[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก บทที่ 1

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟคลอก

ทั้งยังสูญเสียความทรงจำ ไม่สามารถจดจำผู้ใดได้

สิ่งที่มีติดตัวมีเพียงป้ายหยกของเหวินเหรินเหิง เจ้าสำนักฝ่ายธรรมะ

ซ้ำฝ่ายนั้นยังอ้างว่าเขาคือศิษย์น้องที่หายสาบสูญไปอีกด้วย

ระหว่างสืบหาตัวตนของตนเอง กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมากมาย

เย่โย่วสงสัยว่าตนอาจเป็นประมุขลัทธิมาร

และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแผนการของเขาเอง

เขาจะเชื่อใจผู้ใดได้บ้าง หรือเชื่อไม่ได้เลยแม้กระทั่งตนเอง

ความลับที่ถูกเปิดโปงในครานี้

จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งยุทธภพเป็นแน่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 1

 

 

“นานแค่ไหนแล้ว ยังไม่มีข่าวคราวจากท่านประมุขอีกหรือ”

“ไม่มี และไม่รู้ด้วยว่าไปที่แห่งใด…โอ๊ย…”

เขาเสี่ยวชิง [1] ในอำเภอชิงสุ่ย [2] เขียวขจีจนมองเห็นจากระยะพันหลี่ [3] สมชื่อ น้ำพุบนภูเขาไหลคดเคี้ยวลงมาตามทาง เกิดเสียงดังซู่ๆ แม้จะไม่ได้เป็นขุนเขาและแม่น้ำเลื่องชื่อ แต่ก็ยังเรียกได้ว่า “งดงาม” ทว่าชาวบ้านที่อยู่ใกล้กลับไม่ค่อยมีผู้ใดกล้ามายังภูเขาแห่งนี้

ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากบนภูเขาแห่งนี้มีลัทธิมารที่มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนยุทธภพตั้งอยู่

ลัทธิมารแห่งนี้ย้ายมาที่นี่เป็นเวลาห้าหกปีแล้ว ในช่วงแรกที่พวกเขาย้ายมานั้นมีแต่เรื่องสับสนอลหม่าน ผู้คนจากยุทธภพต่างถืออาวุธดาบจับหอก วิ่งโร่ขึ้นไปด้วยไอสังหารเดือดพล่าน แล้วก็วิ่งหนีหางจุกตูดลงมา ก่อให้เกิดเสียงดังโกลาหล ชาวบ้านรอบข้างจึงรู้กันทั่วว่าเขาเสี่ยวชิงเป็นที่พำนักของสำนักที่ทรงอำนาจแห่งหนึ่ง

เมื่อสอบถามจากทั่วทุกสารทิศมาเป็นอย่างดี จึงรู้ว่าเป็นสำนักที่มาจากต่างถิ่น เล่าขานกันว่าคนในสำนักนี้รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนชาวยุทธภพจากจงหยวน [4] หน้าดำ มีเขี้ยวยื่นจากปาก ดูอัปลักษณ์น่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ไม่แน่ว่าอาจชอบกินเนื้อมนุษย์สดๆ เสียด้วยซ้ำ ทุกคนจึงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน แต่เมื่อเห็นว่าลัทธิมารนี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนรำคาญใดๆ ชาวบ้านจึงพอจะอยู่อย่างสบายอกสบายใจได้บ้าง

แม้ชาวบ้านจะยังไม่กล้าเข้าใกล้ภูเขาแห่งนั้นเหมือนเดิม แต่ก็มีเด็กที่ชอบวิ่งเล่นเคยขึ้นไปบนนั้น พวกเขาต่างกลับลงมาเล่าว่าได้พบกับคุณชายยิ้มแย้มแจ่มใสท่านหนึ่ง ไม่เพียงหล่อเหลาเท่านั้น แต่ยังมีอาหารเลิศรสให้กินมากมาย และมีอีกหลายคนที่บอกว่าได้พบกับหญิงสาวผู้เลอโฉมดุจผีเสื้อสีสันงดงาม

