไว้จนหมดอายุเหล่านั้น เวลานี้สามารถนำออกไปแลกได้ราคาสูงไม่น้อยเลย ส่วนของอย่างอื่น…ยังต้องให้พูดอีกเหรอ สมาชิกทีมโอตาคุที่ไม่รวมคนที่มีงานมั่นคงในฐานที่มั่น ถ้าไม่ออกไปทำภารกิจนอกฐานที่มั่นแล้วจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างไร แบบนั้นไม่ต้องพึ่งพาหลัวซวินให้คอยช่วยเตรียมของพวกนี้ให้ไปตลอดหรอกเหรอ
หลัวซวินไม่ได้คิดจะหยิบยื่นทรัพยากรเหล่านี้ให้พวกหลี่เถี่ยตรงๆ แต่เขาต้องการให้ความรู้ วิธีการ และขั้นตอนการปลูกพืชอย่างแท้จริง เพื่อให้ทุกคนได้ปรับปรุงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น แถมยังบอกทุกคนเมื่อออกไปนอกฐานที่มั่นว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะฆ่าซอมบี้แล้วล่าคริสตัลกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มือเหยียนเฟยที่ลูบไล้ข้างแก้มหลัวซวินก็ชะงักค้าง เขาก้มหน้าลงมาถามด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า “หยั่งรู้อนาคตงั้นเหรอ”
หลัวซวินอึ้งไปสักพัก ก่อนเงยหน้ามองเหยียนเฟยแล้วส่ายหัว “เปล่า…ฉัน…ฉันฝัน…ฝันเห็นวันสิ้นโลก ซอมบี้…” เขากล่าวคำพูดนี้ออกไปทั้งที่ตัวเองก็ยังรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเลย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าตนมีพลังพิเศษสามารถล่วงรู้อนาคตได้ เขาเป็นคนธรรมดามาตลอดไม่ว่าชาตินี้หรือชาติก่อน แต่เรื่องกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นความจริงที่เขาไม่มีทางเปิดปากบอกใครได้จริงๆ อีกทั้งการกลับมาเกิดใหม่ของตนนั้น นอกจากเปลี่ยนแปลงปัจจัยให้ตัวเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเก็บผู้มีพลังพิเศษมาเป็นแฟนหนุ่มได้คนหนึ่งแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โตเลย กลับจะทำให้ผู้กลับมาเกิดใหม่ขายหน้าเสียมากกว่า
“เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก ดังนั้น…” หลัวซวินกัดฟันแน่นอยากอธิบายต่อ แต่กลับพบว่านัยน์ตาเหยียนเฟยปรากฏรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
“แล้วนายเคยฝันถึงฉันบ้างหรือเปล่า”
“หา?” หลัวซวินอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ ชาติที่แล้วเขาไม่เคยเจอและยิ่งไม่เคยได้ยินว่าในฐานที่มั่นมีคนชื่อเหยียนเฟยมาก่อน ขนาดผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะเขายังไม่เคยพบเคยเห็นเลย ที่เขารู้ว่ามีผู้มีพลังพิเศษธาตุนี้อยู่ ก็เพราะเคยได้ยินคนเล่าว่าผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะเป็นคนสร้างกำแพงโลหะนั่นละ
หลังจากเหยียนเฟยได้รับคำตอบก็กลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างคาดไม่ถึง เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าที่หลัวซวินพูดมาเป็นความจริงหรือไม่ แต่เขาเต็มใจเชื่อในคำอธิบายของคนรัก เพราะนอกจากเหตุผลนี้แล้วก็ไม่มีคำอธิบายอื่นที่ฟังดูสมเหตุสมผลมากไปกว่านี้แล้ว แน่นอนว่า ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่อง ‘การกลับชาติมาเกิด’ อะไรทำนองนี้เลย แม้ว่าตอนอ่านนิยายแฟนตาซีจะเคยนึกถึงเรื่องแบบนี้อยู่บ้าง ทว่าในชีวิตจริงโดยทั่วไปแล้วคงไม่มีใครเคยพบเจอว่าคนใกล้ตัวแสดงออกให้เห็นว่าสามารถ ‘หยั่งรู้อนาคต’ ได้ แล้วจะไปสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่กันหรอก
