[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 201 : ความปรารถนารุนแรง

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

“เซียนเซิงคืนชีวิตนี้ให้ข้าแล้ว อาเหย่”
เสิ่นเจ๋อชวนหลอมละลายในกลิ่นอายอันคุ้นเคยนี้
ใช้แก้มถูไถแผ่นหลังของเซียวฉือเหย่ เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ตามกลิ่นมา “อาเหย่…”

เซียวฉือเหย่ยกมือขึ้นกดเสิ่นเจ๋อชวนไว้
หันศีรษะมาครึ่งหนึ่ง จะมองตาเขา

เสิ่นเจ๋อชวนลืมตา ในนั้นกลับไม่มีแววล้อเล่น
เขาขยับปลายนิ้วเข้าไปใกล้แก้มของเซียวฉือเหย่
เอ่ยว่า “ข้าเป็นของเจ้า ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน”
ในที่สุดเขาก็เผยส่วนที่คมกริบและโหดเหี้ยมออกมา
พูดต่อว่า “หากใครพรากเจ้าไปจากข้างกายข้า ข้าจะฆ่ามันเสีย”

ต่อให้เป็นพญายมก็ไม่ได้

“ข้าอยากอยู่กับเจ้าไปจนอายุร้อยปี” เสิ่นเจ๋อชวนจุมพิตจอนผมเซียวฉือเหย่เบาๆ
“ในสถานที่ที่ไม่มีคนเอื้อมถึง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 201 ความปรารถนารุนแรง

 

เสิ่นเจ๋อชวนลุกไม่ขึ้น ต้นขาด้านในเต็มไปด้วยรอยฟัน ถูกเซียวฉือเหย่นอนทับอยู่เบื้องล่างจวบจนยามซื่อสามเค่อ ตอนเฟ่ยเซิ่งมาเรียก เสิ่นเจ๋อชวนยังไม่ตื่น เซียวฉือเหย่ก้มหน้าลง จุมพิตเขาจากด้านหลังจนเขาแทบขาดใจ

“ละเว้นข้าเถิด” เสิ่นเจ๋อชวนออกแรงดิ้นรน สุดท้ายคลานกลับไปบนฟูกผ้าห่ม หรี่ตาพูดกับเซียวฉือเหย่เสียงแหบ “ข้า…มึนไปหมด…คิดอะไรไม่ออกแล้ว”

เสิ่นเจ๋อชวนแดงไปทั้งตัว บ้างถูกขบกัด บ้างถูกบีบเคล้น ท้ายทอยเป็นส่วนที่น่าสงสารที่สุด แผงอกของเซียวฉือเหย่แนบติดกับเขา ทำให้เขาร้อนจนเหงื่อออก เมื่อคืนท่าที่รุนแรงที่สุดคือท่านั่งในอ้อมกอด เขาอยู่ในอ้อมกอดเซียวฉือเหย่และถูกจับน่องไว้ ได้แต่พิงซบแผงอกของอีกฝ่าย

เสิ่นเจ๋อชวนลืมเรื่องการลอบมีสัมพันธ์ไประหว่างการโยกคลอน ร้องเรียก ‘อาหย่’ กับ ‘เช่ออัน’ สลับกันจนตัวเองปลดปล่อยออกมา ภายหลังเสิ่นเจ๋อชวนฟุบลงบนหมอน ทำให้ฟูกใต้ร่างเปียกแฉะไม่รู้กี่รอบ จำได้เพียงน้ำตาของตนไหลออกมาจนหมดสิ้น สุดท้ายหัวสมองหนักอึ้งมึนงง เซียวฉือเหย่ก็ยังคงไม่หยุด ดุนดันจนเขาต้องอ้อนวอนเสียงแผ่ว “อื้อ…” ปลายเสียงสะกิดหัวใจของเซียวฉือเหย่ ปลุกเร้าจนอีกฝ่ายขบกัดเขาอีกที

“น่าสงสารตายละ” เซียวฉือเหย่ทาบกายอยู่ตรงหน้า พูดเสียงค่อย “ข้าจะประคองเจ้าไว้เอง”

 

