[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก บทที่ 5

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟคลอก

ทั้งยังสูญเสียความทรงจำ ไม่สามารถจดจำผู้ใดได้

สิ่งที่มีติดตัวมีเพียงป้ายหยกของเหวินเหรินเหิง เจ้าสำนักฝ่ายธรรมะ

ซ้ำฝ่ายนั้นยังอ้างว่าเขาคือศิษย์น้องที่หายสาบสูญไปอีกด้วย

ระหว่างสืบหาตัวตนของตนเอง กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมากมาย

เย่โย่วสงสัยว่าตนอาจเป็นประมุขลัทธิมาร

และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแผนการของเขาเอง

เขาจะเชื่อใจผู้ใดได้บ้าง หรือเชื่อไม่ได้เลยแม้กระทั่งตนเอง

ความลับที่ถูกเปิดโปงในครานี้

จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งยุทธภพเป็นแน่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 5

 

 เหวินเหรินเหิงพันผ้าพันแผลบนศีรษะให้เย่โย่วด้วยตนเองอย่างประณีตบรรจง เว้นบริเวณตา จมูก และปากไว้ ในขณะที่พันปิดส่วนอื่นอย่างแน่นหนา เมื่อมองแวบแรกจะดูคล้ายเย่โย่วมีโคมไฟสีขาวราวหิมะอยู่บนคอ เมื่อเดินเข้าประตูไปจึงดึงดูดทุกสายตาในห้องโถงใหญ่

เย่โย่วรู้สึกคุ้นเคยฉากที่มีใครหลายคนจับจ้องอยู่เล็กน้อย ไม่เพียงไม่อึดอัด แต่ยังรู้สึกสงบ ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เพียงมองไปที่ศิษย์พี่อย่างใจเย็น

เถ้าแก่ร้านอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด จึงได้ยินเสียง “เจ้าศีรษะโคมไฟ” พูดอย่างชัดเจน ว่าเขาจะนอนกับคุณชายข้างกายผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับหยกและสูงกว่าเขาครึ่งศีรษะผู้นั้น ภาพฝันและความตั้งใจของบุรุษผู้ได้รับบาดเจ็บทำให้เถ้าแก่รู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก เขาจึงเบือนหน้าหนีไปเงียบๆ ไม่อาจทนคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดได้

“เถ้าแก่” เสียงนุ่มละมุนของเหวินเหรินเหิงไม่เปลี่ยนไปสักนิด เขากล่าวซ้ำหลังจากก้าวเข้าประตูมา “หาห้องให้พวกข้าหนึ่งห้องด้วย”

“…ได้ขอรับ” เถ้าแก่ร้านมีปฏิภาณไหวพริบยอดเยี่ยม เขาตอบรับในทันที ก่อนหยิบกุญแจออกมา แล้วส่งสัญญาณให้เสี่ยวเอ้อร์พาพวกเขาขึ้นไปชั้นบน รอจนพวกเขาเดินห่างออกไป จึงถอนหายใจและชักสายตากลับ

 

*******

 

บันไดสีดำเข้มสร้างจากไม้กระดาน เมื่อเหยียบขึ้นไปจะส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดตามมา เหวินเหรินเหิงเดินอยู่ข้างหน้า เขามองขอบสีทองของขั้นบันได มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

จะให้ข้านึกรังเกียจหรือ

ไม่สิ น่าจะเป็นเพียงการหยั่งเชิงเพื่อดูว่าข้าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร เขาคิดอะไรอยู่นะ

ความคิดของเหวินเหรินเหิงหมุนวนเวียนในศีรษะอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินทอดน่องเข้าไปในห้องพัก ก็พินิจพิเคราะห์การประดับตกแต่งภายในครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกพอใจแล้ว จึงสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารขึ้นมาส่ง จากนั้นจึงหยิบผ้าขนหนูกับน้ำค้างร้อยหญ้าออกมา

เย่โย่วรู้หน้าที่ เขาปลดผ้าคาดเอวอย่างสบายใจ รอให้เหวินเหรินเหิงแกะผ้าพันแผลให้

เหวินเหรินเหิงนั่งลงข้างเย่โย่ว ทายาให้ด้วยท่าทางปกติ เมื่อสังเกตเห็นเย่โย่วมองมาตลอด ในที่สุดจึงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าว “ยามราตรี เจ้านอนด้านใน ข้านอนด้านนอก”

