โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
— โปรย —
การย้ายบ้านออกมานอกเขตกำแพงแกร่งกร้าวของฐานที่มั่น
ตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ทีมโอตาคุต้องผจญกับโลกกว้างใหญ่
ที่ถึงจะมีอิสรภาพ แต่ก็มีอุปสรรค และบททดสอบมากมายรออยู่
ไหนจะสัตว์กลายพันธุ์แปลกๆ ที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ
ไหนจะกลุ่มคนที่จ้องจะหาประโยชน์เอารัดเอาเปรียบ
ไหนจะความหลงระเริงส่วนตัว พากันเล่นสนุกกันอย่างเมามัน…
เอ๋ มันเกิดอะไรกันขึ้นกับทีมโอตาคุกันล่ะเนี่ย!
ชาติที่แล้วหลัวซวินใช้เวลาร่วมสิบปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์
ในยุควันสิ้นโลกมาพลิกชะตาชีวิตของชาตินี้ได้ใหม่
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อๆไป ทำให้หลายเหตุการณ์
ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่การฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกับทีมโอตาคุ
หลายต่อหลายครั้งได้พิสูจน์ให้เขามั่นใจแล้วว่า
อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร… ก็มาดิค้าบ~
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 212 ช็อปกระหน่ำ
คนกลุ่มนี้เหมือนพวกถือบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงิน
มาเดินช็อปปิ้งตามห้างร้านแล้วรูดปื๊ดๆ อย่างเมามัน
หลัวซวินมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนหันมาลูบหัวเด็กหญิงยิ้มๆ “เราพักกันสักเดี๋ยวเถอะ ไม่ต้องรีบหรอก”
ระยะนี้สภาพอากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ โลกกลายเป็นสีเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าทุกแห่งหน และเพราะมนุษย์ทำกิจกรรมต่างๆ น้อยลงจึงทำให้พืชพันธุ์ เจริญงอกงามได้ดีเป็นพิเศษ แวบแรกที่มองออกไป หลัวซวินรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งไม่มีผิด
อาคารหลายแห่งในเขตตัวเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลลิบล้วนมีต้นไม้ใบเขียวแผ่เลื้อยปกคลุมเต็มไปหมด ราวกับเป็นซากอารยธรรมรกร้างกลางป่าอย่างไรอย่างนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพฝันที่ไม่มีอยู่จริง
แต่นี่คือความจริง คือสภาพแวดล้อมที่ผู้คนในยุควันสิ้นโลกพบเห็นได้บ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
คนทั้งกลุ่มถือว่านี่เป็นการออกมาตั้งแคมป์ปิกนิก ต่างเดินลงจากรถแล้วทอดสายตามองไปรอบๆ พวกเขายืนอยู่บนถนน ตาก็มองดูดอกไม้ใบหญ้าริมทางที่ไม่รู้ว่าเป็นพืชกลายพันธุ์หรือไม่ ดอกไม้สีเหลืองสีแดงนั่นก็ไม่รู้ว่าคือดอกอะไร บานสะพรั่งสดใสสวยงามเหลือเกิน
อวี๋ซินหรันรับน้ำอุ่นจากซ่งหลิงหลิงมาดื่ม หลัวซวินถือโอกาสพาซาลาเปาน้อยออกมารับแดด… ระยะนี้พวกเขาทำกิจกรรมต่างๆ อยู่แต่ในบ้านจึงอาจไม่ค่อยดีกับร่างกายของเด็กนัก ควรให้หนูน้อยออกมาสูดอากาศบ้างไม่ใช่เหรอ
ขณะที่พวกเขาทั้งกลุ่มกำลังพักผ่อนอยู่นั้น จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน…
