生死谷
หุบเขาคร่าวิญญาณ
鄭丰เจิ้งฟง
เขียน
HUNZA
แปล
โปรย
หุบเขาเร้นลับที่ปราศจากทางออก
เหล่าเด็กน้อยถูกพาตัวมารับการฝึกฝนอันแสนโหดเหี้ยม
เพื่อให้พวกเขาเติบใหญ่กลายเป็นนักฆ่า
เป็นอาวุธสังหารที่กุมความเป็นไปของแว่นแคว้น
ในยุคที่แผ่นดินระส่ำระส่ายนี้
เผยรั่วหลัน คุณหนูหกแห่งจวนขุนนาง
เสี่ยวหูจื่อ บุตรชายเพียงคนเดียวของเสนาบดีอู่
แม้มีชาติกำเนิดสูงส่ง หากแต่เด็กทั้งสอง
กลับถูกลักพามาได้อย่างง่ายดาย
ไม่พ้นต้องตกลงสู่นรกไร้ปราณี
ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพวกเขาไป
พี่น้องสองร้อยคน
ด่านทั้งสาม
มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่จะได้กลับบ้าน!
ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
บทที่ 5 สหายร่วมทุกข์
เผยรั่วหลันไม่รู้ว่าตนเองมายังหุบเขาแห่งนี้ได้อย่างไร นางถูกวางยาสลบแล้วพาตัวมาไม่ต่างจากเด็กอีกสิบหกคนในรถม้าที่เสี่ยวหูจื่อนั่งมา เมื่อฟื้นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตนเองอยู่ในหุบเขาที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว
นางจำได้ราง ๆ ถึงคืนวันนั้นว่านั่งท่องตำรา ‘สมบัติกุลสตรี’ อย่างเกียจคร้านอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน นางหาวแล้วหาวอีกจนตัดสินใจเข้านอน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็น ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง นางหันกลับไปดูด้วยความตกใจเห็นหญิงชรายืนอยู่ที่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ หากสายตาที่มองมาเย็นชายิ่งนัก เผยรั่วหลันคิดว่าตนเองกำลังฝันไปหรือไม่ก็ถูกผีหลอก กำลังจะลุกขึ้นยืนพลันเวียนหัวตาลาย หมดความรู้สึกไปทันที
ระหว่างนั้นนางคล้ายกับเห็นคนแปลกหน้าสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งเป็นชายสวมชุดนักพรตสีดำทั้งชุด ใบหน้าเหลืองซีด สีหน้าเคร่งขรึมดูเป็นคนดีมีคุณธรรม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหญิงชราเส้นผมขาวโพลนยืนจ้องนางอยู่ ยังคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินนักพรตชุดดำพูดขึ้นว่า “จะให้นางฟื้นขึ้นมาก่อนไม่ได้ ใช้ยาให้มากกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม”
หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้างเย็นชาว่า “ถ้าใส่มากอีกหน่อยเกรงว่าจะไม่ฟื้นอีกเลยน่ะสิ”
นักพรตพนักหน้ารับ “ข้าคาดหวังในตัวนางมาก หากอบรมสั่งสอนให้ดี ๆ ส่งกลับบ้านได้ก่อนอายุสิบสามปีจะต้องเป็นบุคคลพิเศษที่หาได้ยากยิ่ง อย่าให้นางเป็นอะไรไปก่อน”
หญิงชราเบ้ปากเอ่ยราวกับจะเยาะเย้ย “คนที่ถูกส่งเข้าหุบเขาสิบคนมีรอดออกมาไม่ถึงหนึ่งคน อย่าได้ตั้งความหวังสูงเกินไป”
นักพรตเดินจากไปเงียบๆ หญิงชราหัวเราะเสียงเย็น เดินออกไปจากการมองเห็นของเผยรั่วหลัน ในความสะลึมสะลือนางหมดสติลงอีกครั้ง
เผยรั่วหลันรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับไปนานแสนนาน รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนอยากนอนต่อไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ขณะนอนหลับนางฝันถึงเรื่องต่าง ๆ มากมายแต่แล้วก็จำไม่ได้เลยสักเรื่อง นางรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามขยับตัวเพื่อตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่อาจหลุดจากความฝันนั้นได้เลย
เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนเองนอนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง พื้นด้านล่างแข็งกระด้าง ผนังด้านข้างตะปุ่มตะป่ำมีแต่ความหนาวเย็น มืดมิดและวังเวง สิ่งแรกที่คิดก็คือนางคงถูกแม่ชีประหลาดผู้นั้นจับตัวมาขังไว้ในถ้ำใดถ้ำหนึ่งบนภูเขาทางทิศตะวันออกที่ตั้งอารามเมฆขาว นางผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วคิดจะหาทางหนีกลับบ้าน แต่เมื่อมองออกไปนอกถ้ำจึงพบว่าตนเองอยู่ในหุบเขาที่ไม่คุ้นเคย มีต้นไม้ใหญ่ครึ้ม หน้าผาลาดชัน คาดเดาว่าหุบเขาแห่งนี้น่าจะลึกนับร้อยจั้ง รอบด้านเป็นหน้าผาสูงเสียดฟ้า แม้แต่ท้องฟ้าด้านบนยังรู้สึกว่าไกลเหลือเกิน
นางคิดถึงใบหน้าที่เห็นในความฝันอย่างเลือนราง เหมือนจะมีนักพรตกับหญิงชรา และบทสนทนาของพวกเขาที่พูดถึงหุบเขาอะไรสักอย่าง หากนางคิดรายละเอียดไม่ออกแม้แต่น้อย
เผยรั่วหลันมีแต่ความสับสนและไม่ชัดเจน แต่แล้วนางก็เข้าใจถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของตนเองได้อย่างรวดเร็ว มีคนลักพาตัวนางออกจากบ้านส่งมายังหุบเขาไม่รู้ชื่อแห่งหนึ่ง สิ่งที่นางคิดได้ตอนนี้ก็คือ ใครที่มีความสามารถถึงขนาดลักพาตัวข้าออกจากจวน แล้วท่านแม่อยู่ที่ใด หากรู้ว่าข้าหายตัวไปคงตกใจจนแทบสิ้นสติ นางจะต้องส่งข่าวให้ท่านพ่อรู้โดยเร็ว หรือไม่ก็ไปขอความช่วยเหลือจากท่านป้า เผยรั่วหลันคิดต่อไป ‘ท่านป้าคงจะให้ท่านแม่ไปแจ้งทางการ หากท่านแม่แจ้งทางการแล้วพวกเขาจะต้องหาที่นี่จนเจอแล้วพาตัวข้ากลับบ้านไปแน่” เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วนางก็พยายามทำใจให้เยือกเย็น ไม่ให้ตนเองหวาดวิตก
นางได้ยินเสียงดังจากนอกถ้ำแต่ไม่เห็นมีใครเข้ามาเสียที ตอนนี้เองที่นางรู้สึกหิวจนแสบท้องพยายามรวบรวมความกล้าลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกถ้ำ
ยามนี้น่าจะใกล้เที่ยงวัน มีชายในชุดสีดำทั้งตัวคาดผ้าสีม่วงเส้นใหญ่รอบเอวยืนอยู่นอกถ้ำไม่ไกลนัก ชายผู้นั้นหันกลับมาเห็นเผยรั่วหลันจึงเลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “ฟื้นแล้วหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาเสียอีก แม่เฒ่าจินก็ใช้ยามากเกินไป”
เผยรั่วหลันได้ยินคำว่า‘แม่เฒ่าจิน’ และ‘ใช้ยา’ก็คล้ายจะจำอะไรได้แต่สุดท้ายก็ยังคิดไม่ออก นางเงยหน้ามองชายชุดดำ เขาเป็นคนร่างกายสูงใหญ่ ไหล่กว้างเอวหนา ใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม แววตาดุดัน ไม่ใช่คนที่นางเคยเห็นหน้ามาก่อน คาดว่าคงจะเป็นพวกเดียวกับโจรถ่อยที่ลักตัวพานางมาแน่ จึงถลึงตามองเขาทั้ง ๆ ที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ชายหน้าเหลี่ยมขมวดคิ้วมองอย่างรำคาญใจ “ในเมื่อฟื้นแล้วก็รีบมาฝึกวิชา ตามข้ามา” เขาเห็นเผยรั่วหลันยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจึงก้าวยาว ๆ พร้อมกับกระชากแขนนางอย่างหยาบคาย ตวาดเสียงดังลั่น “ยังไม่รีบไปอีก”
เผยรั่วหลันอุทานด้วยความตกใจพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่อาจสู้แรงของชายชุดดำได้ นางถูกเขากระชากตัวเดินถูลู่ถูกังไปข้างหน้าเพื่อไปรวมกลุ่มกับเด็กอีกสี่คน นางพบว่าตนเองและเด็กทั้งสี่คนอยู่หมู่อินทรีสอง
