โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 4 แต่งห้องครั้งใหญ่
เสียงสว่านไฟฟ้าจากอาคารหมายเลขเจ็ดดังมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว
ย่านใจกลางเมืองของเมืองเอ ช่วงกลางคืนบรรยากาศมักคึกคักกว่าช่วงกลางวันเสมอ
ภายในไนท์คลับแห่งหนึ่ง หนุ่มสาวบางคนใช้ความมืดสลัวยามราตรีออกมาเที่ยวปลดปล่อยอารมณ์หาความบันเทิงกันอย่างสุดเหวี่ยง
สาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่งใส่กระโปรงรัดรูปสั้นจู๋ เดินนวยนาดอวดเอวยี่สิบสองนิ้วและสัดส่วนโค้งเว้าเป็นรูปตัว S เยื้องกรายราวกับนางแมวยั่วสวาทตรงไปที่โซฟาในมุมหนึ่ง
“สุดหล่อ ชนแก้วกันหน่อยไหม” สาวสวยส่งสายตาหวานฉ่ำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา ทว่าเมื่ออีกฝ่ายตวัดสายตามองเธอ วิญญาณเธอก็แทบหลุดลอย
ชายหนุ่มคนนั้นมีดวงตาดอกท้อแสนเย้ายวนใจ ใต้หางตาซ้ายมีไฝรองน้ำตาหนึ่งเม็ดชวนให้น่าหลงใหลยิ่งขึ้น เขากำลังเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทีเกียจคร้าน อย่าว่าแต่หญิงสาวคนนี้เลย ต่อให้เอาสาวสวยทุกคนในไนท์คลับมารวมกัน ก็ไม่อาจเทียบรูปลักษณ์และเสน่ห์ของชายหนุ่มคนนี้ได้
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเผินๆ คล้ายว่ากำลังยิ้ม แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายชัดถึงความเยือกเย็น เขาเอ่ยคำพูดหนึ่งออกจากริมฝีปากบางเฉียบแบบไม่ไว้หน้า “…ไปให้พ้น”
หญิงสาวอึ้งไปในทันที เหมือนได้ยินไม่ชัดว่าชายหนุ่มพูดอะไร แต่ไม่รอให้เธอเอ่ยปาก ก็มีฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งสะกิดไหล่เธอ “คนสวย ตรงนี้ไม่มีที่สำหรับคุณหรอกนะ”
หญิงสาวคนนั้นหันขวับไปด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด กลับเห็นผู้ชายวัยสี่สิบห้าสิบพาคนหลายคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบอดี้การ์ดตามมายืนอยู่ข้างโซฟา ใจเธอพลันกระตุกวาบ รีบเดินหนีไปอย่างไว…คืนนี้ซวยชะมัด!
“ในบัตรนี่มีเงินอยู่หนึ่งล้าน เอาไปให้แม่แกซะ” ชายวัยกลางคนนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่ม ก่อนจะวางบัตรใบหนึ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าระหว่างพวกเขาทั้งสอง
“เกี่ยวอะไรกับผมด้วย ทำไมคุณไม่เอาไปให้เองล่ะ” ชายหนุ่มปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง พลางแค่นหัวเราะเสียงเย็น “คุณเรียกผมออกมาเพราะเรื่องนี้เหรอ”
“แกเอาไปให้เธอเองดีกว่า อย่างน้อยก็มีหลักฐาน จะได้ไม่ต้องโมเมว่าฉันไม่โอนเงินเข้าบัญชีให้เหมือนคราวก่อน” ชายวัยกลางคนนวดขมับ “ฝากบอกเธอด้วยว่า เรื่องน้าชายของแกจัดการเรียบร้อยแล้ว คราวหน้าคราวหลังให้เขาระวังตัวหน่อย อย่าเที่ยวหาเรื่องเดือดร้อนให้มากนัก ช่วงนี้ยิ่งตรวจเข้มกันอยู่”
ชายหนุ่มใช้สองนิ้วคีบบัตรใบนั้นขึ้นมา โบกมันไปมาตรงหน้าด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ยังไงพวกคุณก็ไม่หย่ากัน จำเป็นต้องให้ผมเป็นคนกลางคอยจัดการเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ให้ด้วยเหรอ เหยียนฮั่น ผมไม่ใช่ลูกน้องคุณนะ เรื่องนี้ผมไม่ยุ่ง เชิญคุณส่งลูกน้องไปจัดการเอาเองเถอะ!” พูดจบเขาก็โยนบัตรใบนั้นลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินไปทางประตู
เหยียนฮั่นสีหน้าเคร่งขรึมลง “แล้วฉันจะคอยดูน้ำหน้าแก…”
“ผมยังอยู่ดี ไม่ต้องให้คุณเป็นห่วงหรอก” ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เขาตรงดิ่งไปที่ประตูไนท์คลับ พอพ้นจากสถานที่ชวนอึดอัดแห่งนั้นแล้วจึงถอนหายใจยาว…ข้างนอกอากาศดีกว่าตั้งเยอะ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลัวซวินถูกเสียงกดกริ่งปลุกให้ตื่น
ของที่สั่งจากเมืองเดียวกันมาถึงแล้วเหรอเนี่ย เร็วดีจัง!
