ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก
教主走失记
Yishihuashang 一世华裳 เขียน
RML แปล
โปรย
เย่โย่ว ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟคลอก
ทั้งยังสูญเสียความทรงจำ ไม่สามารถจดจำผู้ใดได้
สิ่งที่มีติดตัวมีเพียงป้ายหยกของเหวินเหรินเหิง เจ้าสำนักฝ่ายธรรมะ
ซ้ำฝ่ายนั้นยังอ้างว่าเขาคือศิษย์น้องที่หายสาบสูญไปอีกด้วย
ระหว่างสืบหาตัวตนของตนเอง กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมากมาย
เย่โย่วสงสัยว่าตนอาจเป็นประมุขลัทธิมาร
และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแผนการของเขาเอง
เขาจะเชื่อใจผู้ใดได้บ้าง หรือเชื่อไม่ได้เลยแม้กระทั่งตนเอง
ความลับที่ถูกเปิดโปงในครานี้
จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งยุทธภพเป็นแน่
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2
ปราสาทเขาสวินหลิ่วสร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์ บันไดสลักลูกกรงหยกงดงามตระการตา แม้แต่ก้อนหินก็ถูกจัดวางไว้อย่างพิถีพิถัน ในขณะนี้ปราสาทปกคลุมไปด้วยหมอกและสายฝนพรำๆ เผยกลิ่นอายของเสน่ห์อันน่าหลงใหลอยู่รำไร
เย่โย่วนั่งอยู่ในศาลาพักร้อนตรงหัวมุม ถูถ้วยน้ำชาไปมาอย่างเบามือ ถือหลักการที่ว่า “พูดมากผิดมาก” และ “ศัตรูไม่ขยับ ข้าหาขยับไม่” จึงอดทนรอให้เจ้าสำนักเหวินเหรินซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามปริปากก่อน และคาดหวังว่าคนผู้นี้จะพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์บ้าง
ทว่าความคาดหวังอันริบหรี่ของเขานั้นกลับถูกดับอย่างรวดเร็ว…เหวินเหรินเหิงดูเหมือนจะไม่ได้มองเขาสักนิด เพียงยกถ้วยชาดื่มอย่างเงียบๆ นิ้วมือของเขาเรียวยาวขาวสะอาด
แม้การปรากฏตัวของเจ้าสำนักผู้นี้จะทำให้ผู้คนรอบข้างมิอาจดูดาย แต่เขาก็ดูแสนสุภาพ ยิ่งช่วยขับให้ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นดูน่าเจริญตาเจริญใจขึ้นอีกหลายส่วนจริงๆ ซึ่ง “ความเงียบกริบ” เช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เย่โย่วรู้สึกกดดันหรือเก้อเขินเลย หากแต่กลับรู้สึกเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด
เย่โย่วเองก็เพียงจิบชาทีละเล็กทีละน้อย แล้วนับเส้นใบชาทั้งหมดในถ้วยด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจังจนจบหนึ่งรอบ ในขณะที่เขากำลังจะนับรอบที่สองอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดเจ้าสำนักเหวินเหรินก็ดื่มชาถ้วยนั้นจนหมดเกลี้ยง
ถ้วยชาถูกวางลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงแผ่วเบา
จิตใจของเย่โย่วตื่นตัว เขาเหยียดหลังตรงเล็กน้อย แต่เจ้าสำนักผู้นี้กลับหยิบกาน้ำชาขึ้นมาอย่างไม่เร่งรีบ แล้วเทน้ำชาอีกหนึ่งหน
เย่โย่ว “…”
เหวินเหรินเหิงรักษาความแช่มช้าเยี่ยงก่อนหน้านี้ แล้วเริ่มดื่มชาถ้วยที่สอง
เย่โย่วลอบสงสัยว่าความสัมพันธ์ของเขากับเจ้าสำนักผู้นี้อาจมีอะไรซับซ้อน ถึงขั้นที่อีกฝ่ายดื่มชาไปสองถ้วยแล้ว ก็ยังมิอาจเอื้อนเอ่ยวาจาได้…หรือว่าตัวเขาเองควรจะเอ่ยปากพูดก่อน