นับจากนั้นมานางนอนดึกตื่นเช้า วัน ๆ ถูกสั่งให้ฝึกวิชา ถูกด่าทอถูกทุบตี ความหวาดกลัวอ้างว้างสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเผยรั่วหลันได้ไม่ต่างจากเด็ก ๆ นับร้อยในหุบเขา เพียงแต่นางมีความอดทนดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ อดทนต่อความลำบากได้มากกว่าเด็กคนอื่น ๆ แม้จะเกิดในตระกูลขุนนาง ถูกเลี้ยงดูอย่างไม่เคยได้รับความลำบากมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งบิดามารดาพี่ชายทั้งหลายให้ความรักเอ็นดูนางเต็มที่ แต่เพราะนิสัยแท้จริงของนางเป็นคนเข้มแข็ง มีความแข็งแกร่งพึ่งพาตนเองได้ ไม่ใช่คุณหนูตระกูลผู้ดีที่อ่อนแอเหยาะแหยะ ตอนนี้นางเข้าใจถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่ตนเองเผชิญอยู่เป็นอย่างดี รู้ว่าต้องเก็บความอ่อนแอให้มิดชิด ดึงความเข้มแข็งออกมาให้มากที่สุดเพื่อปกป้องตนเอง เช่นนี้นางจึงจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้
หลายคืนแรกนางได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ดังระงมไปทั่วหุบเขา ทั้ง ๆ ที่อยากร้องไห้ใจจะขาดแต่ต้องพยายามฝืนเอาไว้ นางไม่เคยเสียน้ำตาเลยสักหยด ในหมู่เดียวกันมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กผอมบางอีกคน นางร้องไห้สะอึกสะอื้นโหยหวนจนถึงกลางดึก เผยรั่วหลันฟังแล้วทรมานใจยิ่งนักแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปปลอบได้แต่ยกมืออุดหู แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เวลาผ่านไปอีกสิบกว่าวัน จู่ ๆ หัวหน้าหมู่ก็เรียกนางไปบอกว่ามีคนอยากพบ เผยรั่วหลันประหลาดใจนัก ‘ใครต้องการพบข้า หรือว่าเขาจะมาช่วยข้า’
นางเดินตามหัวหน้าหมู่หน้าเหลี่ยมออกไปยังถ้ำใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ทิศตะวันตกของหุบเขาด้วยจิตใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่นปะปนกับความคาดหวังและหวาดกลัว มีนักพรตชุดดำ สีหน้าท่าทางดูเหมือนเป็นคนดี เขาคลี่ยิ้มน้อย ๆ ให้ เป็นคนที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อน
นักพรตให้เผยรั่วหลันนั่งลงเอ่ยยิ้ม ๆว่า “คุณหนูหกไม่ต้องกังวล ข้ามีนามว่าอู๋เฟย” เสียงของเขาแหบแห้งฟังแล้วพิลึกพิลั่นยิ่งนัก ดูจากภายนอกจะเห็นว่านักพรตผู้นี้ไม่เหมือนคนร้าย แต่เมื่อฟังเขาเอ่ยปาก เผยรั่วหลันกลับสะดุ้งเพราะสัมผัสได้ถึงความชั่วช้าที่ไม่อาจสรรหาคำมาบรรยายแผ่กระจายจากร่างของคนผู้นี้
นักพรตเอ่ยต่อไปว่า “ที่ข้ามายังหุบเขาครั้งนี้ เพราะได้รับการไหว้วานจากมารดาของเจ้า”
เผยรั่วหลันฟังเขาเอ่ยถึงมารดาจึงสะดุดใจ ‘หรือว่าเขารู้จักท่านแม่ เขามาช่วยข้ากลับบ้าน?’ เมื่อมีความหวังทำให้นางโพล่งออกไปว่า “ท่านแม่ให้ท่านมาช่วยข้ากลับไปหรือ”
นักพรตยิ้มน้อย ๆ ส่ายหน้าให้นาง “ไม่ใช่ เจ้ายังกลับบ้านไม่ได้ คุณหนูหก เจ้ามาที่นี่ได้สิบกว่าวันแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”
สิบวันที่ผ่านมาเผยรั่วหลันขบคิดเรื่องราวต่าง ๆ สารพัด คาดเดาว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ใครเป็นคนจับตัวมา แล้วหุบเขานี้คือที่ใดกันแน่ นางเห็นความโหดร้ายและอำมหิตของหัวหน้าหมู่หน้าเหลี่ยมกับตา ต้องฝึกวิชากันอย่างยากลำบาก อยู่อย่างทุกข์ทรมานและเจ็บปวด เมื่อได้ยินนักพรตชุดดำเอ่ยถามว่า “รู้สึกอย่างไร” ทำให้นางไม่รู้ว่าควรตอบอะไร และยิ่งไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ที่นางวางใจได้หรือไม่
