[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 2 บทที่ 45 : ไม่ควรแตะต้องตัวกัน

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 45 ไม่ควรแตะต้องตัวกัน[1]

 

ตกลงเขารู้หรือเปล่าว่าชายชายไม่ควรแตะต้องตัวกัน!

 

หลัวซวินนึกหวั่นใจ ตอนพวกเขาลงมาข้างล่างแค่เหลือบมองหลังแผ่นเหล็กที่ปิดลิฟต์ตัวหนึ่งไว้เท่านั้น ครั้นเห็นว่าไม่มีประกาศอะไรปิดไว้ก็ลงมายังชั้นล่างอย่างวางใจ ลืมไปว่าในตึกมีลิฟต์สองตัวและทางเข้าบันไดหนึ่งทาง!

เจ้าหน้าที่ทหารคนนั้นส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ชั้นที่พวกคุณอยู่ยังมีห้องว่างอีกห้องไม่ใช่เหรอ ช่วงสองสามวันมานี้มีคนเข้ามาในฐานที่มั่นเพิ่มขึ้นเยอะมาก ทางการจึงเตรียมจัดสรรที่อยู่ให้พวกเขา ปรากฏว่าพอขึ้นไปบนชั้นนั้นกลับเข้าไปไม่ได้ เราเลยต้องจัดคนไปอยู่ที่อื่นแทน”

พวกหลี่เถี่ยรู้สึกโล่งอก รีบยิ้มปะเหลาะเจ้าหน้าที่คนนั้น “พอดีตรงทางเดินมีของกองอยู่เยอะครับ กลัวว่าจะไม่ปลอดภัยก็เลยปิดทางเข้าออกไว้ก่อน คราวหน้าถ้าคุณจะจัดคนมาอยู่ก็เคาะประตูเรียกได้เลยครับ หลังจากนี้พวกผมอยู่ห้องทุกวันแน่นอน”

หวังตั๋วพูดพลางยิ้มประจบ “ว่าแต่ช่วยจัดสาวๆ เข้ามาอยู่ได้ไหมครับ”

เจ้าหน้าที่คนนั้นถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “คนที่จะย้ายเข้าไปอยู่วันนี้เป็นผู้หญิงหมดเลย แถมสวยมากด้วย ทีแรกว่าจะจัดให้อยู่ใกล้กับพวกคุณ เห็นเป็นวัยรุ่นด้วยกันน่าจะคุยกันรู้เรื่อง แต่ตอนนี้สายไปแล้ว รอคราวหน้าก็เหลือแต่ผู้ชายแล้วละ”

หวังตั๋วหน้าคว่ำทันตา หันไปมองสองคนในรถด้วยสายตากล่าวโทษ เหยียนเฟยหน้านิ่งไร้อารมณ์ ไม่มีทีท่าว่าจะสงสารเห็นใจเขาสักนิด ส่วนหลัวซวินไม่แม้แต่จะชายตามองเขา… อยากได้สาวๆ เหรอ ก็ออกไปจีบเอาสิ จะมามองเกย์อย่างเขาทำไม

หลี่เถี่ยไม่สนว่าคนที่จะมาอยู่ใหม่เป็นหญิงหรือชาย พูดเพียงแค่ว่า “ถ้ามากันแค่ไม่กี่คนและไม่สร้างปัญหาวุ่นวายก็โอเคแล้วครับ”

“เอาละๆ ไม่ต้องเลือกมาก ยังไงเบื้องบนก็เป็นคนจัดการให้อยู่ดี” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดขึ้น “คิดว่าพรุ่งนี้ประมาณแปดเก้าโมงเช้าพวกเราจะเข้าไปอีกรอบ อ้อ จริงสิ ช่วงนี้พวกคุณอย่าออกไปเดินเตร่ข้างนอกล่ะ ในฐานที่มั่นไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร อีกอย่าง งานของพวกคุณใกล้มีคำสั่งออกมาแล้ว คงสักสามถึงห้าวันพวกคุณก็ต้องไปรายงานตัว”

“รับทราบครับผม พวกผมจะปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบนอย่างแข็งขันครับ” พอได้ยินว่ามีงานที่ได้คูปองสะสมมาให้ทำแล้ว พวกหลี่เถี่ยก็พลันสองตาลุกวาว ยกมือตะเบ๊ะเลียนแบบทหารทันที

หลังขอตัวลาเจ้าหน้าที่คนนั้น พวกเขาก็ค่อยๆ เดินทอดน่องกลับไปยังตึกที่พักของตัวเอง

