[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก บทที่ 3

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟคลอก

ทั้งยังสูญเสียความทรงจำ ไม่สามารถจดจำผู้ใดได้

สิ่งที่มีติดตัวมีเพียงป้ายหยกของเหวินเหรินเหิง เจ้าสำนักฝ่ายธรรมะ

ซ้ำฝ่ายนั้นยังอ้างว่าเขาคือศิษย์น้องที่หายสาบสูญไปอีกด้วย

ระหว่างสืบหาตัวตนของตนเอง กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมากมาย

เย่โย่วสงสัยว่าตนอาจเป็นประมุขลัทธิมาร

และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแผนการของเขาเอง

เขาจะเชื่อใจผู้ใดได้บ้าง หรือเชื่อไม่ได้เลยแม้กระทั่งตนเอง

ความลับที่ถูกเปิดโปงในครานี้

จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งยุทธภพเป็นแน่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 3

 

สำหรับเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญ ฉินเย่ว์เหมียนมักจะให้ความสนใจเรื่องที่ตนเองอยากรู้ก่อน แล้วค่อยพิจารณาเรื่องอื่นในภายหลัง ครั้งนี้ก็เช่นกัน

หลังจากที่เหวินเหรินเหิงออกไปแล้ว เขาดื่มชาครึ่งถ้วยจนหมดตามลำพัง ถึงได้ตระหนักว่ามีปัญหาเกิดขึ้น

หากป้ายหยกหายไปจริง…อย่างที่เหวินเหรินเหิงเอ่ย คนที่จะเอาไปได้นั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…เช่นนั้นเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมอาจเป็นกลลวง มิฉะนั้นเหตุใดป้ายหยกที่หายไปจะต้องไปอยู่ที่คุณชายผู้นั้นขณะพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกันกับเขาพอดีเล่า เขาไปพักที่นั่นโดยบังเอิญ แล้วจึงเกิดเรื่องกับคุณชายผู้นั้นหรือ

นี่เป็นเรื่องบังเอิญเกินไป

ในยามนั้นคุณชายยังหมดสติอยู่ มือสังหารตรงเข้าไปฆ่าเสียน่าจะมั่นใจได้มากกว่า ไฉนต้องวางเพลิง หรือว่าตั้งใจรอให้เขาไปช่วยชีวิตออกมา เพื่อจะได้พาไปหาเหวินเหรินเหิง

ฉินเย่ว์เหมียนนั่งไม่ติด รีบร้อนออกไปหาพวกเขา

*******

นอกจากแก้มแล้ว ร่างกายของเย่โย่วยังมีรอยไหม้อีกหลายแห่ง แต่โชคดีที่ไม่ร้ายแรงนัก เมื่อได้น้ำแกงบำรุงร่างกายและยาชั้นดีมากว่าครึ่งเดือน ความเจ็บปวดจึงบรรเทาลงไปมาก เดินเหินก็คล่องแคล่วดี

เย่โย่วนั่งรอเปลี่ยนยาอยู่บนเตียงอย่างคุ้นเคย

ขณะที่ฉินเย่ว์เหมียนเดินเข้าประตูมานั้น เงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าแถบผ้าบนใบหน้าของคุณชายผู้นั้นถูกแกะออกอีกครั้ง ชุดคลุมยาวถูกเผยออกครึ่งหนึ่ง ผมสีดำประบ่า ใบหน้าครึ่งหนึ่งงดงามและน่าดึงดูด เมื่อรวมกับท่าทางสบายๆ ตามแต่ใจ ทำให้คนผู้นี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในยุทธภพ ลมหายใจเขาติดขัดเล็กน้อย เมื่อกวาดตามองก็เห็นเจ้าเหวินเหรินเหิงนั่งเย้าแหย่อย่างนุ่มนวลอยู่ด้านข้าง ทั้งยังวางมาดเป็น “ศิษย์พี่แสนดี” จนเขาต้องกระตุกมุมปากขึ้น

เหวินเหรินเหิงกำลังศึกษาขวดลายครามขนาดเล็กบนถาด พลางกล่าวว่า “วิเศษเลย นี่คือยาของหมอเทวดาจี่”

ฉินเย่ว์เหมียนได้สติ แล้วถือโอกาสเอ่ยแทรก “ใช่แล้ว มันคือน้ำค้างร้อยหญ้า”