วันนี้อิ่นชางตื่นแต่เช้าตรู่ รอพบฝู่จวินอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน เฟ่ยเซิ่งเห็นตาแก่เหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ จึงพูดว่า “เมื่อวานพบไปแล้ว ไฉนท่านผู้ชรายังประหม่าอีกเล่า”

อิ่นชางดึงแขนเสื้อตัวเอง “ข้าไม่สบายตัวไปหมด เมื่อวานพวกเขาอาบน้ำให้ข้า เอาสบู่ก้อนเบ้อเริ่มมาถูตัวข้าอย่างแรง ถูจนหนังข้าจะเหี่ยวหมดแล้ว!”

เฟ่ยเซิ่งฟังเรื่องนี้แล้วอยากหัวเราะ เมื่อวานเขาส่งบ่าวชายเจ็ดแปดคนไปปรนนิบัติอิ่นชาง อาบน้ำเป็นเวลาสองชั่วยามเต็ม เปลี่ยนน้ำร้อนไปหลายถัง รอจนกลางดึกทุกคนแยกย้ายไปแล้ว ตาแก่จึงหนีออกมา ยกขากางเกงวิ่งหนีบ่าวชายทั้งหลาย

“อาบน้ำดีออก” เฟ่ยเซิ่งพูด “ทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ข้าว่าวันนี้ท่านผู้ชราดูเหมือนพี่ชายข้ามากกว่า”

“อย่ามาหลอกข้าเลย” อิ่นชางนอนไม่หลับ บ่นเสียงค่อยกับเฟ่ยเซิ่ง “เจ้าก็ดีแต่ปากหวาน” เขาพูดจบและหันมองไปรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “ท่านรองก็อยู่ในห้องด้วยหรือ”

“อืม” เฟ่ยเซิ่งตอบ “ท่านรองตั้งใจรุดกลับมาก็เพื่อพบท่านผู้ชรา”

“เช่นนั้นข้าไปหลีเป่ยได้หรือไม่” อิ่นชางรีบถาม “ข้าอยากพบขุนพลลู่”

เฟ่ยเซิ่งลำบากใจ ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร อิ่นชางอยากพบลู่ก่วงไป๋เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว กระบวนทัพของเขาหยิบยืมมาจากทหารรักษาการณ์เปียนจวิ้น แต่ตอนนี้หลีเป่ยทำสงครามอยู่ ริมแม่น้ำฉาสือก็ไม่สงบ อิ่นชางจะเดินทางไปที่นั่นส่งเดชได้อย่างไร

ระหว่างขบคิด ทางนั้นก็มีความเคลื่อนไหว

เฟ่ยเซิ่งพูด “ไปพบฝู่จวินก่อนเถอะ พบฝู่จวินแล้วค่อยว่ากัน”

 

ในห้องเปิดหน้าต่างไว้บานหนึ่งระบายอากาศ วันนี้อากาศไม่จัดว่าหนาว แต่เสิ่นเจ๋อชวนขี้หนาวจึงสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่อีกตัว ระหว่างเดินทางกลับเฟ่ยเซิ่งสืบภูมิหลังของฮั่วหลิงอวิ๋นจนชัดเจน ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ล้วนนำไปรายงานเสิ่นเจ๋อชวนทั้งหมด เมื่อคืนก่อนนอนเสิ่นเจ๋อชวนไม่ทันได้อ่าน ยามนี้กำลังอ่านอย่างละเอียด

“ปืนไฟที่เฟ่ยเซิ่งริบมาได้เป็นฮั่วหลิงอวิ๋นที่มอบให้เขา” เสิ่นเจ๋อชวนหมุนพัดจีบในมือและวางลงด้านข้าง “คนผู้นี้น่าสนใจ ต้องพบสักหน่อย”

เซียวฉือเหย่นั่งอยู่กับเสิ่นเจ๋อชวนโดยมีโต๊ะเล็กคั่นกลาง เวลาตั้งแขนขึ้นดูเหมือนกำลังหยอกเย้าเขา แต่สายตาชั่วร้ายเกินไป ยามปรายมองมาก็คือการคุกคาม สายตาเขาวนเวียนอยู่ที่คำว่า ‘ชายบำเรอ’ ‘ขบขย้ำ’ และ ‘วางเพลิง’ ก่อนเอ่ยว่า “ร้ายกาจทีเดียว”