เย่โย่วหัวเราะหนึ่งหน “ศิษย์พี่อย่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ข้าเพิ่งกล่าวไปสิ”

แววตาซับซ้อนวาบผ่านดวงตาเหวินเหรินเหิง ก่อนที่เขาจะสะกดมันไว้ แล้วถามอย่างใจเย็น “จริงหรือที่เจ้าบอกว่าชอบบุรุษ”

เย่โย่วตอบ “จริงสิ”

เหวินเหรินเหิงไม่หลงกลง่ายๆ จึงถามย้ำ “จริงแน่หรือ”

เย่โย่วเลิกคิ้ว “แล้วศิษย์พี่หวังให้เป็นเช่นไรเล่า”

เหวินเหรินเหิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เป็นเช่นไรก็ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นศิษย์น้องของข้าเหมือนเดิม อย่าคิดเหลวไหลเลย คืนนี้นอนหลับให้สบายเถิด” เขาเห็นศิษย์น้องยังอยากจะเอ่ยปาก จึงถอนหายใจเบาๆ ตบไหล่อีกฝ่าย แล้วใช้น้ำเสียงเอ็นดูคล้ายเสียงยามปลอบเด็กว่า ‘เป็นเด็กดี อย่าซน’ กล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ศิษย์พี่วรยุทธ์สูงกว่าเจ้า เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก จริงหรือไม่ ข้าแค่สกัดจุดหลับใหลของเจ้าก็เรียบร้อยแล้ว”

เย่โย่ว “…”

เหวินเหรินเหิงวางมาดเป็นศิษย์พี่ผู้แสนดี สั่งสอนเขาอย่างจริงใจ “ยามนี้ร่างกายเจ้าบาดเจ็บอยู่ จำไว้ว่าอย่าทำตามใจตนเอง สุราก็ดื่มให้น้อยลงเถิด เรื่องอื่นๆ รอให้อาการบาดเจ็บหายก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

เย่โย่วรู้ความเป็นอย่างยิ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยก็ราวกับหวานกว่าปกติ “รับทราบขอรับ ศิษย์พี่”

เหวินเหรินเหิงขานรับ “อืม” ด้วยความโล่งอก เขาใส่ยาทาแผลให้ศิษย์น้องเสร็จแล้วจึงกล่าว “สวมเสื้อผ้าเสีย ข้าจะไปเร่งเสี่ยวเอ้อร์ และให้เขาต้มน้ำร้อนมาให้”

เหวินเหรินเหิงหยัดกายขึ้นแล้วเดินออกไป เมื่อลงบันไดเลี้ยวผ่านหัวมุมหนึ่งมาแล้ว จึงยกมือขึ้นจับหน้าผากพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

เสี่ยวเอ้อร์กำลังยกอาหารขึ้นมาพอดี เมื่อเห็นเหวินเหรินเหิงเดินลงมาก็หยุดชะงัก

ทางด้านเหวินเหรินเหิงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็หยุดหัวเราะ แล้วรับถาดจากเสี่ยวเอ้อร์มาอย่างอารมณ์ดี เสี่ยวเอ้อร์มือว่างแล้ว เขากำลังจะอธิบายว่าเหตุใดถึงมาช้าไปสักหน่อย ทว่าคุณชายผู้นี้กลับตกรางวัลให้อย่างงาม เขาทั้งตะลึงงันและตื่นเต้นดีใจที่ได้พบแขกผู้มีอันจะกินอย่างลับๆ แขกผู้นี้ไม่เพียงอารมณ์ดี ยังใจกว้างควักเงินจ่ายเขามือเติบ แตกต่างจากคนหยาบช้าขี้เหนียวพวกนั้น!

 

*******

 

เหวินเหรินเหิงค่อยๆ เดินกลับไปที่ห้อง เพื่อกินอาหารค่ำกับศิษย์น้อง เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องของเขามีท่าทีเหมือนปกติ มองไม่เห็นประกายกริ้วโกรธแม้แต่น้อย ก็นึกในใจว่าเขาอดทนได้ดีทีเดียว

ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว เปลวเทียนริบหรี่ หน้าต่างกระดาษจางลงเป็นสีเหลืองอบอุ่น เสียงจากทั้งสี่ทิศค่อยๆ เงียบลง เหวินเหรินเหิงเหลือบไปเห็นป้ายหยกขณะถอดเสื้อผ้า จึงรีบถอดมอบให้ศิษย์น้องทันที