“เฮ้อ สาวๆ จ๋า หลุดมือไปซะแล้ว”

“พอเลย เลิกสนใจเรื่องผู้หญิงได้แล้ว” หานลี่ตบกะโหลกเพื่อนไปหนึ่งที

อู๋ซินโพล่งออกมา “พวกเขาบอกว่าจะมีคนมาพรุ่งนี้เช้า งั้นทางที่ดีพวกเราไปเก็บของตรงโถงทางเดินกันก่อนดีไหม”

ในตอนนี้หลัวซวินจอดรถเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะไปเปิดประตูท้าย พอได้ยินคำถามนี้จึงเอ่ยตอบ “นั่นสิ พวกเราควรไปเคลียร์ของสักหน่อย ขนพวกของเล็กๆ น้ำหนักเบาไปไว้ในห้องก่อน ส่วนของชิ้นใหญ่ที่ย้ายไม่ไหวจริงๆ ก็วางไว้ตรงโถงทางเดินไปก่อน”

ส่วนผู้มาใหม่จะเป็นยังไง คงต้องดูสถานการณ์วันพรุ่งนี้แล้วค่อยว่ากันอีกที เพราะคนที่ถูกจัดให้มาอยู่ที่นี่ในช่วงนี้คงเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาในฐานที่มั่นได้ไม่กี่วัน นิสัยใจคอจะเป็นยังไงนั้นก็ขึ้นอยู่กับดวงแล้ว

 

อีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งคุยกับพวกหลัวซวินนายนั้นกลับมารายงานหัวหน้าเรื่องที่เจอหลี่เถี่ยและเพื่อนๆ เมื่อครู่นี้

“แสดงว่าในกลุ่มพวกเขาต้องมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน” เมื่อผู้บังคับบัญชาได้ยินว่าพวกหลี่เถี่ยเป็นคนปิดทางเข้าออกเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ถึงแม้ว่าตอนลงทะเบียนพวกเขาจะไม่ได้แจ้งว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังพิเศษ นั่นอาจเป็นเพราะกลัวว่าถ้าเปิดเผยตัวแล้วจะตกอยู่ในอันตราย หรือไม่ก็อาจเพราะตอนนั้นพวกเขายังไม่รู้ตัว

เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะในช่วงแรกผู้มีพลังพิเศษหลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองได้ครอบครองพลังพิเศษ และก็มีคนจำนวนมากที่กลัวว่าพลังพิเศษพวกนั้นจะนำภัยร้ายมาสู่ตน จึงไม่กล้าแจ้งให้ทางกองทัพรู้

“มีความเป็นไปได้สูงมากครับ ผมบอกพวกเขาแล้วว่า พรุ่งนี้จะจัดคนไปอยู่ที่ห้อง 1602”

“อืม เอาแบบนี้แล้วกัน ในเมื่อหนึ่งในพวกเขามีผู้มีพลังพิเศษอยู่ อย่างนั้นก็จัดคนที่มีพลังพิเศษไปอยู่ใกล้ๆ กันซะเลย” ผู้เป็นหัวหน้าครุ่นคิดสักพัก ก่อนพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ท่านหมายถึง…”

“ใช่ หมอคนนั้นนั่นแหละ ส่งให้เขาไปอยู่ที่นั่น”

นายทหารแอบเหงื่อตก ก่อนรีบพยักหน้ารับรัวๆ “อาการบาดเจ็บของเขาใกล้หายแล้ว สมควรจัดสรรที่อยู่ให้เขาครับ” ทั้งที่เป็นแพทย์คนหนึ่งแท้ๆ แต่กลับไม่มีความอ่อนโยนอย่างเทพบุตรชุดกาวน์เลยสักนิด ลำพังช่วงพักรักษาตัวก็ทำคนบาดเจ็บไปสามราย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรีบจัดให้เขาพักอยู่ห้องเดี่ยว พร้อมทั้งส่งแพทย์และพยาบาลที่ใจเย็นที่สุดไปดูแลอย่างระมัดระวังละก็ คงมีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดในโรงพยาบาลอีกหรือไม่

