[ทดลองอ่าน] ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก บทที่ 6

ท่านประมุขหลงลืมฟื้นรัก

教主走失记

 

Yishihuashang 一世华裳 เขียน

RML แปล

 

โปรย

เย่โย่ว ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟคลอก

ทั้งยังสูญเสียความทรงจำ ไม่สามารถจดจำผู้ใดได้

สิ่งที่มีติดตัวมีเพียงป้ายหยกของเหวินเหรินเหิง เจ้าสำนักฝ่ายธรรมะ

ซ้ำฝ่ายนั้นยังอ้างว่าเขาคือศิษย์น้องที่หายสาบสูญไปอีกด้วย

ระหว่างสืบหาตัวตนของตนเอง กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมากมาย

เย่โย่วสงสัยว่าตนอาจเป็นประมุขลัทธิมาร

และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแผนการของเขาเอง

เขาจะเชื่อใจผู้ใดได้บ้าง หรือเชื่อไม่ได้เลยแม้กระทั่งตนเอง

ความลับที่ถูกเปิดโปงในครานี้

จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งยุทธภพเป็นแน่

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 6

 

 หลังจากเหวินเหรินเหิงออกจากโรงเตี๊ยม เขากางร่มเดินไปที่โรงเตี๊ยมอีกแห่งบนถนนสายเดียวกัน

เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ โคมไฟด้านนอกโรงเตี๊ยมแห่งนี้ดูไม่ปกตินัก ทั้งชั้นสองมืดสนิท มีเพียงแสงเทียนริบหรี่ในห้องโถง ส่วนที่เหลือถูกกลืนหายไปในราตรีกาล ตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันท่ามกลางสายฝน เผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดและความอ้างว้างเดียวดายอยู่หลายส่วน

เหวินเหรินเหิงกวาดตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป

ลูกน้องของเขากำลังรออยู่ก่อนแล้ว จึงออกมาต้อนรับทันที ชายตรงหน้าอายุราวสามสิบปี ใบหน้าธรรมดาอย่างมาก เป็นคนประเภทที่จะถูกลืมเลือนทันทีเมื่อถูกโยนเข้าไปในกลุ่มคน แต่แผลเป็นยาวหนึ่งนิ้วที่แก้มซ้ายช่วยเพิ่มความดุร้ายได้หลายส่วน จึงจดจำได้ง่ายขึ้น

ชายหน้าบากเดินถึงตัวเหวินเหรินเหิงแล้วกล่าวเสียงเบา “เจ้าสำนัก ห้องพักที่ถูกไฟไหม้นั้นได้รับการซ่อมแซมแล้วขอรับ เมื่อเราขึ้นไปดูจึงไม่เหลือเบาะแสสักนิด”

เหวินเหรินเหิงไม่แปลกใจ เขาลอบคิดในใจ ถึงแม้ยามนี้จะมีเบาะแสหลงเหลืออยู่บ้าง เกรงว่าก็อาจถูกไฟไหม้ไปหมดแล้วเช่นกัน

เขาหุบร่มแล้วมองดูคนที่อยู่ตรงกลางห้องโถง

คราวนี้เขาพาลูกน้องออกมาด้วยเพียงห้าคน สองคนอยู่กับศิษย์น้อง ส่วนที่เหลืออีกสามคนถูกส่งมาที่นี่ แม้จะน้อยคน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนในยุทธภพที่มีหน้าตาโหดเหี้ยม เถ้าแก่ร้านเห็นแวบแรกถึงกับตกใจจนเสียขวัญ

เถ้าแก่ร้านถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล เขาสวมเพียงเสื้อคลุมตัวในอย่างลวกๆ สีหน้าซีดเผือด น่องขาสั่นสะท้าน นั่งอยู่บนม้ายาว แล้วมองออกไปด้วยความหวั่นกลัว เมื่อเห็นว่ามีคุณชายท่านหนึ่งเดินเข้ามาก็อึ้งไป ก่อนจะตะโกนว่า “ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิต ผู้น้อยไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ใดเป็นคนวางเพลิง!”