มือเรียวยาวของเหวินเหรินเหิงถือป้ายหยกไว้ เนื้อหยกขาวบริสุทธิ์ไร้ที่ติ ร้อยเชือกสีดำผูกเป็นลายดอกไม้ เกิดเป็นความงามที่ดูมีราคาและเรียบง่าย เย่โย่วอยากเห็นป้ายหยกที่เล่าลือกันว่าอยู่บนตัวเขามานานแล้ว จึงรับมาดู “ทำไมรึ”

“เก็บไว้เถิด” เหวินเหรินเหิงกระซิบ “เดิมทีก็แกะสลักไว้ให้เจ้า”

เย่โย่วถาม “ท่านคิดว่าข้าไม่รอดแน่ใช่หรือไม่”

แน่นอนว่าเขาเพียงโพล่งถามออกไปเท่านั้น เพราะหากเหวินเหรินเหิงถูกสกัดได้ด้วยคำถามเพียงแค่นี้ ก็คงไม่ใช่เหวินเหรินเหิงแล้ว

เป็นจริงดังคาด ครู่ต่อมาคนผู้นี้ก็เอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปสักนิด ว่าเขาเคยพบศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่หนึ่งที่สนิทสนมกันมาก ชั่วขณะที่นึกถึงเย่โย่วขึ้นมาก็อยากจะแกะป้ายหยกไว้สักหนึ่งชิ้น ตั้งใจว่าเมื่อถึงเทศกาลชิงหมิง [1] ปีหน้า จะปลีกวิเวกปีนขึ้นไปบนเขาคนเดียว เพื่อฝังป้ายหยกนี้ในสุสานของเย่โย่ว

“…” เย่โย่วอยากจะถอนหายใจ ตั้งแต่ความจำเสื่อม การได้มาพบเจอคนเช่นนี้นับเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียจริง แต่หากอีกฝ่ายยอมให้เขาง่ายๆ ก็จะหมดเรื่องสนุกและรู้สึกเบื่อเข้าจริงๆ น่ะสิ

เขาไม่ได้หาเรื่องถามศิษย์พี่ต่อว่าได้สร้างสุสานให้ตัวเองด้วยหรือไม่ แต่เริ่มพินิจพิเคราะห์ป้ายหยกชิ้นนั้น ‘ลวดลายสลักนี้แปลกยิ่งนัก’ เขาขบคิดในใจ จำไม่ได้ว่าเคยเห็นลวดลายเช่นนี้บนป้ายหยกชิ้นอื่นหรือไม่ เขาสัมผัสมันอย่างนุ่มนวล พลันนึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวขึ้นว่า “ดอกจื่อมู่?”  [2] 

ดวงตาของเหวินเหรินเหิงมีรอยยิ้ม ในดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นดุจเปลวเทียน ขับให้ดูอ่อนโยนมากขึ้น แม้สายตาเช่นนั้นจะชวนเจริญตาเจริญใจ แต่เย่โย่วมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนแฝงเร้นอยู่ เขายังไม่ทันได้ปริปาก ก็ได้ยินเหวินเหรินเหิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ดอกจื่อมู่”

เย่โย่วไม่ต้องการสบสายตาคู่นั้น แม้กระทั่งเปลือกตาก็ไม่ได้เหลือบแลไปทางเขา เพียงเก็บป้ายหยกไป แล้วเข้านอนพักผ่อนอย่างสงบ

 

*******

 

ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูร้อนจะมีแดดจ้าในตอนกลางวัน แต่เมื่อถึงช่วงกลางดึก สายฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมา เหวินเหรินเหิงลืมตาขึ้นอย่างเงียบเชียบ ฟังเสียงลมหายใจที่ผ่อนยาวสม่ำเสมอของคนที่นอนอยู่ข้างๆ สูดกลิ่นหอมจางๆ ของน้ำค้างร้อยหญ้าที่ฟุ้งกระจายในอากาศ เขาพลิกตัวหันไปมองศิษย์น้อง รอนับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องผล็อยหลับไปแล้ว จึงระเบิดพลังปราณแท้ออกมาเข้าสกัดจุดหลับใหลของอีกฝ่ายไว้

เย่โย่วศีรษะเอียงกระเท่เร่ เข้าสู่ห้วงนิทราลึกยิ่งขึ้น

เหวินเหรินเหิงลุกขึ้นนั่ง เริ่มตรวจสอบกำลังภายในของเย่โย่ว แล้วจึงนั่งพิงเตียงมองดูเขา