นักพรตกล่าวต่อไปว่า “ไม่จำเป็นต้องสงสัย มารดาเจ้าให้ข้ามาดูว่าเจ้าปรับตัวอยู่ที่นี่ได้มากน้อยเพียงใด เพราะรับคำไหว้วานจากมารดาเจ้าข้าถึงได้พาเจ้ามารับการฝึกฝนในหุบเขาแห่งนี้”
เผยรั่วหลันฟังแล้วตะลึงงัน นางคิดในใจ ถึงแม้ท่านแม่อยากส่งตัวข้าไปอยู่ที่อื่นเพียงใดย่อมไม่มีทางให้คนแปลกหน้าวางยาสลบแล้วพาตัวข้ามา อีกทั้งไม่มีทางยินยอมส่งข้ามายังหุบเขารกร้างมีแต่ความทุกข์ยากและน่าหวาดกลัวแห่งนี้เพื่อฝึกวิชาหรือเพื่อให้ผู้อื่นลงโทษแน่นอน ตอนนี้จิตใจของนางเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ถลึงตามองนักพรต ปิดปากสนิทไม่ยอมตอบคำถามเขา
นักพรตเห็นนางไม่ปริปากก็มิได้เซ้าซี้ เอ่ยต่อไปว่า “คุณหนูหก เจ้าก็คงรู้ว่าเผยฮูหยินเป็นกังวลกับนิสัยดื้อดึงและซุกซนของเจ้ามากเพียงใด ต่อไปหากเกิดส่งตัวเจ้าเข้าวังหลวงแล้วปรับตัวไม่ได้อาจก่อเรื่องใหญ่โตขึ้น ดังนั้นนางจำเป็นต้องตัดสินใจทำเรื่องที่เจ็บปวดใจด้วยการไหว้วานให้ข้าพาเจ้ามารับการฝึกฝนในหุบเขานี้เป็นเวลาหลายปี เมื่อใดที่เจ้าออกจากหุบเขาก็จะเป็นช่วงอายุที่ต้องเข้าวังหลวงพอดี อนาคตต่อไปนี้เจ้าอาจต้องทนลำบากอยู่บ้าง ฝึกวิชาไปพร้อม ๆกับเด็กคนอื่น ๆ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เมื่อผ่านการฝึกฝนนี้ไปแล้วเส้นทางการเข้าวังหลวงของเจ้าจะเป็นไปอย่างราบรื่น
เผยรั่วหลันฟังคำพูดของนักพรตที่ว่า‘ฝึกฝนหลายปี’ก็รู้สึกใจหายทันที เขาคิดจะจับตัวข้าไว้ที่นี่อีกหลายปี นางฟังแล้วเกิดความหนักใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ถลึงตามองนักพรตเงียบ ๆ ไม่โต้ตอบใด ๆ นางรู้ดีว่ามารดาเคยมีความคิดส่งตัวนางไปอยู่คฤหาสน์นอกเมืองของท่านป้าเพื่อศึกษากริยามารยาทและเรียนรู้เกี่ยวกับขนบของกุลสตรีต่าง ๆ แต่นางไม่มีทางเชื่อว่ามารดาจะฝากฝังนางกับคนแปลกหน้าที่ดูพิลึกพิลั่นมีแต่กลิ่นอายความชั่วร้ายเช่นนักพรตผู้นี้เป็นแน่ และยิ่งไม่เชื่อว่ามารดาจะส่งตัวนางมาฝึกฝนวิชาในสถานที่อันตราย อาจได้รับบาดเจ็บทำให้ใบหน้าเสียโฉมได้ทุกขณะ การฝึกทักษะทั้งหกของเด็ก ๆในหุบเขาเป็นคนละเรื่องกับมารยาทกุลสตรีที่มารดาต้องการให้นางฝึกฝน
นักพรตเห็นนางข้องใจไม่หายจึงยิ้มน้อย ๆ เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติว่า “ฮูหยินรู้ว่าเจ้าคงไม่เชื่อจึงได้เขียนจดหมายให้เจ้าฉบับหนึ่ง เมื่อใดที่เจ้าฝึกวิชาสำเร็จผ่านด่านทั้งสามไปได้ จะได้กลับบ้านไปพบหน้าพ่อแม่พี่น้องอีกครั้งหนึ่ง” เขาหยิบจดหมายจากอกเสื้อส่งให้นาง
เผยรั่วหลันรับจดหมายมาเปิดอ่าน เห็นตัวอักษรที่คล้ายกับลายมือมารดาเขียนไว้ว่า
‘รั่วหลันลูกรัก นักพรตอู๋เฟยเป็นนักพรตผู้มีตบะแก่กล้า เพื่ออนาคตของลูก แม่จึงได้ไหว้วานให้ท่านพาตัวเจ้ามาฝึกฝนเพื่อปรับปรุงอุปนิสัยและความเคยชินที่ไม่ดีงามของลูก ลูกต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่านนักพรต อย่าได้ขัดขืนเป็นอันขาด ตั้งใจร่ำเรียนวิชา ผ่านด่านทั้งสามให้ได้โดยเร็วเพื่อจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าอีกครั้ง แม่’
เผยรั่วหลันอ่านข้อความในจดหมายสามรอบก่อนบันดาลโทสะ คนเหล่านี้ช่างเลวร้ายยิ่งนัก บังอาจปลอมลายมือของท่านแม่มาหลอกข้า คิดว่าข้าจะเชื่อหรือ นางกัดริมฝีปากเพื่อสะกดความโกรธเกรี้ยวลงไป ไม่ต้องการให้ปรากฏอยู่บนสีหน้าของตนเอง
