เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีนั้น” เสิ่นเจ๋อชวน สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่เอ่ยช้าๆ “เหตุใดข้าจึงรับปาก เช่ออัน สวมต่างหูอันนี้”
เฟ่ยเซิ่งยืนอยู่ข้างหลังไกลออกไปมาก “เพราะนายท่านกับท่านรองรักใคร่ผูกพัน”
เสิ่นเจ๋อชวนยกมือขึ้นเด็ดดอกเหมยที่บังตัวเองออก เอ่ยว่า
“เพราะข้ารู้ว่ามีคนต้องจากไป
คนที่หายลับไปในหิมะจะไม่มีวันกลับมาอีก เว้นเพียงเช่ออัน”
.
เซียวฉือเหย่ สวมต่างหูให้หลันโจว สิ่งที่ประกาศชัดแจ้งคือความเผด็จการ
แต่สิ่งที่ซ่อนแฝงอยู่คือความรักใคร่ทะนุถนอม
ทุกครั้งเวลาเขาประคองดวงหน้าหลันโจวขึ้นมา
สายตาจะเร่าร้อนถึงเพียงนั้น นี่เป็นความรักที่มิอาจถอนตัว
เป็นความปรารถนาที่มิอาจเก็บซ่อน
.
เสิ่นเจ๋อชวนสวมต่างหูที่เช่ออันมอบให้ เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของเช่นกัน
ในความเจ็บปวดและความแค้นของเขายังหลงเหลือความอบอุ่น
นี่คือความอ่อนโยนของเขา เขาจะมอบให้เซียวเช่ออันคนเดียวเท่านั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 253 โรคลมหนาว
เมื่อถึงยามเฉิน บรรยากาศในตวนโจวพลันเปลี่ยนไป บนถนนและในตรอกซอยเต็มไปด้วยทหาร ทหารรักษาการณ์ผลัดกันตรวจตรารักษาความปลอดภัยร่วมกับทหารรักษาพระองค์ ประตูเมืองทั้งสี่ปิดสนิท ทั่วทุกหนแห่งมีแต่รองเท้าทหารและเสียงกระทบกันของดาบพก บรรยากาศภายในจวนตึงเครียด เหล่าองครักษ์ใกล้ชิดเตรียมพร้อมตลอดเวลา ไม่กล้าสะเพร่าอีกแม้แต่น้อย
เซียวฉือเหย่ย่อตัวลงตรงหน้าลี่สยง ถามว่า “เจ้ารู้จักเขาหรือ”
ลี่สยงใบหน้าได้รับบาดเจ็บ กำลังประคบยาอยู่ เขาตอบ “รู้จัก เป็นงูสี่ขา พวกเขาดื่มนมในเก๋อต๋าเล่อ ตัวเหม็นมาก”
เซียวฉือเหย่มุ่นคิ้วถาม “ไม่ใช่แมงป่องหรือ”
“แต่ก่อน แต่ก่อนเป็นแมงป่อง” ลี่สยงร้อนใจจึงพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย “ภายหลังถึงกลายเป็นงู”
ติงเถาฟังแล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก “อะไรคือแต่ก่อนเป็นภายหลังไม่เป็น”
“พวกเขาเป็นงูสี่ขา” ลี่สยงตบแขนตัวเอง “พี่ใหญ่ข้าเคยคุยกับพวกเขา พวกเขากับไห่ ไห่…” เขาจำชื่อไห่รื่อกู่ไม่ได้ “กับไห่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่วัวกับแพะ”
แมงป่องในสายตาของสิบสองเผ่าคือวัวกับแพะในเก๋อต๋าเล่อ ฐานะต่ำต้อย
เซียวฉือเหย่คิดถึงจั๋วลี่ จั๋วลี่ก็เป็นงูสี่ขา แต่จั๋วลี่มีลักษณะของชาวเปียนซาเด่นชัด แสดงว่างูสี่ขายังคงเป็นแมงป่อง เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเรียกขานเท่านั้น