หลัวซวินเซ็นรับของพร้อมอุทานในใจ เมื่อก่อนตอนเขาอยู่เมืองเอฟ เวลาสั่งของออนไลน์ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ของจากเมืองเดียวกันใช้เวลาส่งภายหนึ่งวันมาก่อน ถ้าเป็นสินค้าที่ส่งมาไกลหน่อย ใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนถือเป็นเรื่องปกติมาก คิดไม่ถึงว่าบริษัทส่งของในเมืองใหญ่จะขยันขันแข็งทำงานได้รวดเร็วทันใจปานนี้
เขาเปิดโทรศัพท์มือถือตรวจดูสถานะพัสดุรายการต่างๆ พบว่าสินค้าส่วนใหญ่แสดงสถานะว่าอยู่ระหว่างจัดส่ง ส่วนของจากเมืองเดียวกันอีกสองชิ้นก็ขึ้นสถานะว่าพัสดุรอนำส่ง
มาเลย วันนี้จะอยู่บ้านเตรียมตัวจัดของทั้งวันเลย
หลัวซวินตรวจดูข้าวของที่ต้องลงมือจัดการ ของรอบสองยังมาไม่ถึง เขาเดินวนรอบห้อง หลังตรวจดูสภาพห้องแต่ละห้องจนแน่ใจก็เริ่มจัดการแยกของที่จะนำไปวางไว้ในแต่ละห้อง
แน่นอนว่าตรงระเบียงใหญ่ชั้นล่างกับเฉลียงดาดฟ้าของชั้นลอยเป็นพื้นที่สำหรับปลูกพืช ห้องครัวก็ยังใช้ประโยชน์ตามเดิม ส่วนห้องเก็บของชั้นล่างอยู่ติดกับครัวพอดี อีกทั้งไม่มีหน้าต่าง สามารถดัดแปลงทำเป็นห้องเพาะชำ ห้องมืด ห้องเพาะพันธุ์จำพวกนี้ได้ ห้องรับแขกชั้นล่างค่อนข้างใหญ่ วันหน้าพอจะแบ่งไว้เป็นพื้นที่เก็บของได้
ห้องนอนสองห้องบนชั้นลอยจะเลือกห้องหนึ่งไว้เก็บอุปกรณ์และเสบียงอาหาร ส่วนอีกห้องใช้เป็นห้องนอนของเขาเอง ห้องอาบน้ำชั้นลอยมีทั้งอ่างอาบน้ำและฝักบัว ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไรกับมันชั่วคราว
หลัวซวินกางแปลนห้องที่เขาวาดเอาไว้แล้วเริ่มขีดๆ เขียนๆ ลงไปบนนั้น… ถึงอย่างไรวันหน้าก็ไม่ได้ใช้เจ้าสิ่งนี้แล้ว และคงไม่มีใครมาขอใช้ห้องต่อจากเขา…
ระหว่างที่กำลังขีดเขียนอยู่ เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง สินค้าที่สั่งซื้อเริ่มทยอยมาส่ง
“จื๊ด…จื๊ด…”
เสียงสว่านไฟฟ้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนที่ได้ยินต่างปวดหัวแสบหูไปตามๆ กัน
เสียงนี้ดังก้องมาจากตึกเจ็ดยาวนานต่อเนื่องกว่าครึ่งเดือน ในห้องมุมสุดของฝั่งตะวันออกบนชั้นสิบหก มีอุปกรณ์ กล่อง ลัง และข้าวของที่ถูกดัดแปลงจนพิลึกพิลั่นแปลกตากองเกลื่อนกลาดเต็มพื้นไปหมด
วันที่ 22 ตุลาคม ของที่หลัวซวินสั่งซื้อออนไลน์ส่งมาถึงครบหมดทุกชิ้นแล้ว
ตอนนี้ห้องรับแขกถูกเขาแบ่งเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งติดกับระเบียง ใช้วางเครื่องมือกับของที่ต้องดัดแปลง อีกด้านหนึ่งอยู่ใกล้โถงทางเข้าห้อง เอาไว้วางเฟอร์นิเจอร์กับของอื่นๆ ที่ซื้อมา
ส่วนธัญพืช เมล็ดพันธุ์ ของที่กักตุน อาหารสำเร็จรูป ทุกอย่างถูกแยกไปไว้ในห้องเก็บของชั้นล่างกับห้องนอนเล็กบนชั้นลอย