ความคิดนี้ถูกระงับให้วนเวียนอยู่ในใจเท่านั้น
เย่โย่วตัดสินใจจะเสียเวลากับเขาต่อไป
*******
ฉินเย่ว์เหมียนประมุขปราสาทเขาสวินหลิ่วซ่อนตัวลอบมองอยู่ห่างๆ เขาหัวเราะพลางลูบคางไปมา
รูปร่างหน้าตาของเขาเทียบเหวินเหรินเหิงไม่ติด ดีกว่าแค่มีนัยน์ตาดอกท้อทรงเสน่ห์ เขายิ้มเพียงเล็กน้อยก็เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกเขาต้องมีความลับบางอย่าง”
คนสนิทของเขาที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองคนทั้งสองในศาลาพักร้อน ซึ่งดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านประมุข ไม่เห็นจะเป็นเช่นนั้นเลย”
ฉินเย่ว์เหมียนถาม “เจ้าเห็นเหวินเหรินเหิงอยู่กับผู้ใดแล้วเงียบได้นานถึงเพียงนี้หรือไม่เล่า”
คนสนิทถึงกับผงะ
ฉินเย่ว์เหมียนยิ้มอย่างมีเลศนัย “ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นยังมีป้ายหยกของเหวินเหรินเหิง นั่นไม่ใช่ป้ายหยกธรรมดา”
ป้ายหยกคือเหตุผลหลักที่เขาพาคนกลับมา และสั่งให้ข้ารับใช้ดูแลคนผู้นั้นให้อยู่อย่างดีที่สุด อีกทั้งวันนี้ยังดึงดันจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเหวินเหรินเหิงกับคุณชายผู้นั้นออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะแม้หยกนั้นจะทำมาจากหยกอุ่น [1] ไม่ใช่ของชั้นเลิศ ลวดลายก็แปลกประหลาด แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นเหวินเหรินเหิงแกะสลักมันด้วยตัวเอง มันจึงมีเพียงชิ้นเดียวในโลกหล้า
แม้เหวินเหรินเหิงจะให้เหตุผลว่าแกะสลักเพื่อความสนุกสนาน แต่เขามักจะรู้สึกว่ามันเป็นของขวัญ ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าเขาเดาถูกดังคาด
เขาไปมาหาสู่กับเหวินเหรินเหิงมาหลายปี รู้จักอีกฝ่ายมากกว่าคนอื่นๆ เด็กคนนี้ชอบแกล้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเสมอ แสร้งสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน แต่จริงๆ แล้วนิสัยไม่ดี เกรงว่าทั้งยุทธภพคงจะมีคนที่เขาห่วงใยอย่างแท้จริงไม่มากนัก ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในบัดดล ช่างน่าทึ่งจริงๆ!
สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ หลายปีมานี้เขาไม่เคยเห็นคุณชายที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นอยู่ใกล้ชิดเหวินเหรินเหิงเลย เขาโผล่มาจากไหน ชื่อแซ่อะไร เกี่ยวข้องกับเหวินเหรินเหิงอย่างไรกันแน่
เขาข้องใจจนทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จึงหาข้ออ้างไปยังศาลาหลังเล็กตามอำเภอใจ
*******
ก่อนฉินเย่ว์เหมียนจะก้าวเข้าไป เหวินเหรินเหิงก็ดื่มชาถ้วยที่สองหมด แล้วกล่าวคำพูดที่ทำให้ทั้งเย่โย่วกับฉินเย่ว์เหมียนประหลาดใจ
เหวินเหรินเหิงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างไม่ปิดบัง “เหตุใดเจ้าถึงมีป้ายหยกของข้า”
ฉินเย่ว์เหมียนรู้สึกแปลกใจ
เย่โย่วกำลังจะหลุดยิ้ม แต่เพราะอาการบาดเจ็บบนใบหน้าถูกกระทบกระเทือน จึงตัวแข็งทื่อในฉับพลัน เขาจิบน้ำกลบเกลื่อนไปหนึ่งอึก ก่อนกล่าวว่า “หยกของเจ้าสำนักเอง กลับมาถามข้าเสียนี่”
เหวินเหรินเหิงกล่าว “ก็เพราะไม่รู้ ถึงได้ถามอย่างไรเล่า”