เพียงแต่ที่หลัวซวินทำทั้งหมดนี้เพียงเพราะความฝันอย่างนั้นหรือ ถ้าความฝันไม่เป็นจริงขึ้นมา แบบนั้นจะทำยังไงต่อล่ะ ถ้าชีวิตในวันข้างหน้ายังคงเหมือนเดิม แต่เขากลับทุ่มเงินซื้อข้าวของพวกนี้ไปหมดแล้ว หรือบางทีสิ่งที่เขาฝันเห็นอาจจะเคยเป็นจริงบ่อยๆ บ่อยมากเสียจนถ้าวันไหนเกิดฝันอะไรขึ้นมาอีก ไม่ว่าใครก็จำเป็นต้องเชื่อ
เหยียนเฟยเชยคางหลัวซวินขึ้นแล้วโน้มใบหน้าลงไปใกล้ เขาแตะริมฝีปากลงบนแก้มหลัวซวินอย่างแผ่วเบา “นายเคยฝันเห็นพวกเราช่วยคนในขบวนรถวันนี้มาก่อนงั้นเหรอ”
หลัวซวินชะงักไปชั่วขณะก่อนส่ายหน้าน้อยๆ นัยน์ตาฉายแววเศร้าสร้อย “ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ในฝัน…ก่อนวันสิ้นโลกฉันอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดมาตลอด แต่พอเกิดวันสิ้นโลกก็ซ่อนตัวอยู่ในนั้นระยะหนึ่งก่อนหลบหนีออกจากเมืองเอฟพร้อมกับคนในชุมชนที่ยังมีชีวิตรอด จนอพยพมาอยู่ในฐานที่มั่นของเมืองเอ็ม ต่อมาพอเมืองเอ็มเกิดเรื่อง ฉันจำได้แม่นเลยว่าเป็นวันที่ 8 มิถุนายน แต่ฉันจำเรื่องราวหลังจากวันนั้นไม่ค่อยได้แล้วว่าตกลงฉันมาอยู่ในฐานที่มั่นเมืองเอวันไหน…” หลัวซวินพูดพลางส่ายหัว ก่อนเงยหน้าหันไปยิ้มให้เหยียนเฟยอย่างจนใจ “จนกระทั่งวันนี้ที่ฉันได้เห็นรถสองคันนั้น เลยนึกขึ้นได้ว่าในความฝันฉันก็อยู่ในรถคันนั้นด้วย ตอนนั้น…ในฝัน ฉันเห็น…ว่าตัวเองเคยผ่านเส้นทางนั้น”
หลังจากเขามาถึงฐานที่มั่นนี้ได้ครึ่งปีก็แทบจะไม่ได้ออกไปข้างนอกอีกเลย แม้ในช่วงครึ่งปีนั้นจะเคยออกไปทำภารกิจนอกฐานที่มั่นกับทีมอื่นบ้าง ก็ไปแต่ทางตอนเหนือของเมือง จึงไม่เคยผ่านถนนที่เขาใช้หนีตายมาที่เมืองเออีก ถ้ายังจำได้ก็แปลกแล้ว ตอนนั้นที่เขาหนีออกจากเมืองเอ็ม คนที่มีสิทธิ์กำหนดเส้นทางที่ใช้ในการหลบหนีได้ก็มีแต่ผู้มีพลังพิเศษแนวหน้าเท่านั้น ส่วนรถคันที่หลัวซวินนั่งมาได้แต่ขับต่อท้ายตามหลังคันอื่นเพียงอย่างเดียว
เวลานี้เหยียนเฟยจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมวันนี้หลัวซวินถึงดูอารมณ์ไม่ค่อยปกตินัก แถมยังอธิบายได้ว่าทำไมช่วงต้นเดือนหลัวซวินถึงมีอาการแบบเดียวกันนี้ได้อีกด้วย ใน ‘ฝัน’ ของหลัวซวิน ตลอดทางที่เขาต้องหนีเอาชีวิตรอดมาเมืองเอ หากลองคิดในมุมของคนธรรมดาอย่างหลัวซวินที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหล่านั้น แล้วย้อนนึกถึงสิ่งที่คนในรถสองคันต้องประสบพบเจอเมื่อตอนกลางวันวันนี้แล้ว เหยียนเฟยก็รู้สึกสงสารจับใจเช่นกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะทีมของตนบังเอิญผ่านไปเจอเข้า เกรงว่าบนรถดังกล่าวคงไม่มีใครหนีเอาชีวิตรอดมาถึงฐานที่มั่นเมืองเอได้แม้แต่คนเดียว
ทันใดนั้นเหยียนเฟยก็นึกถึงเรื่องของตัวเอง ถ้าหลัวซวินไม่ได้ ‘ฝัน’ เห็นเรื่องพวกนี้ คาดว่าตนคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว และต่อให้หลัวซวินหนีมาถึงเมืองเอได้ในตอนหลัง ก็ไม่มีทางมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากแบบนี้แน่นอน