“เถ้าแก่ไม่ต้องกลัว ข้าอยากจะถามเพียงไม่กี่คำ ถามเสร็จก็จะไป” เหวินเหรินเหิงกล่าว “ข้าควรจะมาตอนกลางวัน แต่ติดธุระ ปลีกตัวไม่ได้จริงๆ จึงทำได้เพียงขอรบกวนในยามวิกาล”

เหวินเหรินเหิงปฏิบัติต่อผู้คนเป็นอย่างดีเสมอมา ทั้งยังสุภาพยิ่งนัก เถ้าแก่ร้านจึงค่อยๆ คลายใจที่เต้นไม่เป็นส่ำลงได้ แล้วพูดคุยมากขึ้น เหวินเหรินเหิงซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับวันนั้น ผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน เพราะในยามนั้นเถ้าแก่ร้านไม่พบสิ่งผิดปกติหรือคนที่น่าสงสัยเลย

เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป เถ้าแก่ร้านก็อดสาบานกับสวรรค์ไม่ได้ “จริงๆ นะขอรับ จู่ๆ ห้องนั้นก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมา นอกจากคุณชายที่ได้รับบาดเจ็บท่านนั้นแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอื่นออกมาจากด้านใน อีกอย่าง โรงเตี๊ยมของผู้น้อยถูกเผาเช่นนี้ก็เปิดทำการไม่ได้ หากผู้น้อยรู้ว่าใครวางเพลิง ไหนเลยจะปล่อยเขาไปเล่า!”

เหวินเหรินเหิงพยักหน้า ก่อนเดินไปรอบๆ โรงเตี๊ยม เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้ว จึงจ่ายเงิน แล้วพาคนออกมา

 

*******

 

ฝนตกปรอยๆ ติดต่อกันมาหลายวัน จึงมีน้ำท่วมขังบนถนนหิน และมีละอองน้ำบางเบายามสายฝนพรำ ยามดึกสงัดเช่นนี้ ถนนทั้งสายว่างเปล่า มีเพียงพวกเขาเท่านั้น เหวินเหรินเหิงฟังเสียงฝนตกกระทบร่มดัง “เปาะแปะ” แล้วถาม “วันนี้ไม่มีผู้ใดตามมาใช่หรือไม่”

ชายหน้าบากตอบ “ไม่มี มีเพียงคนของเราเท่านั้นขอรับ”

“ไม่มีใครตาม…” เหวินเหรินเหิงกล่าวพึมพำเบาๆ

ชายหน้าบากกล่าวต่อ “วันรุ่งขึ้นให้ผู้น้อยไปถามชาวบ้านใกล้ๆ หรือไม่ขอรับ ว่ามีผู้ใดจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้บ้าง”

เหวินเหรินเหิงกล่าว “ไม่ต้องหรอก ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อย”

น่าแปลก เหตุใดผู้ลงมือทำร้ายศิษย์น้องของเขา เมื่อทำสำเร็จแล้วกลับไม่ตรวจสอบว่าเป็นหรือตาย แต่จุดไฟทันที นอกจากนี้หลังจากที่ศิษย์น้องของเขาได้รับการช่วยเหลือออกมาแล้ว เหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่สนใจไยดีเช่นนี้

เขาขมวดคิ้วมุ่น

“สองสามวันนี้จงระวังหลังให้มาก ดูว่ามีใครสะกดรอยตามมาหรือไม่ อีกอย่าง ส่งคนไปสอบถามที่อยู่ของหมอเทวดาจี่ด้วย ข้า…” ขณะที่เหวินเหรินเหิงกำลังกล่าว ก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยวิ่งมาข้างหน้า เขาจ้องคนผู้นั้นตาไม่กะพริบ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้นกับเขา”