ถ้าฮั่วหลิงอวิ๋นไม่ได้ใช้ปืนไฟก่อเรื่อง สงครามครั้งแรกของอิ่นชางย่อมสามารถยึดฝานโจวได้ ไม่จำเป็นต้องให้เสิ่นเจ๋อชวนเอ่ยคำว่า ‘หิ้วหัวมาพบ’ ภายหลังอิ่นชางใช้แผนยุขุนพลในการโจมตีเมือง เข้าสู่สมรภูมิอย่างแท้จริง แต่เนื่องจากฮั่วหลิงอวิ๋นวางเพลิงเผาเมือง สงครามที่ฝานโจวจึงมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง ความดีความชอบและความผิดพลาดหักกลบลบกัน รางวัลของอิ่นชางถูกลดลงครึ่งหนึ่งอีกครั้ง

บางทีฮั่วหลิงอวิ๋นอาจจะอยากสวามิภักดิ์เสิ่นเจ๋อชวน แต่เขามิได้ใช้กลยุทธ์ที่ดี การใช้ปืนไฟทำสงครามก็คืออยากบอกเสิ่นเจ๋อชวนว่า เขามีประโยชน์ เขามีประโยชน์มากกว่าขุนศึกของฉือโจวในตอนนี้

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน เหยาเวินอวี้เข้ามาก่อน คนเข็นรถข้างหลังเป็นขงหลิ่ง ตามด้วยอวี๋เสี่ยวไจ้ เซียนเซิงทั้งหลายโค้งกายคำนับ เสิ่นเจ๋อชวนเชิญทุกคนนั่ง

“อากาศหนาวถึงเพียงนี้” เสิ่นเจ๋อชวนพูดกับเหยาเวินอวี้ “เจ้าบอกให้เฉียวเทียนหยามาแจ้งสักคำ ข้าสามารถย้ายสถานที่ประชุมไปที่เรือนของเจ้าได้ เจ้าจะได้ไม่ต้องเดินทางไปมา”

เมื่อคืนเหยาเวินอวี้นอนไม่ค่อยหลับ ดวงตาจึงมีเส้นเลือดฝอยเล็กน้อย วันนี้ยังอุ้มแมวมาด้วย เขาพูด “แค่ระยะทางไม่กี่ก้าว ไยต้องให้ฝู่จวินลำบากวุ่นวายด้วยเล่า ข้าเห็นผู้อาวุโสอิ่นกับเฟ่ยเซิ่งล้วนรออยู่ใต้ระเบียง ฝู่จวินจะให้เข้าพบตอนนี้เลยหรือไม่”

“เข้ามาเถิด” เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ปล่อยให้ผู้อาวุโสอิ่นรอมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว”

เฟ่ยเซิ่งเดินนำอิ่นชางเข้ามา คารวะเสิ่นเจ๋อชวนกับเซียวฉือเหย่ก่อน

เซียวฉือเหย่มองอิ่นชาง ถามว่า “เมื่อคืนผู้อาวุโสอิ่นหลับสบายหรือไม่”

อิ่นชางเพิ่งเคยพบเซียวฉือเหย่เป็นครั้งแรก เมื่อวานดูไม่ชัด ตอนนี้ตั้งใจเพ่งมอง พับผ่าซี เขาคิดในใจ ท่านรองผู้นี้สูงเกินไปแล้ว ขนาดนั่งอยู่บนตั่ง ขายังยาวเกือบเป็นสองเท่าของเขา!