“คะ…คลื่นซอมบี้เหรอ?!” หวังตั๋วร้องขึ้นด้วยความตื่นตระหนก รีบหันมองซ้ายมองขวา ท่าทางของเขาดูเหมือนพร้อมที่จะเผ่นกลับขึ้นรถเพื่อหนีเอาชีวิตรอดได้ตลอดเวลา
คนอื่นก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน หลัวซวินหันไปมองจางซู่ อีกฝ่ายรีบใช้พลังพิเศษธาตุลมตรวจหาทิศทางที่มาของแรงสั่นสะเทือนนั้น
ทว่าสายลมที่เขาส่งไปถึงเป้าหมายยังไม่ทันจะย้อนกลับมา พวกหลัวซวินก็เห็นแล้วว่าวัตถุเป้าหมายนั้นคืออะไรกันแน่…
สุนัขป่าตัวใหญ่ยักษ์สองตัวกำลังกระโดดทะยานอยู่บนถนนสายเล็กด้วยความคึกคะนอง ด้านหน้าของพวกมันมีเป็ดและห่านกลายพันธุ์ที่ขนาดตัวใหญ่ขึ้นมากกำลังวิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิตอยู่หลายตัว ปากก็ส่งเสียงร้อง ‘ก้าบๆ’ ไม่หยุด
คำกล่าวที่ว่า ‘หมาไล่ตามเป็ด เป็ดร้องก้าบๆ[1]’ เป็นอย่างไร เวลานี้พวกหลัวซวินได้เห็นภาพกับตาตัวเองแล้ว
ดูเหมือนว่าเพราะสุนัขป่าสองตัวนั้นจะมีเป้าหมายแค่ต้องการไล่ล่าเป็ดห่านโง่ๆ ที่แหกปากร้องลั่น วิ่งกระเจิงไปทั่วสองสามตัวเท่านั้น พวกมันจึงไม่ได้ปรี่ต้อนฝูงเป็ดห่านมาทางที่พวกหลัวซวินอยู่ เพียงแค่ไล่ตามหลังพวกเป็ดพวกห่านวิ่งพล่านไปทั่วทุ่งร้างกว้างใหญ่ กระทั่งเล่นสนุกจนหนำใจแล้วจึงค่อยกระโจนขย้ำเหยื่อทีละตัวๆ สุดท้ายก็คาบเสบียงอาหารของพวกมันเดินส่ายหางจากไปอย่างมีความสุข
กลุ่มของพวกหลัวซวินเบิกตาอ้าปากค้าง มองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ จนสุนัขป่าสองตัวคาบเหยื่อจากไป เหลือเป็ดห่านยืนหันรีหันขวางอยู่กลางทุ่งอย่างงงๆ เพียงไม่กี่ตัว
ผ่านไปนานพักใหญ่ทุกคนถึงหันมามองหน้ากันสองสามที หลัวซวินอดพูดติดตลกไม่ได้ว่า “ฉันแอบนึกอยู่เหมือนกันว่าหมาป่าสองตัวนี้มันหายไปไหน ที่แท้ก็ไปไล่ต้อนเป็ด[2]นี่เอง” เอาเถอะ คำพูดประโยคนี้ของเขาฟังดูสองแง่สองง่ามจริงๆ
จู่ๆ อู๋ซินก็ถามขึ้น “พี่หลัวครับ สองตัวนั้นเป็นหมาป่าจริงๆ ใช่ไหม”
“ทำไมเหรอ” หลัวซวินไม่เข้าใจคำถาม คนอื่นก็หันไปมองอู๋ซินอย่างงงๆ ไม่แพ้กัน
“ผมเคยได้ยินว่า หมาป่าหางจะลู่ต่ำ มีแต่หมาบ้านเท่านั้นที่หางชี้ขึ้น…เมื่อกี้ตอนพวกมันเดิน ดูเหมือนจะยกหางกระดิกไปมานะครับ”
“…ฉันไม่ได้สังเกต”
“ดูเหมือนพวกมันจะส่ายหางนะ แต่ชี้ขึ้นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ”
“ไม่แน่อาจเป็นหมาบ้านจริงๆ ก็ได้! เพราะถ้าเป็นหมาป่า มีเหรอที่พวกมันจะไม่โจมตีพวกเราเลย”
“ใช่ๆ และเท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือนหมาป่ามีเหลืออยู่ไม่เยอะแล้วด้วยนี่”
“ในสวนสัตว์ก็มีไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นพวกที่หลุดออกมาจากสวนสัตว์ล่ะ”
กลุ่มคนซึ่งแวะพักผ่อนหย่อนใจคุยกันเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วสัตว์สองตัวนั้นเป็นสุนัขบ้านหรือสุนัขป่ากันแน่นานครึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้พวกเขายังมีงานสำคัญต้องทำ หลังจากปรึกษากันทุกคนก็ตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่า…ให้อวี๋ซินหรันนั่งเบาะหน้ารถคันของหลัวซวินกับเหยียนเฟยที่ใช้เปิดทาง