ส่วนพรุ่งนี้จะให้ใครพาเขาไปส่งนั้น… เหอะๆ ใครสะดวกตายก็เชิญก่อนเลย ตัวเขาไม่พร้อมจริงๆ ให้เพื่อนผู้กล้าไปก็แล้วกันนะ ใครใช้ให้เขางานยุ่งกันล่ะ ฝ่ายเจ้าหวังตั๋วที่อยากได้สาวๆ ไปอยู่ด้วยใจจะขาดน่ะเหรอ สมน้ำหน้านัก ใครใช้ให้พวกนายไม่อยู่บ้านวันนี้เล่า ไม่อย่างนั้นคงได้เพื่อนบ้านเป็นสาวๆ เอ๊าะๆ ไปแล้ว

 

ด้านล่างของตึกเจ็ด

เหยียนเฟยเปิดประตูตู้คอนเทนเนอร์ นำแผ่นเหล็กทั้งหมดหลอมรวมเป็นชิ้นเดียว จากนั้นแค่เพียงเงยหน้าขึ้น เหล็กขนาดมหึมาก็ถูกยกออกมา

ถึงจะรู้ดีว่าเหยียนเฟย ‘ยก’ เหล็กชิ้นใหญ่นี้ขึ้นตึกคนเดียวได้ แต่เมื่อหลัวซวินปิดล็อกรถเสร็จแล้วก็เดินไปช่วยยกปลายเหล็กอีกด้านเข้าตึกโดยอัตโนมัติอยู่ดี

พอมาถึงทางเลี้ยว เห็นชัดเจนว่าความยาวของเหล็กเกินกว่าจะตีวงเลี้ยวได้ ทันใดนั้นแผ่นเหล็กพลันเปลี่ยนเป็นเส้นๆ ในชั่วพริบตา พร้อมทั้งบิดงอเป็นเส้นโค้ง พวกหลี่เถี่ยที่เดินตามมาด้านหลังเห็นแล้วถึงกับมุมปากกระตุก “โหย ขี้โกงชะมัด”

“ฉันไม่โกงก็ได้ แต่ขอแรงพวกนายช่วยฉันยกหน่อยแล้วกัน” เหยียนเฟยหันไปยิ้มบางๆ นักศึกษาทั้งห้าคนรีบส่ายหน้ารัวจนเห็นภาพข้างหน้าเป็นภาพซ้อน

พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปทีละชั้นๆ ใครใช้ให้กลับมาไม่ถูกเวลากันล่ะ ตอนนี้เป็นช่วงที่ลิฟต์หยุดให้บริการ ถ้าของที่ขนมาไม่ใช่โลหะที่เหยียนเฟยสามารถควบคุมให้ลอยกลางอากาศได้ราวกับเป็นดินน้ำมันละก็ พวกเขาคงไม่มีทางขึ้นมาบนชั้นสิบหกได้ง่ายๆ แบบนี้แน่

คนทั้งเจ็ดซึ่งฉาบโป๊ผนังปูนมาตลอดสามวันเต็มสามารถเดินขึ้นมาถึงชั้นสิบหกได้แบบรวดเดียว พวกเขาแอบรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนหน่อยหนึ่งแล้ว เพราะนอกจากเหอเฉียนคุนที่ยังเหนื่อยหอบเหมือนจะตายเวลาปีนขึ้นตึก คนอื่นๆ ต่างรู้สึกว่าตัวเองยังคงมีแรงเหลือเฟือ

บนแผ่นเหล็กตรงประตูบันไดไม่ได้ติดประกาศอะไรไว้ ดูท่ากองทัพอาจจะขาดแคลนกระดาษ หรือไม่บางทีพวกเขาอาจจะเอาประกาศไปติดไว้บนแผ่นเหล็กด้านในประตูลิฟต์สองตัวนั้นก็ได้

ขณะที่มือข้างหนึ่งของเหยียนเฟยยังคง ‘ยก’ แผ่นเหล็กชิ้นใหญ่นั้นไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้น ‘เปิด’ แผ่นเหล็กที่ปิดประตูบันไดทางเข้าบ้านส่วนหนึ่งในชั่วพริบตา ช่องที่เปิดออกนั้นเพียงพอให้ทุกคนผ่านเข้าไปได้พร้อมกับแผ่นเหล็กที่ถืออยู่

หลังจากเหยียนเฟยวางแผ่นเหล็กลงและปิดผนึกแผ่นเหล็กตรงทางเข้าออกให้กลับคืนสภาพเดิม หลัวซวินถึงเพิ่งเห็นเหยียนเฟยแอบยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแบบไม่ให้ใครสังเกตเห็น… เล่นใช้พลังยกเจ้าแผ่นเหล็กนี้ ‘ลอย’ ขึ้นตึกมาตั้งนาน ก็ต้องอ่อนเพลียเป็นธรรมดา

“พวกเรากินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วพักกันสักเดี๋ยว ค่อยไปเก็บของตรงโถงทางเดินกัน”

ครั้นหลัวซวินเสนอขึ้น พวกหลี่เถี่ยก็เฮลั่น เมื่อเช้าหลังกินข้าวเสร็จพวกเขาก็เดินหาซื้อของกันมาครึ่งวัน ตอนนี้จึงรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจนอยากจะพักสักหน่อยอยู่เหมือนกัน

หลัวซวินกับเหยียนเฟยเข้าไปในห้อง 1603 ที่ว่างเปล่า แล้วเดินผ่านช่องประตูเหล็กที่ไม่ได้ปิดเข้าไปยังห้อง 1604…เหยียนเฟยหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปเพื่อผ่อนคลาย

“จะอาบน้ำก่อนไหม” หลัวซวินถามขึ้นขณะล้างมือเพื่อเตรียมทำอาหารกลางวัน

“ไม่ละ เดี๋ยวตอนบ่ายก็ต้องขนของอีก ค่อยอาบตอนกลางคืนไปเลยทีเดียว” เจ้าตัวเล็กเห็นเหยียนเฟยเอนตัวนอนบนโซฟาก็ปรี่เข้าหา เหลียวซ้ายแลขวาก่อนตะกายหน้าแข้งของเขาปีนไต่ขึ้นไปบนต้นขา แล้วฟุบหมอบลงบนท้องของเขา

คนกับหมาหันหน้าหากัน ดวงตากลมโตคู่หนึ่งสบประสานกับดวงตาอีกคู่ที่แม้ไม่โตมากแต่เปี่ยมพลังและมีชีวิตชีวา

หลัวซวินหยิบถ้วยเดินออกมาจากห้องครัว เห็นภาพนี้เข้าก็กลั้นขำไว้ไม่อยู่ หัวเราะพรืดออกมา จนหนึ่งคนหนึ่งหมาหันขวับมามองเขาอย่างพร้อมเพรียง

“นายยอมให้มันขึ้นไปนอนบนท้องด้วยเหรอ” ใครกันที่บ่นว่าเจ้าตัวเล็กไม่มีวินัยต้องสั่งสอน พอบ่นแล้วตัวเองก็ไม่เคยสั่งสอนมันจริงจังสักครั้ง ดูสภาพทั้งคู่ตอนนี้สิ เจ้าตัวเล็กไม่เคยปีนขึ้นมานอนอยู่บนตัวหลัวซวินแบบนี้ด้วยซ้ำ

เหยียนเฟยเพียงปรายตามองเขา แล้วยกมือจิ้มหัวเจ้าตัวเล็กอย่างเกียจคร้าน มันก็เอียงคอหลบไปมาพลางอ้าปากแกล้งงับนิ้วอีกฝ่าย “ตอนนี้ฉันไม่มีแรง ไว้เดี๋ยวค่อยจับมันลงก็ได้”

หลัวซวินไม่เคยเห็นเหยียนเฟยสลัดเจ้าตัวเล็กออกไปจริงๆ สักที เขาจึงส่ายศีรษะยิ้มๆ พลางวางถ้วยกับตะเกียบลงแล้วเดินกลับเข้าไปหยิบของที่เหลือในครัวต่อ

เมื่อกลับมาที่ห้องรับแขกอีกครั้งก็ยังเห็นเหยียนเฟยใช้นิ้วจิ้มหัวเจ้าตัวเล็กไม่เลิก ส่วนมันก็ใช้อุ้งเท้าตะปบกลับ พลางเบี่ยงหัวหลบซ้ายทีขวาที ทว่าเวลานี้มันไม่ได้อยู่บนพื้นเหมือนทุกครั้ง แต่อยู่บนพุงเหยียนเฟย ร่างกายมนุษย์มีส่วนเว้าโค้งยืดหยุ่น อีกทั้งมันออกท่าออกทางแรงเกินไป เลยพลาดท่ากลิ้งขลุกๆ ตกจากพุงของเหยียนเฟยไปนอนหงายหลังแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นข้างโซฟา ขาทั้งสี่ชี้โด่เด่ดิ้นตะกุยไปมาอยู่ครู่หนึ่งราวกับลูกเต่าที่นอนหงายท้องขาชี้ฟ้า

