[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 202 : เชื่อมโยง

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

“เซียนเซิงคืนชีวิตนี้ให้ข้าแล้ว อาเหย่”
เสิ่นเจ๋อชวนหลอมละลายในกลิ่นอายอันคุ้นเคยนี้
ใช้แก้มถูไถแผ่นหลังของเซียวฉือเหย่ เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ตามกลิ่นมา “อาเหย่…”

เซียวฉือเหย่ยกมือขึ้นกดเสิ่นเจ๋อชวนไว้
หันศีรษะมาครึ่งหนึ่ง จะมองตาเขา

เสิ่นเจ๋อชวนลืมตา ในนั้นกลับไม่มีแววล้อเล่น
เขาขยับปลายนิ้วเข้าไปใกล้แก้มของเซียวฉือเหย่
เอ่ยว่า “ข้าเป็นของเจ้า ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน”
ในที่สุดเขาก็เผยส่วนที่คมกริบและโหดเหี้ยมออกมา
พูดต่อว่า “หากใครพรากเจ้าไปจากข้างกายข้า ข้าจะฆ่ามันเสีย”

ต่อให้เป็นพญายมก็ไม่ได้

“ข้าอยากอยู่กับเจ้าไปจนอายุร้อยปี” เสิ่นเจ๋อชวนจุมพิตจอนผมเซียวฉือเหย่เบาๆ
“ในสถานที่ที่ไม่มีคนเอื้อมถึง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 202 เชื่อมโยง

 

ฮั่วหลิงอวิ๋นเคยเห็นหมาป่าในทุ่งร้างของเติงโจว หมาป่าที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเหล่านั้นหลุบหางขณะวิ่งทะยานอยู่ในลานล่าสัตว์ของอี้อ๋อง หิวจนดวงตาสองข้างทอประกายสีเขียว แต่ยามนี้สิ่งที่เขาเห็นคือหมาป่าของหลีเป่ย ไม่เพียงเรือนร่างกำยำ ยังน่าเกรงขามยิ่งนัก กดดันจนเขาต้องกำโซ่ตรวน แม้แต่กล้ามเนื้อบนหลังยังเครียดเกร็งไปหมด

ฮั่วหลิงอวิ๋นมิอาจหอบหายใจ เพราะถ้าอ้าปากอีกครั้ง เซียวฉือเหย่จะหักคอเขา เขาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ บรรยากาศรอบด้านล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเซียวฉือเหย่ รู้สึกเหมือนกำลังถูกกดศีรษะด้านหลังเอาไว้

เซียวฉือเหย่ต้องการให้ฮั่วหลิงอวิ๋นคุกเข่าและก้มหัวลง

ฮั่วหลิงอวิ๋นเหงื่อซึมในช่วงเวลาแห่งความเงียบอันยาวนาน เขาไม่อยากยอมจำนน แต่เมื่อได้สติอีกที เขาก็เบนสายตาออกไปและก้มหัวลงแล้ว

หลังค่ำคืนที่หิมะตกหนักในวันนั้น ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยไม่เคยได้รับชัยชนะอีก ตอนนี้เขตสมรภูมิทำศึกด้วยความอัดอั้น ยุคสมัยที่ทหารม้าเหล็กเป็นใหญ่ในสมรภูมิทางเหนือผ่านเลยไปไม่หวนกลับมาอีกแล้ว เดิมทีฮั่วหลิงอวิ๋นแค่อยากจะลดความอวดดีของเซียวฉือเหย่ ทำให้ฐานะของสองฝ่ายในการเจรจาวันนี้เท่าเทียมกัน แต่เขากลับเจอแผ่นเหล็ก[1]อย่างแท้จริง เป็นฝ่ายที่ถูกเซียวฉือเหย่กดลงบนพื้น

เงามืดของเซียวฉือเหย่ไม่ขยับ สายตาของเขาที่หลุบลงจับอยู่กลางศีรษะของฮั่วหลิงอวิ๋น ทวนคำพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ไหวหรือไม่น่ะรึ”

ฮั่วหลิงอวิ๋นกัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกขลาดกลัว สิ่งที่กลืนลงไปในคอคือความไม่ยินยอม

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะรู้สึกกลัว!