“งูสี่ขา” เซียวฉือเหย่เหลือบตามองลี่สยง คาดเดาว่า “งูสี่ขาเป็นแมงป่องของอามู่เอ่อร์ ดังนั้นฐานะของพวกเขาจึงสูงกว่าอาชื่อและไห่รื่อกู่”
ลี่สยงชูนิ้วโป้ง พูดอย่างดีอกดีใจ “ใช่ พวกเขามีดินแดน สามารถขี่ม้าได้” เขาพูดไปพูดมาก็หงุดหงิดไม่สบอารมณ์ “พวกเขานิสัยเสียมาก ชอบทุบตีคนอื่น ไม่เล่นกับแมงป่อง ค่าตัวแพงกว่าแมงป่อง”
เซียวฉือเหย่ดันแหวนกระดูกปันจื่อและหมุนเบาๆ ฮาเซินตายไปไม่ถึงสามวัน งูสี่ขาของอามู่เอ่อร์ก็ปรากฏตัวในลานเรือน พวกเขาตามกองกำลังของจั๋วลี่เข้ามา หรืออาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วกันแน่
“เจ้าทำได้ดี” เซียวฉือเหย่ยกมือขึ้นลูบหัวลี่สยง “คอยเฝ้าฝู่จวินอยู่ที่นี่ ท่านรองมีขนมหวานให้”
“ที่ผ่านมาเจ้าระวังรอบคอบกับเรื่องพวกนี้” ผมของเฉียวเทียนหยายังไม่แห้งสนิทก็เข้าไปในคุก “วันนี้ไฉนจึงสะเพร่าถึงเพียงนี้ได้”
เฟ่ยเซิ่งพิจารณาศพ ฟังแล้วส่ายหน้าตอบว่า “คนร้ายหน้าตาเหมือนชาวต้าโจว พูดภาษาถิ่นคล่องกว่าเจ้ากับข้าเสียอีก” เขาหันไปมองอีกฝ่าย “พวกเขายังมีทะเบียนราษฎร์เป็นหลักฐานยืนยันตัวตนด้วย”
เฉียวเทียนหยาพลิกดูศพ
เสิ่นเจ๋อชวนจัดตั้งระบบทะเบียนราษฎร์ในจงปั๋ว ทำให้ทุกครัวเรือนล้วนมีทะเบียนสามารถตรวจสอบได้ ถ้าคนร้ายเหล่านี้มีแม้กระทั่งทะเบียนราษฎร์ ก็หมายความว่าเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะแฝงตัวอยู่ในจงปั๋วก่อนเสิ่นเจ๋อชวนจะเข้ามา
“แบบนี้ย่อมยาก” เฉียวเทียนหยาเอ่ยเสียงขรึม “หากแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนก็ไม่สามารถแยกแยะได้เลย”
“หากจะกล่าวถึงความผิดปกติ มีเพียงอย่างเดียว” เฟ่ยเซิ่งทำทีชี้ไปที่แขนของศพ “รอยสัก”
เฉียวเทียนหยาเลื่อนสายตาลงไปและเห็นรอยสักรูปงูสี่ขาที่ข้างแขนของศพจริงๆ
“ในอดีตเพื่อตรวจสอบแมงป่อง นายท่านสั่งให้ที่ว่าการต่างๆ บันทึกชื่อแซ่ของผู้ที่มีรอยสักไว้” เฟ่ยเซิ่งกอดอก “ข้าส่งจดหมายไปถึงอวี๋เสี่ยวไจ้ในตุนโจวแล้ว ถ้าไม่มีรายชื่อของสองคนนี้ เช่นนั้นแสดงว่าพวกเขาแฝงตัวเข้ามาตอนเมืองแตก”
เฉียวเทียนหยาพยักหน้า ตอนหดมือกลับมามองเฟ่ยเซิ่ง ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าถ้าพวกเขาเป็นคนร้ายที่แฝงตัวเข้ามา จะทิ้งสัญลักษณ์ที่เด่นชัดถึงเพียงนี้ไว้บนร่างกายทำไม”
พวกเขาล้วนเป็นองครักษ์เสื้อแพร ตระหนักดีถึงความจำเป็นในการพรางตัว แมงป่องจำเป็นต้องมีรอยสัก แล้วเหตุใดงูสี่ขาที่ฐานะสูงกว่าแมงป่องต้องมีรอยสักด้วยเล่า