เหยียนเฟยเม้มปากกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น เขาไม่เคยเห็นสุนัขโง่ขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่เป็นสุนัขพันธุ์ฉลาดแสนรู้อย่างเยอรมันเชพเพิร์ดแท้ๆ แต่ทำไมถึงทำตัวติงต๊องกว่าไซบีเรียนฮัสกี้เสียได้

หลัวซวินเองก็อดหัวเราะไม่ได้ มิน่าล่ะ ทั้งที่ในบ้านมีรองเท้าสลิปเปอร์ของสองคน แต่เจ้าตัวเล็กกลับชอบคาบอาหารไปกินบนรองเท้าของเหยียนเฟย และลับเขี้ยวกับรองเท้าของเขามากกว่า ต่อให้เจ้าตัวเล็กจะคาบรองเท้าหลัวซวินออกมาเล่น แต่มันก็ไม่เคยทำรองเท้าหลัวซวินสกปรกมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าตอนที่ตนไปทำงานสร้างกำแพงในช่วงแรก เหยียนเฟยอยู่บ้านได้แกล้งอะไรเจ้าตัวเล็กบ้าง

 

หลังจากกินอิ่ม เหยียนเฟยยังคงเอนหลังพิงโซฟาเพื่อฟื้นฟูพลังพิเศษ หลัวซวินเก็บถ้วยชามเสร็จแล้ว เห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ปกติกว่าจะฟื้นฟูพลังได้ต้องใช้เวลานานมากเลยใช่ไหม ถ้าตอนนี้มีคริสตัลก็คงดี”

ทันใดนั้นเหยียนเฟยก็ลืมตาขึ้นมองมาทางเขา พลางกะพริบตาปริบๆ “นายคิดว่าเจ้าสิ่งนั้นในหัวซอมบี้ นอกจากช่วยฟื้นฟูพลังแล้วยังใช้ประโยชน์อะไรอย่างอื่นได้อีกบ้าง”

หลัวซวินตอบออกไปตามสัญชาตญาณโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด “ช่วยเพิ่มระดับพลังพิเศษเศษมั้ง”

ในยุควันสิ้นโลกของชาติที่แล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าคริสตัลช่วยเพิ่มขั้นพลังได้ อีกทั้งเมื่อคริสตัลระดับต้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้มันจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้มีพลังพิเศษระดับสูงมากนัก แต่มันกลับค่อยๆ แพร่หลายในฐานที่มั่น จนในที่สุดก็ถึงขั้นมีแนวโน้มที่จะใช้แทนเงินไว้แลกเปลี่ยนในฐานที่มั่นได้

สาเหตุที่บอกว่าเป็นแนวโน้ม เพราะที่ผ่านมาฐานที่มั่นไม่ส่งเสริมให้ใช้คริสตัลในการแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภค ยังคงปล่อยให้คูปองสะสมหมุนเวียนเป็นระบบเหมือนเงินตราเช่นเดิม ส่วนคริสตัลก็มีสถานะเหมือนสกุลเงินที่มีเสถียรภาพสูงเช่นเดียวกับทองคำในยุคก่อนวันสิ้นโลกนั่นเอง แตกต่างจากคูปองสะสมเหล่านั้นที่เมื่อมาถึงฐานที่มั่นแห่งไหนก็ต้องไปแลกใหม่ยังจุดแลกคูปองของฐานนั้น ทว่าคริสตัลไม่ว่าไปอยู่ในฐานที่มั่นใดล้วนใช้แลกเปลี่ยนสินค้าได้โดยตรง ทั้งยังได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้คน

ต่อให้เป็นคนธรรมดาซึ่งคริสตัลไม่ได้มีประโยชน์ใช้สอยอะไรสำหรับตัวพวกเขา แต่ก็นำไปแลกซื้ออาหาร เสื้อผ้า และข้าวของอื่นๆ ได้ แถมมีมูลค่าสูงกว่าคูปองสะสม และไม่ถูกลดมูลค่าอีกด้วย

เหยียนเฟยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหรี่ตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ซอมบี้ที่มีคริสตัลยังมีค่อนข้างน้อย ถ้าพวกเราไม่ออกไปนอกฐานที่มั่นก็ไม่มีทางได้มันมาในเร็วๆ นี้”

หลัวซวินยักไหล่ “ไว้คราวหน้าเราตั้งใจไปดูกันว่ามีใครเอาคริสตัลมาขายในฐานที่มั่นบ้างหรือเปล่า ถ้ามี เราค่อยเอาของอย่างอื่นไปแลกก็ได้”

เหยียนเฟยลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ เสื้อไหมพรมเข้ารูปสีดำเผยให้เห็นรูปร่างของเขาได้อย่างชัดเจน ทำเอาหลัวซวินถึงกับต้องเบนสายตามองไปทางอื่น ไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ

“ไปกันเถอะ ฉันว่าพวกเขาคงกินข้าวกันเสร็จแล้ว พวกเราไปขนของตรงทางเดินเข้ามากันดีกว่า” เหยียนเฟยเดินไปยืนข้างหลัวซวินแล้วฉวยโอกาสยกมือขึ้นยีหัวเขาเบาๆ ทำเอาหลัวซวินนิ่งค้างตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ นานสองนานก็เรียกสติกลับมาไม่ได้

กระทั่งได้ยินเสียงเหยียนเฟยเรียกมาจากห้องข้างๆ หลัวซวินถึงเพิ่งได้สติกลับมา พยายามสะกดอาการหน้าแดงเพราะขุ่นเคืองเอาไว้

ช่วงนี้หมอนี่ชอบทำตัวรุ่มร่ามมากขึ้นทุกที เดี๋ยวตบบ่า เดี๋ยวจูงแขน เดี๋ยวโอบเอว จนจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ตอนนี้ถึงขั้นกล้าเล่นหัวอีก ตกลงเขารู้หรือเปล่าว่าชายชายไม่ควรแตะต้องตัวกัน!

หลัวซวินสำนึกได้อีกครั้งแล้วว่าตนตัดสินใจพลาดอย่างยิ่งที่ไม่ได้บอกเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเขาให้อีกฝ่ายรู้ตั้งแต่แรก หลัวซวินใคร่ครวญอย่างหนักมานับครั้งไม่ถ้วน หรือจะหาโอกาสพูดให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยดี วันหน้าอีกฝ่ายจะได้ไม่กล้าลวนลามเขาอีก แต่ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในหัว เขาก็พบว่าเหยียนเฟยออกจากห้องไปยังโถงทางเดิน และกำลังคุยเล่นอยู่กับพวกนักศึกษาทั้งห้าคนแล้ว

 

วัสดุสำหรับตกแต่งบ้านเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างขนของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ตนจำเป็นต้องใช้ไปเก็บในห้องก่อน จากนั้นค่อยขนของที่ไม่ค่อยเกะกะรกห้องจนเกินไปนักกลับไปเก็บด้วย ก็เป็นอันเสร็จ อย่างน้อยต้องเคลียร์พื้นที่ทางเดินให้โล่งขึ้น เพื่อให้คนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ในวันพรุ่งนี้มีที่เดิน

การขนย้ายข้าวของบนชั้นสิบหกส่งเสียงดังตึงตังโครมคราม โคร้งเคร้งปึงปัง โชคดีที่คนส่วนใหญ่ในชั้นสิบห้าล้วนเป็นพวกที่ย้ายเข้ามาอยู่ตั้งแต่ช่วงแรกของวันสิ้นโลก ตอนนี้พวกเขาถูกเบื้องบนเกณฑ์ให้ไปช่วยงานก่อสร้างเพื่อแลกกับคูปองสะสมและเสบียง ฉะนั้นตอนกลางวันจึงไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นพวกหลัวซวินทำเสียงดังหนวกหูขนาดนี้ คงมีชาวบ้านร้องเรียนไปนานแล้ว

สำหรับเหยียนเฟย การย้ายของเปลืองแรงน้อยกว่าการใช้พลังพิเศษเป็นไหนๆ

เทียบกับงานยกแผ่นเหล็กที่หลอมติดกันเป็นชิ้นใหญ่ยักษ์อย่างที่เขาเพิ่งทำในวันนี้แล้ว ไม่ว่างานไหนก็ล้วนไม่เกินแรง

กลับเป็นพวกนักศึกษาห้าคนนั้นที่เหนื่อยจนแทบขาดใจ วันหยุดพักผ่อนกลับกลายเป็นวันแบกหามใช้แรงงานหนักเสียได้ เหนื่อยจนเกินจะบรรยายจริงๆ

หลังจากขนของเสร็จ ทุกคนก็ไม่มีแรงจะมาโอภาปราศรัยอะไรแล้ว ต่างโบกมือแยกย้ายกลับไปพักผ่อนบ้านใครบ้านมัน

