[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก บทที่ 4

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟคลอก

ทั้งยังสูญเสียความทรงจำ ไม่สามารถจดจำผู้ใดได้

สิ่งที่มีติดตัวมีเพียงป้ายหยกของเหวินเหรินเหิง เจ้าสำนักฝ่ายธรรมะ

ซ้ำฝ่ายนั้นยังอ้างว่าเขาคือศิษย์น้องที่หายสาบสูญไปอีกด้วย

ระหว่างสืบหาตัวตนของตนเอง กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมากมาย

เย่โย่วสงสัยว่าตนอาจเป็นประมุขลัทธิมาร

และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแผนการของเขาเอง

เขาจะเชื่อใจผู้ใดได้บ้าง หรือเชื่อไม่ได้เลยแม้กระทั่งตนเอง

ความลับที่ถูกเปิดโปงในครานี้

จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งยุทธภพเป็นแน่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 4

 

ตอนนี้เย่โย่วจำใครไม่ได้ ย่อมจำท่านประมุขลัทธิมารผู้นั้นไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่เขาจะไม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา จึงกล่าวเพียงว่า “คุ้นหูอยู่บ้าง ข้าต้องขบคิดก่อน”

เหวินเหรินเหิงไม่ได้บังคับเขา เพียงนั่งลงบนม้าหิน

หลายคนในศาลาแต่เดิมก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องของเย่โย่ว หลังจากคุยเรื่องประมุขลัทธิมารจบจึงหันมาสนใจเขา คนที่เพิ่งเอ่ยปากเมื่อครู่ถาม “ผู้นี้คือใครหรือ”

เห็นได้ชัดว่าเหวินเหรินเหิงมีความสุขมากที่ได้พบศิษย์น้อง เมื่อได้ยินพวกเขาถาม น้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่น “อาเสี่ยว ศิษย์น้องของข้า”

“…” คนเหล่านั้นไม่ทันตั้งตัว “อะไรนะ”

พวกเขามีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับฉินเย่ว์เหมียน ความคิดแรกคือต่างนึกไม่ถึงว่าเหวินเหรินเหิงจะมีศิษย์น้องด้วย

พวกเขาจึงถาม “เหตุใดไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเลย”

เหวินเหรินเหิงตอบ “แยกจากกันมาหลายปี เพิ่งได้กลับมาเจอกัน”

“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง…” มีสองสามคนที่จำได้ว่าท่าทางก่อนที่ฉินเย่ว์เหมียนจะจากไปเหมือนกำลังรอดูละคร พวกเขาล้วนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงหันมาสบตากันแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “นี่ถือเป็นเรื่องดี ก่อนหน้านี้อาเหมียนทำเหมือนมีลับลมคมใน เรายังนึกว่าพวกเจ้าจะทำร้ายคนเสียอีก”

เหวินเหรินเหิงรู้ดีว่าคนกลุ่มนี้ฉลาดเป็นกรด จึงอธิบายเหตุผลสั้นๆ ว่า “ข้ากับศิษย์น้องมีป้ายหยกคนละชิ้น อาเหมียนเห็นป้ายหยกบนตัวศิษย์น้อง เลยคิดว่ามันเป็นของขวัญจากข้า”

คนรู้ความจริงทั้งสองมองเหวินเหรินเหิงเงียบๆ แวบหนึ่ง

ฉินเย่ว์เหมียนคิด ศิษย์น้องของเจ้าน่ากลัวถึงเพียงนี้ เจ้ายังกล้าพูดปดมดเท็จเป็นคุ้งเป็นแควต่อหน้าเขา ไม่กลัวว่าศิษย์น้องจะเคลือบแคลงว่าคำพูดก่อนหน้าของเจ้าเป็นเรื่องเท็จหรือ

แต่เย่โย่วกลับคิดลึกซึ้งกว่านั้น เขารู้ว่าเหวินเหรินเหิงไม่ต้องการให้คนเหล่านี้สงสัยในตัวเขาเหมือนอย่างฉินเย่ว์เหมียน หรือบางทีอาจกลัวว่าเรื่องที่ป้ายหยกหายไปจะก่อให้เกิดปัญหา จึงข้ามเรื่องนี้ไป