เย่โย่วสงบสติอารมณ์ ครุ่นคิดมากมายอยู่ในใจ แล้วตัดสินใจแสร้งลวงเขาอีกสักหน่อย “รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ของข้า เจ้าสำนักจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
เหวินเหรินเหิงเงยหน้าขึ้นมองเขา
ฉินเย่ว์เหมียนเก็บอารมณ์มิดชิด แล้วสาวเท้าก้าวเข้ามามองเย่โย่วแวบหนึ่ง
ใบหน้าของเย่โย่วถูกไฟไหม้ แถบผ้าไม่ได้พันศีรษะเขาไว้ทั้งหมด ยังมีช่องว่างเล็กๆ เหลืออยู่บ้าง แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกัน เห็นเพียงเท่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เหวินเหรินเหิงจึงหยัดกายขึ้นแล้วเดินวนโต๊ะหินครึ่งรอบ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เย่โย่ว กล่าวว่า “จำไม่ได้”
เขายื่นมือออกไป เห็นว่าเย่โย่วเอียงศีรษะหลบเล็กน้อย จึงหยุดมือทันทีโดยไม่ฝืนใจ แล้วกล่าวเพียงว่า “หากเจ้าไม่ให้ข้าดู ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นผู้ใด”
เย่โย่วเพียงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะลงมือแกะผ้าพันแผลเต็มที่ แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังดึงผ้าไม่ออก ทั้งยังทำให้ใบหน้าเจ็บปวดอีกต่างหาก
เหวินเหรินเหิงถามอย่างสุภาพ “ให้ข้าช่วยได้หรือไม่”
เย่โย่วไม่ได้แสดงสีหน้าไม่สบายใจแต่อย่างใด เพียงเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ขอรบกวนด้วย”
เหวินเหรินเหิงแกะแถบผ้าเบามากราวกับเกรงว่าเขาจะเจ็บ แววตาของเจ้าสำนักผู้นี้ยังคงไร้อารมณ์เหมือนเดิม แต่อาจเพราะเขาเป็นเจ้าสำนักมานาน ยามที่จิตใจสงบเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนมักเกิดภาพลวงตาว่าเขาแลดูอ่อนโยน
แถบผ้าหลุดออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเย่โย่วครึ่งหนึ่งถูกเผาลวกเกือบทั้งหมด ทว่าหน้าผากกับคางและใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งยังสมบูรณ์ไม่เสียหาย ถึงแม้ฉินเย่ว์เหมียนจะได้เห็นแล้ว แต่ก็ยังอดจ้องมองไม่ได้อยู่ดี
บุคคลผู้นี้มีคิ้วและดวงตาอันละเมียดละไม ใบหน้าก็พอดีได้สัดส่วน งดงามจนพาเอาใจสั่นไหวอยู่บ้าง ไม่ใช่ความงามแบบนุ่มนวล หากแต่แฝงความคมกล้า แม้ตอนนี้จะงดงามครึ่งหนึ่งและอัปลักษณ์ครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อประสานกันกลับสั่นสะท้านใจยิ่งนัก ไม่ว่าก่อนหรือหลังโดนไฟลวก ล้วนเป็นใบหน้าที่กระตุ้นให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มได้อย่างง่ายดาย
คนแบบนี้ ย่อมเป็นที่จดจำได้แม่นภายในพริบตา
เย่โย่วแอบสังเกตเหวินเหรินเหิง เห็นว่าในที่สุดสีหน้าเฉยเมยของเจ้าสำนักผู้นี้ก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะผงะไปก่อนชั่วครู่ จากนั้นก็รู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย ฉินเย่ว์เหมียนสงสัยปฏิกิริยาของสหายสนิทเหลือแสน แต่ก่อนที่เขาจะเบนสายตาไปมองร่างกายของเย่โย่ว พลันได้ยินเสียงประหลาดใจของเหวินเหรินเหิง “…ศิษย์น้อง?”
ฉินเย่ว์เหมียน “…”
นึกไม่ถึงว่าเจ้ามีศิษย์น้องด้วย!