เซียวฉือเหย่แตกต่างจากเสิ่นเจ๋อชวนโดยสิ้นเชิง ในบางช่วงเวลาเขาจะไม่เสแสร้ง แต่จะครองตำแหน่งของผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินทุกอย่าง กดหัวของทุกคนที่ท้าทายเขาไว้ เหลือเส้นทางเดียวเท่านั้นให้อีกฝ่ายเดิน ทหารรักษาพระองค์ในยุคแรกๆ มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง

เสิ่นเจ๋อชวนจับฝาถ้วยชา นิ้วมือเคาะไม่เป็นจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่า เขามีพลังในการบรรเทาความตึงเครียด การกระทำเพียงเล็กน้อยนี้ช่วยลดแรงกดดันภายในห้องได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เฟ่ยเซิ่งที่ยังคุกเข่าอยู่กลับมาหายใจได้อีกครั้ง กู่จินที่อยู่นอกประตูก็พ่นลมหายใจร้อนระอุออกมาเบาๆ คลายมือที่กำด้ามดาบออก

จวบจนแผ่นหลังของฮั่วหลิงอวิ๋นเปียกชุ่ม เงามืดที่ปกคลุมเขาอยู่จึงถอยกลับไป เซียวฉือเหย่มิได้ถอนสายตากลับไปเสียทีเดียว เพียงเอนกายกลับลงตรงตำแหน่งที่รู้สึกสบาย เหมือนหมดความสนใจในตัวฮั่วหลิงอวิ๋นที่ยอมก้มหัวเสียแล้ว

เสิ่นเจ๋อชวนเปิดฝาถ้วยชาเวลานี้เอง แล้วพูดขึ้นระหว่างดื่มชาว่า “เจ้ารู้สถานการณ์ในตวนโจวเป็นอย่างดีรึ”

สองคนนี้รับส่งกันอย่างไร้รอยต่อ แต่กลับสะท้อนกลิ่นอายอันตราย ฝ่ามือของฮั่วหลิงอวิ๋นเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาถอนสายตาเยาะหยันกลับมา มั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว

“แมงป่องเคยมาหาอี้อ๋อง” ฮั่วหลิงอวิ๋นตัดสินใจแสดงความจริงใจออกมา “เดือนสิบสองปีที่แล้ว เขายุยงให้อี้อ๋องลอบโจมตีฉาโจว ตัดการติดต่อระหว่างเจ้ากับฉี่ตง ด้วยเหตุนี้จึงมอบปืนไฟให้อี้อ๋องจำนวนหนึ่ง”

เสิ่นเจ๋อชวนกับเซียวฉือเหย่คิดถึงแมงป่องขาวทันใด สายสืบของเปียนซาเหล่านี้แฝงตัวอยู่ในส่วนลึกของต้าโจว คอยประสานในนอกกับอามู่เอ่อร์ แทงทะลุหัวใจของต้าโจว

เดือนสิบสองปีที่แล้วเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยเปลี่ยนจากฝ่ายรุกกลายเป็นฝ่ายรับ ถ้าอี้อ๋องมีความกล้า ฟังคำยุแยงของแมงป่องและลอบโจมตีฉาโจว เช่นนั้นเสิ่นเจ๋อชวนต้องกลายเป็นฝ่ายที่ถูกควบคุมแน่ ลดความช่วยเหลือที่จะมอบให้หลีเป่ย ยังมีอีกจุดคือ ขอเพียงตัดเส้นทางของฉาโจวออกไป ชีจู๋อินก็ต้องเดินทางอ้อมฝั่งตะวันออกของหอประตูเทียนเฟยเพื่อขึ้นเหนือ ระหว่างนั้นจะต้องผ่านเขตแดนฝานโจว ถึงเวลาพวกแมงป่องดักซุ่มอยู่กลางทาง จอมทัพชีย่อมมีภัยถึงชีวิต

“พวกเขากำลังหมายตาจอมทัพชี” เสิ่นเจ๋อชวนหันไปมองเซียวฉือเหย่ ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาไม่หมดล้วนสะท้อนอยู่ในแววตา