อิ่นชางประหม่าอีกแล้ว เขาถูชายเสื้อ ตอบอย่างคลุมเครือ “ก็ ก็ดี…”

“ผู้อาวุโสอิ่นนั่งลงเถิด” เสิ่นเจ๋อชวนรู้ว่าเซียวฉือเหย่ดูน่าเกรงขาม เห็นแล้วไม่น่าคบหาด้วยนัก จึงพูดกับอิ่นชางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “วันนี้ข้าอยากคุยเรื่องกิจทหารกับเซียนเซิงทั้งหลาย อีกไม่นานจะต้องยกทัพไปตวนโจวแล้ว ฝานโจวจะปล่อยให้รกร้างเช่นนี้มิได้”

“ดูจากรายงาน สงครามที่ฝานโจวครานี้เกี่ยวพันกับฮั่วหลิงอวิ๋นอย่างแยกไม่ออก” ขงหลิ่งคุ้นเคยกับเติงโจว “เขาเองก็นับว่ามีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนศึก บิดาคือฮั่วชิ่งผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์เติงโจว รัชศกเสียนเต๋อที่หกเคยปราบปรามโจรผู้ร้ายในเขตแดนจนล่าถอยไป น่าจะบ่มเพาะความแค้นกับหยางฉิวและพวกโจรในเติงโจวตอนนั้น”

“ฮั่วชิ่งข้าจดจำได้” อวี๋เสี่ยวไจ้นั่งลงและพูดต่อ “เขาเคยยื่นฎีกาถึงกรมกลาโหมในรัชศกเสียนเต๋อที่หก นับเป็นการแจ้งชัยชนะ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี ผู้ว่าการเขตเติงโจวก็ร้องเรียนว่าเขาดื้อรั้นไม่ฟังผู้ใด ใช้กำลังทหารอย่างบุ่มบ่าม ทำให้โจรผู้ร้ายในเขตแก้แค้นชาวบ้าน เติงโจวต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ตอนนั้นกรมกลาโหมใคร่ครวญซ้ำไปมา สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะสนับสนุนเขา”

เสิ่นเจ๋อชวนบอกให้เฟ่ยเซิ่งลุกขึ้น บอกเซียนเซิงทั้งหลายว่า “ท้องที่ต่างๆ วุ่นวายมาก ตั้งแต่สกุลพันและสกุลฮวากุมอำนาจในราชสำนัก ฎีการ้องเรียนจากเบื้องล่างก็เละเทะ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากความแค้นส่วนตัว ฎีกาที่ส่งขึ้นมาในรัชศกเสียนเต๋อล้วนมิอาจยึดถือได้”

คำพูดนี้ของเสิ่นเจ๋อชวนกล่าวไม่ผิด ตัดเหตุผลที่เขาไม่ชอบจักรพรรดิเสียนเต๋อออกไป สมัยที่สองสกุลกุมอำนาจมีการแบ่งแยกฝ่ายกันอย่างชัดเจน ตอนนั้นชวี่ตูอาศัยการเลือกฝ่ายในการแบ่งแยกมิตรและศัตรู การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในเขตท้องที่ต่างๆ ยิ่งรุนแรง การร้องเรียนฮั่วชิ่งเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ มิอาจสรุปเอาจากฎีกาไม่กี่ฉบับได้

“ฮั่วชิ่งคือฮั่วชิ่ง ฮั่วหลิงอวิ๋นคือฮั่วหลิงอวิ๋น” ยามนี้เซียวฉือเหย่แยกพ่อกับลูกออกจากกันอย่างเด็ดขาด เขาพูด “พวกเจ้าคุมตัวเขากลับมา ระหว่างทางมีความเห็นอย่างไรบ้าง”

อิ่นชางเป็นคนซื่อ เฟ่ยเซิ่งจึงมิได้ให้ตาแก่เอ่ยปาก เขาฟังคำพูดเซียวฉือเหย่แล้วจับความรู้สึกได้ว่า ท่านรองไม่ชอบฮั่วหลิงอวิ๋นผู้นี้นัก เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน

เฟ่ยเซิ่งติดตามเสิ่นเจ๋อชวน วันหน้าเมื่อก่อตั้งทหารม้าเบาแล้วโอกาสในการสร้างผลงานมีอีกมากมาย แต่อิ่นชางอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก บัดนี้ตาแก่หนวดเคราและเส้นผมขาวโพลน รอตั้งกี่ปีกว่าจะได้ทำศึกครั้งนี้ สุดท้ายชายบำเรอคนหนึ่งกลับโผล่ออกมา อาศัยอุบายชั่วร้ายนิดหน่อยก็ลบล้างความดีความชอบของตาแก่ไปกว่าครึ่ง