เฟ่ยเซิ่งแววตาหนักอึ้ง จุปากเบาๆ
เสิ่นเจ๋อชวนตื่นมาครั้งหนึ่งยามเซิน เซียวฉือเหย่ป้อนยาให้ เขาไข้ขึ้นจนหัวสมองมึนงงหนักอึ้ง ได้ยินเสียงพูดของเซียวฉือเหย่ แต่เสียงนั้นประเดี๋ยวใกล้ประเดี๋ยวไกล
“หลันโจว…” เซียวฉือเหย่พูดอะไรบางอย่าง พลางเกลี่ยผมข้างแก้มเสิ่นเจ๋อชวนออก
เสิ่นเจ๋อชวนหอบเบาๆ คล้ายหายใจไม่ออก อมช้อนและกลืนยาคำสุดท้ายลงไป เซียวฉือเหย่ใช้ผ้าที่ชุบน้ำจนเปียกเช็ดเหงื่อให้ เขาเอียงศีรษะ ปลายจมูกถูไถฝ่ามือเซียวฉือเหย่ที่พันผ้าพันแผลไว้ ริมฝีปากขยับเล็กน้อย
เซียวฉือเหย่ก้มหน้าฟัง
“ของข้า” วาจาของเสิ่นเจ๋อชวนสลับกัน “ผ้าเช็ดหน้า”
“อยู่กับข้า” มือข้างที่ว่างของเซียวฉือเหย่ทาบลงบนฝ่ามือเปียกชื้นของเขา “ไว้หายแล้วค่อยให้เจ้า”
เสิ่นเจ๋อชวนป่วยจนไม่ได้สติ เปล่งเสียงครางสองทีอย่างเลือนรางท่ามกลางความเจ็บปวด
เซียวฉือเหย่หมอบลงข้างหมอนทั้งตัว ปลอบโยนเขา “ให้เจ้าจริงๆ”
เสิ่นเจ๋อชวนไม่เชื่อ เขาพยายามมุ่นคิ้ว ดวงตาที่หลุบลงครึ่งหนึ่งฉายแววเสียใจ ซุกหน้ากับฝ่ามือเซียวฉือเหย่ หัวใจของเซียวฉือเหย่ถูกเขาบีบเค้นเช่นนี้ ก้มศีรษะลงดันจอนผมเขา แนบติดกับเหงื่อเขา
ปลายลิ้นของเสิ่นเจ๋อชวนมีแต่รสขม ดวงตาที่ลืมครึ่งหนึ่งมองเห็นแต่ภาพบิดเบี้ยวประหลาด มีเพียงกลิ่นอายของเซียวฉือเหย่โอบล้อมอยู่ ทำให้เขารู้สึกราวกับล่องลอยอยู่กลางทุ่งหญ้าที่พลิ้วตัวเป็นคลื่น เขาร้องเรียกด้วยเสียงเบาหวิว “เซียวเอ้อร์”
เซียวฉือเหย่หอมแก้มเขา ตอบด้วยเสียงที่เปล่งออกมาทางจมูกหนักๆ “หือ?”
เสิ่นเจ๋อชวนนิ่วหน้าหลายครั้ง พูดกระท่อนกระแท่น “ข้าอยาก…กินของหวาน…”
หัวใจที่แขวนเติ่งของเซียวฉือเหย่วางลงได้บ้าง ลุกขึ้นชงน้ำผึ้งให้เขา เสิ่นเจ๋อชวนดื่มเพียงสองช้อนเท่านั้น แค่ให้ปลายลิ้นมีรสหวานติดอยู่ก็พอ เซียวฉือเหย่ซักผ้าเช็ดหน้าอีกครั้งและเช็ดเหงื่อที่คอให้เขา แตะดูเหมือนไข้จะลดลงเล็กน้อย
เซียนเซิงทั้งหลายในห้องโถงข้างต่างกระวนกระวาย ควันยาเส้นฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง จวบจนยามไฮ่ก็ยังไม่มีใครลุกขึ้น แม้แต่ข้าวปลายังลืมกิน ความคิดจิตใจล้วนผูกอยู่ที่ฝู่จวิน
“หมอพวกนี้ล้วนไม่ได้เรื่อง” ถานไถหู่นั่งบนเก้าอี้ พูดกับขงหลิ่ง “หรือให้ข้าควบม้าออกจากเมืองตอนนี้ ไปลองหาหมอในตุนโจวดูอีกครั้ง เซียนเซิงคิดว่าดีหรือไม่”
เกาจ้งสยงประหม่าจนสีหน้าเปลี่ยนไป รีบโบกมือตอบว่า “มิได้ คนร้ายวันนี้มีที่มาชัดเจน หากมีสายของศัตรูแฝงตัวอยู่จริง ไม่ว่าใครก็มิอาจแยกแยะได้แน่ชัด!”