“ผู้น้อยไร้ความสามารถ” คนชุดดำไม่กล้ารอช้า รีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แล้วเล่าเรื่องราวในรวดเดียว

หลังจากเจ้าสำนักออกไป พวกเขาก็ได้รับคำสั่งให้เฝ้าคุณชายผู้นั้น ในขณะที่เขาไปห้องน้ำ ยังไม่ถึงเวลาครึ่งถ้วยชา [1] ด้วยซ้ำ แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าประตูห้องเปิดอยู่ คุณชายผู้นั้นกับสหายของเขาหายไปแล้ว เขาค้นหาทั่วทุกสารทิศ ทว่าไม่เห็นแม้แต่เงา และไม่พบสัญญาณจากสหายของเขาเลย

เหวินเหรินเหิงรีบให้เขาลุกขึ้น พวกเขาเดินสนทนากันไป ไม่นานก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พักอยู่ เหวินเหรินเหิงมองเข้าไปในห้องพักซึ่งไร้ร่องรอยการต่อสู้ ถึงแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่แววตากลับหม่นหมองลงเล็กน้อย

ลูกน้องทั้งสองที่เขาทิ้งไว้มีฝีมือเก่งกาจทั้งคู่ การลักพาตัวศิษย์น้องของเขาไปได้ในระยะเวลาอันสั้นมีความเป็นไปได้สองประการ หนึ่งคือผู้ลักพาตัวมีวรยุทธ์สูงมาก จึงจัดการลูกน้องของเขาได้อย่างง่ายดายภายในหนึ่งหรือสองกระบวนท่า สองคือลูกน้องที่เขาทิ้งไว้นั้นถูกสับเปลี่ยนตัวในเวลาใดเวลาหนึ่งวันนี้เอง ตัวปลอมรอจนสบโอกาสในตอนนี้ แล้วพาคนจากไป

หากเป็นแบบแรก ไม่ว่าลูกน้องของเขาจะอ่อนแอแค่ไหน ก็น่าจะพยายามทิ้งเบาะแสเอาไว้บ้าง เมื่อคิดเช่นนี้ จึงมีโอกาสเป็นแบบที่สองมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ผู้ที่ซ่อนตัวจากสายตาเขาได้ ดูท่าจะฝึกฝนวิชาปลอมตัวมาจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งและความใจกล้าเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่รีบร้อนออกจากเมือง แต่ศิษย์น้องของเขาถูกสกัดจุดหลับใหล ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ ในเมื่ออีกฝ่ายลักพาตัวไปทั้งเป็นๆ คงไม่ทำร้ายเขาถึงชีวิตในเวลาอันสั้นกระมัง

เหวินเหรินเหิงตัดสินในชั่วพริบตา แล้วกล่าวว่า “พาคนไปค้นละแวกนี้ให้ทั่ว ดูว่ามีสัญลักษณ์ใดหรือไม่ หากไม่มีให้รีบกลับมาทันที”

ชายหน้าบากกล่าวรับคำสั่ง “ขอรับ” แล้วออกไป

เหวินเหรินเหิงเดินไปรอบๆ ห้อง พบว่ากริชของเขาก็หายไปเช่นกัน เมื่อคิดว่าศิษย์น้องตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น สีหน้าก็คล้ำลง

ไม่นานนัก ชายหน้าบากก็พาคนกลับมา แล้วรายงานว่าไม่พบสัญลักษณ์ใดๆ เลย จากนั้นเหวินเหรินเหิงจึงเรียกลูกน้องคนหนึ่งเข้ามา กระซิบสองสามคำที่ข้างหู หลังจากที่ลูกน้องผู้นั้นออกไป ก็บอกเป็นนัยให้คนที่เหลือไปเฝ้าอยู่ข้างนอก เหลือเพียงชายหน้าบากอยู่ข้างๆ เขา