อวี๋ซินหรันสามารถใช้พลังพิเศษเปลี่ยนเศษหินขนาดใหญ่บนถนนข้างหน้าให้กลายเป็นทรายได้ ส่วนที่มีเศษกรวดเศษหินเล็กๆ ก็ไม่ต้องใส่ใจอะไร แค่จัดการถนนช่วงที่เป็นหลุมเป็นบ่อซึ่งทำให้รถโคลงเคลงโดยการนำทรายไปกลบจนราบเรียบ
สถานที่ที่จะไปคราวนี้อยู่ไกลจากฐานทัพใหม่ของพวกเขาพอสมควร โชคดีที่หลังจากขับเข้าถนนหลวงสายหลักก็ไม่ต้องรบกวนอวี๋ซินหรันจัดการผิวถนนให้ยุ่งยากแบบนั้นแล้ว
พวกเขาใช้เวลาขับรถมากว่าหนึ่งวันจึงถึงที่หมาย… จุดหมายปลายทางคือเขตชานเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเอ ในยุคก่อนวันสิ้นโลกที่นี่เป็นหมู่บ้านชานเมืองแห่งหนึ่ง แต่เดิมพื้นที่ละแวกนี้มีสภาพแวดล้อมก้ำกึ่ง จะเจริญก็ไม่เจริญ แต่พอเข้ายุควันสิ้นโลก เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งห่างไกลและมีประชากรเพียงน้อยนิด จึงไม่ได้ถูกทำลายเสียหายมากมายนัก
โดยเฉพาะสถานที่ที่พวกหลัวซวินมาเคยเป็นโกดังและศูนย์กระจายสินค้า เมื่อก่อนทั้งช่วงเวลาเช้าและเย็น นอกจากรถที่เข้าออกมารับส่งสินค้ากับคนงานที่ดูแลจัดการโกดังแค่ไม่กี่คนแล้วก็แทบไม่มีผู้คนเลย
พวกเขาขับรถไปถึงบริเวณใกล้กับเขตโกดัง จากนั้นสำรวจสถานการณ์รอบด้านไกลๆ ก่อน เมื่อแน่ใจแล้วจึงค่อยขับรถเข้าไป
โกดังในบริเวณนี้บางหลังถูกทำลาย ในขณะที่บางหลังสภาพภายนอกยังค่อนข้างดี จากภาพถ่ายดาวเทียมพวกหลัวซวินสามารถดูว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ยังมีสภาพดีอยู่หรือไม่ได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น ส่วนความแข็งแรงของหลังคา โครงสร้างอาคาร และสภาพภายในต่างๆ ต้องรอไปถึงที่ก่อนถึงจะเห็น อย่างเช่นตอนนี้ ผนังด้านข้างและประตูทางเข้าของโกดังหลายหลังถูกทำลายและเปิดอ้าอยู่ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม
“เคยมีคนมาที่นี่แล้ว” หลังจากที่ทุกคนขับรถเข้าไปก็กวาดตาสำรวจแล้วพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
หลัวซวินคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาขับรถอยู่คันหน้าสุด มุ่งหน้าไปทางโกดังหลังหนึ่ง “เราไปที่โกดังเป้าหมายก่อน แล้วค่อยไปตรวจดูโกดังหลังอื่น” เขาคาดว่าคงมีทีมอื่นเคยมาแล้ว ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นศูนย์กระจายสินค้า ภารกิจต่างๆ ที่ทางฐานที่มั่นเคยประกาศก่อนหน้านี้ต้องเคยส่งคนมาที่นี่แล้วแน่ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเหนือคาดเลยสักนิด หลัวซวินคิดว่าขอเพียงยังมีของที่พวกเขาต้องการเหลืออยู่ก็พอ ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเจอของดีอะไรนัก เพียงแค่ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้นก็ดีมากแล้ว
หลังจากพวกหลัวซวินขับรถวนดูสักพัก ในที่สุดก็จอดรถที่หน้าโกดังหลังหนึ่งซึ่งประตูทางเข้าถูกระเบิดจนเป็นรูโหว่ เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นเคยมาที่นี่แล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด เพียงแค่ให้เหยียนเฟยที่อยู่ข้างๆ เปิดประตูโกดังขึ้น
ประตูเหล็กเลื่อนเปิดเสียงดัง เผยให้เห็นสภาพภายในอันมืดสลัว