เย่โย่วสูดกลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้จิตใจสดชื่นจากในอากาศ แล้วถามตรงๆ ว่า “นี่เป็นยาวิเศษที่ทั้งรักษาบาดแผลภายนอกและลบรอยแผลเป็นได้ใช่หรือไม่”

เหวินเหรินเหิงกับฉินเย่ว์เหมียนมองไปที่เขาพร้อมกันทันที แล้วคนหลังก็ถามอย่างฉับไวว่า “เจ้ารู้หรือ”

“รู้สิ” เย่โย่วเลิกคิ้ว “คนทั่วไปไม่รู้อย่างนั้นหรือ”

“…ก็ไม่เชิง คนส่วนใหญ่ในยุทธภพจะรู้กันดี” ฉินเย่ว์เหมียนระงับความสงสัยมากมายที่ถาโถมเข้ามาในใจไว้ชั่วขณะ แล้วอธิบายอย่างสุภาพ “เพียงแต่เพิ่งได้ยินเจ้าพูดว่าลืมหมดทุกสิ่ง เลยแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น”

เย่โย่วเป็นคนฉลาดยิ่งนัก

สมองเขาหมุนเร็วกว่าฉินเย่ว์เหมียน ไม่ว่าฉินเย่ว์เหมียนจะคาดคิดได้หรือไม่ก็ตาม เพียงแค่ชำเลืองมองแวบเดียว เขาก็พิจารณาจนรู้แล้วว่าเจ้าสำนักผู้นี้ขบคิดอะไรอยู่ แม้จะรู้สึกว่าเรื่องที่โรงเตี๊ยมอาจมีปัญหาบางอย่าง แต่เขาก็ความจำเสื่อมจริงๆ ต่อให้มีแผนร้ายอะไร ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัด

เขาข่มกลั้นความเจ็บปวดที่ต้องขยับแก้มไว้ แล้วยิ้มให้ประมุขปราสาทอย่างอารมณ์ดี “ข้าเพียงแค่จำชื่อของตัวเองกับญาติสนิทมิตรสหายไม่ได้ ส่วนบางเรื่องที่รู้จักกันดี ข้ายังพอจดจำได้อยู่บ้าง”

“อ้อ…” เดิมทีฉินเย่ว์เหมียนต้องการจะทดสอบอีกสองสามคำ แต่กลับสบเข้ากับดวงตาแฝงรอยยิ้มของเย่โย่วเข้า

บางทีสีผมอีกฝ่ายอาจจะเข้มเกินไป หรืออาจเป็นเพราะแสง สีรูม่านตาของคนผู้นี้จึงดูอ่อนลงเล็กน้อย ทั้งสว่างและโปร่งแสงมาก ดูเหมือนจะมีร่องรอยของความเย็นชาในนิสัยที่โอนอ่อนผ่อนตาม ราวกับยิงทะลุวิญญาณของมนุษย์ได้ เขาจึงกลืนคำที่จะเอ่ยกลับไปทันที เหลือเพียงความคิดเดียวในใจ…ชายคนนี้รู้ว่าเขาเริ่มคลางแคลงใจแล้ว!

ฉินเย่ว์เหมียนพลันตระหนักว่าคนที่อยู่ตรงหน้ารับมือไม่ง่ายเลย ขณะที่ทั้งคู่ประสานสายตากัน เขาถึงกับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายสามารถมองเห็นเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าเขากำลังจะเอ่ยและทำสิ่งใดต่อไป

ทั้งที่ยืนอยู่ในห้องท่ามกลางฤดูร้อนอันอบอ้าว แต่กลับตะลึงงันจนรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก

โอ้สวรรค์ ในตอนนั้นเขาเพียงนึกสนุกอยากให้เหวินเหรินเหิงเห็น ก็เลยพาคนที่น่ากลัวเช่นนี้กลับบ้านมาอย่างง่ายดาย!