ชายหน้าบากไม่ใช่คนสมองขี้เลื่อย เขาฉุกคิดได้ในฉับพลัน “เสี่ยวเจี่ยถูกสับเปลี่ยนตัวหรือ”

เหวินเหรินเหิงกล่าว “เป็นไปได้ จงกลับไปค้นหาเขาตามเส้นทางเดิมตอนขามาเสีย”

ชายหน้าบากสีหน้าหม่นลง คิดอยู่ในใจว่ามีโอกาสพบเป็นซากศพเกินครึ่ง

เขาอดประหลาดใจไม่ได้ พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งวัน อีกฝ่ายต้องมีความสามารถถึงเพียงไหนจึงไม่เผยพิรุธ เขาขมวดคิ้วแล้วถาม “ในยุทธภพมีผู้ใดมีความสามารถถึงเพียงนี้ด้วยหรือขอรับ”

“ใครจะรู้ว่าเขาไปล่วงเกินผู้ใดมา…” เหวินเหรินเหิงกล่าวเสียงต่ำ เขาหยุดชั่วขณะแล้วถาม “หมู่นี้ลัทธิมารเคลื่อนไหวหรือไม่”

ชายหน้าบากตอบ “ไม่ขอรับ”

เหวินเหรินเหิงพยักหน้า แล้วรินชาถ้วยหนึ่ง แต่ไม่ได้ดื่มอยู่พักใหญ่

เมื่อชายหน้าบากเห็นเช่นนี้ก็ไม่รบกวน เพียงปิดปากอยู่เงียบๆ อย่างรู้กาลเทศะ

 

*******

 

ในห้องว่างที่ถูกกั้นด้วยกำแพง ยามนี้เสี่ยวเจี่ยถูกมัดไว้กับเก้าอี้ โดยมีเชือกคล้องคอพร้อมกับผูกแขนทั้งสองข้างไพล่หลัง เขารู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน อยากจะออกไปกอดเข่าท่านเจ้าสำนักแล้วร้องห่มร้องไห้ แต่คุณชายผู้นั้นดันหลับไปอีกครั้งเสียแล้ว ส่วนเขาก็ถูกสกัดจุดไว้ กว่าคุณชายจะคลายจุดให้ก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้า

เย่โย่วย่อมไม่ได้หลับใหลจริงๆ เขาใช้กริชเจาะรูบนผนัง ขดตัวลงบนเตียงหลังใหญ่ที่อยู่ติดกับผนังนั้น แล้วฟังเสียงสนทนาของเหวินเหรินเหิงอย่างตั้งใจ เขารอสักครู่อย่างอดทน เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้พูดเรื่องอื่นใดถึงยอมวางใจ

หากเดาไม่ผิด ขั้นตอนต่อไปเกรงว่าเหวินเหรินเหิงจะให้ค้นโรงเตี๊ยม เย่โย่วทำเสียง ‘ชิ’ อยู่ในใจ เขาถือกริชไว้แล้วลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน

จากการสนทนาไม่กี่คำและท่าทีของเหวินเหรินเหิง อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่ายามนี้อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเขา ที่เอ่ยถึงลัทธิมารในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับเขาเป็นแน่ บางทีคนผู้นี้อาจรู้ตัวตนของเขาอยู่แล้วก็ได้

อืม…แม้จะได้เบาะแสไม่มากนัก แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็เผยความจริงที่เป็นประโยชน์ออกมาบ้าง เย่โย่วจึงพอใจอย่างมาก

เมื่อเห็นเย่โย่วลุกขึ้น เสี่ยวเจี่ยก็ตกใจจนหน้าซีด เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมืออีกรอบ

เย่โย่วไม่ได้มองเสี่ยวเจี่ย เพียงแค่เดินออกจากประตูห้องไปพร้อมกับสายตาน่ากลัว เขาสบตากับคนชุดดำสองสามคนตรงนั้น แล้วเตะประตูห้องของเหวินเหรินเหิงให้เปิดออก