ทว่าพอนึกถึงสีหน้าร้อนตัวของหลัวซวินตอนอยู่ในเขตกักตัว เหยียนเฟยก็มองข้ามเรื่อง ‘ถ้า…’ พวกนั้นไป แล้วเปลี่ยนประเด็นถามต่อ “หลังจากนั้นล่ะ พอมาถึงฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้แล้ว ในฝันยังเห็นอะไรอีกบ้าง”
หลัวซวินชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันตา เขาเงยหน้ามองเหยียนเฟย น้ำเสียงฉายแววลังเลเล็กน้อย ก่อนบอกว่า “ฐานที่มั่นตะวันออก…ถูกถล่ม”
“ฐานที่มั่นตะวันออก?!” แม้แต่คนที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดอย่างเหยียนเฟยก็ยังตื่นตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว “รู้สาเหตุไหม” นี่เป็นเรื่องใหญ่กว่าฐานที่มั่นอื่นถูกถล่มหลายเท่า ปัจจุบันบรรดาฐานที่มั่นของเมืองต่างๆ ใกล้กับเมืองเอถูกถล่มหมดแล้ว ซึ่งฐานใหญ่ที่สุดมีเพียงฐานที่มั่นที่สองของเมืองซี แต่เมื่อเทียบกับฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ก็ไม่นับว่ามีพื้นที่ใหญ่มากนัก ดูเหมือนจะมีอาณาเขตมากสุดแค่เท่ากับเขตชุมชนสองแห่งในฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้รวมกันเท่านั้น ในฐานนั้นมีคนอยู่เยอะสุดสองหมื่นถึงสามหมื่นคน
แต่ฐานที่มั่นตะวันออกนั้นมีขนาดพอๆ กับฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ ประชากรในนั้นหากไม่นับคนที่เพิ่งอพยพหนีตายเข้าไปช่วงนี้ก็มีอย่างน้อยหลายแสนคนแล้ว
หลัวซวินยิ้มขื่นพลางบอกว่า “ซอมบี้ปิดล้อมฐาน…” จากนั้นก็อธิบายต่อว่า “อาจมีเหตุผลอื่น ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ รู้แต่ว่าหลังจากฐานที่มั่นตะวันออกถูกถล่มแล้ว ฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ก็ถูกซอมบี้ปิดล้อมด้วยหมือนกัน แต่ก็รักษาเอาไว้ได้”
เหยียนเฟยรู้สึกหนักอึ้งในใจ มิน่าล่ะหลัวซวินถึงได้บอกให้เสริมความแข็งแรงของบ้านให้มากขึ้น คิดว่าคงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ๆ และบางทีอาจต้องระวังว่าบ้านจะถูกโจมตีทางอากาศด้วย “รู้เวลาที่แน่นอนหรือเปล่า”
“ฉันรู้แค่ว่าฐานที่มั่นตะวันออกจะเกิดเรื่องตอนช่วงต้นเดือนสิงหาคม หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งเดือนฐานที่มั่นของพวกเราก็จะ…” หลัวซวินพูดด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาพูดเสียงเบาหวิวว่า “เรื่องออกไปล่าคริสตัลเดือนหน้าคงยุ่งยากนิดหน่อย ปกติแล้วก่อนเกิดเหตุซอมบี้ปิดล้อมฐานที่มั่นจะมีฝูงซอมบี้มารวมตัวนอกฐานเยอะขึ้นเรื่อยๆ ฉันเดาว่าตอนต้นเดือนสิงหาคมซอมบี้จะมาที่หน้าประตูฐานที่มั่นของพวกเราเยอะมากแน่ๆ”
เหยียนเฟยกำลังจะถามบางอย่างต่อ แต่จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ทางกองทัพเพิ่งระเบิดพื้นที่ทางตอนใต้ของเขตเมืองไป ทำให้ซอมบี้ถูกระเบิดตายไปเป็นเบือ หลังจากนั้นฐานที่มั่นที่ใกล้กับเมืองเอก็ถูกซอมบี้ถล่ม ถ้าเดือนสิงหาคมพวกซอมบี้จะมาปิดล้อมโจมตีฐานที่มั่นเมืองเออีกสองแห่ง…นายคิดว่าเรื่องพวกนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า”
หลัวซวินตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนเบิกตากว้างพร้อมกับผุดลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ “นายหมายถึง…ซอมบี้…กำลังมาแก้แค้นงั้นเหรอ?!”