พวกผู้ใหญ่ตกใจสะดุ้งโหยง กลัวว่าลูกหลานของพวกเขาจะต้องมนตร์หรือถูกวิชาของปีศาจเข้า จึงสวดอธิษฐานต่อปวงเทพและขอพรพระอยู่พักหนึ่ง แล้วจบที่จับเด็กๆ มาตีสักยก พร้อมห้ามไม่ให้กลับขึ้นไปอีก

ปีแล้วปีเล่า ผู้คนจากยุทธภพที่กล้ามาท้าดวลยังเขาเสี่ยวชิงลดน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งกลุ่มโจรยังอ้อมผ่านเขาแห่งนี้ไปด้วย ชาวบ้านจึงค่อยๆ รู้สึกว่าการมีลัทธิมารอยู่ใกล้ๆ ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด เพราะพวกเขารู้ดีว่าเหตุที่ผู้อื่นไม่กล้าเข้ามาก่อกวนในละแวกนี้ เป็นเพราะลัทธิมารอันแสนน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งรู้สึกเคารพยำเกรงเขาเสี่ยวชิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาด

*******

ในขณะที่ชาวลัทธิมารถูกโลกภายนอกเล่าลือว่าเป็นปีศาจ พวกเขาเองกลับไม่ได้ทั้งฆ่าหรือกินเนื้อมนุษย์ แต่ต่างมีชีวิตอยู่อย่างแสนสบาย

ผู้ที่ทำมาค้าขายและออกไปทำธุระยังไม่กลับมา จึงมีบุคคลสำคัญรักษาการณ์อยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น ได้แก่ ผู้ที่บ้างปลูกดอกไม้บ้างอ่านตำรา ผู้ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าวันละสามชุด และผู้ที่ศึกษาพิษหนอนแมลง บางครั้งพวกเขาก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ บ้าง เพื่อสำรวจว่ามีเด็กที่พอจะมีแววเป็นยอดฝีมือของยุทธภพ หรือมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาอยู่บ้างหรือไม่

แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า พวกเขาล้วนตระหนักถึงสิ่งหนึ่ง

“ท่านประมุขยังไม่กลับมาอีกหรือ”

“ยังไม่กลับ”

“เขาไม่ได้บอกว่าจะไปไหนเลยหรือ และไม่ได้ส่งข่าวกลับมาบ้างหรือ”

“ไม่มีเลย”

“โอ้…”

เริ่มแรกเป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ หลังจากนั้นไม่กี่วันจำนวนคำถามก็เพิ่มมากขึ้น ซ้ำยังเจือด้วยความวิตกกังวลเล็กน้อย ความสงสัยและความไม่สบายใจเหมือนเมฆดำที่ก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเกิดพายุฝน กดทับหนักอึ้งอยู่ในใจ รอคอยช่วงเวลาปะทุอย่างสมบูรณ์

ในที่สุดวันหนึ่งจึงมีคนเอ่ยปากถาม “ข้าว่า…ท่านประมุขคงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกกระมัง”

“ไม่กระมัง” อีกคนกล่าว “ท่านประมุขฉลาดถึงเพียงนั้น จะเสียเปรียบได้อย่างไรกัน”

“หรือว่า…”

“เขาออกไปกับผู้อาวุโสไป๋ ทางผู้อาวุโสไป๋ก็ไม่มีข่าวคราวหรือ”

“ถามแล้ว ผู้อาวุโสไป๋ตอบจดหมายมาว่า เขาแยกกับท่านประมุขตั้งนานแล้ว จึงไม่รู้ว่าท่านประมุขอยู่ที่ใด แต่ท่านประมุขมักชอบเรื่องสนุกสนานมาแต่ไหนแต่ไร หากพบเจอเรื่องสนุกในที่ห่างไกล ลำพังแค่กลับมาก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนแล้วนะ”

“อืม สิ่งสำคัญคือหากเราบุ่มบ่ามไปรบกวนสอดรู้สอดเห็นเรื่องของท่านประมุข คนที่ซวยก็จะเป็นพวกเราเอง ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อน ท่านต้องไปทำเรื่องสนุกอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ รอกันอีกสักหน่อยเถิด”

“มีเหตุผล!”