เย่โย่วถอดผ้าพันแผลบนศีรษะก่อนเข้านอน จึงปรากฏดวงหน้างดงามครึ่งหนึ่งอย่างเลือนราง เหวินเหรินเหิงก้มมอง แล้วยื่นมือออกไปหวังจะสัมผัสดวงหน้านั้น จังหวะที่มือกำลังจะแตะลงไป ไม่รู้ว่าเขานึกสิ่งใดขึ้นได้ จึงลังเลและหยุดชะงักไปชั่วขณะ

ท่ามกลางความมืดครึ้มยามราตรีและสายลมที่พัดเอื่อยเฉื่อย มือของเหวินเหรินเหิงค้างเช่นนั้นอยู่นาน ท้ายที่สุดเขาก็ใช้เพียงนิ้วชี้ไล้แก้มของเย่โย่วครู่หนึ่ง ก่อนเลื่อนไปลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา

‘มีเพียงยามที่เขาหลับไปแล้วเท่านั้น ถึงจะไม่ดื้อสักนิด’ …เหวินเหรินเหิงคิดอยู่ในใจ แล้วห่มผ้าให้อีกฝ่ายอย่างดี ก่อนจะลุกลงจากเตียง

มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังแว่วมาจากประตูห้อง ก่อนกลับคืนสู่ความสงบ

ทันใดนั้นเย่โย่วพลันลืมตาที่ปิดสนิทขึ้น เขาอดทนนอนต่อสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งช้าๆ …หากเหวินเหรินเหิงเห็นเข้า ท่าทางสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอนั้นคงต้องแปรเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อยเป็นแน่ เพราะเขาสกัดจุดชีพจรของคนผู้นี้จริงๆ ไม่ว่าจะอย่างไร เย่โย่วก็ไม่ควรตื่นขึ้นมาได้

อันที่จริงแม้แต่เย่โย่วเองก็ยังประหลาดใจมากเช่นกัน

เขารู้สึกตัวตื่นทันทีที่ถูกพลังปราณแท้กลุ่มนั้นโจมตี แต่แสร้งทำเป็นหลับลึกต่อไป เพื่อให้เหมือนถูกสกัดจุดหลับใหลอยู่จริงๆ เขาอยากรู้ว่าเหวินเหรินเหิงต้องการจะทำเช่นไรกันแน่ จึงฝืนนอนหลับมาจนถึงตอนนี้

เย่โย่วแตะแก้มข้างที่ถูกสัมผัส ครุ่นคิดชั่วครู่ว่าจะตามไปดีหรือไม่ หลังจากนั้นไม่นานก็บังเกิดความคิดดีๆ เขาแต่งกายอย่างมีความสุข แล้วเปิดประตูออกไป

คนชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตู เขาหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงประจันหน้ากับเย่โย่วอย่างฉับพลัน

เย่โย่ว “…”

คนชุดดำ “…”

คนผู้นี้เดินขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร มาตอนที่เขาหลับหรือเพิ่งมาเมื่อครู่ เหตุใดจึงไร้สุ้มเสียงเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นองครักษ์เงาของเหวินเหรินเหิง เย่โย่วคิดทบทวนไปมา ยืนเงียบกริบ สายตามองตรง

คนชุดดำตกตะลึงใบหน้าของเย่โย่ว สมองจึงว่างเปล่าไปชั่วครู่ เขาตะลึงงันอยู่เช่นนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงแค่จ้องเขม็งมาที่ตนเองโดยไม่เอ่ยปาก เขาจึงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน “คุณชายตื่นแล้วหรือ เจ้าสำนักของเราออกไปทำธุระ ประเดี๋ยวก็กลับมา คุณชายไปนอนก่อนเถิดขอรับ”

เย่โย่วดูคล้ายไม่ได้ยิน ยังคงมองตรงไปที่เขา

คนชุดดำตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าคนตรงหน้ามีบางอย่างผิดปกติ เขากำลังจะซักถาม ทันใดนั้นก็นึกถึงคำว่า “เดินละเมอ” ขึ้นมาได้ เขาตะลึงงัน แล้วถามตะกุกตะกักอย่างระแวดระวัง “คุณชาย ท่านได้…ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”