เหยียนเฟยส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง “ในฝันนายเห็นสถานการณ์ที่แน่ชัดหรือเปล่า หรือหลังจากนั้นในฐานที่มั่นได้มีการวิเคราะห์เรื่องนี้ว่าไงบ้างไหม”
หลัวซวินยิ้มเศร้าแล้วบอกว่า “ถึงฉันจะจำเรื่องยิบย่อยในความฝันได้ แต่เรื่องพวกนั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวฉัน… ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ขนาดข่าวที่ผู้มีพลังพิเศษบางคนรู้กัน ฉันยังไม่มีทางได้รู้เลย ในฝัน ฉันได้ออกไปนอกฐานที่มั่นก็จริง แต่ซอมบี้ทางฝั่งเหนือมีจำนวนเยอะมาก คนธรรมดาอย่างฉันจึงไม่เป็นที่ต้องการของทีม ตอนนั้นเลยได้แต่ทำงานในไซต์ก่อสร้าง…” ระหว่างที่เล่าอยู่เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเล่าละเอียดเกินไป จึงรีบข้ามเรื่องปลีกย่อยไปทันที “หลังเหตุการณ์ซอมบี้ปิดล้อมฐานที่มั่นคราวนี้ อาจมีฝูงซอมบี้ปรากฏขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งถ้าใครเจอเหตุการณ์นั้นเข้าก็ตายเรียบกันทุกราย เว้นแต่จะเป็นทีมผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากถึงจะมีโอกาสหนีเอาชีวิตรอดมาได้ แล้วก็…ฉันจำได้ว่าดูเหมือนตั้งแต่ปีหน้าจะเริ่มมีสัตว์กลายพันธุ์ปรากฏให้เห็น แม้สัตว์เหล่านี้จะกลายเป็นสัตว์ที่ดุร้ายมากขึ้น และโหดเหี้ยมจนน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิม แต่เนื้อของมันกินได้นะ!”
ปัจจุบันหลัวซวินกับเหยียนเฟยต้องใช้คูปองอาหารของโรงอาหารหนึ่งที่ได้รับมาหัวหน้าหลี่แลกซื้ออาหารที่มีเนื้อสัตว์เพื่อบรรเทาความอยาก หรือไม่ก็เอาเนื้อตากแห้ง กุนเชียง เนื้อเป็ดเนื้อไก่ตากแห้งมาทำอาหารกินเพื่อเสริมสารอาหารบำรุงร่างกายบ้างเป็นครั้งคราว พวกเขาพยายามให้มีเนื้อสัตว์ในอาหารอย่างน้อยวันละมื้อทุกวัน มีทั้งนำมาผัดกับผักและที่นำไปตุ๋นให้เปื่อย ซึ่งนานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารแบบนี้ ดังนั้นพอเอ่ยถึงเรื่องนี้เขาก็ตาเป็นประกายน้ำลายสอขึ้นมาทันที
เหยียนเฟยมุมปากกระตุก เอ่อ…ตะกละเหมือนกันนะเราเนี่ย
ความทรงจำเกี่ยวกับชาติที่แล้วของหลัวซวินไม่ค่อยปะติดปะต่อนัก แต่เขากลับจำเรื่องราวสำคัญๆ รวมถึงเหตุการณ์ร้ายแรงได้ เช่น เหตุการณ์ฐานที่มั่นเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเอถูกซอมบี้ยกโขยงมาปิดล้อม
หลังจากนั้นหลัวซวินก็ใช้เวลาไปกับการทำงานเพาะปลูกอยู่ในฐานที่มั่น ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้อะไรมากสักเท่าไร เมื่อเหยียนเฟยถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘ในความฝัน’ เขาจึงพูดข้าม ‘ความฝันที่จำได้ไม่ชัดเจน’ ไป
ทั้งสองเครียดกับเรื่องฐานที่มั่นตะวันออกจะถูกถล่มในอีกหนึ่งเดือนกว่าๆ และหลังจากนั้นอีกครึ่งเดือนต่อมาจะมีซอบบี้มาปิดล้อมฐานที่มั่นของพวกเขา แต่ก็เหมือนกับสถานการณ์ที่หลัวซวินเคยกังวลมาก่อน… ‘คำทำนาย’ ลักษณะนี้ หากไม่มีพลังพิเศษด้านนี้มาสนับสนุน จะแสร้งว่าตัวเองเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้าก็คงไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีทางพูดออกไปให้ใครเชื่อได้เลย