ฮาเซินล้อมสังหารเซียวฟางซวี่มิใช่เพียงเพื่อโจมตีหลีเป่ย แต่ยังคิดจะใช้โอกาสนี้ล่อชีจู๋อินออกมาด้วย อามู่เอ่อร์เข้าใจต้าโจวทะลุปรุโปร่งจริงๆ

“ทว่าอี้อ๋องมิได้เคลื่อนไหว เขายินดีทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในฝานโจว หลังจากนั้นก็ถูกเจ้าระเบิดสมองด้วยปืนไฟ” เซียวฉือเหย่เสียดสีด้วยถ้อยคำเย็นชา “แมงป่องมาหาเจ้าหรือไม่”

ฮั่วหลิงอวิ๋นจ้องหัวเข่าทั้งสองข้างของตัวเอง “ไม่”

“เจ้าโกหก” เสิ่นเจ๋อชวนเกลี่ยฟองชา เหลือบตาขึ้นพูดอย่างมั่นใจผ่านไอร้อนที่ม้วนตัวลอยขึ้นมา “เจ้าเคยติดต่อกับแมงป่อง”

สมัยที่เสิ่นเจ๋อชวนอยู่ในกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร เขาเคยดำรงตำแหน่งเจิ้นฝู่ใต้และเจิ้นฝู่เหนือ ช่วงเวลาที่อยู่ในคุกหลวงไม่จัดว่าสั้น เขามีวิธีในการสอบสวนคน เหมือนเช่นที่เขาเคยหลอกล่อจี้เหลยกับซีหงเซวียนนั่นแหละ ระหว่างการสนทนา เขาสามารถใช้สภาพแวดล้อมควบคุมบรรยากาศให้เป็นไปตามที่ต้องการได้อย่างเจนจัด บางครั้งคำพูดไม่ต้องเอ่ยให้มากความ แค่เอ่ยให้ถูกเวลา อีกฝ่ายย่อมคิดต่อได้มากมาย

ฮั่วหลิงอวิ๋นต้องประคองสติไว้ เขาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ถ้าตอบผิดอีกแม้แต่คำเดียว หัวกับตัวอาจแยกจากกันได้ เขาแบกรับแรงกดดันจากทั้งสองคน พรูลมหายใจออกยาวๆ เหมือนกำลังเตือนตัวเองให้มีสติ เขาเดินมาถึงสุดทางแล้ว สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือตอนนี้ ดังนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ความสุขุมจึงกลับคืนมาเล็กน้อย

“ถูกต้อง” ฮั่วหลิงอวิ๋นพูด “ข้าเคยติดต่อกับแมงป่องก่อนหน้าอี้อ๋อง รัชศกเสียนเต๋อที่หกท่านพ่อข้าชนะสงคราม เขาส่งคนมาหา โน้มน้าวท่านพ่อให้ละทิ้งฝานโจว ทั้งยังสัญญาว่าจะมอบบรรดาศักดิ์ให้ แต่ท่านพ่อปฏิเสธ”

เสิ่นเจ๋อชวนเอียงศีรษะเล็กน้อย รอยแดงที่ยังหลงเหลือตรงหางตาซ่อนอยู่ในเงาที่ย้อนแสง เขาพูด “เจ้าบอกว่าเป็น ‘เขา’?”

ไม่ใช่พวกเขา

ฮั่วหลิงอวิ๋นย้อนคิดถึงค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน รถม้าที่มาจากชวี่ตูคันนั้นนำจดหมายอันล้ำค่ามาด้วย ฮั่วชิ่งยืนอยู่ข้างแสงเทียนและเปิดมัน ก่อนจะพบกับคำสัญญาอันหนักอึ้ง

หากบอกว่าเปียนจวิ้นเป็นฐานที่มั่นที่กันดารที่สุดของฉี่ตง เช่นนั้นเติงโจวก็เป็นเขตที่แร้นแค้นที่สุดของจงปั๋ว สองพื้นที่นี้ยากจนใกล้เคียงกัน ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเติงโจวคือไม่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของทหารม้าเปียนซาตลอดเวลาเหมือนเปียนจวิ้น หลังจากจงปั๋วพ่ายศึก ภัยจากโจรผู้ร้ายสร้างความวิตกกังวลให้ฮั่วชิ่ง เขาถูกขังอยู่ในพื้นที่นี้ แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากราชสำนัก

จดหมายฉบับนั้นเป็นโอกาสที่ฮั่วชิ่งจะสามารถหลุดพ้นจากความลำบากได้ ทว่าเขามิได้รับไว้ สุดท้ายจุดจบก็คือถูกฝังร่างอยู่ในท้องสุนัข

“เป็นเขา” ฮั่วหลิงอวิ๋นกัดฟันเอ่ยคำพูดนี้ “คนผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ในชวี่ตู คนที่ให้คำมั่นสัญญาอย่างนั้นได้ต้องมิใช่คนธรรมดาแน่ หลังจากท่านพ่อปฏิเสธการรับสินบนก็ถูกสุนัขเผิงร้องเรียน กรมกลาโหมไม่ยอมเลื่อนตำแหน่งให้ท่านพ่อด้วยเหตุนี้ แต่กลับเชื่อคำโกหกของสุนัขเผิง ไม่จัดสรรงบประมาณทางทหารที่ควรให้กับเติงโจว โจรผู้ร้ายในเติงโจวกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งในตอนนั้น หยางฉิวไปฝานโจวร่วมมือกับชุ่ยฉิงทำการค้าผู้หญิง อาชีพฉุดคร่าผู้หญิงไปขายต่อกลับมาเฟื่องฟู เขายังถือโอกาสนี้ติดต่อกับเหลยฉางหมิงที่เขาลั่วซานด้วย”

เชื่อมโยงได้แล้ว!

เสิ่นเจ๋อชวนคิดถึงความสงสัยของตัวเองตอนตรวจสมุดบัญชีสกุลเหยียนในตุนโจว เปียนซาขโมยทรัพยากรจำนวนมหาศาลไปจากต้าโจว เหตุใดจึงไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย เพราะพวกมันไม่ได้อยู่บนเส้นทางตุนโจว เขาลั่วซานและตวนโจว ตั้งแต่ต้นจนจบเหลยฉางหมิงกับเหลยจิงเจ๋อเป็นเพียงกลตบตาที่อามู่เอ่อร์วางไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจงปั๋วเท่านั้น

มิน่าเหยียนเหอหรูถึงได้มั่นใจเต็มที่ในเรื่องนี้ เขาไม่เคยแตะต้องของเหล่านั้นจริงๆ แต่เขาจะต้องรู้เรื่องแน่ เพราะพ่อค้าในมือเขาล้วนเคยติดต่อกับชุ่ยฉิง เสิ่นเจ๋อชวนนำเรื่องที่อวี๋เสี่ยวไจ้เล่าว่ารัชศกเสียนเต๋อที่หกเผิงฟางเหมียวร้องเรียนฮั่วชิ่งมาขบคิดด้วย ยิ่งแน่ใจในการคาดเดาของตัวเอง

“ของส่งออกไปทางฝานโจว” เสิ่นเจ๋อชวนถือถ้วยชาในมือ “พวกเขาส่งของไปที่ริมแม่น้ำฉาสือ ถึงขั้นมิได้ผ่านตุนโจวด้วยซ้ำ”

แรกเริ่ม ‘เขา’ คิดจะใช้บรรดาศักดิ์ติดสินบนฮั่วชิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายเป็นแมงป่องขาว เปลี่ยนทหารรักษาการณ์เติงโจวในมือฮั่วชิ่งให้กลายเป็นขบวนคุ้มกันสินค้า แต่หลังจากถูกฮั่วชิ่งปฏิเสธ ‘เขา’ ไปติดสินบนผู้ว่าการเขตเติงโจวเผิงฟางเหมียว เผิงฟางเหมียวรับสินบน ด้วยเหตุนี้จึงร้องเรียนฮั่วชิ่งอย่างหนัก