เป็นจริงดังคาด คนเหล่านั้นได้ยินเช่นนี้ก็พึงพอใจแล้ว เมื่อเห็นว่าเหวินเหรินเหิงจงใจเปลี่ยนเรื่อง พวกเขาก็เปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องอื่นตามอย่างรู้สถานการณ์

เย่โย่วนั่งเงียบเชียบ ดูเหมือนว่าในหมู่พวกเขา เหวินเหรินเหิงจะมีตำแหน่งค่อนข้างสูง เหวินเหรินเหิงมีท่าทางของ “ผู้นำ” เต็มเปี่ยม เขาจึงยิ่งสงสัยตัวตนของตนเองมากขึ้น ในตอนนี้มีเพียงคนฝั่งตรงข้ามเท่านั้นที่ก้มลงหยิบสุราไหหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะหิน เกิดเสียงกระทบดัง “ติ๊ง” เบาๆ

ไหสุราเป็นสีขาวน้ำนมตลอดทั้งใบ มีภาพหงส์ฟ้อนมังกรเหินบนตัวไห และมีตัวอักษรคำว่า “วายุ” สีทองประทับอยู่ ลายเส้นอิสระเสรีขีดสุดท้ายที่ตวัดนั้นดูราวกับจะบินออกมาได้

ในสมองของเย่โย่วปรากฏชื่อหนึ่งขึ้นมาชั่วขณะ จึงกล่าวออกมาว่า “วายุเมามาย”

เขากล่าวเกือบจะพร้อมกันกับฉินเย่ว์เหมียน “วายุเมามาย!”

ชายผู้ถือไหสุราหัวเราะพลางเลิกคิ้ว “เอามาดื่มเป็นพิเศษ ยอดเยี่ยมใช่หรือไม่”

ฉินเย่ว์เหมียนหัวเราะและก่นด่าอยู่ในใจ เขามองแผนการอันล้ำเลิศของสหายเสเพลกลุ่มนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

ละครเรื่องเยี่ยมของเหวินเหรินเหิงที่เขาอยากเห็น เป็นการพบกันอย่างหาได้ยากในรอบแปดร้อยปี คนเหล่านี้ย่อมไม่อยากพลาดอย่างแน่นอน เขาเป็นผู้ที่ไม่เคยปฏิเสธสุราชั้นดีมาแต่ไหนแต่ไร สหายจึงนำ “วายุเมามาย” ที่มีค่าดั่งทองมาติดสินบน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกกีดกันออกจากเรื่องนี้

สหายเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าคนนายคนผู้ร่ำรวย พวกเขาเต็มใจล้างผลาญครอบครัวอยู่แล้ว ฉินเย่ว์เหมียนย่อมไม่เกรงใจ สั่งให้ข้ารับใช้นำจอกสุรามาทันที แล้วรินไปรอบหนึ่งอย่างอดใจรอแทบไม่ไหว

กลิ่นหอมกลมกล่อมของสุราเข้มข้นลอยฟุ้งไปทั่วอย่างรวดเร็ว ราวกับยั่วยวนประสาทสัมผัสของผู้คน เย่โย่วขยับปลายจมูก เขาหยิบจอกขึ้นมาจิบน้อยๆ พลางพริ้มตายิ้มอย่างสบายใจ “อา ‘สิบสามเลิศล้ำ’ [1] สินะ”

สองสามคนนั้นประหลาดใจไปชั่วขณะ คนที่นำสุรามากล่าวทันที “ใช่แล้ว ในวายุเมามายมีสิบสามเลิศล้ำ ศิษย์น้องอาเสี่ยวชอบดื่มสุราด้วยหรือ”

เย่โย่วจำไม่ได้ว่าเขาชอบหรือไม่ จึงกล่าวว่า “ข้าดื่มเป็นบางครา รสชาติของสิบสามเลิศล้ำช่างไม่เหมือนใคร”

“นั่นคือสิบสามเลิศล้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอยู่ในวายุเมามาย” คนที่นำสุรามาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “หลายคนบอกว่า ‘สิบสามเลิศล้ำ’ กับ ‘วาสนาโลกา’ [2] นั้นคล้ายกัน แต่ข้าจะบอกให้ว่าทั้งสองอย่างแตกต่างกันมาก ตามที่ท่านประมุขเย่ว่าไว้ ผู้แกร่งกล้ามากกว่าสองคนขึ้นไปยังไม่อาจแยกความแตกต่างระหว่างสุราทั้งสองชนิดนี้ได้”