เฟอร์นิเจอร์ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น อย่างน้อยในห้องรับแขกต้องมีโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา ในห้องนอนก็ต้องมีเตียง จริงไหม
พอดัดแปลงท่อพีวีซีปลอดสารพิษให้กลายเป็นชั้นปลูกผักเสร็จก็นำไปตั้งไว้ด้านข้าง หลัวซวินพรูลมหายใจยาว ทุบๆ บั้นเอวที่ปวดเมื่อย ก่อนหันเดินไปล้างมือล้างหน้าในห้องน้ำ ตอนกลับออกมา เขาเดินไปหน้าเตาไมโครเวฟ หยิบเอาแป้งย่างไส้หมูตุ๋นที่อุ่นเสร็จแล้วขึ้นมากัดคำโต
หลัวซวินซื้อเตาไมโครเวฟมาได้เพียงสองวัน หลังจากทดสอบจนแน่ใจแล้วว่าเครื่องใช้ได้ปกติไม่มีปัญหาใดๆ เขาก็จัดการเปิดแงะตัวเครื่องแล้วดึงตัวส่งสัญญาณเสียงออกมา ป้องกันไม่ให้มันส่งเสียงดังดึงดูดความสนใจคนในช่วงหลังวันสิ้นโลก
หลัวซวินกวาดตามองห้องที่รกระเกะระกะอย่างพึงพอใจ แล้วจึงเอนหลังพิงพนักโซฟา อุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องดัดแปลงก็จัดการเสร็จหมดแล้ว เก็บกวาดสองวัน จากนั้นใช้เวลาที่เหลือเตรียมทำอย่างอื่น เช่น เพาะต้นกล้า นำข้าวสารและแป้งสาลีบางส่วนออกมาแปรรูปเป็นอาหารล่วงหน้า เพราะการจุดไฟหุงหาอาหารในช่วงหลังวันสิ้นโลกทุกวันนั้นไม่ใช่กิจวัตรที่ดี
หลัวซวินนำถุงพลาสติกของอาหารที่กินเสร็จแล้วทิ้งลงถังขยะ ปัดไม้ปัดมือก่อนหยัดตัวขึ้นเก็บกวาดห้องต่อ นอกจากเศษขยะและเศษชิ้นส่วนที่นำไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว ของอย่างอื่นที่ยังพอมีประโยชน์ก็ขนขึ้นไปเก็บไว้ในห้องนอนเล็กชั้นลอยอย่างเป็นระเบียบ
ของจำพวกกระบะเพาะต้นกล้ากับชั้นปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ที่ต่อเสร็จล้วนถูกย้ายไปตั้งไว้ที่ชานระเบียงและเฉลียงดาดฟ้า คราวนี้ในบ้านก็ดูสะอาดโล่งตาขึ้นทันที
หลัวซวินดันโซฟาไปไว้ในจุดที่มันควรอยู่ จากนั้นก็เข็นตู้ปลาขนาดใหญ่หลายใบไปที่กลางห้องรับแขก ย้ายเสร็จหลัวซวินก็ถอนหายใจทิ้งตัวนอนแผ่บนโซฟา แล้วล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพลางครุ่นคิดจนหน้ายุ่งอีกครั้ง
เวลานี้เขาเหลือเงินแค่ห้าหมื่นต้นๆ เงินจำนวนนี้สามารถนำไปซื้อธัญพืช อาหาร และยาต่างๆ ได้อีกล็อตก็จริง แต่เขายังมีแผนการอื่นอยู่ในใจ เช่น…จะเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้านดีหรือเปล่านะ
ช่วงแรกของยุควันสิ้นโลก นอกจากมนุษย์แล้วยังมีสัตว์อีกจำนวนหนึ่งที่กลายเป็นซอมบี้ ตอนหลังนอกจากซอมบี้สัตว์แล้ว ก็ยังมีสัตว์กลายพันธุ์ด้วย สัตว์กลายพันธุ์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น พวกมันนำอันตรายมาสู่มนุษย์และร้ายแรงยิ่งกว่าซอมบี้ทั่วไป