เฟ่ยเซิ่งในใจไม่สบอารมณ์ แต่สีหน้ากลับเป็นธรรมชาติมาก เอ่ยว่า “คนผู้นี้เพื่อแก้แค้นแล้ว สามารถทนอัปยศอดสูอยู่ข้างกายอี้อ๋องได้ จัดเป็นคนร้ายกาจคนหนึ่ง ข้านับถือในความเป็นลูกผู้ชายของเขา แต่ตอนข้าไปถึงจวนว่าการฝานโจว เห็นอ๋าวเฉวี่ยนที่อี้อ๋องเลี้ยงไว้ขนเปล่งประกายเงางาม สืบดูจึงรู้ว่า ที่แท้ฮั่วหลิงอวิ๋นเอาอี้อ๋องกับชุ่ยฉิงไปให้สุนัขกิน ในเมื่อเขามีความแค้นกับอี้อ๋อง ไฉนจึงไม่ส่งข่าวให้พวกเราล่วงหน้าหน่อยเล่า”

เสิ่นเจ๋อชวนกลับมิได้คล้อยตามเฟ่ยเซิ่ง ชะงักครู่หนึ่งก่อนพูด “ในเมื่อคนมากันครบแล้ว เรียกเขาเข้ามาเถิด”

ฮั่วหลิงอวิ๋นอยู่ในคุกสองวัน ผู้คุมเรือนจำที่มาส่งข้าวต่างไม่พูดกับเขา ขณะที่เฟ่ยเซิ่งดูแลเขาเป็นพิเศษ ปรับเปลี่ยนโซ่ตรวนและกุญแจมือให้หนักกว่าของคนปกติมาก แต่น้อยครั้งที่เขาจะขยับตัว

ฮั่วหลิงอวิ๋นเข้ามาในลาน กู่จินได้ยินเสียงและจับความผิดปกติได้ จึงพาติงเถากับลี่สยงมาด้วย ยืนอยู่หน้าห้องมองฮั่วหลิงอวิ๋นเดินเข้าไป

“หนักมาก” ลี่สยงชี้ไปที่เท้าของฮั่วหลิงอวิ๋น พูดกับติงเถา “เป็นอันที่สวมให้ข้า!”

“ข้าเห็นเขาเคลื่อนไหวได้ปกติ” ติงเถาฟ้องกู่จิน “พี่จิน เขาเคยฝึกยุทธ์มาก่อน!”

ใช่แค่เคยฝึกยุทธ์มาก่อนที่ไหนเล่า

กู่จินชูนิ้วขึ้น ส่งสัญญาณให้องครักษ์ใกล้ชิดในลานตื่นตัว เขาตบหลังติงเถากับลี่สยง ดันเด็กสองคนไปด้านข้าง ส่วนตัวเองไปยืนข้างม่าน ส่งสายตาให้เฉียวเทียนหยาที่อยู่อีกฝั่ง

เฉียวเทียนหยาเอียงคอ จ้องแผ่นหลังของฮั่วหลิงอวิ๋นและพูดเสียงขรึม “คนผู้นี้ร้ายกาจทีเดียว”

เสิ่นเจ๋อชวนมิได้พิจารณาฮั่วหลิงอวิ๋น ฮั่วหลิงอวิ๋นกลับเป็นฝ่ายพิจารณาเสิ่นเจ๋อชวนก่อน