“โหยวจิ้ง” เสิ่นเจ๋อชวนพลันถามอวี๋เสี่ยวไจ้ “เผิงฟางเหมียวถูกส่งไปเติงโจวปีใด ก่อนหน้านี้เป็นลูกศิษย์ของผู้ใด”

อวี๋เสี่ยวไจ้ครุ่นคิดอย่างหนัก ได้แต่ตอบว่า “…ข้าจำไม่ได้แล้ว หลังรัชศกเสียนเต๋อที่สี่จงปั๋วขาดการควบคุมดูแล ผู้ว่าการเขตตวนโจว ตุนโจว ฝานโจวและเติงโจวเปลี่ยนคนบ่อย ข้าจำได้แต่ฎีการ้องเรียน…”

สนามขุนนางประหนึ่งท้องทะเล แค่ตำแหน่งขุนนางน้อยใหญ่ที่สำคัญในชวี่ตูก็มีมากมายดุจขนวัว ตำแหน่งยิบย่อยในแต่ละท้องที่ยิ่งสลับซับซ้อน อย่าว่าแต่จงปั๋วเลย ต่อให้เป็นเจ้าเมืองของเจวี๋ยซีสิบสามเมือง ก็เป็นไปไม่ได้ที่อวี๋เสี่ยวไจ้จะจดจำได้ทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดว่าอีกฝ่ายถูกส่งไปรับตำแหน่งปีใด เคยได้รับการชี้แนะจากผู้ใดบ้าง

พึงรู้ว่าในชวี่ตู เวลายื่นเทียบขอเยี่ยมคารวะคนในตระกูลสูงศักดิ์ ขอเพียงเจ้าของบ้านยอมพบ พูดคุยกันไม่กี่คำ เดินออกจากประตูก็สามารถกล่าวว่าตัวเองเป็น ‘ลูกศิษย์’ ของอีกฝ่ายได้แล้ว พบหน้ากันต้องเรียกขานว่าอาจารย์ อีกอย่าง หลังรัชศกเสียนเต๋อสกุลฮวาและสกุลพันทำลายระเบียบกฎเกณฑ์ในราชสำนัก สุนัขรับใช้ของพวกเขาจึงมีจำนวนนับไม่ถ้วน

“ติงเถา” เซียวฉือเหย่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เจ้าเข้ามา”

ติงเถาโผล่ศีรษะเข้ามาอย่างไม่สบายใจ เห็นสีหน้าของเซียวฉือเหย่แล้วก็ตกใจกลัว เดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม ทุกคนในห้องต่างมองติงเถา เขาเบิกตาอยากมองเสิ่นเจ๋อชวน แต่กลับมิกล้า

เซียวฉือเหย่ไม่รีบ เขาขยับแขนเล็กน้อย ถามติงเถาว่า “เจ้ายังจำชื่อ ‘เผิงฟางเหมียว’ ได้หรือไม่”

ติงเถาสั่นศีรษะอย่างงุนงง

เฉียวเทียนหยาที่อยู่ข้างนอกบังเกิดไหวพริบ โพล่งขึ้นว่า “เถาจื่อ คนผู้นี้น่าจะอยู่ในรายชื่อผู้เข้าสอบของกรมปกครองหลังรัชศกเสียนเต๋อที่สี่เป็นต้นไป เจ้าลองคิดดูอีกที ฮวาซือเชียน เว่ยไหวกู่ หรือแม้แต่พันหรูกุ้ย เขาเกี่ยวข้องกับผู้ใด”

รัชศกเสียนเต๋อที่สี่ทหารม้าเปียนซาฆ่าล้างเมือง ผู้คนที่ยังหลงเหลืออยู่ในเติงโจวก็คือพวกถานไถหู่ พวกเขาถูกเซียวฉือเหย่รับเข้ามาเป็นทหารรักษาพระองค์ ผู้ว่าการเขตเติงโจวคนเก่าก็ตายในการเข่นฆ่าครั้งนั้น เผิงฟางเหมียวจึงเป็นขุนนางที่ถูกส่งออกไปหลังรัชศกเสียนเต๋อที่สี่