เขาเหลือบมองเหวินเหรินเหิงแวบหนึ่ง

อีกฝ่ายเหมือนไม่ได้สังเกตสายตาของสหายสนิท เขาวางขวดลายครามใบเล็กกลับลงไป พลางถามว่า “แล้วหมอเทวดาจี่เล่า เจ้ายังจำได้อีกกี่มากน้อย”

เย่โย่วครุ่นคิดอย่างจริงจัง “จำได้เพียงเล็กน้อย มันเลือนรางมาก ศิษย์พี่ ท่านช่วยเล่าเรื่องของเขาหน่อย ดูว่าข้าจะนึกออกบ้างหรือไม่”

เหวินเหรินเหิงจึงกล่าวว่า “เขาเป็นหมอเทวดาผู้เลื่องชื่อในยุทธภพ ปรุงยาวิเศษมาไม่น้อย น้ำค้างร้อยหญ้าเป็นเพียงหนึ่งในนั้น เขามีนามว่าจี่เจาเฮิ่น [1] ว่ากันว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้เองในภายหลัง เพราะวิชาการแพทย์ของเขาสูงส่งมาก ช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมาย เลยมักจะยั่วให้พญายมชิงชังอยู่เป็นนิจ พอจะจำได้หรือไม่”

เย่โย่วพยายามตรึกตรองอย่างหนักอีกครั้ง แล้วส่ายหน้า “ยังเลือนรางอยู่มาก”

แท้จริงแล้ว กระทั่งรัชศกในขณะนี้กับพระนามของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเขาก็ยังจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับหมอเทวดาผู้หนึ่ง ที่เพิ่งกล่าวไปว่า “จำได้เพียงเล็กน้อย” ก็เพื่อโกหกพวกเขาเท่านั้นเอง

เย่โย่วมองไปที่ขวดลายครามสีเขียวใบเล็กที่อยู่ข้างๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วถามขึ้นว่า “หมอเทวดาจี่ผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

เหวินเหรินเหิงตอบ “ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะสูงวัยแล้ว แต่สุขภาพแข็งแรงมาก”

เย่โย่วมองเขา “แล้วศิษย์พี่คิดว่าจะขอให้เขาตรวจดูอาการความจำเสื่อมของข้าได้หรือไม่”

“ได้สิ ข้าก็วางแผนจะทำเช่นนั้น อีกสองสามวันเราจะออกเดินทางกัน” เหวินเหรินเหิงกวาดตามองข้ารับใช้ที่จะทายาให้ศิษย์น้อง ก่อนหยุดมือเขาไว้ แล้วนั่งลงบนเตียงอย่างเป็นธรรมชาติ “มา ข้าเอง ก่อนหน้านี้ยามเจ้าบาดเจ็บ ข้าก็เป็นคนทายาให้เจ้าเสมอ”

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยโต้ตอบกันอย่างลื่นไหล ฉินเย่ว์เหมียนยังคงคิดอยู่ว่าจะเจาะกลโกงที่คนอื่นวางกับดักสหายสนิทได้หรือไม่ ในชั่วพริบตาที่เห็นเหวินเหรินเหิงนั่งลงบนเตียงนั้น จึงอดจ้องมองด้วยความตกใจไม่ได้ แม้บุรุษผู้นี้จะใจดีกับทุกคน แต่ตามปกติจะแสดงออกอย่างผิวเผิน ไม่ได้ให้ความสนิทชิดเชื้อถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นจริงๆ!

…หรือว่ากำลังจะมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น

ฉินเย่ว์เหมียนถึงกับมองออกไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่งอย่างแปลกใจ พบว่ายังมีละอองฝนอยู่จึงหันกลับมา เขามองพิจารณาเหวินเหรินเหิง สงสัยอย่างมากว่าเจ้าหมอนี่อาจจะชอบพออีกฝ่าย

หรือว่า…ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริงๆ

เขายืนอยู่พักหนึ่ง ก่อนลูบจมูกไปมา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองคิดเลยเถิดเกินไปหน่อย “คืนนี้พวกเจ้าอยากกินอะไร ข้าจะบอกให้ห้องครัวทำให้”

เหวินเหรินเหิงตอบ “แค่ทำอาหารอ่อนๆ ก็พอ”

ฉินเย่ว์เหมียนรู้สึกมึนงง ก่อนหันเดินออกไป

เตียงนุ่มๆ วางอยู่ข้างหน้าต่าง มีต้นไผ่ใบเล็กปลูกไว้ทางด้านขวานอกหน้าต่างนั้นหนึ่งแถว เสียงน้ำฝนตกกระทบพื้นดินดัง “ซู่ๆ” ไอน้ำดุจผ้าโปร่งบางเบาพลิ้วเอื่อยลอยเข้าสู่ห้องพัก แทรกซึมผสมรวมกับกลิ่นหอมจางๆ ของน้ำค้างร้อยหญ้า เย่โย่วรู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะเหวินเหรินเหิงเคลื่อนไหวเบาเกินไป ก็คงเป็นเพราะลมปราณในร่างกายของอีกฝ่ายสงบเหลือเกิน เขาจึงอดผ่อนคลายเส้นประสาทที่ตึงเครียดตามไปด้วยไม่ได้