นักพรตเห็นนางอ่านจบแล้วจึงยื่นมือหยิบจดหมายกลับมาเก็บเอาไว้ เขายิ้มน้อย ๆ ไม่ได้พูดสิ่งใด โบกมือเป็นการบอกให้นางไปได้ หัวหน้าหมู่หน้าเหลี่ยมเดินเข้ามาพาตัวเผยรั่วหลันออกจากถ้ำใหญ่กลับไปยังหมู่อินทรีสองตามเดิม
เผยรั่วหลันนั่งตัวสั่นเทิ้มอยู่ในถ้ำด้วยความโกรธจัด นางไม่มีทางเชื่อว่ามารดามีความประสงค์ส่งตัวนางมายังหุบเขาประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ยิ่งไม่เชื่อว่ามารดาจะไหว้วานให้นักพรตชั่วช้าผู้นั้นนำตัวนางมาฝึกวิชา แม้นางอายุยังน้อย แต่รู้ดีว่าสกุลเผยเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ท่านพ่อเป็นถึงขุนนางราชสำนัก ปกครองอยู่เขตเหอหนาน พี่ชายทั้งห้าคน มีสามคนที่รับราชการ อีกทั้งนางยังเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าวังเป็นนางใน ท่านแม่เป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี ไม่มีทางรู้จักนักพรตหรือชาวยุทธและยิ่งไม่มีทางยินดีส่งนางมายังสถานที่รกร้างห่างไกลเช่นนี้ แล้วเหตุใดนางจึงถูกพามาที่นี่ ตอนนี้นางเริ่มคาดเดาได้ถึงวัตถุประสงค์ของโจรถ่อยที่มีนักพรตชุดดำเป็นหัวหน้าว่าลักพาตัวนางมาเพราะเหตุใด
ขณะนี้เผยรั่วหลันได้แต่อธิษฐานในใจขอให้ท่านแม่แจ้งความกับกองปราบ ขอให้มีคนตามหาตัวนางมาถึงหุบเขาแห่งนี้โดยเร็ว ขอให้มีคนมาพาตัวนางออกไป แต่ทว่าเวลาผ่านไปราวกับติดปีก หลายเดือนมานี้ยังไม่เห็นมีใครเข้ามาช่วยนางเลยสักคน ยิ่งไม่เห็นมีใครอื่นเข้ามายังหุบเขาแห่งนี้ได้เลย เสมือนกับเป็นสถานที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ความหวังที่จะมีคนมาช่วยมอดดับไปทีละน้อยตามวันเวลาที่ยาวนานมากขึ้น นางไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทนทุกข์อยู่ในหุบเขาที่มีแต่ความโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวนี่อีกนานเพียงใดกว่าจะได้รับการส่งตัวออกไป นางไม่กล้าคิดถึงมัน ได้แต่ประคองตัวให้ผ่านแต่ละวันไปให้ได้
หลังจากนั้นเป็นต้นมานางฝึกทักษะทั้งหกพร้อมกับพวกพ้องหมู่อินทรีสองทุกวัน หัวหน้าหมู่หน้าเหลี่ยมเป็นคนใจคอโหดร้ายและอำมหิตคล้ายจะชอบทุบตีคนอื่น แต่ละครั้งที่เด็กๆ ฝึกวิชาต่าง ๆ ได้ไม่ดี ไม่ว่าจะวิ่งรั้งท้ายหรือว่ายน้ำมาเป็นที่โหล่ กระโดดเสาไม้หรือปีนหน้าผาแล้วตกลงมา พวกเขาจะต้องถูกชายหน้าเหลี่ยมกระหน่ำตีอย่างแรงจนหมดสติ เนื้อขาปริแตกเหวอะหวะ บาดเจ็บหนักเสียจนไม่อาจลุกขึ้นมาฝึกในวันรุ่งขึ้นได้ เผยรั่วหลันพยายามไม่ให้ตนเองรั้งท้าย ไม่ให้ตกจากเสาไม้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งนางพลาดตกจากเสาไม้ แล้วถูกหัวหน้าหน้าเหลี่ยมฟาดเอาอย่างแรงจนได้แต่กลิ้งตัวบนพื้นเพื่อหลบเลี่ยงการตี นางได้แต่ส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด ชายหน้าเหลี่ยมเหมือนจะพึงพอใจที่ได้ยินเสียงร้องขอความเมตตาจากเด็ก ๆ เผยรั่วหลันพบว่ายิ่งตนเองส่งเสียงร้องโหยหวนหรือกลิ้งหลบมากเท่าไร เขาก็ยิ่งลงมือรุนแรงมากเท่านั้น มีแต่การกัดฟันสะกดความเจ็บปวดปล่อยให้เขาตีอยู่ที่เดิมไม่ส่งเสียงร้องออกมาจึงจะพอบรรเทาความรุนแรงลงได้