เย่โย่วได้ยินเขาพูดถึงท่านประมุขเย่อยู่บ่อยๆ จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยอยู่ในที อดเหลือบมองผู้ที่นำสุรามาไม่ได้

เหล่าสหายเสเพลเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้องอาเสี่ยวอย่าได้ถือสา หากคุณชายหลี่ไม่ได้เอ่ยถึงประมุขเย่วันละสองสามหนจะรู้สึกอึดอัดใจ เมื่อมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับประมุขเย่ เขาจึงต้องยกขึ้นมาเอ่ย ท่านอย่าใส่ใจเลยจะดีกว่า”

คุณชายหลี่แค่นเสียงหึ “ข้าแค่ชอบเขา มีอะไรหรือไม่”

เย่โย่วแปลกใจมาก

ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้รู้จากปากของข้ารับใช้แล้วว่าปราสาทเขาสวินหลิ่วเป็นสำนักพรรคฝ่ายธรรมะ คนเหล่านี้เป็นสหายของประมุขปราสาท คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นคนของฝ่ายธรรมะด้วย หากพูดตามเหตุผลแล้วพรรคธรรมะกับลัทธิมารเหมือนน้ำกับไฟมิใช่หรือ พูดจาโผงผางเช่นนี้ไม่กลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกคนชั่วร้ายหรืออย่างไร

เขาระงับความสงสัยแล้วจิบสุราเงียบๆ อีกหนึ่งอึก

พอคุณชายหลี่ได้เอ่ยปาก ก็ดูเหมือนจะหยุดไม่ได้ เขาโอดครวญว่า จะพบท่านประมุขเย่สักครั้งนั้นแสนยาก นอกจากครั้งที่ไปเขาหออวี้ซานแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีนี้เขาเคยเห็นเงาร่างของคนผู้นั้นเพียงสองครั้งเท่านั้น หากยังไม่ได้เจออีก เขาจะเข้าร่วมลัทธิมารให้รู้แล้วรู้รอดไป กลุ่มสหายเสเพลได้ยินบ่อยจนชินชา พวกเขาต่างมีนิสัยชอบแย่งกันพูด จึงรวมกลุ่มกันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหัวเราะทั้งด่าว่ากันอย่างสนิทสนม

ฉินเย่ว์เหมียนไม่ได้ร่วมวงด้วยเหมือนปกติ เขาบีบจอกสุราอย่างเงียบเชียบ ไม่มีอารมณ์ลิ้มรส

น้ำค้างร้อยหญ้าของหมอเทวดาจี่มีชื่อเสียงมาก อาเสี่ยวจำได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ “วายุเมามาย” ไม่ใช่สุราที่คนทั่วไปจะได้ดื่ม แสดงว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของอาเสี่ยวคงจะดีมาก

ความกังขาในใจของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

บุรุษผู้นี้ทั้งฉลาดและร่ำรวย ทั้งยังมีใบหน้าที่ชวนหลงใหลได้ปลื้ม ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดาไร้ชื่อเสียงกระมัง เหตุใดถึงไม่เคยรู้จักมาก่อน

เขาอดชำเลืองมองไปทางเหวินเหรินเหิงไม่ได้

เหวินเหรินเหิงกำลังมองไปที่ศิษย์น้อง คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ฉินเย่ว์เหมียนปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดว่าในที่สุดเจ้าสำนักใหญ่ผู้นี้ก็เอะใจเสียที แต่กลับเห็นเขายื่นมือออกไปหยุดศิษย์น้องไว้ แล้วเปลี่ยนจอกสุราเป็นถ้วยชาให้แทน

เหวินเหรินเหิงเกลี้ยกล่อม “เจ้ามีอาการบาดเจ็บที่ร่างกาย ควรงดดื่มสุราชั่วคราว รอจนกว่าแผลสมานแล้วค่อยว่ากัน”

“…” ฉินเย่ว์เหมียนหันกลับไปจ้องมองจอกสุราอย่างซึมกระทือ แล้วครุ่นคิดอย่างลับๆ ว่า เหวินเหรินเหิงทำตัวเป็นศิษย์พี่ได้สมจริงสมจังเสียเหลือเกิน…ช่างมารดาเจ้าเถิด เจ้าไม่กลัวถูกคนสังหารก็แล้วไป!