ขงหลิ่งขมวดคิ้วมุ่น
คนในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝนตกข้างนอก เหล่าองครักษ์ใกล้ชิดตากฝนอยู่เวร โคมไฟที่จุดขึ้นกลางดึกส่องทางเดินเส้นต่างๆ ภายในจวนจนสว่าง ไม่เปิดช่องให้ผู้ใดฉวยโอกาสได้อีก
หลังสงครามทุกคนต่างไม่ได้พักผ่อน พอพ้นยามโฉ่วไปคนที่ร่างกายอ่อนแอหน่อยก็ทนไม่ไหว เอนกายงีบหลับบนเก้าอี้ จะนอนก็ไม่กล้านอนจริงๆ ได้แต่ฝืนอดทนอยู่อย่างนั้น
เหยาเวินอวี้ถอดปลอกคอกันลมตอนเข้ามาในห้อง เสียงล้อรถเข็นทำให้หลายคนสะดุ้งตื่น เขาพับปลอกคอกันลมและวางไว้บนตัก เอ่ยเสียงนุ่มนวล “มีท่านรองอยู่ที่นี่ ฝู่จวินต้องไม่เป็นอะไรแน่ ข้ารู้ว่าเซียนเซิงทุกท่านร้อนใจดั่งไฟลน แต่ตอนนี้สงครามเพิ่งยุติ งานต่างๆ ในที่ว่าการสะสมมากมาย หากจะรอให้ฝู่จวินฟื้นแล้วค่อยจัดการย่อมไม่เหมาะ เฉิงเฟิงกับเสินเวยเฝ้าอยู่ที่นี่ก็พอ คนอื่นๆ กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้งานต้องจัดการตามปกติ เรื่องเล็กสามารถจัดการตามความเหมาะสมได้เลย เรื่องใหญ่ที่ตัดสินใจไม่ได้ให้ส่งมาที่ห้องโถงข้าง พวกเราร่วมกันหารือและตัดสินใจ”
ขงหลิ่งลุกขึ้นเอ่ยว่า “ตอนนี้ฝู่จวินกำลังป่วย ไม่เหมาะจะเอาเรื่องงานมาเร่งรัดจริงๆ ทุกคนกลับไปก่อนเถิด”
ทุกคนลุกขึ้นรับคำ ถอยออกไปข้างนอกตามลำดับ
เกาจ้งสยงรินน้ำชาให้เหยาเวินอวี้ “หยวนจั๋วกลัวความเย็น ควรเรียกใครสักคนติดตามมาด้วย”
เหยาเวินอวี้รับน้ำชามาและขอบคุณ “มีปลอกคอกันลมกับเสื้อคลุมตัวใหญ่ ไม่เป็นไร หลายวันนี้ฝนตกไม่หยุด ข้าเห็นคูระบายน้ำในเมืองไหลอย่างราบรื่น ไม่เกิดปัญหาใด”
“เมื่อตอนต้นปี” ถานไถหู่พูดอย่างกระปรี้กระเปร่า ขยี้ตาที่มีรอยแผลเป็นจากดาบ “เมื่อตอนต้นปีทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ ด้วยเกรงว่าหิมะละลายจะก่อให้เกิดการอุดตัน จึงตั้งใจลอกคูระบายน้ำกันรอบหนึ่ง”
“ในเติงโจวมีการอุดตัน แต่ปัญหาไม่ร้ายแรง ใต้เท้าอวี๋พบเห็นตอนตรวจตราจึงสั่งการให้ลอกคู” เกาจ้งสยงพูด “สองวันนี้มีข่าวส่งมาจากฉือโจวมากมาย นอกจากจดหมายถามไถ่อาการฝู่จวินของใต้เท้าโจวแล้ว ยังมีการพูดถึงแปดเมืองด้วย”
สกุลพันถูกริบทรัพย์ ตันเฉิงพลาดโอกาสหว่านไถฤดูวสันต์ ตอนนี้เดือนหกแล้ว อีกไม่นานก็ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวในฤดูสารท ปัญหาปากท้องของชาวบ้านในตันเฉิงย่อมน่ากังวล
“ทางนี้พวกเราทำสงคราม ชวี่ตูก็กำลังทำสงครามเช่นกัน” ขงหลิ่งพูด “ได้ข่าวมาว่า สภาขุนนางสั่งให้กรมพิธีการจัดเตรียมพิธีราชาภิเษกแล้ว”