แต่ละวันผ่านไปด้วยความหวาดกลัว ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวด นางพยายามเชื่อฟังคำสั่ง ตั้งสมาธิกับการฝึกวิชาโดยไม่คิดถึงเรื่องใด ๆ แม้นางไม่เชื่อคำพูดหลอกลวงของนักพรตชุดดำก็จริง แต่นางก็รู้ว่ามีแต่ทำใจให้เชื่อเท่านั้นจึงจะพาตนเองให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ อย่างน้อยสามารถหลอกตนเองว่าท่านแม่รู้ว่านางอยู่ที่นี่ หลอกตนเองว่าจะต้องมีสักวันที่ท่านแม่เห็นว่านางได้รับการฝึกฝนเพียงพอจนแก้ไขนิสัยที่ไม่ดี ผ่านด่านสามด่านอะไรนั่นได้ แล้วจะมาพาตัวนางกลับบ้าน มีแต่การทำใจให้เชื่อเช่นนี้เท่านั้นจึงไม่ทำให้นางตกลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง
เวลาครึ่งเดือนผ่านไป เผยรั่วหลันไม่กล้าเอ่ยปากพูดกับพวกพ้องในหมู่ มีแต่ความกังวลและอ้างว้างจนแทบอดทนต่อไปไม่ไหว วันนี้ขณะที่นางฝึกวิชาแบกสิ่งของเกิดสะดุดล้มอยู่หลายครั้ง ถูกชายหน้าเหลี่ยมทำร้ายเสียจนขาสองข้างปวดแสบปวดร้อนไม่อาจข่มตาหลับได้ พยายามฝืนตัวเองไม่ให้ส่งเสียงร้องโอดโอยอยู่บนเสื่อเย็นเฉียบ ขณะที่รู้สึกเจ็บจนแทบทนไม่ไหว นางรู้สึกว่ามีคนมาอยู่ข้างกายจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ จากแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทำให้เห็นว่าคนคนนั้นคือเจ้าสามที่นอนอยู่ถัดไปนั่นเอง เจ้าสามมีใบหน้าซูบตอบ ดวงตาสองข้างค่อนข้างเล็ก หน้าตาดูอัปลักษณ์น่าชัง เขากระซิบเบา ๆว่า “อย่าเพิ่งขยับ เจ็บมากใช่ไหม ข้าทาน้ำยาที่ได้จากใบไม้ให้พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว”
เผยรั่วหลันเห็นเขาฉีกยิ้มด้วยสีหน้าเป็นมิตรจึงค่อยคลายความหวาดระแวงลง แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะมีเด็กคนไหนกล้าฝ่าฝืนคำสั่งห้ามคุยของหัวหน้าหมู่ จึงรีบหันหน้าไปมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตระหนก ด้วยกลัวว่าจะถูกชายหน้าเหลี่ยมพบเข้า
เจ้าสามเดาถึงความคิดของนางได้จึงกระซิบต่อไปว่า “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ทุกคนนอนหลับหมดแล้ว ข้าเห็นหัวหน้าหมู่กับคนอื่น ๆ เดินออกไปโน่นแล้วไม่เป็นไร”
นับตั้งแต่เผยรั่วหลันมาถึงหุบเขาแห่งนี้ วัน ๆ ได้แต่ฟังเสียงตวาดเสียงตะโกนของชายหน้าเหลี่ยม เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนอื่นมากระซิบคุยกับนาง เกิดความตื้นตันเสียจนขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาเกือบไหลออกมา
เจ้าสามจับหัวไหล่ของนางเบา ๆ ในความมืดมิดพลางเอ่ยว่า “อย่าขยับ ข้าจะทายาให้” เขาเลิกขากางเกงขึ้นมาพร้อมกับทายาน้ำจากใบอะไรไม่รู้ให้ เผยรั่วหลันรู้สึกเหมือนมีกองไฟลุกโชนบริเวณที่ถูกตีจนแทบจะทนไม่ไหวต้องกัดฟันไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา
เจ้าสามกระซิบต่อไป” เจ้าอดทนหน่อย อดทนหน่อย ขอทานเฒ่าแถวบ้านเกิดข้าเป็นคนสอนให้ทำยาชนิดนี้ มันใช้ได้ผลดีมาก รับรองว่าพรุ่งนี้เจ้าจะไม่เจ็บแล้ว” เขาทายาไปถามไป “นี่เจ้าห้า ที่บ้านของเจ้ายังมีใครอีกบ้าง”
เผยรั่วหลันรู้ว่าเขาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตนเพื่อไม่ให้จดจ่อกับความเจ็บปวดจึงตอบไปว่า “ข้ายังมีพ่อแม่มีพี่ชายอีกห้าคน”
เจ้าสามหัวเราะ” พี่ชายตั้งห้าคนเชียว ดีเหลือเกิน เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าเข้มแข็งมาก หนึ่งเดือนมานี้ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าร้องไห้สักครั้ง โดนตีแค่นี้จะเป็นไรไป กัดฟันอดทนหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปเอง”