ต่อให้พวกเขาพูดออกไป และเมื่อถึงเวลาก็เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริง เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าหลัวซวิน ‘ทำนาย’ อนาคตได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้ามีคนคิดร้ายกับหลัวซวินเพราะเหตุนี้ แล้วจับเขาไปขังไว้เพื่อให้บอกคำทำนายโดยเฉพาะขึ้นมาจะทำอย่างไร ถึงแม้เหยียนเฟยจะมีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ แต่ในสถานการณ์ที่ถูกคาดหวังให้ต้องทำเพื่อ ‘อนาคตของมวลมนุษยชาติ’ เขาคงปกป้องหลัวซวินไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลัวซวินไม่ใช่ผู้หยั่งรู้อนาคตตัวจริง ถ้าคนอื่นเข้าใจผิดแล้วจับเขาไปทำนายโชคชะตาขึ้นมาล่ะ
หลัวซวินเป็นแค่คนธรรมดาที่ก่อนวันสิ้นโลกดัน ‘ฝัน’ เห็นเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตรอบตัวในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้า เขาไม่รู้หรอกว่าในอนาคตต้องใช้อาวุธอะไรมาจัดการกับซอมบี้ และก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าความสามารถของผู้มีพลังพิเศษท่านไหนจึงจะแข็งแกร่งพอกวาดล้างซอมบี้ให้สิ้นซาก และสร้างความสงบสุขแก่มนุษยชาติได้
“เรื่องนี้ไม่รีบ ถึงรีบร้อนไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” เหยียนเฟยตัดสินใจว่าจะไม่แจ้งเรื่องนี้ให้ทางกองทัพรู้ เรื่องของฐานที่มั่นตะวันออกเกินกำลังพวกเขาไปมากจริงๆ อีกอย่าง ต่อให้แจ้งไปก็ไม่อาจจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนพวกนั้นได้…หลัวซวินรู้เพียงว่าตอนนั้นฐานที่มั่นตะวันออกจะถูกทำลาย แต่ถูกทำลายได้อย่างไรนั้นเขาไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด และในตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้ว่าฐานที่มั่นตะวันออกมีสถานการณ์เป็นอย่างไร อย่างเช่นว่า ทางนั้นได้สร้างกำแพงป้องกันไว้หรือยัง ที่นั่นเกิดไวรัสซอมบี้ระบาดภายในฐานที่มั่นหรือไม่
แม้แต่สาเหตุก็ยังไม่ชัดเจน ต่อให้บอกคนในฐานที่มั่นตะวันออกไป ก็รังแต่จะสร้างความโกลาหล นอกจากจะทำให้ชาวบ้านเดือดเนื้อร้อนใจ ยังอาจมีผู้ประสงค์ร้ายปล่อยข่าวเท็จ สุดท้ายก็ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ได้อยู่ดี
หากเป็นฐานที่มั่นตะวันตกเฉียงใต้ยังพอคิดหาหนทางแก้ไขได้… แน่นอนว่าต้องเป็นวิธีที่ละมุนละม่อม
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะจัดการสำเร็จได้ในวันนี้พรุ่งนี้ และใช่ว่ารีบร้อนไปแล้วจะมีวิธีที่เกิดประโยชน์ แต่หลังจากเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เหยียนเฟยก็รู้สึกว่ายังมีอีกเรื่องที่ต้องถามให้ละเอียด
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า”