ติงเถานอกจากเขียนเก่งแล้ว ความทรงจำยังดีเลิศจนน่าตกใจ สมุดบันทึกบ้านเขาเป็นการเลียนแบบการรับฟังและบันทึกขององครักษ์เสื้อแพร ติงเถาซึมซับสิ่งนี้มาระหว่างติดตามบิดา แรกเริ่มสมัยอยู่ชวี่ตู เฉียวเทียนหยาเคยไปเยือนจวนหลีเป่ยอ๋องตอนกลางคืนและถูกติงเถากับกู่จินสกัดไว้ ตอนนั้นเขาซัดอาวุธลับออกไป ติงเถามองปราดเดียวก็สามารถเล่าถึงความเป็นมาได้ ทำให้เฉียวเทียนหยาจดจำได้แม่นยำจนถึงวันนี้

ติงเถาล้วงสมุดเล่มเล็กออกมา พลิกหน้ากระดาษท่ามกลางความเงียบ

อวี๋เสี่ยวไจ้เห็นดังนั้นจึงย้อนคิดตามไปด้วย เปรยออกมาโดยไม่รู้ตัว “สำนักตรวจการของพวกเรา…”

ติงเถาตาเป็นประกายทันที เขากั้นหน้ากระดาษไว้ “สำนักตรวจการ! ใช่แล้ว สำนักตรวจการ! คุณชาย” ติงเถามองเสิ่นเจ๋อชวนเหมือนกำลังทวงรางวัล “คดีลอบปองร้ายในชวี่ตู! ตอนนั้นกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรร่วมกับสำนักตรวจการตรวจสอบนายท่าน ช่วงเวลานั้นมีคนแซ่ฟู่ เป็นเขา!”

ฟู่หลินเยี่ย

แน่นอนว่าเสิ่นเจ๋อชวนจำคดีลอบปองร้ายได้ คดีครั้งนั้นทำให้เขาตระหนักถึงปัญหาเรื่องผ้าไหมเฉวียนเฉิง ตอนนั้นผู้ที่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปตรวจค้นจวนหลีเป่ยอ๋องก็คือฟู่หลินเยี่ยผู้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวา

อวี๋เสี่ยวไจ้ตบต้นขาทันใด ถึงขั้นลุกขึ้นยืน เขาโมโหตัวเองจนหัวเราะออกมา มองหน้าติงเถาและหัวเราะให้กัน “เช่นนั้นข้าก็คิดออกแล้ว ฝู่จวิน ก่อนคดีลอบปองร้ายทุกคนต่างคิดว่าฟู่หลินเยี่ยเป็นขุนนางจากตระกูลสามัญ เพราะฟู่หลินเยี่ยนี่ละ ตอนนั้นท่านรองถึงต้องลำบาก เจ้าคนชั่วช้าผู้นี้สมคบกับเว่ยไหวกู่ตั้งแต่แรกแล้ว!”

หลังรัชศกเสียนเต๋อที่สี่ตระกูลสูงศักดิ์ก็ประชันขันแข่งกับตระกูลสามัญ ตอนนั้นฮวาซือเชียนปกครองสภาขุนนาง ทั้งยังมีไทเฮากับพันหรูกุ้ยคอยช่วยเหลือ ไห่เหลียงอี๋จึงได้แต่อาศัยคำวิจารณ์ของสำนักตรวจการในการยับยั้งมิให้เขี้ยวเล็บของสกุลฮวาและสกุลพันแผ่ไปถึงท้องที่ต่างๆ ตอนนั้นฟู่หลินเยี่ยเสแสร้งได้เป็นอย่างดี เขามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจคัดเลือกขุนนางกรมพระคลังของไห่เหลียงอี๋และขุนนางตระกูลสามัญคนอื่นๆ มากทีเดียว

“ถ้าฟู่หลินเยี่ยเป็นคนส่งเผิงฟางเหมียวไปเติงโจว” เสิ่นเจ๋อชวนชะงักไปครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเว่ยไหวกู่หรือแม้กระทั่งซีหงเซวียนล้วนมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็น ‘เขา’ ”

 

[1] แผ่นเหล็ก อุปมาถึงผู้ที่แข็งแกร่ง ร้ายกาจ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า