เย่โย่วดื่มชาอย่างว่าง่าย

คำว่า “สิบสามเลิศล้ำ” ที่เขาเพิ่งกล่าวนั้น ไม่ได้พูดขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้า เหล่าสหายเสเพลยืนยันแล้วว่าเขาพูดถูก พลันอดหวนนึกถึงเรื่องน้ำค้างร้อยหญ้าไม่ได้ จากนั้นก็หันมาสนใจเรื่อง “วายุเมามาย” ที่อยู่ในสมองต่อ

เขาจำได้ว่าน้ำค้างร้อยหญ้าขึ้นชื่อลือนามมาก และยังจำได้ว่ามันล้ำค่ามากอีกด้วย แต่กลับไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับผู้ที่ปรุงยานี้เลย หากชื่อเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้เลื่องลือเท่าน้ำค้างร้อยหญ้าก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เสียตรงที่ไม่ใช่ ในสถานการณ์เดียวกัน เขาจำคำว่า “วายุเมามาย” จนถึงขั้นแยกแยะ “สิบสามเลิศล้ำ” ได้อย่างแม่นยำ ทว่าไม่มีความทรงจำของผู้บ่มสุรา

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาจดจำสิ่งที่เคยได้ยิน เคยเห็น หรือเคยใช้มาก่อนได้ แต่จดจำคนไม่ได้เพียงอย่างเดียว

เป็นเพราะเหตุใด

เขาดื่มชาอย่างเนิบช้า เริ่มขบคิดถึงความเป็นไปได้ที่ตนเองอาจจะถูกวางยาจนสูญเสียความทรงจำ

*******

สายฝนโปรยปรายค่อยๆ หยุดลง ลานบ้านที่ถูกชะล้างสว่างไสว มีกลิ่นหอมจรุงใจอันเป็นเอกลักษณ์หลังฝนตก กลุ่มสหายที่ร่ำสุราไปแล้วสามรอบขอยอมแพ้ เดิมทีฉินเย่ว์เหมียนต้องการจะให้พวกเขาอยู่กินอาหารเย็น แต่คนกลุ่มนั้นเห็นว่าเหวินเหรินเหิงไม่สนุกด้วย พวกเขาจึงรีบวิ่งกรูกันไปดูเส้าหยวนที่ถูกคุณหนูเถาปฏิเสธให้อับอาย

ฉินเย่ว์เหมียนพูดไม่ออก มองทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ก่อนหยิบไหสุราขึ้นมา แล้วจากไปอย่างรู้กาลเทศะเช่นกัน

ยามนี้เหวินเหรินเหิงถึงเพิ่งมีโอกาสเล่าเรื่องสำนักของเขาให้ศิษย์น้องฟัง

เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักซวงจี๋ [3] ซึ่งเป็นสำนักที่เขาก่อตั้งด้วยมือของตนเอง บัดนี้ก็ผ่านมาเจ็ดแปดปีแล้ว

เย่โย่วถาม “สำนักท่านยิ่งใหญ่มากเลยใช่หรือไม่”

เหวินเหรินเหิงหัวเราะอย่างไม่สำรวม “จากนี้ไปเจ้าจะได้รู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ข้าจะบอกว่ามันยิ่งใหญ่ ก็กลัวแต่เจ้าจะไม่เชื่อเท่านั้น”

เย่โย่วเผลอคิดต่อต้านอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนในดวงตาของศิษย์พี่ ก็ไม่คิดสิ่งใดอีก เพียงยอมรับสิ่งที่เขาเอ่ยและถามว่า “ที่เรียกว่า ‘ซวงจี๋’ มีความหมายแฝงหรือ”

“ใช่ ท่านอาจารย์กับอาจารย์ลุงมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพมาก่อน ผู้คนขนานนามว่าซวงจี๋ ข้าเองได้พวกเขาสั่งสอนมาจึงใช้ชื่อนี้” เหวินเหรินเหิงมองเขา “ตอนนี้อาจารย์ลุงยังมีชีวิตอยู่ หากมีเวลาไปเมืองหลวง ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมเขา”

เย่โย่วถาม “เขาอยู่ในเมืองหลวงหรือ”