ประตูของโกดังเกือบทุกหลังในละแวกนี้ล้วนมีร่องรอยถูกงัดแงะทำลายด้วยวิธีรุนแรงกันทั้งนั้น คงเป็นคนกลุ่มที่ยกขบวนกันมาก่อนหน้านี้ แต่ถึงแม้พวกนั้นจะเปิดช่องประตูได้ แต่ก็ใช่ว่าจะขนของทุกอย่างไปได้หมด นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลัวซวินใจเย็นได้ขนาดนี้
“ยังมีของอยู่! พี่หลัว ยังมีของอยู่ครับพี่” เสียงร้องตื่นเต้นดีใจของทุกคนดังมาจากรถคันอื่นๆ ที่จอดอยู่ข้างกัน หลัวซวินไม่ได้มัวแต่ดีใจจนมองข้ามสภาพโดยรอบไป ตรงกันข้าม เขากลับบอกจางซู่ซึ่งอยู่ในรถอีกคันว่า “จางซู่ นายลองตรวจสอบดูก่อนว่ามีอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่า”
พวกเขามองจากด้านนอกเข้าไปเห็นลังกระดาษวางซ้อนกันอยู่ในโกดัง ดูจากบรรจุภัณฑ์ด้านนอกยังค่อนข้างสมบูรณ์ดี แต่ไม่รู้ว่าจะมีซอมบี้มนุษย์หรือซอมบี้สัตว์ซ่อนอยู่ในโกดังนี้หรือไม่
พลังพิเศษธาตุลมของจางซู่หมุนวนภายในโกดังรอบหนึ่ง “ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างในนะ”
ตอนนี้เองหลัวซวินถึงค่อยวางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง คนทั้งกลุ่มเปิดประตูก้าวลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปตรวจดูในโกดังด้วยกันอย่างระมัดระวัง
พวกเขาหยุดยืนอยู่ห่างจากกองลังกระดาษไกลพอสมควร ก่อนจะให้จางซู่ใช้คมวายุกรีดฝาลังกระดาษใบหนึ่งแง้มดู เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน…เกลือ
ที่นี่เป็นโกดังสินค้าของบริษัทเกลือแห่งหนึ่ง ของที่อยู่ในนี้ก็คือเกลือซึ่งพวกหลัวซวินต้องการมาก เพราะไม่ว่าจะเก็บไว้นานแค่ไหนก็ไม่เน่าเสีย
เมื่อเห็นหีบห่อที่แสนคุ้นตาด้านใน ทุกคนต่างร้องเฮออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ พวกหลัวซวินจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปเปิดลังกระดาษใบนั้นอย่างระมัดระวัง
สภาพด้านนอกของลังกระดาษยังคงไม่บุบสลายสักนิดถึงแม้จะวางทิ้งไว้จนเข้าสู่ยุควันสิ้นโลกมานานป่านนี้ แต่เนื่องจากไม่โดนฝน แถมสภาพอากาศแถวนี้ก็แห้งมาก ลังกระดาษจึงไม่ชื้นและไม่ได้รับความเสียหาย
“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ ขนไปกันเถอะ” ในโกดังหลังนี้เก็บเกลือไว้ไม่น้อย แต่ไม่ได้มีอยู่เต็มโกดัง เพราะคนอื่นที่เคยมาที่นี่คงขนกลับไปบางส่วนแล้ว หรืออาจเป็นไปได้ว่าไม่ได้มีเกลืออยู่เต็มโกดังมาตั้งแต่แรก เท่าที่พวกเขาเห็นอยู่ตอนนี้ก็มีเพียงลังบรรจุเกลือกองนี้เท่านั้น
และนอกจากเกลือเสริมไอโอดีนทั่วไปแล้ว ยังมีเกลือที่เติมส่วนผสมอื่นๆ อีกบางส่วน รวมทั้งดอกเกลือและเกลือหิมาลัยที่เม็ดค่อนข้างใหญ่อีกด้วย แต่ละชนิดล้วนเป็นสินค้าแบรนด์เดียวกันทั้งหมด
เกลือแต่ละลังหนักพอสมควร พวกหลัวซวินใช้รถเข็นที่เหยียนเฟยสร้างขึ้นลำเลียงไปไว้ที่รถ โดยแบ่งส่วนหนึ่งใส่ไว้บนรถบรรทุกและอีกส่วนหนึ่งใส่ไว้ในรถพลังงานไฟฟ้า จนกระทั่งในโกดังเหลือเกลืออยู่อีกราวยี่สิบถึงสามสิบลังสุดท้าย พวกเขาถึงได้ขับรถออกมาจากที่นั่น