หานเฉิงตายแล้ว ไทเฮาอาศัยความสัมพันธ์กับฮวาเซียงอีรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ฝ่ายใน คำสั่งโยกย้ายทหารหลวงในแปดกองกำลังกลับคืนสู่มือของรัชทายาท อีกทั้งหลี่เจี้ยนถิงยังมีทหารรักษาการณ์ฉี่ตงเป็นประกัน ตระกูลสูงศักดิ์ที่ตัวเองยังเอาไม่รอดไหนเลยจะต้านทานได้
“พวกเราถูกข้าศึกจากภายนอกประชิดเมือง ทุกคนร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือฝู่จวิน เปียนซาย่อมมิใช่โจทย์ยาก แต่บัดนี้ชวี่ตูแตกแยกเป็นหลายพรรคหลายฝ่าย การริบทรัพย์สกุลพันของเซวียเหยียนชิงทำให้แปดเมืองกระวนกระวาย” เหยาเวินอวี้พูดเสียงเบา “รัชทายาทขึ้นครองราชย์ยิ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนชัดเจน”
“จะว่าไป” ขงหลิ่งมองเฉินหยาง “พวกเรายังไม่รู้ว่าในเปียนจวิ้นเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ การเจรจากับเผ่าโหย่วสยงสำเร็จหรือไม่”
เฉินหยางดูแลกิจทหาร ตอบว่า “หากเจรจาสำเร็จ ท่านรองไม่มีทางมาช้า ต๋าหลันไถแห่งเผ่าโหย่วสยงตอบรับคำขอของพวกเรา สัญญาว่าจะไม่ขัดขวางการเดินทัพขึ้นเหนือของท่านจอมทัพ แต่เขารับของขวัญขอบคุณจากฮาเซินด้วย เขาพูดได้และทำได้จริง แม้มิได้ขัดขวางท่านจอมทัพในการนำกำลังไปเก๋อต๋าเล่อ แต่ก็ทำลายข้อตกลงที่ทำกับพวกเรา ลอบโจมตีเปียนจวิ้นกะทันหันตอนท่านรองเตรียมตัวโยกย้ายกำลังมาตวนโจว”
เป็นเช่นที่ชีจู๋อินคาดเดา ต๋าหลันไถไม่พึ่งพาผู้ใดทั้งนั้น เขาไม่อยากยอมจำนนต่ออามู่เอ่อร์ และไม่อยากถูกเสิ่นเจ๋อชวนบงการ คำขอของฮาเซินและเสิ่นเจ๋อชวนทำให้เขามองเห็นโอกาส เขาอยากใช้เปียนจวิ้นเป็นทางผ่านในการยึดครองด่านสั่วเทียนทางทิศใต้ หลังจากสูญเสียเฝิงอีเซิ่งไป ที่นั่นก็ไม่มีขุนพลที่แข็งแกร่งประจำการ
เผ่าโหย่วสยงดำรงชีพอยู่ในทุ่งหญ้าทางทิศใต้ ตอนต๋าหลันไถร่อนเร่ไปในทะเลทรายก็ตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่มีพื้นที่สำหรับหมี พวกเขาเดินทางอย่างยากลำบากเพื่อกลับไปบริเวณบ้านเกิด ยินดีต่อสู้สุดกำลังบนคมดาบเพื่อเสาะหาที่อยู่อาศัยแหล่งใหม่
ทหารม้าเหล็กของเซียวฉือเหย่พบกับม้าสยงหม่าในทรายเหลือง
เปียนจวิ้นทำศึกอยู่สองวัน ต๋าหลันไถตายในสงครามที่นั่น เผ่าโหย่วสยงเหมือนจะมิอาจก้าวข้ามธรณีประตูนั้นได้ตลอดกาล พวกเขาได้แต่ถอยกลับไปในทะเลทรายอีกครั้ง
“กองหนุนที่ฮาเซินทิ้งไว้ในเก๋อต๋าเล่อให้เป็นหน้าที่ของท่านจอมทัพ” เฉินหยางชูรายงานทางทหารในมือ “เมื่อคืนมีรายงานด่วนแจ้งว่า ระหว่างทางขากลับท่านจอมทัพพบว่าอามู่เอ่อร์กำลังโยกย้ายกำลัง” พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา คนในห้องโถงพลันตกประหม่า