ทุกคนปลอบใจกันอยู่พักหนึ่ง แล้วรอการกลับมาของท่านประมุข ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน

พวกเขารอแล้วรอเล่า

เฝ้ารอและรอคอย

รอต่อไป…รอจนกระทั่งน้ำฝนชะล้างเขาเสี่ยวชิงรอบแล้วรอบเล่ารวมสิบกว่าหน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เห็นท่านประมุขแม้แต่เงา

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งล้มโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ดอกไม้ของข้ากระถางนี้ใกล้ร่วงโรยแล้ว! เหตุใดเขายังไม่กลับมาอีก”

คนอื่นๆ ก็บ่นพึมพำเช่นกัน

ผู้อาวุโสเหมยเดินลากกระโปรงอันงดงามไปรอบๆ ห้องตำราด้วยความกระวนกระวายใจ พลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านประมุขเป็นคนเก่งและฉลาด แต่ในแง่ของวรยุทธ์ เขาจัดอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูงในยุทธภพเท่านั้น หากได้พบกับปรมาจารย์ชั้นหนึ่ง…ไม่สิ หากพบปรมาจารย์ยังไม่ถือว่าเลวร้าย กลัวว่าจะไปเจอพวกชอบใช้ความรุนแรง อีกทั้งใบหน้าของเขาก็สุ่มเสี่ยงให้พบเจออันตรายมากเกินไป”

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าว “ไม่ว่าจะหน้าตาดีแค่ไหน ท่านประมุขก็ยังเป็นบุรุษ ข้ากลัวแต่เขาจะตกเป็นเป้าของพรรคธรรมะ ถ้าถูกจับไป…”

“ไม่หรอก ในยามปกติท่านประมุขมักสวมหน้ากาก พรรคธรรมะจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเขา อีกอย่างเมื่อออกไปข้างนอก ท่านประมุขก็มักจะแปลงโฉมอยู่เสมอ”

“หากเผอเรอเปิดเผยตัวออกไปเล่า”

ผู้อาวุโสเหมยกล่าว “ข้าคิดว่ามีแนวโน้มจะเจอพวกชอบใช้ความรุนแรง แล้วถูกจับขังเสียมากกว่า”

“โอ้…” ผู้อาวุโสเหมียวที่กำลังศึกษาหนอนแมลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ถ้าพูดถึงพวกชอบใช้ความรุนแรง เคยมีคนผู้หนึ่งในบ้านเกิดของข้า เขาชอบจับคนสวยกลับมาตัดลิ้นและจมูก หักขาทั้งสองข้าง แล้วสวมปลอกคอ จูงให้คลานไปมาบนพื้น แล้วแสดงเล่นกลให้ผู้คนดู”

คนที่เหลือ “…”

ผู้อาวุโสเหมียวกล่าวต่อ “จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าขันทีที่จะเข้าวังต้องหน้าตาสะสวย หากท่านประมุขของเราถูกคนร้ายจับไปขายเข้าวัง…”

คนที่เหลือ “…”

ในห้วงความคิดของใครหลายคนเต็มไปด้วยภาพที่ท่านประมุขถูกทารุณกรรม สีหน้าพลันค่อยๆ หนักอึ้งขึ้น ในขณะที่พวกเขากำลังจะลงมือกระทำการบางอย่าง ในที่สุดผู้อาวุโสไป๋ที่ออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอกก็กลับมาเสียที พวกเขาคว้าหญ้าช่วยชีวิต [5] ที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้ทันที แล้วแย่งกันล้อมหน้าล้อมหลังผู้อาวุโสไป๋จนอุตลุด