ดูเหมือนว่ารอบโกดังเก็บเกลือจะรายล้อมไปด้วยโกดังสินค้าเกี่ยวกับอาหาร บางโกดังไม่ต้องเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นตุๆ โชยมาจากข้างใน… ของหมดอายุจะยังมีกลิ่นหอมอยู่ได้อย่างไร บางโกดังก็ว่างเปล่าโบ๋เบ๋ คิดว่าคงมีคนมาขนของไปหมดตั้งแต่เข้าสู่ยุควันสิ้นโลกช่วงแรกๆ แล้วละมั้ง
หลังจากตรวจดูโกดังสินค้าประเภทเดียวกันผ่านไปหลายหลัง ในที่สุดพวกหลัวซวินก็พบสินค้าประเภทที่ต่างออกไป เช่น… โกดังเครื่องใช้ไฟฟ้า
“หัวหน้าครับ หัวหน้า! ตรงนี้มีแอร์! มีแอร์ด้วย!” เหอเฉียนคุนกระโดดโลดเต้นอยู่หน้าประตูโกดังหลังหนึ่ง ในฐานะคนอ้วนเพียงหนึ่งเดียวของทีม เวลาถึงช่วงหน้าร้อน เหอเฉียนคุนจึงค่อนข้างทรมาน ใช้ชีวิตยากลำบากเป็นพิเศษ
ช่วงก่อนหน้านี้ เวลาปกติที่อุณหภูมิเดียวกัน ทำกิจกรรมต่างๆ เหมือนกัน ก็มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มักเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีเพียงเขาที่เซ็งมากเมื่อรู้ว่าเครื่องปรับอากาศในฐานทัพใหม่ส่วนใหญ่ใช้การไม่ได้
โกดังขนาดใหญ่หลังนี้ไม่ได้มีแค่เครื่องปรับอากาศ แต่ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นอีก ทั้งตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องดูดควัน พัดลม และอื่นๆ อีกสารพัด เห็นได้ชัดว่าตอนก่อนวันสิ้นโลกที่นี่เคยเป็นคลังเก็บและกระจายสินค้าของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าบริษัทหนึ่ง ของที่คนสั่งซื้อกับบริษัทนี้คงจะจัดส่งออกจากที่นี่ เพราะมีสินค้าเก็บไว้ในโกดังหลังนี้และหลังอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงกันอย่างครบครัน
สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงเห็นเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ดรายร์เป่าผม และเครื่องดูดฝุ่นขนาดเล็กวางอยู่บนชั้นของแถมแจกฟรีด้วย
“หยิบของตามจำนวนที่เราต้องการให้ครบก่อน เอาตู้แช่ไปเพิ่มอีกสักสองสามตู้ด้วยนะ” ตู้แช่ในบ้านส่วนใหญ่เป็นของมือสอง หลัวซวินเห็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้เป็นของใหม่ชนิดที่ยังไม่แกะออกจากกล่องเลย ใจก็นึกอยากลองใช้ขึ้นมาเหมือนกัน
“ต้องติดแอร์อย่างน้อยห้องละเครื่องดีไหม ห้องใต้ดินก็ด้วย เราใช้แค่พัดลมดูดอากาศกับช่องระบายอากาศแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอก ต้องหาแอร์ที่เป็นระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์หรือเปล่า”
“หัวหน้า เราเอาเครื่องปั่นกลับไปด้วยได้ไหม พอผลไม้ในบ้านสุกแล้วจะได้เอามาปั่นผลไม้ให้ทุกคนดื่ม”
“ทุกคนเอาของที่จำเป็นไปก่อน ของอย่างอื่นถ้ายัดใส่รถได้ก็จัดไปเลยเต็มที่…”
คนกลุ่มนี้เหมือนพวกถือบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินมาเดินช็อปปิ้งตามห้างร้านแล้วรูดปื๊ดๆ อย่างเมามัน
[1] ‘ร้องก้าบๆ’ เป็นสำนวน หมายถึง เจ๋ง ร้ายกาจ เก่งกาจ ในบางท้องถิ่นของจีนนำมาสร้างเป็นสำนวนพักท้าย คือ สำนวนที่พูดเฉพาะวรรคหน้าก็สื่อถึงความหมายหลักที่อยู่วรรคหลัง ว่า ‘หมาไล่ตามเป็ด เป็ดร้องก้าบๆ’ ซึ่งให้ความหมายแบบเดียวกัน คือใช้กล่าวชมความสามารถ
[2] เป็ด เป็นศัพท์สแลง หมายถึงชายขายบริการ ตรงข้ามกับคำว่าไก่ ซึ่งหมายถึงหญิงขายบริการ