เย่โย่วอ้าปากเอ่ย “ศิษย์พี่”

เหวินเหรินเหิง “หืม”

เย่โย่วกล่าว “ดูเหมือนท่านจะยังไม่ได้บอกว่าข้าชื่ออะไร”

เหวินเหรินเหิงเงยหน้าขึ้นมองเขา “อาเสี่ยว เจ้าชื่ออาเสี่ยว”

เย่โย่วถามต่อ “แล้วแซ่เล่า”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” เหวินเหรินเหิงกล่าว “ในปีนั้นอาจารย์เก็บเจ้ากลับมา เพียงแค่บอกพวกเราว่าเจ้าชื่ออาเสี่ยว เรื่องอื่นไม่รู้อะไรเลย ข้ากับอาจารย์ก็เลยเรียกเจ้าว่าอาเสี่ยว” เขาถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก แล้วอดเสริมด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ตอนนั้นเจ้าซื่อบื้อมาก แค่จำชื่อตัวเองได้ก็เก่งมากแล้ว”

เย่โย่ว “…”

เหวินเหรินเหิงทายาต่ออีกเล็กน้อย นิ้วชี้เรียวยาวลูบไล้ใบหน้าเย่โย่วอย่างอ่อนโยน แล้วมองเข้าไปในรูม่านตาสีซีด พลางกระซิบว่า “ตอนที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ มักจะพร่ำบอกให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี หลังจากเจ้าหายไป ข้าโทษตัวเองมาตลอดหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง ต่อจากนี้ไปเจ้าก็อยู่เคียงข้างศิษย์พี่เถิด”

เย่โย่วถาม “อาจารย์เสียไปแล้วหรือ”

เหวินเหรินเหิงตอบ “ล่วงลับไปเมื่อสิบปีก่อน ไว้พวกเราแยกจากหมอเทวดาจี่ แล้วค่อยไปจุดธูปกราบไหว้อาจารย์ด้วยกัน หากเขารู้ว่าเจ้ากลับมา ต้องดีใจมากเป็นแน่”

เย่โย่วไม่อยากจะเชื่อว่าเขาไม่เพียงเคยโง่เขลาเท่านั้น แต่ยังหายสาบสูญอีกด้วย จึงเงียบงันไปชั่วขณะก่อนจะถามอีก “ท่านไม่กังวลหรือ ว่าครานี้ข้าอาจกลับมาด้วยเจตนาร้าย”

เหวินเหรินเหิงหยุดมือแล้วมองไปที่เขา

เย่โย่วกล่าวต่อ “ป้ายหยกที่ท่านทำหายไปอยู่ที่ข้า ส่วนข้าก็บังเอิญได้รับความช่วยเหลือจากสหายของท่าน ท่านไม่กลัวหรือว่าจริงๆ แล้วข้าโดนใครบงการ สิ่งที่เรียกว่าความจำเสื่อมก็เป็นเพียงหน้ากากบังหน้า แม้จะไม่เป็นเช่นนั้น บางทีเมื่อได้เวลาที่เหมาะเจาะแล้ว ข้าอาจจะจำได้ทั้งหมด แล้วลอบทำร้ายท่านลับหลังก็เป็นได้”

ในเมื่อฉินเย่ว์เหมียนยังตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ เหวินเหรินเหิงก็ย่อมคิดได้เช่นกัน เย่โย่วรู้แก่ใจดีจึงชี้ให้เห็นความเป็นไปได้นี้ตรงๆ

เหวินเหรินเหิงเช็ดยาออกจากมือจนสะอาด หยิบแถบผ้าใหม่เอี่ยมที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา แล้วพันรอบศีรษะให้เย่โย่วอย่างระมัดระวังยิ่งนัก “ข้าเคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้ แต่ข้าเชื่อมั่นเหลือเกิน ไม่ว่าเมื่อใด เจ้าก็จะไม่มีวันทำร้ายข้า”

เย่โย่วเงยหน้าขึ้นสบสายตาเขา สีหน้าของเหวินเหรินเหิงสงบมาก เมื่อมองตรงเข้าไปในดวงตา เพียงครู่เดียวเย่โย่วก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจบางอย่าง เขาจึงเงียบลงอีกครั้ง