แต่หากเป็นสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงจนเชื่อง แล้วเกิดการกลายพันธุ์ในภายหลัง และระหว่างที่กำลังกลายพันธุ์ ถ้ามันไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน มันจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งสุดขีด
อย่างน้อยถ้าเลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านสักตัว ตอนเขาออกไปสำรวจรวบรวมสิ่งของนอกบ้าน เจ้าสุนัขก็ช่วยเฝ้าบ้านให้เขาได้
หลัวซวินยังจำได้ ตอนที่เกิดเหตุวันสิ้นโลกใหม่ๆ เนื่องจากมีสัตว์จำนวนมากกลายเป็นซอมบี้ ความดุดันของพวกมันน่ากลัวกว่าซอมบี้มนุษย์เสียอีก ดังนั้นคนส่วนมากจึงเลือกที่จะหลีกให้ห่างจากสัตว์พวกนั้น
ตอนที่เขายังอยู่เมืองเอ็มนั้น มีบ้านคนแก่หลังหนึ่งเลี้ยงสุนัขพันธุ์เล็กเอาไว้ในบ้านหนึ่งตัว ที่จริงสุนัขตัวนั้นไม่ได้กลายเป็นซอมบี้และไม่ได้กลายพันธุ์ แต่เมื่อวันสิ้นโลกมาเยือน กฎระเบียบในสังคมล่มสลาย คนจำนวนไม่น้อยบุกเข้าไปปล้นชิงของในบ้านคนอื่น แต่เพราะบ้านหลังนั้นเลี้ยงสุนัขเอาไว้ พวกโจรขโมยก็เลยยังไม่กล้าเข้าไป!
แต่ถ้าหลัวซวินคิดจะเลี้ยงสุนัขสักตัว อย่างแรกก็ต้องเตรียมอาหาร ของเล่นไว้ให้มันแทะขัดฟัน และอื่นๆ อีกสารพัด อย่างที่สอง ถ้าเจ้าสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้เกิดกลายพันธุ์ตั้งแต่ช่วงแรกของวันสิ้นโลกล่ะ ต่อให้ไม่กลายพันธุ์ในช่วงแรก แต่ถ้าเกิดการกลายพันธุ์ระลอกสองแล้วสุนัขตัวนั้นเกิดเป็นบ้าขึ้นมา เขาอาจโชคร้ายถึงขั้นรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้…
“เฮ้อ…รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน” สัตว์ชนิดอื่นก็เหมือนกัน ถ้าเลี้ยงไก่ไว้ในบ้านหลายตัว แม้เมื่อเข้ายุควันสิ้นโลกจะมีไข่กับเนื้อไก่ไว้กิน แต่เสียงไก่ขันอาจดึงดูดความสนใจจากคนอื่นได้ หลัวซวินไม่อยากหาเหาใส่หัว แต่ว่า…เขาก็อยากเลี้ยงสุนัขไว้สักตัวอยู่ดี
ในห้องเพาะต้นกล้า หลัวซวินนำเมล็ดพันธุ์บางส่วนมาหย่อนใส่กระบะเพาะชำ ภายในห้องถูกดัดแปลงเรียบร้อยแล้ว หลังปรับอุณหภูมิและระดับความชื้นให้เหมาะสม ผ่านไปไม่กี่วันเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็เริ่มงอก
เนื่องจากใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว แม้ว่าหลัวซวินจะสามารถรักษาอุณหภูมิภายในห้องได้ แต่ยังไม่กล้าเพาะเมล็ดพันธุ์พืชมากเกินไป ข้อแรก เพราะตัวเองกินคนเดียวไม่หมด และยังไม่เหมาะที่จะเอาออกไปขายในตอนนี้ ข้อสอง เพราะสิ่งที่กลายพันธุ์ได้ไม่ได้มีแค่สัตว์ แต่พืชก็กลายพันธุ์ได้ด้วยเช่นกัน