ปีนี้ฝู่จวินอายุยี่สิบสอง รูปโฉมงดงาม หางตาเฉียงขึ้นกำลังดี หากเชิดขึ้นกว่านี้ย่อมกลายเป็นยั่วยวน แม้จะเป็นเช่นนี้ มองแวบแรกกลับเหมือนมีประกาย ทว่าเขาเย็นชาเป็นพิเศษ เวลามองมาจริงๆ เหมือนลมหนาวพัดหวีดหวิว คล้ายบ่อน้ำที่มองลึกลงไปข้างในไม่เห็นก้นบึ้ง ยิ่งมองยิ่งอันตราย ไม่รู้เป็นเพราะนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงมานานหรือเปล่า ยามไม่เอ่ยปากท่วงทีถึงน่ายำเกรงเหนือผู้อื่น มิใช่ความน่ายำเกรงที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าตรงๆ แต่เป็นความรู้สึกเยียบเย็นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คืบคลานจากแขนขาทั้งสี่ไปสู่หัวใจ

นี่ก็คือเสิ่นเจ๋อชวน

เซียวฉือเหย่หมุนแหวนกระดูกปันจื่อของตัวเอง ท่วงท่าไม่เปลี่ยน แต่ความน่าเกรงขามกลับเหยียบอยู่บนหน้าฮั่วหลิงอวิ๋น เขาปรายตามองฮั่วหลิงอวิ๋น ข่มจนอีกฝ่ายแทบไม่กล้าเงยหน้า เสิ่นเจ๋อชวนเป็นลูกปัดหยกที่เขาอมไว้ในปากระหว่างเขี้ยว ผู้ใดหมายปองล้วนต้องตายในระยะห่างออกไปหลายก้าว เขาถูกล่วงเกินเข้าแล้ว แม้ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจทำไปเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นก็ตาม

เซียนเซิงทั้งหลายในห้องไม่ตระหนักถึงลับลมคมใน แต่กลับรู้สึกได้ว่าท่านรองไม่พอใจนัก บรรยากาศเริ่มตึงเครียดอย่างน่าแปลก กดทับหน้าอกโดยไร้สาเหตุ ทำเอาพวกเขามิอาจหายใจแรงๆ

“คำให้การของเจ้าล้วนไม่มีที่มาที่ไป” เสิ่นเจ๋อชวนเพิ่งหันไปมองฮั่วหลิงอวิ๋นตอนนี้เอง “มอบปืนไฟออกมา แต่กลับมิได้ชี้แจงที่มาของพวกมัน ถ้อยคำที่เอ่ยครึ่งๆ กลางๆ ไร้ความหมายเป็นที่สุด”

ฮั่วหลิงอวิ๋นผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก อ่านบางอย่างได้จากแววตาของเซียวฉือเหย่ เขาถอนสายตากลับไป กุญแจมือส่งเสียงดังแกรกกราก ตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เรื่องหลายอย่างแน่นอนว่าต้องได้พบฝู่จวินก่อนจึงจะพูดได้”

“หากพูดมาแล้วข้าไม่พอใจ” เสิ่นเจ๋อชวนเอ่ยเสียงเย็น “จะพบหรือไม่พบผลลัพธ์ก็เหมือนกัน”

“ฉือโจวจะทำสงครามในเดือนสอง ตวนโจวนอกจากทหารม้าเปียนซาแล้วยังมีแมงป่องด้วย” ฮั่วหลิงอวิ๋นหันไปมองเซียวฉือเหย่โดยปราศจากความเกรงกลัว “ไม่มีเซียวฟางซวี่แล้ว ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยยังจะทำศึกไหวหรือ”

ร่องบนแหวนกระดูกปันจื่อติดอยู่ตรงท้องนิ้ว เซียวฉือเหย่เคลื่อนไหวในที่สุด เขาโน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ เงามืดปกคลุมฮั่วหลิงอวิ๋นจากเบื้องบน ทาบทอลงบนพื้นจนกลายเป็นเงาที่ไม่สมบูรณ์ของหมาป่าตาบอด

เฟ่ยเซิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างคุกเข่าลงทันที เข่าข้างหนึ่งแตะพื้น ก้มหน้าไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว อิ่นชางด้านข้างรู้สึกเหมือนมีหนามแหลมบนหลัง หัวใจเต้นระรัว ตาแก่เกือบล้มลงบนพื้นขณะคุกเข่าลงตามเฟ่ยเซิ่ง

ภายในและภายนอกเงียบกริบ เซียวฉือเหย่โมโหแล้ว

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า