ผู้อาวุโสไป๋มีท่าทางเหมือนคนยังไม่ตื่นดีอยู่เป็นนิจ ทำเรื่องใดก็เชื่องช้ากว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ เว้นเสียแต่เรื่องการต่อสู้

หลายคนรีบถาม “ท่านประมุขเล่า เขาไม่ได้บอกว่าจะไปที่ใดหรือ”

ผู้อาวุโสไป๋ส่ายหน้าแล้วถามกลับ “เขายังไม่กลับมาอีกหรือ”

“ยังไม่กลับ ข่าวคราวเงียบหายไปเลย”

หลายคนลอบคิดในใจว่า ไม่แน่อาจเกิดเรื่องไม่ดีกับท่านประมุขขึ้นมาจริงๆ จึงจะวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ตั้งใจไปตามหาท่านประมุข

ผู้อาวุโสไป๋ถูกเหล่าผู้อาวุโสทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยในชั่วพริบตา กระทั่งได้ทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุอย่างเงียบๆ แล้ว จึงเอ่ยปากว่า “ท่านประมุขกล่าวคำหนึ่งก่อนจะจากไป”

ผู้อาวุโสสองสามคนที่วิ่งออกไปถึงลานข้างนอกแล้วหยุดลงในทันใด แทบจะชนกันเป็นพัลวัน ยังไม่ทันจะจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก็กลับมาอย่างพร้อมเพรียง แล้วถามว่า “เขาพูดว่าอะไร”

ผู้อาวุโสไป๋กล่าว “ท่านประมุขบอกว่าจะไปกระทำการบางอย่างที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน พวกเราอย่าได้เอะอะไปเลย”

ทั้งสองสามคนนั้นสูดลมหายใจเย็นเยียบ ก่อนจะสติแตกโวยวายออกมา “เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหตุไฉนไม่บอกกันก่อนเล่า!”

ผู้อาวุโสไป๋กล่าวช้าๆ “ข้าคิดว่าเขาพูดเล่น”

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลายคนเงียบกริบไปพักหนึ่ง

ผู้อาวุโสไป๋มองซ้ายทีขวาที แล้วถาม “ยามนี้ควรทำเช่นไรดี”

หลายคนมองหน้ากันไปมา มีบางคนคาดเดาว่า “ท่านประมุขเป็นคนจงหยวน หรือว่าจะมีศัตรูอยู่ที่นั่น”

แม้ในหมู่พวกเขาบางคนจะเป็นชาวฮั่น [6] แต่ก็เติบโตมากับคนต่างถิ่นตั้งแต่เยาว์วัย โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับจงหยวน แต่ท่านประมุขแตกต่างจากพวกเขา เพราะเขาเติบโตขึ้นมาในจงหยวน จากนั้นจึงค่อยออกท่องยุทธภพ

ใครคนหนึ่งกล่าว “ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้เลย”

“เจ้าเดาใจท่านประมุขได้อย่างนั้นหรือ”

“เอ่อ…ข้ายังรู้สึกว่าไม่ใช่ เราย้ายมาที่นี่ได้ห้าหกปีแล้ว หากมีศัตรูจริงๆ ก็น่าจะเคยได้ข่าวคราวมาก่อน”

“หรือมีเรื่องบุญคุณความแค้นที่เราไม่รู้แน่ชัดอยู่”

“บางทีอาจจะแค่พูดเล่น แต่สุดท้ายไปเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ หรือเปล่า”

จู่ๆ ผู้อาวุโสเหมยก็หยัดกายขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องไปหาเขาให้เจอ!”