หากพืชเกิดการกลายพันธุ์ในระยะที่ยังเป็นต้นอ่อน หลัวซวินสามารถกำจัดทิ้งได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเป็นต้นที่โตเกินไป ไม่แน่อาจแตะต้องมันไม่ได้ แถมยังต้องคิดหาวิธีกำจัดมันทิ้งอีก
แม้บนเฉลียงดาดฟ้าจะสะดวกใช้เป็นที่ปลูกพืช แต่หลัวซวินก็เน้นปลูกพืชไร้ดินมากกว่า แน่นอนว่าพืชที่ปลูกด้วยดินก็มีเช่นกัน เขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้จะไปขุดดินจากพื้นที่ใกล้ๆ กลับมา
พืชไร้ดินมีข้อดีหลายอย่าง ประการแรก ดูแลง่าย ประการที่สอง ไม่เปลืองพื้นที่ ขอเพียงผสมน้ำปุ๋ยให้ดีก็พอ ช่วงแรกนี้ยังสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ แต่หลังวันสิ้นโลกคงต้องผสมเอง โชคดีที่เขาพอมีประสบการณ์ด้านนี้อยู่บ้าง
ผักที่เอามาเพาะตอนนี้มีแค่ผักชี ผักกาดขาว และผักกาดกวางตุ้ง อย่างละนิดอย่างละหน่อย นอกจากนี้ยังมีต้นส้มจี๊ด ต้นแอ๊ปเปิ้ล ต้นเชอร์รี่ และอื่นๆ อีกสารพัดที่เขาสั่งซื้อทางออนไลน์ก่อนหน้า โดยแยกปลูกใส่กระถางตั้งไว้ในบ้าน
ส่วนที่เหลือเขาตั้งใจไว้ว่าจะรอไปอีกสักระยะ พอใกล้ถึงช่วงวันสิ้นโลกค่อยเพาะเมล็ดพันธุ์พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียวและถั่วเหลือง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หลังเก็บตัวอยู่ในบ้านมาหลายวัน เมล็ดพันธุ์ในกระบะเพาะส่วนใหญ่ก็พากันแตกยอดอ่อนแล้ว ส่วนที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงนั้นตีความได้ว่าเป็นเมล็ดตาย ปลูกไม่ขึ้น
หลัวซวินใช้แผ่นฟองน้ำที่ตัดเตรียมไว้ล้อมต้นกล้าอย่างพิถีพิถัน ก่อนนำพวกมันใส่ลงในรางปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ที่ดัดแปลงขึ้น จากนั้นก็สอดท่อเครื่องปั๊มลมออกซิเจนขนาดเล็ก เติมน้ำปุ๋ยในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพียงเท่านี้ชั้นรางปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ขนาดย่อมของเขาก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
พวกนี้เป็นพืชที่ปลูกก่อนเกิดเหตุวันสิ้นโลก ดังนั้นหลัวซวินจึงเลือกใช้ชั้นรางปลูกขนาดย่อม แต่ละชั้นปลูกเพียงสิบกว่าต้น ชั้นรางปลูกสองสามชั้นต่อเข้ากับถังน้ำใบเดียวกัน
จากนั้นหลัวซวินก็ตรวจดูแบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์ลูกที่ห้าซึ่งชาร์จเต็มนานแล้ว ก่อนจะไปสำรวจห้องที่ถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม เขาเดินวนดูทั่วบ้านสี่ห้ารอบถึงมั่นใจได้ในที่สุด…ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรให้เขาทำแล้วสินะ