“เขาพักในจวนแม่ทัพ” เหวินเหรินเหิงเห็นแววตาฉายแสงประหลาดใจ จึงเล่าต่อ “อาจารย์ลุงตั้งใจจะไปเป็นทหารอยู่ในสนามรบมานานแล้ว ท่านอาจารย์เสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน เจ้าก็หายตัวไป อาจารย์ลุงได้ข่าวการตายของท่านอาจารย์จึงรีบกลับมา แล้วพาข้าไปอยู่ด้วย เจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้คุณชายหลี่ถึงเอ่ยตรงๆ ว่าชอบท่านประมุขลัทธิมาร เพราะแท้จริงแล้ว คุณชายหลี่เป็นซื่อจื่อ [4] แห่งวังอ๋อง [5] เขาท่องยุทธภพเพื่อเที่ยวเล่นเท่านั้น ข้าจึงได้รู้จักเขาที่เมืองหลวง”

เย่โย่วได้คลายสงสัย แต่ปากกลับปฏิเสธ “ศิษย์พี่เดาผิดแล้ว ข้าไม่ได้อยากรู้”

เหวินเหรินเหิงโดนเขาโต้กลับเช่นนี้ย่อมอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “อืม ข้าเดาผิดเอง”

เย่โย่วไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องดีใจด้วย

เหวินเหรินเหิงกวาดสายตาเห็นข้ารับใช้มาเรียกพวกเขาไปกินข้าว จึงพาศิษย์น้องออกจากศาลาหลังน้อย พลางกล่าวลอยๆ ว่า “แต่ก่อนตอนที่เจ้าโง่งมมักจะชอบบอกว่าข้าเดาผิด ศิษย์พี่คิดถึงมากจริงๆ”

เย่โย่ว “…”

ถือว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้วกัน

*******

เย่โย่วได้รับบาดเจ็บที่ร่างกาย หลังอาหารเย็นจึงต้องพักผ่อนทันที ด้านฉินเย่ว์เหมียนเกือบได้รับบาดเจ็บภายในเมื่อบ่ายวันนี้ เมื่อเห็นว่าทั้งสองแยกจากกันในที่สุด เขาก็เรียกเหวินเหรินเหิงเข้าไปในห้องตำราทันที แล้วถามอย่างจริงจัง “บอกความจริงข้ามา ป้ายหยกหายไปจริงหรือไม่”

เหวินเหรินเหิงกล่าว “จริงสิ มันหายไปสักพักหนึ่งแล้ว”

ฉินเย่ว์เหมียนลอบสูดลมหายใจ เขาคาดเดาจากที่ป้ายหยกหายไปเป็นพื้นฐาน หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง มันจะพิสูจน์ได้ว่าความกังวลของเขาไม่ผิดพลาด ครั้นแล้วเขาจึงเอ่ยความสงสัยทั้งหมดออกมาราวกับเทถั่วเสียงดังเกรียวกราว ก่อนเอ่ยอย่างเสียใจว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะติดกับดักของใครบางคน”

ทีแรกเขาต้องการหารือแผนการรับมือ แต่เมื่อเห็นคนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างสุภาพยิ่งนัก ซ้ำยังพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่เป็นไร อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้”

ฉินเย่ว์เหมียนก็แทบจะหายใจไม่ออก ทำเอาหัวใจกระตุกวูบไปครู่หนึ่ง

เหวินเหรินเหิงกลับมาจริงจังอีกครั้ง “เจ้าช่วยเล่าเรื่องวันนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียดทีเถิด”

ฉินเย่ว์เหมียนยอมปล่อยเขาไป แล้วเล่าตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ แต่เขาจำรายละเอียดได้น้อยมาก ในยามนั้นทันทีที่เข้าไปเห็นใบหน้าของคุณชายผู้นั้น ก็มัวแต่ตกตะลึง หลังจากนั้นเมื่อเห็นเสาคานร่วงลงมา จึงรีบช่วยชีวิตอีกฝ่าย พาวิ่งฝ่าออกมา ไม่มีกะจิตกะใจจะมองสิ่งอื่นใด

เขาขมวดคิ้ว “เจ้ามีแผนอย่างไร”

เหวินเหรินเหิงกล่าว “ก่อนอื่น พาศิษย์น้องของข้าไปหาหมอเทวดาจี่เพื่อรักษาบาดแผล พวกเราจะออกเดินทางพรุ่งนี้”