หลัวซวินอาบน้ำจนสบายเนื้อสบายตัวแล้ว ก็มาตรวจดูปริมาณน้ำในแท็งก์น้ำบนหลังคาทั้งสองใบ ช่วงนี้พวกเขาทำงานใช้แรงทุกวันจึงใช้น้ำหมดค่อนข้างเร็ว และจากที่ตั้งใจว่าหลังเทศกาลตรุษจีน เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะเตรียมปลูกพืชผลขนานใหญ่ หลัวซวินจึงตัดสินใจว่าจะลงมือสร้างเครื่องผลิตน้ำสะอาดเพิ่มอีกชุดเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้งาน

ช่วยไม่ได้ ใครให้เขามีห้องที่ต้องดูแลเพิ่มขึ้นมาอีกห้องกันล่ะ ห้องที่อยู่ติดกันนั่น รอให้จัดเก็บข้าวของเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะมีที่ว่างไว้ปลูกผักได้ไม่น้อย เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ต้องผลิตน้ำปริมาณมากเพื่อให้มีใช้รดผักได้ทุกวัน

เหยียนเฟยเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นหลัวซวินกำลังง่วนอยู่กับการรื้อตู้รื้อลัง เขาเช็ดผมพลางเอ่ยถาม “หาอะไรอยู่เหรอ”

“เครื่องกลั่นน้ำน่ะ…อ๊ะ เจอแล้ว” เครื่องสำรองนี้เขาทำไว้ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก หลัวซวินหอบข้าวของพะรุงพะรังขึ้นไปที่ห้องน้ำชั้นลอย เพราะในห้องครัวชั้นล่างมีอยู่แล้วหนึ่งชุด ดังนั้นเขาจึงนำชุดนี้มาติดตั้งไว้ในห้องน้ำชั้นลอยดีกว่า

เหยียนเฟยเห็นหลัวซวินติดตั้งเครื่องกลั่นน้ำเสร็จก็รื้อของอย่างอื่นต่อ เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ก็เห็นหลัวซวินหยิบหลอดไฟและสายไฟมาสองชุด “เอานี่มาทำอะไรอีก”

“ดัดแปลงรังนกกระทา” หลัวซวินชี้ไปที่ตู้กระจกขนาดใหญ่ตรงระเบียง ครุ่นคิดสักพักก็บอกกับเหยียนเฟยว่า “ช่วยฉันย้ายตู้กระจกหน่อยสิ ไม่ควรตั้งไว้ที่ระเบียงแล้ว”

“ทำไมล่ะ” เหยียนเฟยวางผ้าขนหนูชื้นๆ ลง แล้วยืนขึ้น

“ถ้าอยากให้นกกระทาออกไข่ ต้องปรับอุณหภูมิในตู้ให้สูงกว่าตอนนี้อีกนิด แล้วก็ต้องเพิ่มเวลารับแสงให้นานขึ้นด้วย ไม่อย่างนั้นช่วงอากาศหนาวๆ พวกมันจะไม่ออกไข่” หลัวซวินพูดพลางชี้ไปยังตำแหน่งที่เขาต้องการวางตู้กระจก ตรงนี้ทำให้รังนกกระทารับแสงได้ตลอดช่วงกลางวัน “ถ้าพรุ่งนี้พลังนายกลับมาแล้ว ช่วยทำแผ่นเหล็กปิดตรงนี้สักสองสามแผ่นให้หน่อยสิ จะได้บังแสงในตอนกลางคืน”

ตอนนี้ฐานที่มั่นจ่ายไฟฟ้าให้ตามช่วงเวลา แต่ในหมู่พลเรือนยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์แพร่หลายนัก ดังนั้นเมื่อเลยช่วงสี่ทุ่ม พวกหลัวซวินจะปิดไฟชั้นล่างทั้งหมดเพื่อป้องกันคนอื่นสงสัย

แต่นกกระทาจำเป็นต้องเพิ่มช่วงเวลารับแสงให้นานขึ้นทุกวัน จึงทำได้แค่หาแผ่นเหล็กมาบังไว้ไม่ให้แสงลอดออกไปข้างนอก

“ทำตอนนี้เลยก็ได้ คืนนี้ได้หลับตื่นนึงพลังก็ฟื้นกลับคืนมาเองแหละ”