พวกเขาปรึกษาหารือกัน จับฉลากเพื่อตัดสินใจว่าใครจะอยู่หรือไป คนที่ได้ไปต่างเก็บข้าวของเพียงเล็กน้อย แล้วรีบรุดออกไปทันที

ผู้อาวุโสไป๋ที่อยู่เฝ้าเรือนค่อยๆ หันกายกลับไปที่ห้องอย่างช้าๆ พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ตอนที่แกะห่อสัมภาระ เขาวิ่งไปที่หน้าประตูพลางตะโกนว่า “ท่านประมุขทิ้งถุงปักดิ้นไว้หนึ่งใบ”

เสียงนั้นแฝงกำลังภายในเล็กน้อย คนสองสามคนที่กำลังวิ่งลงจากภูเขาจึงได้ยินชัด พวกเขาหยุดชะงัก แล้ววิ่งกลับมาจับผู้อาวุโสไป๋ไว้ ก่อนจะออกหมัดเตะต่อยไปหนึ่งยกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

พวกเขาคลี่กระดาษที่อยู่ในนั้นออก มองเพียงปราดเดียวก็อ่านทั้งสิบบรรทัดจบอย่างรวดเร็ว ทว่าพวกเขายังไม่สิ้นสงสัย จึงสอดมือเข้าไปหยิบห่อสัมภาระกับเสื้อผ้าของผู้อาวุโสไป๋ออกมา เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้อาวุโสไป๋ไม่ได้ลืมอะไรไว้อีก จากนั้นพวกเขาก็วิ่งลงเขาไปอย่าง “สะเทือนเลือนลั่น” อีกครั้ง

*******

มีสายลมพัดโชยเพียงบางเบา หมอกเคล้าคลื่นควันยาวไกลสุดสายตา

ในช่วงฤดูฝน ท้องฟ้าและผืนดินจะปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว

เย่โย่วได้ยินเสียงฝนตกปรอยๆ แผ่วเบา

ความคิดของเขาจมอยู่ในภวังค์ฝันที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ เดินล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย เสียงฝนนี้เหมือนมือคู่หนึ่งที่ค่อยๆ ชะล้างเส้นทางข้างหน้าให้สะอาดเอี่ยม เขาพบว่าตนเองยืนอยู่บนเนินเขา ใต้ฝ่าเท้ามีแผ่นหินสีเขียวปูวางไว้อย่างเป็นระเบียบ หยดน้ำบนกิ่งไม้และใบไม้ใสเสียจนสะท้อนโลกออกมาได้ทั้งใบ สายฝนดุจเส้นฝ้ายประหนึ่งเสียงกระซิบอันอ่อนโยนละมุนละไมที่ดังอยู่ข้างหูเพียงแผ่วเบา

เขารู้สึกสบายใจอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงยกเท้าเดินไปข้างหน้า

สุดทางเดินเป็นศาลาพักร้อน บนโต๊ะหินมีพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และจานฝนหมึกวางอยู่ กระดาษเซวียนจื่อ [7] ถูกคลี่ออก เขาเอาพู่กันจุ่มลงในน้ำหมึก หลุบตาครุ่นคิดเลื่อนลอยอยู่เป็นเวลานาน แล้วสะบัดข้อมือวาดภาพเต่าตัวหนึ่งในคราวเดียว

ทันใดนั้นก็มีคนเรียก “คุณชาย”

เสียงนี้ราวกับดังมาจากท้องฟ้า เย่โย่วเห็นผลงานชิ้นเอกของตนเองหายไปในทันใด และอันตรธานไปพร้อมกับทิวทัศน์โดยรอบ ความรู้สึกเลือนรางล่องลอยที่จับต้องไม่ได้ค่อยๆ ลดลงดั่งกระแสน้ำไหล เสียงสายฝนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดที่ใบหน้าราวกับมีเข็มทิ่มแทง