เผยรั่วหลันพยักหน้าพูดเสียงต่ำ ๆว่า “ข้าจะอดทนให้ได้ ข้าจะต้องได้กลับบ้าน”
เจ้าสามพยักหน้า “ถ้าเจ้าจะกลับบ้านจะต้องพยายามฝ่าด่านสามด่านให้ได้ มีแต่พี่น้องที่ฝ่าด่านทั้งสามได้จึงจะได้กลับบ้าน”
เผยรั่วหลันคิดถึงคำพูดที่นักพรตเคยพูดกับตนเองจึงเกิดความหวังขึ้นมาอีกหลายส่วนถามว่า “ถ้าผ่านด่านสามด่านแล้วจะกลับบ้านได้นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
เจ้าสามไหวไหล่พลางกล่าวว่า “ข้าได้ยินพวกหัวหน้าหมู่พูดกันอย่างนี้คงจะไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก” ตอนนี้เขาทายาให้เสร็จแล้วจึงดึงขากางเกงของนางลงพลางพูดว่า”เสร็จแล้ว รีบนอนเถอะ”
เผยรั่วหลันรู้สึกว่าความเจ็บแสบในตอนแรกหายไปเหลือเพียงอาการชา ๆ แสบ ๆ นางซาบซึ้งใจถึงกับเอ่ยว่า “ขอบใจนะ”
เจ้าสามยิ้มให้นาง “ไม่ต้องขอบใจหรอก ข้าก็ทำได้แค่นี้ ต่อไปข้าจะสอนให้เจ้าคั้นน้ำจากใบไม้เพื่อมาทำยาทาแก้ปวดให้ได้ผลชะงัด”
เผยรั่วหลันไม่กล้าแม้แต่จะยิ้มให้เขา หากในใจกลับเบิกบานอย่างมิอาจบรรยายได้ นางรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านอีกครั้ง เกิดความซาบซึ้งและไว้ใจราวกับเจ้าสามเป็นญาติสนิทคนหนึ่ง วันนี้นางเหนื่อยล้ามาทั้งวัน จึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ในฝันของนางยังมีคำว่า ‘เจ้าสาม’‘กลับบ้าน’ และ‘ผ่านสามด่าน’ วนเวียนไปมา
หลายวันต่อมา เจ้าสามสอนสิ่งต่าง ๆ ให้นางมากมาย เขาแอบกระซิบบอกเผยรั่วหลันว่า “ไม่ต้องไปกลัวเจ้าหน้าเหลี่ยมนั่นหรอก ขอเพียงแค่พวกเราตั้งใจฝึกซ้อม เขาย่อมไม่ทำร้ายพวกเรา เจ้าเชื่อฟังคำสั่งเขาแต่โดยดี ก้มหน้าก้มตาฝึกวิชาก็จะไม่ทำให้เขาสนใจเจ้าแต่อย่างใด ปกติให้ทำหน้าตาเฉยเมย ไม่ว่าหัวหน้าหมู่จะพูดอะไรทำอะไรหรือพี่น้องคนอื่น ๆทำอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตามเจ้าจะต้องเยือกเย็นเข้าไว้ แล้วจะไม่เป็นไร”
เผยรั่วหลันเชื่อฟังคำสอนของเจ้าสามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ดังนั้นนางจึงพยายามทำให้ตนเองดูเฉยชา ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆทางสีหน้า เก็บความหวาดกลัว ความเศร้าเสียใจ ความคลางแคลงใจและความเจ็บปวดให้อยู่ในส่วนลึกที่สุด มิให้พวกมันได้ปรากฏขึ้นมาเด็ดขาด มีบางครั้งที่นางเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีจนไม่รู้ว่าตนเองตอนนี้มีความรู้สึกใดกันแน่ มันมีแต่ความว่างเปล่า แต่ทว่าเจ้าสามมักจะเดาถึงความนึกคิดของนางได้อยู่เสมอ เขาลอบมาหานางตอนดึก ๆ บางครั้งก็บีบไหล่ให้เบา ๆ บางครั้งกระซิบคำปลอบใจหรือให้กำลังใจ บางครั้งทายาแก้ปวดบนบาดแผลที่ถูกตีให้ แม้จะพูดกันเพียงสั้น ๆสองสามประโยคแต่สร้างความอบอุ่นใจให้กับเผยรั่วหลันอย่างมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้
เผยรั่วหลันซาบซึ้งใจในตัวเจ้าสามเป็นอย่างมาก เพราะเขาเป็นคนฉุดรั้งนางเอาไว้ในยามที่ท้อแท้และสิ้นหวังอย่างที่สุด ทำให้นางเห็นหนทางที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็งได้ต่อไป ในขณะที่นางเกิดความหวาดกลัวและอ้างว้าง เขาได้มอบมิตรภาพที่จริงใจและอบอุ่นที่สุดให้ ทำให้นางประคองความหวังอันเลือนรางของตนเองต่อไป เผยรั่วหลันสำนึกบุญคุณที่เจ้าสามให้การดูแลและห่วงใยอย่างที่สุด เจ้าสามเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่และเป็นสหายที่ดีที่สุดของนางขณะที่ถูกนำตัวมายังหุบเขาแห่งนี้ในช่วงอายุเจ็ดปีและเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปได้อย่างยากลำบากที่สุด