ทั้งสองคนในห้องนั้นยืนขึ้นอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็เห็นใครบางคนก้าวเข้ามาพร้อมกับคอเสื้อที่เปิดกว้าง เผยให้เห็นแถบผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่…โชคดีที่มีเจ้านี่ มิฉะนั้นคนชุดดำที่อยู่ข้างนอกคงจำเขาไม่ได้จริงๆ

ใบหน้าเหวินเหรินเหิงปรากฏความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดถึงความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยคิดว่าคนผู้นี้จะกลับมาได้ด้วยตัวเอง

เมื่อครู่นี้แม้เขาจะดูสงบ แต่จริงๆ แล้วกระวนกระวายใจเหลือเกิน ยามนี้เขาบีบอัดความร้อนใจทั้งหมดกลับเข้าไปในอกจนเจ็บปวดเล็กน้อย

เหวินเหรินเหิงกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้า…”

เย่โย่วไม่รอให้เขาพูดจบก็โยนกริชลงบนโต๊ะตรงหน้า แล้วปีนขึ้นเตียง หลับตานอนอย่างไม่รู้ไม่ชี้

เหวินเหรินเหิง “…”

ลูกน้องทุกคน “…”

ห้องเงียบกริบไปครู่หนึ่ง คนชุดดำด้านนอกมองเข้าไปในกรอบประตูอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นเจ้าสำนักมองมา จึงพากันชี้ไปที่ห้องข้างๆ เพื่อบอกว่าคนผู้นั้นออกมาจากที่นั่น

เหวินเหรินเหิงเดินนำทุกคนไปดู อาศัยแสงไฟจากด้านนอกจึงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในแจ่มแจ้ง เสื้อผ้าของเสี่ยวเจี่ยถูกตัดออกเป็นริ้วๆ แล้วใช้มัดเขาไว้กับเก้าอี้ทั้งตัวเหมือนใยแมงมุมพันกันยุ่ง เผยให้เห็นผิวพรรณของเสี่ยวเจี่ยวับๆ แวมๆ เป็นบางส่วน คาดไม่ถึงว่าจะให้ความรู้สึกสวยงามอย่างประหลาด มัดปมได้อย่างถูกต้องเหมือนรู้หลักการดีทีเดียว

เหวินเหรินเหิง “…”

ลูกน้องทุกคน “…”

หลังจากนั้นไม่นาน เหวินเหรินเหิงก็ได้รู้ต้นสายปลายเหตุจากน้ำเสียงสั่นเครือของเสี่ยวเจี่ย สหายที่อยู่ด้วยกันกับเขาเหงื่อแตกพลั่ก ลอบบอกตัวเองว่าโชคดีที่ตนไปเข้าห้องน้ำ ไม่เช่นนั้นจะต้องติดร่างแหแบบเดียวกันแน่นอน!

เสี่ยวเจี่ยยังคงมีอาการหวาดผวา ในตอนนั้นคุณชายนั่งอยู่ในห้องมืดๆ แสยะยิ้มพลางตัดเสื้อผ้าของเขา กริชแทบจะแนบติดกับผิวหนัง เขาหวาดกลัวจนหวิดจะปัสสาวะราด กลัวว่ามือคุณชายจะพลาดตัดเขาเป็นชิ้นๆ

เหวินเหรินเหิงถาม “โรคเดินละเมอหรือ”

เสี่ยวเจี่ยพลันพยักหน้า “ข้ากลัวเหลือเกิน ท่านเจ้าสำนักเปลี่ยนไปนอนห้องอื่นจะดีกว่านะขอรับ!”