เขาหลุดพ้นจากความฝัน แล้วลืมตาขึ้น

ข้ารับใช้ที่เรียกเบาๆ หนึ่งหนยืนก้มหน้าอยู่นอกประตู หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่เห็นการเคลื่อนไหวจากข้างใน ก็กำลังจะจากไป แต่พอได้ยินเสียง “ขวับ” จึงหันกลับไป เห็นเย่โย่วที่มีผ้าพันบนศีรษะก้าวออกมาจากประตู ข้ารับใช้โค้งคำนับทันที แล้วกล่าวว่า “คุณชาย ท่านประมุขของเรากลับมาแล้ว”

เย่โย่วกำลังมองพินิจพิเคราะห์สีท้องฟ้า และขบคิดว่าตนหลับมาจนถึงมื้อเย็นเลยหรือไม่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาพลันสว่างไสวขึ้น แล้วจึงเดินออกไปที่ลานหน้าบ้าน

ครึ่งเดือนก่อน เย่โย่วตื่นจากอาการสลบไสล แล้วพบว่าตนเองมาอยู่ในปราสาทเขาสวินหลิ่ว [8] แห่งนี้อย่างไร้คำอธิบาย

ในเวลานั้นตามร่างกายมีแผลไฟไหม้หลายจุด กำลังภายในไม่ต่อเนื่อง สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือหัวสมองว่างเปล่า…เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อแซ่ของตนเอง

ตามที่ข้ารับใช้เล่า เขาได้รับการช่วยเหลือจากประมุขปราสาท แต่ท่านประมุขมีธุระบางอย่างให้ต้องออกไปจัดการ ต้องใช้เวลาสักพักจึงจะกลับมา ดังนั้นเขาจึงอยู่กินดื่มอย่างดีมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ ในที่สุดคนที่เฝ้ารอก็กลับมาได้เสียที

*******

ฝนโปรยลงมาไม่หยุดประดุจผ้าโปร่งบางเบา อากาศชุ่มชื้นผสมกับกลิ่นของพืชพรรณและดินเลนหลั่งไหลเข้ามาในอก แล้วค่อยๆ กระจายออกไปอย่างเชื่องช้า

เย่โย่วผ่อนลมหายใจออกอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก การสูญเสียความทรงจำไม่ได้ทำให้เขางงงวยจนทำอะไรไม่ถูก แต่กลับรู้สึกสดชื่นเหลือแสน เหมือนเดินไปตามท้องถนนเพื่อค้นหาสมบัติที่คาดหวัง

บิดามารดาของประมุขปราสาทเขาสวินหลิ่วแห่งนี้เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ทายาทยามนี้รับสืบทอดปราสาทเขามาเป็นปีที่สาม อายุอานามยังเยาว์วัยนัก กล่าวกันว่าเป็นคนเจ้าสำราญมากอีกด้วย ขณะนี้เขากำลังดื่มชาอยู่ในห้องโถงใหญ่ มีคุณชายผู้หนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่ข้างๆ

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เย่โย่วได้สอบถามรูปร่างหน้าตาของท่านประมุขคร่าวๆ มาก่อนแล้ว จึงแยกแยะทั้งสองคนนี้ได้อย่างชัดเจน ทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง พลันสังเกตเห็นท่านประมุขมองไปที่คุณชายผู้นั้นแวบหนึ่ง เย่โย่วมองตามไปด้วย จึงได้สบตากับอีกฝ่าย

คนผู้นี้เกิดมาหล่อเหลายิ่งนัก เป็นคนประเภทที่ทำให้สาวน้อยหน้าแดงเขินอายได้อย่างสบายๆ แม้ใบหน้าจะสงบนิ่ง และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกินความจำเป็น แต่ลำพังแค่นั่งอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้านายของที่นี่ได้แล้ว ส่วนประมุขปราสาทเป็นเพียงภาพลวงตาที่วางตกแต่งไว้เท่านั้น

เย่โย่วหลบสายตาอย่างเงียบเชียบ แล้วบอกตัวเองว่า ‘คนนี้น่าจะรับมือยาก’