เมื่อเผยรั่วหลันเห็นนักพรตผู้นั้นมายังหุบเขาอีกครั้งเพื่อประกาศวันทดสอบฝ่าด่านแรกในอีกสามเดือนข้างหน้า ทำให้นางตื่นเต้นจนมิอาจทำให้ใจให้เยือกเย็นลงได้ หุบเขาแห่งนี้มิใช่สถานที่ที่ผู้คนจะดำรงชีวิตอยู่ได้ มีแต่การผ่านด่านทั้งสามให้ได้เท่านั้น จึงจะหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ กลับบ้านได้ในเร็ววัน นักพรตคนนั้นบอกว่ามีพี่น้องแค่สามสิบหกคนที่จะผ่านด่านนี้ไปได้ ดังนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นอันดับหนึ่งในหมู่พี่น้องทั้งห้าแต่ยังต้องเป็นหนึ่งในสามสิบหกคนที่ผ่านด่านจึงจะกลับบ้านได้
นับจากนั้นมา นางมุ่งมั่นฝึกวิชาต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง สามเดือนก่อนนี้นางแค่ทำความเข้าใจกับนิสัยใจคอของหัวหน้าหมู่ของตน นางรู้ว่าพี่น้องในหมู่ถ้ามีใครฝึกซ้อมได้ยอดเยี่ยมจะไม่ได้รับคำชม แต่ใครที่ทำได้แย่ที่สุดจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก เพื่อมิให้ตนเองต้องถูกลงโทษ นางจึงทำให้แค่ผ่านไปได้ ไม่ถึงกับทำผิดพลาดแต่ไม่ใช่คนที่ทำได้ดีที่สุด แต่ทว่าบัดนี้นางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าถึงจะไม่รั้งท้าย ไม่ทำผิดพลาดก็ใช่จะเพียงพอ นางจำเป็นต้องเร็วที่สุด ทำได้ดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดจึงจะสามารถผ่านด่านที่หนึ่งไปได้ ทำให้เข้าใกล้บ้านเกิดที่จากมาได้อีกก้าวหนึ่ง นับจากนั้นมาไม่ว่าจะเป็นการวิ่งรอบหุบเขา การปีนหน้าผา การว่ายน้ำ กระโดดข้ามเสาไม้ นางล้วนแต่ทำได้ดีเป็นอันดับหนึ่ง นางจะต้องเป็นคนแรกที่วิ่งครบรอบ เป็นคนแรกที่ปีนไปถึงจุดหมาย เป็นคนแรกที่ว่ายน้ำข้ามมา เป็นคนแรกที่กระโดดเสาไม้จนครบ
ขณะอยู่ที่เมืองฉางอัน เผยรั่วหลันมักจะหนีออกจากจวนไปเล่นเตะลูกหนังกับเด็กข้างถนนละแวกนั้นอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าตนเองคล่องแคล่วว่องไวไม่แพ้เด็กผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกัน ดังนั้นแม้นางจะอยู่ในกลุ่มเด็กผู้หญิงที่อายุค่อนข้างน้อยกว่าคนอื่น ๆ ในหุบเขา แต่นางมุมานะไม่ด้อยไปกว่าใคร กอปรกับนางมีนิสัยชอบเอาชนะจึงกลายเป็นเด็กที่มีผลการฝึกยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่อินทรีสอง แต่นางยังไม่พอใจอยู่เพียงเท่านี้ นางยังทุ่มเทฝึกวิชาเต็มที่ ด้วยความปรารถนาจะเป็นคนยอดเยี่ยมที่สุดในจำนวนเด็กทั้งสองร้อยคน
เผยรั่วหลันมีเป้าหมายในใจที่ชัดเจนและมุ่งมั่น ข้าจะต้องผ่านด่านเพื่อกลับบ้านให้ได้ ข้าจะต้องกลับไปอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ ความยากลำบากในการฝึกวิชา ความโดดเดี่ยวอ้างว้างของการห้ามพูดคุย ความเศร้าเสียใจกับการคิดถึงบ้านเหล่านี้ข้าสามารถซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุดไม่ให้มันออกมารบกวนสมาธิและจิตใจของข้า
นางมิใช่คนมีอัธยาศัยน้ำใจไมตรีเช่นเดียวกับเสี่ยวหูจื่อ นอกจากพูดคุยกับเจ้าสามที่จะมาพูดปลอบนางกลางดึกในบางครั้งนาง ไม่เคยพูดคุยกับพี่น้องคนอื่น ๆ ในหมู่เดียวกันเลย แม้แต่การส่งสายตาสื่อความในใจก็ยังไม่มี นางปิดกั้นตนเองอยู่ภายใต้ความโดดเดี่ยวและเคียดแค้น กัดฟันอดทนกับคืนวันอันโหดร้าย