“…” ฉินเย่ว์เหมียนถามอย่างสงสัย “เป็นศิษย์น้องของเจ้าจริงหรือ”

เหวินเหรินเหิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แน่นอน”

ฉินเย่ว์เหมียนยังมีท่าทีสงสัยอยู่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะลุกขึ้นกลับห้อง ก็อดรั้งไว้ไม่ได้ “เจ้าบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่ อะไรก็ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้”

เหวินเหรินเหิงกล่าว “ได้”

ฉินเย่ว์เหมียนจิตใจพองโต สิ่งที่เหวินเหรินเหิงไม่ต้องการเอ่ย จะอย่างไรก็ง้างปากเขาไม่ได้ สู้ถอยแล้วอ้อนวอนขออีกครั้งจะดีกว่า ขอแค่สิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้หลุดจากปากเจ้าหมอนี่เพียงคำเดียวก็เพียงพอแล้ว ส่วนที่เหลือเขาจะวิเคราะห์ต่อเอง

ทว่าในท้ายที่สุดเขาประเมินเจ้าหมอนี่ต่ำไป เมื่อเหวินเหรินเหิงพูดจบ เขาก็ยังเดาอะไรไม่ออกจริงๆ เพราะเหวินเหรินเหิงเพียงบอกเขาว่า “ข้าชอบฟังที่เขาเรียกข้าว่าศิษย์พี่เป็นพิเศษ นี่คือความจริง”

ฉินเย่ว์เหมียน “…”

ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ไหนกัน เจ้าตกหลุมรักเขาจริงๆ แล้วกระมัง!

เหวินเหรินเหิงรู้ว่าสหายสนิทเป็นห่วง จึงเอ่ยปลอบอย่างจริงใจก่อนจะออกไป “ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าเคยเห็นข้าเสียเปรียบคนตอนไหนรึ”

*******

เช้าวันรุ่งขึ้น เย่โย่วได้ยินจากศิษย์พี่ว่าจะพาไปหาหมอเทวดาก็ไม่ขัดข้องใดๆ เขาอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือน อยากออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างมานานแล้ว โดยเฉพาะสถานที่ที่มีคนเยอะๆ ก็จะยิ่งมีข่าวคราวมากขึ้นด้วย

เย่โย่วขึ้นรถเทียมม้าด้วยอารมณ์เบิกบาน ได้แวะพักตลอดทาง แสนสุขสบายใจ แต่ตกกลางคืนเขาก็ราวกับถูกสาดน้ำเย็น [6] เมื่อได้ยินใครบางคนบอกว่าต้องการห้องพักเพียงแค่ห้องเดียว

“ยังจับคนที่ทำร้ายเจ้าไม่ได้ ข้างนอกไม่ปลอดภัยเท่าที่ปราสาทเขา หากเจ้านอนห้องเดียวกับศิษย์พี่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวล” เหวินเหรินเหิงอธิบายให้เขาฟังอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นเรานอนห้องเดียวกันเถิด”

“…” เย่โย่วยกมุมปากและตอบรับด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ย่อมได้ๆ แต่ศิษย์พี่ ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าข้าชอบบุรุษ ศิษย์พี่หน้าตาดีถึงเพียงนี้ หากข้าอดกลั้นไม่ไหวแล้วทำมิดีมิร้ายท่านตอนดึกดื่นเที่ยงคืน ศิษย์พี่ก็โปรดอภัยด้วย”

 

[1] ในที่นี้หมายถึงวัตถุดิบที่ใช้หมักสุราชนิดหนึ่ง

[2] ในที่นี้หมายถึงวัตถุดิบที่ใช้หมักสุราชนิดหนึ่ง

[3] แปลว่า สองขั้ว

[4] ตำแหน่งของบุตรชายผู้จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดาของขุนนางระดับโหวไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ยศชินอ๋อง

[5] หรือหวัง เป็นบรรดาศักดิ์ของเจ้าผู้ครองแคว้น มีที่ดินในปกครอง แต่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของฮ่องเต้

[6] หมายถึง พูดให้เสียกำลังใจ หรือคำพูดเย็นชาที่ไปดับพลังใจหรือความกระตือรือร้นของผู้อื่น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า