เกาจ้งสยงพูดตะกุกตะกัก “เช่นนั้น เช่นนั้นแสดงว่า จะทำ ทำสงคราม…”
เฉินหยางส่งสัญญาณให้เขาผ่อนคลาย “แค่โยกย้ายกำลังเท่านั้น ถึงอย่างไรเขตสมรภูมิก็ไม่มีขุนพลหลักแล้ว อามู่เอ่อร์ต้องส่งคนที่สามารถรับช่วงต่อจากฮาเซินได้มาแทน…ข้าคิดว่าคนผู้นี้อาจเป็นตัวเขาเอง” เพราะเซียวฉือเหย่ไม่ได้คืนศีรษะของฮาเซินกลับไป
“รายละเอียดการจัดการทางทหาร ต้องดูว่าท่านรองจะสั่งการอย่างไร” ถานไถหู่บอกให้เซียนเซิงทั้งหลายวางใจ “ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางบุกมาถึงใต้กำแพงเมืองได้อีก ยามนี้พวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ ต่อให้อามู่เอ่อร์ออกรบด้วยตัวเองก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าฮาเซิน อีกอย่างถ้าเขาจะข้ามแม่น้ำฉาสือ ต้องถามท่านรองดูก่อนว่าอนุญาตหรือไม่”
บรรยากาศในห้องโถงข้างผ่อนคลายลงเล็กน้อย ระหว่างที่พวกเขาคุยกันพลันได้ยินเสียงเอะอะดังหน้าห้อง เฉินหยางเลิกม่านชะโงกหน้าออกไป
ติงเถาร้องไห้ขี้มูกโป่ง ดึงเฉินหยางตะโกนว่า “พี่ชาย! รีบให้หมอเข้าไปในห้องเร็ว ฝู่จวินไข้ขึ้นอีกแล้ว!”
หมอทั้งหลายมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ขณะรวมตัวอยู่หน้าห้อง หารือตัวยาที่จะใช้เสียงเบา สายฝนชะล้างดอกจิ๋วหลี่เซียงในลาน ซัดกลีบดอกจนหล่นกระจายไปทั่ว เฉียวเทียนหยากับเฟ่ยเซิ่งตากฝนกลับมา เหยียบกลีบดอกไม้ เช็ดน้ำฝนตามตัวอย่างรวดเร็วหน้าห้อง
“หมอที่เคยตรวจโรคให้หยวนจั๋วก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว” เฉียวเทียนหยาโยนผ้ากลับไปที่เดิม “หมอที่เก่อชิงชิงเชิญมาจากเจวี๋ยซีก็อยู่ด้วย ไม่มีใครรักษาได้เลยหรือ”
“ไข้ของฝู่จวินเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง” เฉินหยางไม่กล้าหันไปทางหน้าต่างพูด จึงเบี่ยงตัวเอ่ยเสียงเบา “เห็นว่าพื้นฐานร่างกายเสียไปหมดแล้ว เหมือนเครื่องกระเบื้องอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีหมอคนใดกล้าใช้ยา”
“คราวก่อนตอนรักษาหยวนจั๋วก็พูดแบบนี้” เฉียวเทียนหยาฟังแล้วไม่พอใจนัก นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูด “ในอดีตฝู่จวินเคยใช้ยาจนร่างกายทรุดโทรม แต่ช่วงที่ผ่านมาบำรุงรักษาร่างกายอยู่บ้านเป็นอย่างดี ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้”
“นายท่านตั้งใจรักษาร่างกาย ยาล้วนกินตามเวลาเสมอ” เฟ่ยเซิ่งบิดน้ำออกจากผ้าเช็ดหน้า พูดด้วยความกังวล “แต่วันนั้นยังคงบาดเจ็บสาหัสเกินไป”