ฉินเย่ว์เหมียนเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง เขารีบจิบชาดับความตกใจไปหนึ่งอึก
เย่โย่วตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าเรื่องราวไม่น่าจะง่ายดายเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใด ลำพังแค่เหวินเหรินเหิงที่เมื่อครู่เงียบสนิทไปนาน มันก็แปลกพิลึกมากแล้ว
แต่สถานการณ์ยามนี้ไม่เหลือที่ว่างให้เขาได้ขบคิด เหวินเหรินเหิงมองเขาตรงๆ แม้จะพยายามรักษากิริยางามสง่าไว้อย่างเต็มที่ แต่ยังมีร่องรอยของความตื่นเต้นในน้ำเสียงอย่างชัดเจน “เป็นศิษย์น้องจริงๆ หลายปีนี้เจ้าไปอยู่ที่ใด เจ้าไม่ได้โง่จริงๆ ใช่หรือไม่ เจ้าดูโง่เขลาเบาปัญญามาก่อน หลังจากที่เจ้าหายไป ข้ายังคิดว่าเจ้าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดีเสียอีก”
เย่โย่ว “…”
ฉินเย่ว์เหมียน “…”
คำพูดประโยคนี้ฟังดูแย่อยู่นะ
เย่โย่วทำหน้าบูดบึ้งโดยไม่ปริปาก พยายามแยกแยะสิ่งที่เขาได้ยิน
หลังจากเขาเพิ่งรู้เบาะแสและกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง คนตรงหน้าก็โยนคำถามมาอีกหลายประโยค
ครั้งนี้เหวินเหรินเหิงปรับอารมณ์ให้กลับมามีท่าทีของสุภาพบุรุษผู้สง่างามเรียบร้อยได้แล้ว แต่ยังอดจับมือของเย่โย่วไม่ได้ ความห่วงใยในแววตาผสานกับความอ่อนโยนซึ่งอาจเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น “ข้าตามหาเจ้ามาตลอดตั้งแต่เจ้าหายไป แต่ก็ไม่มีข่าวคราวเลย สิบปีนี้เจ้าอยู่มาได้อย่างไร ผู้ใดรักษาโรคให้ บาดเจ็บกะทันหันได้อย่างไร ผู้ใดทำร้ายเจ้า แล้วผู้ใดมอบป้ายหยกของข้าให้กับเจ้า”
ทันใดนั้นเย่โย่วที่ถูกเขากุมมือไว้ก็คิดจะชักมือกลับโดยไม่รู้ตัว
เหวินเหรินเหิงคลายมือจากเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ แล้วมองไปทางสหายสนิท “อาการบาดเจ็บของเขาเกิดจากโดนบางสิ่งลวกจนร้อนแดงเช่นนั้นหรือ”
ฉินเย่ว์เหมียนกล่าว “ใช่…ตอนที่ข้าเข้าประตูไปนั้น เขากำลังล้มอยู่ข้างเตียง แล้วเสาคานที่ถูกไฟไหม้ก็ตกลงมากระแทกพอดี โชคดีที่ข้าดึงเขาออกมาทันกาล จึงไม่ได้โดนลวกสาหัสเกินไป หากใช้ยาของหมอเทวดาจี่ทาหลายๆ ครั้งก็น่าจะหายขาดได้…”
ฉินเย่ว์เหมียนชะงัก “ไม่สิ ช้าก่อน เจ้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดป้ายหยกของเจ้าถึงมาอยู่ที่ศิษย์น้องอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง ป้ายหยกหายไปเมื่อสองสามวันก่อน เจ้าก็รู้ ปกติแล้วข้าพกมันติดตัวไปด้วย ใครที่ฉกมันไปจากสายตาข้าได้ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดา” เหวินเหรินเหิงพันแถบผ้าให้เย่โย่วอีกครั้งขณะเอ่ย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังเงียบและดูว่าง่ายอยู่บ้างจึงนึกสนุก ผูกผ้าเป็นทรงหูกระต่ายไว้บนหน้าผากของเขา
ฉินเย่ว์เหมียน “…”
เหวินเหรินเหิงมองไปที่เย่โย่วแล้วกล่าวช้าๆ “เหตุใดไม่พูดบ้าง เจ้าจำศิษย์พี่ไม่ได้หรือ” เขาหยุดกึก “หากเจ้าไม่อยากพูด ศิษย์พี่จะไม่บังคับ แค่บอกมาว่าผู้ใดทำร้ายเจ้า ศิษย์พี่จะแก้แค้นให้เอง”
เมื่อคิดว่าคนที่เอาป้ายหยกมาได้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา ก็ดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก เย่โย่วจึงดื่มชาอย่างใจเย็นแล้วรอให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ ถ้าอย่างนั้นข้าเป็นศิษย์น้องของเขาจริงหรือ เย่โย่วเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจด้วยเสียงแผ่วเบา แม้ลังเลอยากจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง แต่กลับหยุดชะงักไป