ระหว่างนั้นลูกน้องที่ได้รับคำสั่งไปก่อนหน้านี้ก็กลับมา พวกเขามองดูเสี่ยวเจี่ยด้วยความประหลาดใจ แล้วหยิบยาที่เจ้าสำนักให้ไปเตรียมไว้ออกมา “เจ้าสำนัก ยังต้องใช้อีกหรือไม่ขอรับ”

เหวินเหรินเหิงระบายลมหายใจเข้าออกช้าๆ

ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่า อีกฝ่ายใจกล้าบ้าบิ่นลงมือในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนั้น บางทีอาจจะยังไม่ได้ออกจากโรงเตี๊ยมก็เป็นได้ เขากลัวว่าจะก่อความวุ่นวายจนทำให้คนฉวยโอกาสหนีเตลิดไป จึงวางแผนจะวางยาสลบคนทั้งโรงเตี๊ยมให้หมดก่อนแล้วค่อยค้นหา ไม่คาดคิดว่า…

“ไม่ต้องแล้ว ไปพักผ่อนเถิด” เขาลุกขึ้นยืน แล้วกลับไปที่ห้องพักท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือของเสี่ยวเจี่ย

เย่โย่วยังคงนอนท่าเดิม แต่ไม่แน่ใจว่าเขาหลับแล้วจริงหรือไม่

เหวินเหรินเหิงถอดเสื้อผ้า พลางคิดอย่างจนปัญญาถึงท่าทีของศิษย์น้องที่ต้องการจะหยั่งเชิงเขาก่อนหน้านี้ หลังจากเขารู้ทัน เดิมทีคิดว่าคืนนี้อีกฝ่ายคงจะทำตัวเรียบร้อยเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าจะมาไม้นี้ทันที ความจำเสื่อมจริงๆ แต่ไม่รู้จักหยุดพักเสียเลยนะ

ในใจเขาอยากจะตีเจ้าเด็กนี่สักที แต่รู้ว่าที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ เพราะความจำเสื่อมจึงไม่เชื่อใจใคร ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเขาเองคงลงมือหนักยิ่งกว่านี้แน่ จึงทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าไปเท่านั้น

เหวินเหรินเหิงมองคนที่อยู่ข้างกายเป็นครั้งสุดท้าย ครุ่นคิดอย่างสงสัย ทั้งๆ ที่เขาสกัดจุดหลับใหลของศิษย์น้องแน่นอนแล้ว อีกฝ่ายคลายจุดได้อย่างไร

 

*******

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ศิษย์พี่ทายาให้เย่โย่วเรียบร้อย แล้วออกเดินทางไปพร้อมกับ “เจ้าศีรษะโคมไฟ” เย่โย่วแสร้งแปลกใจเมื่อจู่ๆ คนทั้งห้าก็ปรากฏตัวขึ้น “พวกเจ้าคือ?”

เหวินเหรินเหิงกล่าว “พวกเขาเป็นลูกน้องของข้า จะไปพบหมอเทวดาจี่กับเราด้วย”

เย่โย่วเพียงเอ่ยว่า “อ้อ” หลังจากตั้งใจกินจนอิ่มหนำ เขาก็ออกเดินทางกับศิษย์พี่อีกครั้ง

เมื่อชายหน้าบากได้รับคำสั่ง ก็เริ่มสืบหาเบาะแสของหมอเทวดาจี่ คาดไม่ถึงว่าจะราบรื่นจนได้ข่าวกลับมาก่อนเที่ยงวัน สีหน้าเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย เมื่อพบเจ้าสำนักก็รายงาน “ตอนนี้หมอเทวดาจี่อยู่ที่ตระกูลหวังในเมืองซูโจว [2]  กล่าวกันว่าท่านผู้เฒ่าหวังถูกพิษตะเกียงอับแสงขอรับ”

เย่โย่วเจ็บแปลบในใจโดยไร้สาเหตุ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจ

 

 

[1] คำเปรียบเทียบเวลาแบบจีนโบราณ สื่อถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบเวลาประมาณห้านาที

[2] เป็นเมืองสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซู เป็นเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีชื่อเสียงด้านสายน้ำ ภูเขา โดยเฉพาะสวนโบราณ งดงามมากจนได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์”

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า