เย่โย่วไม่ตอบ ยกเท้าเดินไปข้างหน้า

โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีเฉลียงเปิดโล่ง เดินไม่กี่ก้าวก็จะถึงราวบันได คนชุดดำเห็นเย่โย่วชะโงกคอมองลงไปข้างล่างก็ตกใจสะดุ้งโหยง รีบวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะพลัดตกลงไป คนชุดดำไม่กล้าเรียกเขา เพราะว่ากันว่าคนที่เป็นโรคเดินละเมอจะปลุกไม่ตื่น ควบคุมไม่ได้ มิฉะนั้นจะเป็นการทำร้ายเขาให้กลายเป็นคนปัญญาอ่อน

เย่โย่วหันหน้าไปมองคนชุดดำ “เจ้ารู้จักข้าหรือ”

คนชุดดำประหลาดใจอย่างมาก “ไม่รู้จัก คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ”

เย่โย่วถามอีกครั้งโดยที่น้ำเสียงไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “เจ้ารู้จักข้าหรือ”

“…” คนชุดดำอยากจะร้องไห้ ตื่นกับผีสิ ยังเดินละเมออยู่เลย!

เขาส่ายหน้าอย่างเงียบๆ

เย่โย่วโน้มตัวเข้าไปใกล้ พิจารณาเขาอย่างใกล้ชิด คนชุดดำทำได้เพียงถอยหลัง จนหลังเขาสัมผัสกับเสาไม้สีแดงเข้มอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามองใบหน้าของเย่โย่ว ก็แทบจะต้องกลั้นหายใจด้วยความประหม่า ทว่าเย่โย่วกลับเคลื่อนไหวมืออย่างว่องไว สกัดจุดเขาหลายแห่งได้ในทันที

คนชุดดำ “…”

คนชุดดำไม่สามารถส่งเสียงได้ ทำได้เพียงเบิกตากว้าง ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองตกหลุมพรางของอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่เมื่อเขามองใกล้ๆ ก็พบว่าชายผู้นี้ยังคงมีท่าทางเช่นเดิม จึงอดรู้สึกละอายความคิดของตนเองอยู่ลึกๆ ไม่ได้

เย่โย่วไม่อยากเสียเวลา เพียงมองคนชุดดำ แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องพัก คนชุดดำจึงค่อยรู้สึกว่าในที่สุดเขาก็จะได้กลับไปนอนต่อเสียที แต่ขณะที่กำลังรู้สึกโล่งใจ ก็พลันนึกถึงสถานการณ์ของตนเองขึ้นมาได้ และเริ่มกังวลว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างนี้หรือไม่ แต่เขาไม่ต้องกังวลนานมากนัก เพราะคุณชายผู้นั้นหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังถือกริชของเหวินเหรินเหิงไว้ในมือ แล้วดึงกริชออกมาจากฝักเสียงดัง “ชิ้ง”

คนชุดดำ “…”

ระหว่างที่คนชุดดำมองมาด้วยสายตาอกสั่นขวัญแขวน เย่โย่วก็ใช้กริชตบไหล่เขาไปหนึ่งหน ก่อนถามอย่างแปลกใจ “เหตุใดเจ้ายังไม่ออกไปอีก”

คนชุดดำ “…”

ขอให้ข้าเคลื่อนไหวได้เถิด ข้าจะหนีไปอย่างแน่นอน!

“ไม่ไปก็ดี” เย่โย่วยกมุมปาก ยิ้มกระหายเลือด ทันใดนั้นลมปราณอันน่าสะพรึงก็เอ่อล้นออกมาจากร่าง เขาค่อยๆ ขยับกริชไปที่คอของคนชุดดำ แล้วกล่าวซ้ำ “ไม่ไปก็ดี…”

คนชุดดำ “…”

บัดซบ เจ้าสำนักช่วยด้วย!

เย่โย่วย่อมไม่ฆ่าเขาจริงๆ เพียงลากคนชุดดำออกไปอย่างมีนัยแอบแฝง เตรียมแผนจะตลบหลังเหวินเหรินเหิงสักครา

 

 

 

[1] หรือเช็งเม้ง เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ของชาวจีน หมายถึงวันที่อากาศสดใสปลอดโปร่ง คือประมาณวันที่ 4-6 เมษายน ชาวจีนมีเทศกาลประจำปีในการบูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว

[2] หรือ Angelica ลักษณะดอกมีสีขาวขนาดเล็ก อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทว่ามีพิษซ่อนอยู่ภายใน หากสัมผัสจะทำให้เกิดแผลคล้ายรอยไหม้บนผิวหนัง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า