ฉินเย่ว์เหมียนรีบเงี่ยหูฟังอย่างแทบรอไม่ไหว เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในท้ายที่สุดก็ได้ยินมนุษย์ผู้นี้กล่าวขึ้นว่า “บังเอิญกระมัง ข้าก็ไม่รู้ จริงสิศิษย์พี่ ข้าชื่ออะไร แล้วผู้ใดเป็นอาจารย์ของเรา”
ฉินเย่ว์เหมียน “…”
เหวินเหรินเหิง “…”
เหวินเหรินเหิงมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นคนแรก “เจ้าจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“พอบาดเจ็บ ตื่นขึ้นมาก็ลืมจนหมด มีเบาะแสเดียวคือป้ายหยกเท่านั้น” เย่โย่วถามต่อ “ศิษย์พี่เห็นป้ายหยกครั้งสุดท้ายเมื่อใด แล้วพบใครอีกหรือไม่”
เหวินเหรินเหิงขมวดคิ้ว “ข้าก็คิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีเงื่อนงำเลย”
เย่โย่วเงียบไปชั่วครู่ มองไปที่ข้ารับใช้ผู้ยืนอยู่นอกศาลา เขาสองจิตสองใจมิกล้าออกไป เมื่อรู้ว่าถึงเวลาเปลี่ยนยาแล้ว จึงก้มศีรษะบอกลาทั้งสองคนในศาลา แล้วเดินออกไปทั้งที่ผูกหูกระต่ายเอาไว้
ข้าฉลาดถึงเพียงนี้ เคยโง่มาก่อนหลายปีจริงหรือ
เย่โย่วคิดหลงตัวเอง เขาเดินผ่านลานบ้านที่เม็ดฝนพลิ้วปลิวเข้ามาโดยไม่รีบร้อน ลอบสงสัยว่าหากนี่คือเรื่องจริง หาก…เหวินเหรินเหิงรู้ว่าเขาสูญเสียความทรงจำด้วยเหตุผลบางอย่าง และกำลังวางแผนหลอกเขาอยู่เล่า
เขาตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ตรวจสอบอย่างละเอียด ถึงอย่างไรความจริงที่เขาสูญเสียความทรงจำได้เปิดเผยไปแล้ว ต่อไปเขาจะถามสิ่งใดก็ย่อมทำได้ แล้วค่อยตัดสินว่าคำตอบจริงหรือเท็จก็ยังไม่สาย
*******
ฉินเย่ว์เหมียนอยากจะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้งด้วยเช่นกัน จึงรอให้เย่โย่วเดินจากไปก่อน แล้วค่อยถาม “เขาเป็นศิษย์น้องของเจ้าจริงหรือ”
เหวินเหรินเหิงยกยิ้มมุมปาก แม้จะยังมีท่าทีสุภาพเหมือนเคย ทว่ากลับปรากฏความนัยลึกซึ้งแทรกซึมออกมาหลายส่วน ฉินเย่ว์เหมียนไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่น จึงเอาแต่ซักไซ้ไล่เลียงว่า “ตกลงใช่หรือไม่…ไม่สิ เจ้าก็ไม่รู้เรื่องราวของเขามาก่อน ที่เขาพูดน่าจะเป็นความจริง…”
ทันใดนั้นเขาพลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ
เมื่อลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดดูสิว่าหากเขาสูญเสียความทรงจำ พอฟื้นขึ้นก็จะต้องถามชื่อเสียงเรียงนามอย่างร้อนรนจนทนไม่ไหวเป็นแน่ ทั้งยังต้องถามว่าบ้านช่องอยู่ที่ไหน และอื่นๆ อีก แต่คุณชายที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นอยู่ในปราสาทมานานกว่าครึ่งเดือนโดยไม่เผยพิรุธแม้แต่น้อย หลังจากได้รู้ว่าป้ายหยกเป็นของเหวินเหรินเหิง ยังทำราวกับว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ฝืนเผชิญหน้ากับเหวินเหรินเหิงที่ดื่มชานานถึงสองถ้วย
เขาสุขุมเกินไปแล้ว!
ไม่เพียงแค่นั้น ในเวลาต่อมาคนผู้นี้ยังหลอกเหวินเหรินเหิงก่อน แล้วค่อยบอกความจริงเมื่อเห็นว่าเรื่องราวไม่ถูกต้อง ซึ่งดูเหมือนจะถอยให้หนึ่งก้าว แต่หมากเกมนี้เป็นการถอยเพื่อรุก เพราะสถานการณ์เมื่อครู่นั้น หากเขาฝืนต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์
ฉินเย่ว์เหมียนอดพึมพำไม่ได้ “เขาเป็นใครกันแน่”
เหวินเหรินเหิงยังไม่เปลี่ยนสีหน้า “เป็นศิษย์น้องของข้า”
ฉินเย่ว์เหมียนอยากจะอาเจียนเป็นเลือด เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยัดกายลุกขึ้นจึงถามว่า “จะไปไหน”
“สิบปีแล้ว” เหวินเหรินเหิงก้าวออกจากศาลา น้ำเสียงดูร่าเริงเล็กน้อย “ในที่สุดก็ได้พบกับศิษย์น้องอีกครา แน่นอนว่าข้าต้องแสดงความห่วงใยเขาให้มากกว่านี้สักหน่อย”
[1] หยกที่เกิดภายใต้อุณหภูมิและความดันสูง