นับตั้งแต่เขาฟื้นคืนสติก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องความจำเสื่อมกับใคร เดิมทีคิดอยากจะค่อยๆ ตีสนิทกับคนที่นี่ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะมียอดฝีมือถึงขั้นนี้ปรากฏกาย หากอีกฝ่ายไม่สอดมือเข้ามายุ่งก็คงดี แต่หากอีกฝ่ายชอบวุ่นวายเรื่องชาวบ้าน เช่นนั้นแผนการของเขาคงจะไม่ค่อยราบรื่นนัก

“คุณชาย อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านประมุขลุกขึ้นยืนต้อนรับ “โอ้โฮ ตอนนั้นอันตรายมากจริงๆ ผู้น้อยอยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกันกับคุณชายพอดี จู่ๆ คืนนั้นห้องของคุณชายเกิดไฟลุกไหม้ ตอนที่ผู้น้อยรีบเข้าไปนั้น คุณชายก็ได้รับบาดเจ็บและหมดสติไปแล้ว หากช้าไปอีกเพียงนิดเดียว ผลที่ตามมาคงจะสาหัสอย่างคาดไม่ถึงเชียวละ”

เย่โย่ว “…”

นับว่าได้คำตอบมาอย่างง่ายดายไม่เปลืองแรง

เมื่อเย่โย่วรู้ที่มาของแผลไหม้ก็รู้สึกดีกับท่านประมุขผู้นี้เป็นพิเศษ

ท่านประมุขกล่าวต่อ “ข้าวของของคุณชาย นอกจากของใช้ส่วนตัวเล็กน้อยแล้ว ยังมีป้ายหยกของเจ้าสำนักเหวินเหริน ผู้น้อยเดาว่าคุณชายอาจเป็นสหายสนิทของเขา จึงเร่งรีบพากลับมาที่นี่ในคืนนั้นทันที เมื่อหาที่พักให้คุณชายเรียบร้อยแล้ว ถึงได้กล้าจากไป”

ขณะที่พูด ท่านประมุขก็เหลือบมองคนข้างๆ อีกแวบหนึ่ง เย่โย่วสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุไฉนพวกเขาถึงไม่เอ่ยอันใดต่อกัน จึงอดชำเลืองมองไปอีกครั้งไม่ได้ เห็นคนผู้นั้นถือป้ายหยกชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ก็คาดเดาได้ว่าเขาคือเจ้าสำนักเหวินเหริน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาจะต้องเผชิญหน้ากับคนผู้นี้โดยตรง

เฮ้อ ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ

 

 

 

[1] แปลว่า เนินเขาสีเขียว

[2] แปลว่า น้ำใส

[3] หรือออกเสียงว่า “ลี้” ในสำเนียงแต้จิ๋ว เป็นหน่วยวัดของจีนโบราณ เทียบประมาณ 500 เมตร

[4] แปลตรงตัวว่า “ที่ราบภาคกลาง” ซึ่งหมายถึงพื้นที่ภาคกลางของจีน ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำหวงเหอ (ฮวงโห) และแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมจีนมาตั้งแต่ยุคโบราณ

[5] หมายถึง ความหวังหรือที่พึ่งสุดท้าย

[6] กลุ่มชาติพันธุ์ฮั่นเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจีน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจงหยวนมาช้านาน

[7] กระดาษที่มีคุณภาพสูงชนิดหนึ่ง สีกระดาษขาวสะอาด เนื้อกระดาษละเอียด นิ่ม และเบา เนื้อกระดาษเหนียวไม่ขาดง่าย กระจายน้ำหมึกได้สม่ำเสมอและชัดเจน ผลิตที่เมืองเซวียนเฉิง มณฑลอันฮุย นักวาดภาพพู่กันจีนถือเป็นกระดาษที่ล้ำค่ามาก

[8] แปลว่า หาต้นหลิว

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า