“หือ? เรื่องอื่นอะไร” หลัวซวินเงยหน้ามองคนถามอย่างไม่เข้าใจ
เหยียนเฟยเลิกคิ้วพร้อมกับกดยิ้มมุมปากดูกรุ้มกริ่ม “เช่น นายเคยฝันเห็นหรือเปล่าว่าในอนาคต…นายอยู่กับใคร”
“หา?” หลัวซวินอึ้งไปเล็กน้อย ดูจากสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของเหยียนเฟยก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร คนถูกถามถึงกับหน้าแดงเรื่อ เขาเบือนหน้าไปอีกทางพลางตอบว่า “ไม่มี…”
“ไม่มี?” เหยียนเฟยโถมตัวทับลงไปเล็กน้อย นัยน์ตาเกิดประกายวาววับอย่างมีเลศนัย “อย่างเช่น คนที่ทำให้นายใจเต้นแรงก็ไม่มีเหรอ ฉันจำได้ว่า ตอนที่เราเจอกันช่วงแรกนายเคยบอกว่านายชอบผู้ชาย ช่วงยุควันสิ้นโลกหาแฟนที่เป็นผู้หญิงได้ยากมาก แต่ผู้ชาย…” เมื่อเอามาโยงกับเรื่องความฝันที่หลัวซวินเล่าให้ฟัง เหยียนเฟยก็สามารถเดาได้ทันทีว่า อาการ ‘ร้อนตัว’ ของหลัวซวินตอนอยู่ในเขตกักตัววันนี้มีต้นเหตุมาจากอะไร บางทีวันนี้หลัวซวินอาจจะบังเอิญเจอใครบางคนที่ ‘ต้องเจอในอนาคต’ เข้า และคงเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหลัวซวินแน่นอน
หลัวซวินกัดฟันกรอดพร้อมกับถลึงตาใส่อีกฝ่าย จากนั้นก็พลิกตัวตะแคงหันหน้าออกไปด้านนอกอย่างไม่สบอารมณ์นิดๆ “จะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ ยังไงในฝันฉันก็ใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด” เขาใช้ชีวิตตัวคนเดียวจริงๆ แต่ก็เคยมีความปรารถนาอยากหาใครสักคนมาอยู่ด้วยกัน แต่คนคนนั้นเวลานี้อีกฝ่ายไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ชีวิตในชาตินี้ของหลัวซวินจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับคนคนนั้นอีกต่อไปอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเหยียนเฟยหึงหวงไปก็เสียแรงเปล่า
เดี๋ยวนะ หึง?
หลัวซวินเบิกตาโตขึ้นมาทันที เขาพลิกตัวหันขวับกลับไปด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “นี่นาย…หึงฉันอยู่เหรอ” หลัวซวินคิดมาตลอดว่าคนที่แค่รูปร่างหน้าตาอย่างเดียวก็สามารถดึงดูดผู้คนให้มาหลงเสน่ห์วิ่งไล่ตามเป็นพรวนได้อย่างเหยียนเฟย ในอนาคตคงมีแต่เขามากกว่าที่ต้องคอยตามหึงตามหวงเหยียนเฟย ทว่าเวลานี้…อย่าบอกนะว่าเหยียนเฟยกำลังหึงเขาเพราะเรื่องนี้
เหยียนเฟยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อครู่ของหลัวซวินทำให้เหยียนเฟยตัดสินใจว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก…บางทีเรื่องพวกนี้อาจไม่ใช่ฝันดีที่น่าจดจำสำหรับหลัวซวินก็เป็นได้ แต่ท่าทางของหลัวซวินในตอนนี้นี่สิ…
เหยียนเฟยขบกรามแน่นพลางหรี่ตามองอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นว่า “นายคิดว่าฉันเป็นอะไรกับนาย แล้วนายคิดว่านายเป็นใครสำหรับฉัน หรือนายคิดว่าฉันเป็นคนประเภทที่เมียตัวเองอาจถูกคนอื่นแอบมองแล้วจะไม่โกรธงั้นเหรอ” ไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย หลัวซวินไม่รู้ตัวจริงๆ หรือว่าตนรักเขามากขนาดไหน แล้วจะไม่ให้หึงได้อย่างไร