“อย่าคิดมากถึงเพียงนั้น อาจเป็นเรื่องบังเอิญ เจ้าแค่บังเอิญเก็บหยกของข้าได้ แล้วถูกคนชั่วทำร้าย เรามาหาก่อนว่าผู้ใดทำร้ายเจ้า ดีหรือไม่” เหวินเหรินเหิงกล่าว เดิมทีเขาคิดจะผูกหูกระต่ายให้อีก นิ้วขยับไปก่อนแล้ว แต่ยั้งใจเอาไว้ได้ทัน

เย่โย่วพยักหน้า ตอนนี้เขาทำได้เพียงก้าวและมองไปทีละขั้นเท่านั้น

“จริงสิ” เขากล่าว “ศิษย์พี่เป็นเจ้าสำนักใดหรือ”

เหวินเหรินเหิงกำลังจะตอบ แต่เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมียนกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่าสหายเสเพลของพวกเขามากันแล้ว เขาจึงพาศิษย์น้องออกจากห้องพัก

*******

กลุ่มสหายเสเพลนั้นไม่ได้รออยู่ที่โถงด้านหน้าอย่างว่าง่าย แต่ไปที่ศาลาเล็กๆ ริมทะเลสาบของปราสาทเขา เมื่อเย่โย่วมาถึง ก็เห็นพวกเขาบ้างยืนบ้างนั่ง กำลังพูดคุยกัน

คนเหล่านั้นมองมาทางเย่โย่วทันที

เดิมทีพวกเขาอยู่กับฉินเย่ว์เหมียนและเหวินเหรินเหิง แต่ฉินเย่ว์เหมียนดึงเหวินเหรินเหิงออกไปกลางคันอย่างมีเลศนัย พวกเขารู้สึกคลางแคลงใจจึงไล่ตามมา

เหวินเหรินเหิงครุ่นคิดเกี่ยวกับพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง มองไปรอบๆ คราหนึ่งพลางถามว่า “เหตุใดเส้าหยวนไม่มาด้วย”

“ได้พบหญิงงามจนลืมสหายน่ะสิ” หนึ่งในนั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พวกเราพบคุณหนูเถากลางทาง พอเส้าหยวนเห็นนางก็เดินไม่เป็น เอาแต่พูดว่าอยากจะลองชวนใครสักคนไปร่ายรำ ฝันไปเถิด เขาจะต้องถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน คงคิดว่าตัวเองเป็นท่านประมุขเย่กระมัง สนทนาไม่กี่คำ สาวเจ้าก็จะยินยอมพร้อมใจตามไปด้วยอย่างง่ายดาย”

“จริงๆ แล้วข้าก็อยากชมการร่ายรำนะ” อีกคนหนึ่งอดส่งเสียงจุ๊ปากเบาๆ ไม่ได้ “ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านประมุขเย่ทำได้อย่างไร”

“ใครจะไปรู้ ข้าบอกได้เพียงว่า คนอย่างเขาทำได้ทุกอย่างนั่นละ” คนก่อนหน้านี้กล่าวต่อ “พวกเจ้าลองคิดดูสิ ในปีนั้นที่เขาหออวี้ซาน [2] เจอพรรคธรรมะรุมล้อมมากถึงเพียงนั้น เขายังทำให้คนพวกนั้นตกตะลึงจนหน้าเป็นสีเขียวปั้ด สูญเสียเกียรติเหมือนเอาหน้าไปกวาดพื้น สุดท้ายยังจากไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ทั้งยุทธภพจะหาคนแบบเขาได้สักกี่คน”

เย่โย่วได้ยินก็เริ่มอยากรู้อยากเห็น เขาเหลือบมองไปที่เหวินเหรินเหิงแวบหนึ่ง

เหวินเหรินเหิงไม่รอให้เขาถาม ก็ตอบอย่างนุ่มนวลว่า “พวกเขากำลังพูดถึงท่านประมุขลัทธิมาร ชื่อโย่ว แซ่เย่ มักสวมหน้ากากตลอดเวลา วรยุทธ์ลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งรู้ เป็นคนที่ร้ายกาจมาก” เขาชะงักไปเล็กน้อย หากไม่สังเกตก็ยากจะรู้ “เจ้ามีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเขาหรือไม่”

 

 

[1] แปลว่า คนแซ่จี่ผู้ยั่วโทสะให้ชิงชัง

[2] แปลว่า ภูเขาหยก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า