เหยียนเฟยทำที่ครอบทรงสามเหลี่ยมแบบเคลื่อนย้ายได้ตามที่หลัวซวินบอก จากนั้นหลัวซวินยังหาผ้าสีดำผืนหนึ่งมาคลุมทับเพื่อกันแสงจากภายในลอดออกไป แบบนี้คนข้างนอกก็จะไม่เห็นแสงจากระเบียงบ้านของเขาแล้ว

“นายรู้เรื่องพวกนี้เยอะดีจัง” เหยียนเฟยเปรยขึ้นลอยๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ทั้งปลูกผัก เลี้ยงนกกระทา ดัดแปลงข้าวของในบ้านสารพัด” เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ใช้และไม่มีประโยชน์มากนักสำหรับสังคมสมัยใหม่ในช่วงก่อนวันสิ้นโลก

หลัวซวินกำลังเดินสายต่อหลอดไฟสองดวง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอีกฝ่ายก็ถึงกับชะงักมือ ก่อนพูดกลั้วหัวเราะ “เมื่อก่อนฉันอยากปลูกผักไว้กินเองในบ้าน นายก็รู้ อาหารข้างนอกไม่ปลอดภัย มีแต่สวรรค์เท่านั้นแหละที่รู้ว่าผักสดและผลไม้ที่ซื้อกลับมาฉีดยาฆ่าแมลงไปเท่าไร ถูกคนขายใจโฉดแอบเอาสารอะไรใส่ลงไปในนั้นบ้าง”

เหยียนเฟยหรี่ตา พยักหน้าเบาๆ พลางขาน “อืม” ในลำคอทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเชื่อคำพูดหลัวซวินหรือไม่

หลัวซวินต่อระบบไฟแล้วก็ตั้งเวลาปิดเปิดไฟไว้ หลังจากตรวจสอบหลอดไฟแล้วว่าไม่มีปัญหา ดูข้างนอกก็ไม่เห็นแสงลอดออกมา เขาจึงลุกขึ้นยืนถอนหายใจ

ไข่ไก่ในบ้านหมดเกลี้ยงไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หากโชคดีพวกนกกระทาเริ่มวางไข่และออกไข่ได้วันละฟองทุกตัว รังนี้ก็จะมีไข่ไว้เก็บกินได้วันละหกฟอง…ถ้าพวกมันไม่แก่ตายไปเสียก่อนนะ

และหากตอนนั้นมีไข่ที่ผสมพันธุ์แล้วฟักออกมาเป็นตัวได้ หลังจากขยายพันธุ์จนมีนกกระทาเพิ่มมากขึ้นแล้ว ไข่ที่เหลือจากที่ผู้ชายสองคนกินได้ทุกวันก็นำออกไปขายได้ แถมยังมีเนื้อนกกระทาให้พวกเขาสองคนกับสุนัขอีกหนึ่งตัวไว้กินอีกด้วย อนาคตไม่ต้องออกไปล่าสัตว์หรือซื้อเนื้อ พวกเขาก็มีอาหารบำรุงร่างกายเพียงพอ

หลัวซวินยืดตัวตรงมองไปยังรังนกกระทาที่ดัดแปลงเสร็จสมบูรณ์ และพวกนกกระทาตัวน้อยที่อยู่รวมกันภายในตู้กระจกภายใต้ที่ครอบโลหะนั้นด้วยความพอใจ พลันรู้สึกถึงความสุขเอ่อล้นขึ้นมาในใจ ชีวิตที่เขาคาดหวังและเฝ้ารอมานานในยุควันสิ้นโลกเมื่อชาติที่แล้ว ในที่สุดก็มาอยู่ในกำมือเพราะการได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง

เมื่อห้องข้างๆ ตกแต่งดัดแปลงเสร็จเรียบร้อย ถ้าหลังจากนี้ไม่มีใครมาทวงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของห้องนี้คืน เช่นนั้นก็จะใช้ห้องข้างๆ นั้นไว้ปลูกผักโดยเฉพาะได้อย่างเต็มที่ ส่วนห้องนี้ก็เอาไว้อยู่อาศัย กับปลูกผลไม้บางอย่างตรงระเบียงไปก็พอ

 

[1] มาจากหลักปฏิบัติของลัทธิข่งจื่อ (ขงจื๊อ) ซึ่งเดิมใช้ว่า “ชายหญิงมอบรับของไม่ต้องตัว” สื่อถึงระหว่างชายหญิงควรรักษาระยะห่าง ไม่ควรใกล้ชิดสนิทสนมกันจนเกินไป

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า