ในห้องต้องสลายกลิ่นยา ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากเข้าไปรบกวนท่านรองเวลานี้ ต่างยืนรอรับคำสั่งอยู่หน้าห้อง แต่พอข้ารับใช้ยกยาเข้าไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงอาเจียนของเสิ่นเจ๋อชวน
เซียวฉือเหย่กึ่งกอดเสิ่นเจ๋อชวนไว้ พอแตะหลังหลันโจวก็พบว่าเหงื่อชุ่มไปหมด ยาสาดลงบนพื้น เสิ่นเจ๋อชวนอาเจียนไม่ออกอีกแล้ว พอน้ำย่อยออกมาหมดก็ได้แต่อาเจียนแห้งๆ ตอนนี้กระเพาะเขาบิดมวน คนอาเจียนจนได้สติ
กลางดึกมีหมอก เงาแสงซีดขาวส่ายไหวอยู่ในสายฝน เสียงฝีเท้าในลานเรือนไม่หยุดลงเลย สายฝนทำให้ลานเรือนเฉอะแฉะ ผ้าปูเตียงถูกเปลี่ยนอีกครั้ง
เฟ่ยเซิ่งพูดอย่างกระวนกระวาย “เตรียมกระถางไฟ จุดไฟให้ภายในห้องแห้งหน่อย”
เฉินหยางเห็นผ้าโปร่งที่นำออกมาอาบโลหิต ไม่รู้ว่าเป็นของเซียวฉือเหย่หรือเสิ่นเจ๋อชวน
ลี่สยงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างประตู งีบหลับไปครู่หนึ่งและตื่นตอนยามอิ๋น เฟ่ยเซิ่งสั่งให้ห้องครัวตักข้าวให้ เขาก้มหน้าพุ้ยข้าวชามใหญ่ใส่ปาก กินอิ่มก็นั่งอยู่ที่เดิมต่อ คอยเฝ้ามองคนที่เข้าออก
“ยามเหม่าเตือนท่านรองให้นอนพักสักครู่” เฉียวเทียนหยานั่งยองข้างเสา ถูหินจนเกิดไฟและจุดกล้องยาเส้น “อดนอนเช่นนี้ต่อให้ร่างกายทำจากเหล็กก็ทนไม่ไหว นอนข้างในนั่นแหละ พวกเราจะคอยเฝ้าประตู…” เขายังพูดไม่ทันจบ มือข้างหนึ่งพลันยื่นมาจากด้านข้าง ปัดกล้องยาเส้นของเขาออก
เฉียวเทียนหยาหันกลับไป มองเห็นเหยาเวินอวี้
“เหม็นชะมัด” เหยาเวินอวี้หมุนรถเข็นสี่ล้อ หันหน้าไปทางห้องหลัก
หมอกควันม้วนตัวเป็นเกลียว ก่อนจะสลายกลายเป็นที่มองไม่เห็นในคืนฝนตกอันเปียกชื้น เฉียวเทียนหยายันเข่าลุกขึ้นยืน ดับไฟในกล้องยาเส้น
ยามเหม่าภายในลานเงียบสงัด ท้องฟ้ามืดและสว่าง องครักษ์ใกล้ชิดที่เฝ้าเวรกลางคืนอย่างต่อเนื่องมิอาจทำสิ่งใดได้ เฟ่ยเซิ่งยืนพิงเสาหลับตาพักผ่อน ฉับพลันหูเขาก็กระดิกเล็กน้อยก่อนจะลืมตา ครู่หนึ่งผ่านไปหน้าประตูจึงมีความเคลื่อนไหว
“กลับมาแล้ว” เฟ่ยเซิ่งกระโดดลงจากบันไดทันที “กู่จินกลับมาแล้ว!”
โคมไฟหน้าห้องดับไปหนึ่งดวง เซียวฉือเหย่ได้ยินเสียง รออยู่ครู่หนึ่งม่านก็เลิกขึ้นนิดๆ
“ท่านรอง” กู่จินที่เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางคุกเข่าลงข้างหนึ่งในห้องชั้นนอก “ข้ากลับมาล่าช้า! ระหว่างทางได้ยินว่าตวนโจวถูกทหารม้าเปียนซาโอบล้อม เร่งเดินทางมาตามทางม้าแล้วก็ยังไม่ทัน!”
เซียวฉือเหย่ลุกพรวดทันใด เดินออกมาจากห้องชั้นใน หลายคนที่อยู่หน้าห้องต่างตั้งใจฟัง น้ำฝนบนหน้ากู่จินยังเช็ดไม่สะอาด เขาประสานสายตากับเซียวฉือเหย่ มิกล้าลังเล รายงานทันที “ท่านรอง ต้าซือ…ตายแล้วจริงๆ”